ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,989
    ค่าพลัง:
    +97,149
    [23 พฤษภาคม 2020 เวลา 00:00 น.]

    FB_IMG_1590236834782.jpg

     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,989
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ...เรียนโหร ต้องมีดวง ?...

    วงการโหราศาสตร์ควรขอบคุณดร.วีรพงษ์ รามางกูรอย่างมาก ที่ท่านได้เขียนเล่าประวัติชีวิตเรื่อง "เรียนวิชาโหราศาสตร์"

    (https://www.matichon.co.th/columnists/news_2182535)

    ทำให้คนชั้นกลาง / คนธรรมดาทั้งหลายได้ตระหนักและนำไป "คิดวิเคราะห์ต่อ" ว่า

    โหราศาสตร์ควรค่าแก่การศึกษาและน่าเชื่อถือหรือไม่ ?

    โพสต์ "เมื่อดร.ด้านเศรษฐศาสตร์ไปเรียนโหราศาสตร์" ได้รับความสนใจอย่างมาก

    ()

    ธนูเกณฑร์จึงนึกถึงบทความชิ้นหนึ่งที่เขียนไว้เมื่อ 15 กรกฎาคม 2559 ซึ่งมีหัวข้อใกล้เคียงกัน นั่นคือ

    "...เรียนโหร ต้องมีดวง ?

    ถ้าเด็กอายุ 5 ขวบว่าผู้ใหญ่อายุ 70 งมงายเหลวไหลไม่ทันโลก คุณคิดว่าอย่างไร ?

    แล้วถ้าศาสตร์อายุ 500 ปีกล่าวหาศาสตร์อายุ 7,000 ปี ว่างมงายเหลวไหลไม่ทันโลก คุณคิดว่าอย่างไร ?

    เหตุผลสำคัญที่โหราศาสตร์เป็นที่สนใจมากขึ้นในปัจจุบัน ก็เพราะความไม่แน่นอนของสถานการณ์ต่าง ๆ เช่น เศรษฐกิจ การเมือง ภัยธรรมชาติ ฯลฯ ที่เกิดขึ้นมากมายทั่วโลกและมีแนวโน้มมากขึ้นเรื่อย ๆ

    ปฏิวัติคสช. สงครามของรัสเซีย Brexit ฯลฯ มีศาสตร์ใดทำนายล่วงหน้าได้บ้าง ? แต่โหราศาสตร์ทำนายได้

    เรื่องแปลก ๆ มากมายเกิดขึ้น เช่น การพิมพ์เงิน (QE) ของธนาคารกลาง ดอกเบี้ยติดลบ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ไม่มีในตำรา นักวิชาการจึงบอกไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรต่อไป

    ไม่ใช่ว่าศาสตร์ปัจจุบันไม่มีประโยชน์

    มันมีประโยชน์ในการอธิบายอดีต แต่ไร้ประโยชน์เมื่อต้องทำนายอนาคต !

    การเปลี่ยนแปลงไม่มีหยุด มีแต่เพิ่มมากขึ้น นั่นเพราะอิทธิพลมฤตยู

    6 ปีที่ผ่านมา มฤตยูจรในมีน มีนคือภพ 12 (วินาศ) ของโลก ซึ่งเกี่ยวกับความลับ สิ่งที่ปกปิด ฯลฯ มฤตยูทำให้เรื่องราวและความจริงต่าง ๆ ถูกเปิดโปงออกมา

    เมื่อมันจรเข้าเมษและเริ่มวงรอบใหม่ ความจริงเหล่านั้นทำให้โลกเปลี่ยนไป

    มฤตยูคือการต่อต้านของเดิม นอกกรอบ ปฏิวัติ ฯลฯ ความไม่แน่นอนยิ่งเพิ่มพูน ความเสี่ยงยิ่งสูงขึ้น

    มฤตยูยังหมายถึงโหราศาสตร์ มฤตยูเข้าเมษจะปลุกกระแสโหราศาสตร์ขึ้นทั่วโลก

    ลัคนาดวงเมืองไทยอยู่เมษ โหราศาสตร์จะได้รับความนิยมมากขึ้นในบ้านเราด้วย โดยค่อย ๆ ปรากฏชัดเจนนับจากกลางปี 2560 และพุ่งขึ้นแรงสุดช่วงกลางปี 2566

    เมื่อกระแสโลกเป็นเช่นนี้ เราควรคล้อยตามหรือขวางโลก ?

    ถ้าคนอื่นเรียนรู้และใช้ประโยชน์จากโหราศาสตร์ เราควรนิ่งเฉย ยอมเสียเปรียบ หรือติดอาวุธทางปัญญาให้กับตัวเอง ?

    การเปลี่ยนแปลงมีแต่มากขึ้นและซับซ้อนขึ้น เราควรก้าวนำหรือยอมตามหลังผู้อื่น ?

    จะเรียนโหร ต้องมีดวง !

    คำกล่าวนี้ได้ยินกันบ่อย มันจริงหรือเปล่า ?

    ตั้งแต่โบราณ โหราศาสตร์ศึกษากันเฉพาะกลุ่มชนชั้นนำ เช่น กษัตริย์ นักบวช นักรบ ขุนนาง ฯลฯ คนธรรมดาไม่มีสิทธิ์

    ผู้ที่รู้ก็ปกปิดไว้ภายในตระกูล คนภายนอกห้ามเรียน เพราะมันคือที่มาของอำนาจ เกียรติยศ และทรัพย์สิน

    คำกล่าวที่ว่า “โหราศาสตร์เป็นของสูง เป็นวิชาของผู้มีบุญบารมี” จึงเป็นความจริงด้วยเหตุผลนี้

    เมื่อโหราศาสตร์เป็นของสำคัญอันล้ำค่า การตรวจดวงชะตาผู้สืบทอดและผู้ศึกษา ย่อมเป็นสิ่งจำเป็น ผู้ไม่ผ่านด่านนี้ ย่อมไม่ได้รับอนุญาตให้ร่ำเรียน

    โหราศาสตร์เปรียบเสมือนดาบ 2 คม ใช้ในทางที่ถูก ก็เกิดคุณอนันต์ ใช้ทางผิด ก็เกิดโทษมหันต์

    ผู้ใช้วิชานี้ไม่เพียงต้องมีความรับผิดชอบสูง แต่ต้องใจสูง กอปรด้วยคุณธรรม ไม่ฉวยโอกาสแสวงหาประโยชน์บนความทุกข์ของผู้อื่น

    การตรวจดวงคือมาตรการสำคัญ

    การสอนโหราศาสตร์แต่เดิมเป็นแบบ “มุขปาฐะ” คือถ่ายทอดปากต่อปาก เน้นให้ผู้เรียนเข้าใจและจดจำทั้งหมด

    ตำราเป็นแค่แนวทาง โดยซ่อนเคล็ดลับเอาไว้ ผู้เรียนอาจต้องใช้เวลาทั้งชีวิต

    แต่ปัจจุบัน มีการเผยแพร่ตำรา (จากตะวันตก) เปิดสอนมากขึ้น และเปิดกว้างสำหรับทุกคน คนธรรมดาก็เรียนได้

    ดังนี้แล้ว การตรวจดวงผู้เรียนก็ไม่ใช่เงื่อนไขสำคัญอีกต่อไป

    เมื่อมองในภาพใหญ่ ถ้าต้องมีดวงก่อนจึงเรียนได้ เท่ากับปิดโอกาสคนจำนวนมาก หรือถ้าไม่มีดวง ร่ำเรียนแล้วไม่สัมฤทธิ์ผล ก็นำมาซึ่งความท้อถอยตั้งแต่เริ่มต้น

    วงการโหราศาสตร์ย่อมพลาดโอกาสเจียรนัยเพชรเม็ดงาม การพัฒนาต่อยอดวิชาก็เป็นไปได้ยาก

    โหราศาสตร์ย่อมมีแต่เสื่อมลง

    อันที่จริง โหราศาสตร์ก็ไม่ต่างจากศาสตร์อื่น เช่น คณิตศาสตร์ หรือกีฬาต่าง ๆ เช่น ฟุตบอล

    กล่าวคือ มีกฎเกณฑ์และหลักการที่เป็นเหตุเป็นผล ทุกคนสามารถเรียนได้ ไม่ต้องพึ่งพาดวง

    แต่ถ้าอยากเข้าใจลึกซึ้ง เชี่ยวชาญ และทำนายได้แม่นยำกว่าผู้อื่น ต้องขึ้นกับ “พรสวรรค์” ของผู้เรียน

    นี่คือความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้

    พรสวรรค์นี้ตรวจสอบได้จากดวงชะตา เช่น

    (1) มีดาวมฤตยู พฤหัส เสาร์ พุธ เข้มแข็งและสัมพันธ์ถึงลัคน์หรือดาวเจ้าเรือนลัคน์ (2) ตนุลัคน์สัมพันธ์กับภพ 8, 12 หรือดาวเจ้าเรือนภพ (3) ลัคนาหรืออาทิตย์สถิตย์ในราศีพิจิกหรือมีน ฯลฯ

    บางคนไม่ได้เรียนลึกซึ้ง แต่กลับทายได้แม่นยำ พวกเขามักคิดว่าตัวเองมีสัมผัสที่ 6 เรื่องนี้เป็นไปได้ เช่น ผู้ที่มีเกตุ (ไทย) กุมเล็งลัคน์

    อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ไม่ได้คงอยู่คงที่ชั่วชีวิต มันขึ้นกับสุขภาพและสภาวะจิตเป็นสำคัญ

    ดังนั้น ถ้าไม่ศึกษาจริงจัง หวังพึ่งแต่เรื่องเช่นนี้ ย่อมเสื่อมและผิดพลาดเข้าสักวัน

    อลัน ลีโอ (Alan Leo) คือบุคคลที่ประสบความสำเร็จจากโหราศาสตร์

    ท่านเป็นโหราจารย์ชื่อดังชาวอังกฤษ ชื่อจริงคือ William Frederick Allan (1860 – 1917) ลีโอหมายถึงอาทิตย์ในราศีสิงห์ (ระบบเคลื่อนที่ - แบบฝรั่ง)

    ท่านลีโอได้รับการยกย่องเป็น “บิดาแห่งโหราศาสตร์ยุคใหม่”

    เพราะเป็นคนแรกที่เน้นอิทธิพลดวงดาวที่มีต่อนิสัยใจคอคน ถือเป็นผู้บุกเบิกโหราศาสตร์จิตวิทยา (Psychological Astrology) ซึ่งไปรุ่งเรืองในอเมริกายุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2

    ท่านเกิด 7 สิงหาคม ค.ศ. 1860

    ตั้งแต่อายุ 16 ท่านลีโอทำงานหลากหลาย เช่น ขายผ้า ผู้ช่วยนักเคมี เซลล์แมน ฯลฯ และล้มเหลวมาตลอด

    จนอายุ 25 ท่านได้เรียนโหราศาสตร์ นับแต่นั้น ชีวิตก็เปลี่ยนไป

    4 ปีต่อมา ท่านลีโอกับเพื่อนเปิดตัว The Astrologer’s Magazine โดยใช้กลยุทธ์ผูกดวงฟรีสำหรับสมาชิก (ยุคนั้นไม่มีโปรแกรม) มันประสบความสำเร็จอย่างมาก

    การผูกดวงยังทำให้ท่านได้พบและแต่งงานกับภรรยาที่ร่ำรวย

    ปี 1893 ท่านเริ่มคิดค่าดูดวงจากสมาชิก มันสร้างรายได้อย่างงาม ปี 1898 ท่านซื้อบ้านในลอนดอนและดูดวงเต็มเวลา

    ท่านลีโอเขียนหนังสือ 30 เล่มและก่อตั้งสมาคมโหราศาสตร์หลายแห่ง ท่านประสบความสำเร็จทั้งงาน เงิน และครอบครัว ทั้งยังสนใจโหราศาสตร์อินเดียอย่างมากด้วย

    แท้จริงแล้ว ท่านลีโอยากจนและมีการศึกษาน้อย ความสำเร็จของท่านเกิดจากพรสวรรค์

    ในจักรราศีคงที่ (แบบไทย) อาทิตย์อยู่กรกฎ ลัคน์อยู่สิงห์ มีเสาร์กุมลัคน์สนิท เสาร์คือความยากลำบาก ชีวิตจึงลำบากตลอด แม้รวยแล้ว ก็ยังต้องเหน็ดเหนื่อย

    เสาร์เป็นดาวเจ้าเรือนภพ 8 (ในดวงภวจักร) ท่านจึงสนใจศาสตร์ลึกลับและมี Sense ในทางนี้

    อาทิตย์คือดาวเจ้าเรือนลัคน์ อาทิตย์ตกภพ 12 ร่วมกับพุธพฤหัส พฤหัสเป็นอุจจ์และสลับเรือนกับจันทร์ จึงเข้มแข็งให้คุณมาก

    อาทิตย์พฤหัสได้มุม 60 จากมฤตยู นี่คือเครื่องหมายของพรสวรรค์ทางโหราศาสตร์ ทั้งคู่ยังได้มุม 90 จากพลูโต บอกถึงเกียรติยศความสำเร็จระดับสูง

    โหราศาสตร์งมงายเหลวไหลหรือไม่ ?

    อย่าเพิ่งรีบตอบ จนกว่าคุณจะพิสูจน์ด้วยตัวเอง..."

    เพื่อประโยชน์สำหรับผู้สนใจและศึกษาต่อไปครับ

    ธนูเกณฑร์ (17/5/2020)
     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,989
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ...เมื่อดร.ด้านเศรษฐศาสตร์ไปเรียนโหราศาสตร์...

    เป็นที่รับรู้กันในวงการนานแล้วว่า ชนชั้นนำ (Elite) ของไทย โดยเฉพาะข้าราชการและเชื้อสายตระกูลขุนนางเก่า เชื่อถือและร่ำเรียนโหราศาสตร์กัน

    แต่พวกเขามักปกปิดเรื่องนี้ เพื่อมิให้ภาพลักษณ์ (Image) เสียหาย

    มีแต่คนชั้นกลางเท่านั้นที่ถูกปลูกฝังว่า...โหราศาสตร์เหลวไหลงมงาย

    (สำหรับคนชั้นล่าง / คนยากจน พวกเขาพร้อมเชื่อทุกอย่างทุกศาสตร์ที่ทำให้ฐานะทางเศรษฐกิจและสภาพชีวิตดีขึ้นอยู่แล้ว)

    เพราะอะไร ? คำตอบมี 2 ข้อ

    (1) คนชั้นกลางเติบโตมาในระบบการศึกษาแบบปิด เช่น มหาวิทยาลัยที่เน้นแบบตะวันตก ซึ่งมักปฏิเสธโหราศาสตร์

    ความรู้เหล่านี้ทำให้พวกเขากลายเป็น "มนุษย์องค์กร" และ "ผู้เชี่ยวชาญ" ด้านต่าง ๆ เช่น หมอ วิศวะ ฯลฯ

    พวกเขาสร้างสถานะใหม่ทางเศรษฐกิจและสังคมได้ดี ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาศาสตร์ใดอีก (ตราบใดที่ความรู้เหล่านี้ไม่ล้าสมัย หรือถูก Disruption)

    (2) ความรุ่งเรืองเฟื่องฟูของชนชั้นกลางไทย เกิดจากความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจของประเทศที่เริ่มต้นในยุคฟองสบู่ (ปี 2531 - 2540)

    พวกเขาจึงโฟกัสแต่เศรษฐกิจ หลายคนเรียนต่อ MBA จนหลงลืมไปว่า เรื่องราวความเป็นไปในโลก ไม่ได้มีแค่เศรษฐกิจเท่านั้น

    ด้วยเหตุนี้ พวกเขามักเชื่ออย่างฝังหัวว่า...โหราศาสตร์เป็นเรื่องหลอกลวง (และปฏิเสธการพิสูจน์ทุกรูปแบบล่วงหน้า)

    น่าเสียดาย

    ไม่ใช่เสียดายแทนโหราศาสตร์

    แต่เสียดายแทนชนชั้นกลางที่จมอยู่กับอคติและ "เบาปัญญา" ต่างหาก !

    โชคดีที่วันนี้มีชนชั้นนำไทยระดับอดีตรองนายกฯ รัฐมนตรีคลัง ประธานบอร์ดของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ปรึกษานายกฯเปรม คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์จุฬา ฯลฯ ได้เขียนเล่าถึงประสบการณ์ "เรียนวิชาโหราศาสตร์" ของตน

    ท่านคือ ดร. วีรพงษ์ รามางกูร

    ท่านได้ขอให้รุ่นน้องพาไปพบและขอเป็นลูกศิษย์ของท่านอาจารย์ เทพย์ สาริกบุตร เมื่อต้นปี 2525

    "...เมื่อทราบความประสงค์ ท่านอาจารย์ถึงกับอึ้ง ก่อนจะขอวันเดือนปีสถานที่และเวลาเกิด แล้วท่านก็โยนให้ผู้ช่วยท่านคนหนึ่งพวกเราเรียกท่านว่า "เจ้าคุณ" เป็นผู้ผูกดวงให้ เพื่อดูว่าสมควรรับเป็นลูกศิษย์หรือไม่

    กล่าวคือ ดาวพฤหัสในดวงชะตาเข้มแข็งหรือไม่

    บังเอิญในดวงชะตา ดาวพฤหัสบดีมีตำแหน่งเป็นอุจ สถิตอยู่ในราศีกรกฎ แถมยังร่วมกับจันทร์ด้วย แม้จะมีราหู อาทิตย์ และพุธร่วมก็ไม่เป็นไร เพราะเข้มแข็งน้อยกว่าพฤหัสและจันทร์ที่เป็นอุจและเกษตร

    ท่านจึงตบบ่ารับเป็นลูกศิษย์และเริ่มเรียนได้...

    (อ่านเนื้อหาทั้งหมดได้ที่
    https://www.matichon.co.th/columnists/news_2182535)

    ดร.วีรพงษ์กล่าวว่า นี่เป็นครั้งแรกที่เขียนเล่าการไปเรียนโหราศาสตร์กับท่านอาจารย์ เทพย์ สาริกบุตร อย่างละเอียด

    อันที่จริง ไม่เพียงดร.วีรพงษ์ที่จบปริญญาเอกด้านเศรษฐมิติ (Econometrics) จากม.เพนซิลวาเนียเท่านั้น

    โหรใหญ่ยุคปัจจุบันอีกท่าน คือ อ.ยูเรสโตร ก็จบด้านเศรษฐศาสตร์เหมือนกัน

    นามของท่าน คือ รศ.ดร. เจษฎา โลหอุ่นจิตร ครับ

    ยังมีอีกหลายท่านซึ่งขอไม่กล่าวนามในที่นี้

    โปรดอ่านบทความนี้สักหลายรอบ แล้วถามตัวเองว่า...

    ทำไมผู้มีสติปัญญา มีชื่อเสียงระดับประเทศ และประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานอย่างสูง จึงสนใจและร่ำเรียนโหราศาสตร์ ?

    โหราศาสตร์เหลวไหลงมงายจริงหรือ ?

    แล้วท่านจะพบ "คำตอบ" ได้ด้วยตัวเองครับ

    ธนูเกณฑร์ (14/5/2020)
     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,989
    ค่าพลัง:
    +97,149
    'ขนส่งสาธารณะ' กระอักพิษโควิด 'แท็กซี่' เจ็บหนักสุด
    .

    "ศูนย์วิจัยกสิกรไทย" ชี้วิกฤติโควิด-19 กระทบผู้ประกอบการธุรกิจขนส่งผู้โดยสารสาธารณะ เนื่องจากความต้องการเดินทางของประชาชนลดลงมากกว่า 70% และผู้ประกอบการรถแท็กซี่จะได้รับผลกระทบเชิงลบมากที่สุด
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้เผยแพร่รายงาน เรื่อง "New Normal...ความท้าทายใหม่ของธุรกิจขนส่งสาธารณะ แท็กซี่...รับผลกระทบหนักสุด!" โดยระบุว่า การระบาดของเชื้อโควิด-19 ทำให้รัฐบาลต้องประกาศใช้ พ.ร.บ.ภาวะฉุกเฉิน เพื่อจำกัดการเดินทางของคนทั่วประเทศ ซึ่งทำให้ความต้องการเดินทางของประชาชนลดลงมากกว่า 70% จึงส่งผลกระทบเชิงลบโดยตรงกับผู้ประกอบการธุรกิจขนส่งผู้โดยสารสาธารณะ

    แม้ว่ารัฐบาลจะค่อยๆ ผ่อนคลายมาตรการต่างๆ และทยอยเปิดกิจการต่างๆ ให้กลับมาดำเนินกิจการได้ตามปกติ แต่มาตรการรักษาระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) จะยังคงอยู่ต่อไปซักระยะหนึ่ง และทำให้ประชาชนต้องปรับตัวเข้าสู่ New Normal ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการขนส่งผู้โดยสารสาธารณะอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

    มาตรการ Social Distancing ทำให้ความสามารถในการบรรทุกผู้โดยสารลดลง 40-50% ในทุกเที่ยวเดินทาง ก่อให้เกิดปัญหาผู้โดยสารตกค้างในช่วงเวลาเร่งด่วน (07:00-09:00 น.) ดังนั้น ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนจึงร่วมมือกันใช้การทำงานเหลื่อมเวลา ซึ่งจะทำให้จำนวนผู้โดยสารในเวลาเร่งด่วนลดลง 30-35% และไปเพิ่มจำนวนผู้โดยสารในช่วงเวลาอื่นแทน จึงส่งผลให้ผู้ประกอบการรถโดยสารประจำทาง และรถไฟฟ้าจำเป็นต้องเพิ่มเที่ยวเดินทางให้ถี่ขึ้นในช่วงเวลา Off Peak

    นอกจากนี้ เมื่อผู้โดยสารรู้สึกไม่ปลอดภัยในการใช้บริการรถโดยสารสาธารณะ ผู้ประกอบการจึงจำเป็นต้องเพิ่มมาตรการความปลอดภัยต่างๆ เช่น การติดแผงกั้นคนขับ-ผู้โดยสาร พร้อมชุดกรองอากาศในรถแท็กซี่ มาตรการเหล่านี้ย่อมทำให้ต้นทุนประกอบการของธุรกิจขนส่งผู้โดยสารสาธารณะเพิ่มขึ้นจากแต่ก่อน สวนทางกับรายได้ซึ่งยังไม่ฟื้นตัวเข้าสู่ภาวะปกติ

    ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ผู้ประกอบการรถแท็กซี่จะได้รับผลกระทบเชิงลบมากที่สุด โดยคาดว่ารายได้ของผู้ประกอบการจะหดตัวประมาณ 50-55% ในปีนี้ เนื่องจากนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นหนึ่งในกลุ่มลูกค้าหลักของคนขับรถแท็กซี่ ประกอบกับผู้โดยสารที่นั่งรถแท็กซี่ส่วนใหญ่มีกำลังซื้อมากกว่าผู้โดยสารรถประจำทาง จึงมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนมาใช้รถส่วนตัวมากขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19

    ส่วนรถโดยสารประจำทางและรถไฟฟ้าได้รับผลกระทบเชิงลบน้อยกว่า โดยคาดว่ารายได้ของผู้ประกอบการจะหดตัวประมาณ 30%-35% ในปีนี้ จึงทำให้ภาพรวม รายได้ของผู้ประกอบการธุรกิจขนส่งสาธารณะในพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑลจะหดตัว 39%-44% ในปีนี้ เนื่องจากการบังคับใช้ พ.ร.บ.ภาวะฉุกเฉิน และมาตรการ Social Distancing

    ในระยะยาว เมื่อรัฐบาลผ่อนคลายมาตรการ Social Distancing ต่าง ๆ เช่น เปิดร้านอาหารแบบนั่งทานเป็นกลุ่ม เปิดโรงภาพยนตร์ เปิดฟิสเนส และกลับมาส่งเสริมการท่องเที่ยวอีกครั้ง ความต้องการเดินทางจะพลิกกลับมาเป็นขยายตัวขึ้นจากเดิม เนื่องจากคนส่วนใหญ่เบื่อหน่ายการอยู่บ้าน โหยหาไลฟ์สไตล์ที่เคยมี ต้องการพบปะเพื่อนฝูง ญาติมิตร และทำกิจกรรมทางสังคมที่ต้องพบปะผู้คน จึงทำให้ความต้องการเดินทางเพื่อการสันทนาการพลิกกลับมาเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในช่วงแรก

    อย่างไรก็ตาม ช่วงระยะเวลาที่ถูกล็อกดาวน์ได้ทำให้พฤติกรรมผู้คนบางส่วนเริ่มเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ New Normal ในระยะยาว เช่น สั่งอาหารมาทานที่บ้านมากขึ้น ดูหนังออนไลน์มากขึ้น ซื้อของออนไลน์มากขึ้น หรือแม้กระทั้ง เรียนออนไลน์มากขึ้น และทำงานที่บ้านมากขึ้นในบางอาชีพ เช่น กราฟิกดีไซด์ นักพัฒนาเวป นักเขียนคอนเทนต์

    การเปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์เข้าสู่ New Normal เหล่านี้จะทำให้ความต้องการเดินทางของคนในเมืองลดลงในระยะยาว ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า แม้ว่ารายได้ของผู้ประกอบการธุรกิจขนส่งสาธารณะในพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑลจะขยายตัวถึง 56%-67% ในปี 2564 เมื่อเทียบกับปีนี้ แต่ก็ยังหดตัวลง 3%-10% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดวิกฤตโควิด-19 อยู่ดี

    ที่มา : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,989
    ค่าพลัง:
    +97,149
    กระทรวงการคลัง แจ้ง ขายหุ้น"การบินไทย" 69.19 ล้านหุ้น คิดเป็น 3.17% ให้กองทุนวายุภักษ์หนึ่ง คงหลือถือหุ้น 1.04พันล้านหุ้น คิดเป็น 47.86%
    .
    แบบรายงานการได้มาหรือจำหน่ายหลักทรัพย์ของกิจการ (แบบ 246-2) ระบุ กระทรวงการคลัง ขายหุ้น บมจ.การบินไทย (THAI) จำนวน 69,193870 หุ้น หรือคิดเป็น 3.17% ของจำนวนหุ้นที่ชำระแล้วทั้งหมด ซึ่งเป็นการซื้อขายโดยตรงให้กับกองทุนวายุภักษ์หนึ่ง
    .
    ทำให้ภายหลังการขายหุ้นครั้งนี้ กระทรวงการคลังเหลือถือหุ้นจำนวน 1,044,737,191 หุ้นหรือคิดเป็น 47.86%ของจำนวนหุ้นที่ชำระแล้วทั้งหมด
    .
    อ่านต่อได้ที่: https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/881935
    .
    .
    #กรุงเทพธุรกิจ #กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
    -------------------------------

     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,989
    ค่าพลัง:
    +97,149
    แม้ว่าขณะนี้ตลาดหุ้นในหลายประเทศฟื้นตัวกลับมาบ้างแล้ว แต่กลุ่มบริษัทหนึ่งที่ยังไม่เคยได้รับความเสียหายจากสถานการณ์นี้ และมีแต่เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ คือ บริษัทด้านเฮลท์แคร์ที่พัฒนาวัคซีน วิธีรักษา และชุดตรวจโรคโควิด-19 ทำให้บรรดานักธุรกิจที่อยู่เบื้องหลังบริษัทร่ำรวยขึ้นไปด้วย
    .
    ราคาหุ้นของบริษัทเหล่านี้ซึ่งทำงานเพื่อค้นหาตัวแปรสำคัญในการเอาชนะไวรัสต้นตอโรคโควิด-19 ทะยานอย่างมากในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา และสร้างมหาเศรษฐีพันล้านหน้าใหม่อีกคน รวมถึงเพิ่มความมั่งคั่งให้บรรดาเศรษฐีในแวดวงเดียวกัน
    .
    ชวนส่อง 5 มหาเศรษฐี ‘Healthcare’ รับทรัพย์ ช่วง ‘โควิด’ ว่าเป็นอย่างไรบ้าง?
    .
    อ่านต่อได้ที่: https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/881665
    .
    กราฟิก: ณัชชา พ่วงพี
    .
    .
    #กรุงเทพธุรกิจ #กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
    -------------------------------

     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,989
    ค่าพลัง:
    +97,149
    "ศูนย์วิจัยกสิกรไทย" คาด "เศรษฐกิจไทย" ปี 63 หดตัว 5% แม้การแพร่ระบาดจะคลี่คลายลงในไตรมาส 2 แต่เศรษฐกิจไทยจะยังไม่สามารถพลิกฟื้นกลับมาได้เร็ว
    .
    .
    .
    #กรุงเทพธุรกิจ #กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
    -------------------------------
     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,989
    ค่าพลัง:
    +97,149
    คงต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และร่วมลุ้นไปพร้อมๆ กันว่าปี 2564 เจ้าภาพการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ยังเป็นญี่ปุ่นหรือไม่? เนื่องจากก่อนหน้านี้การระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ญี่ปุ่น เจ้าภาพการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกในปีนี้ ตัดสินใจเลื่อนเป็นเจ้าภาพออกไป 1 ปี
    .
    .
    .
    #กรุงเทพธุรกิจ #กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
    -------------------------------

     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,989
    ค่าพลัง:
    +97,149
    วิกฤติลุกลามสู่ 'ภาคการเงิน' มุมมองจากทฤษฎี 'Financial Instability Hypothesis'
    23 พฤษภาคม 2563 | โดย ผศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ | คอลัมน์ พลวัตเศรษฐกิจ

    หากจะวิเคราะห์วิกฤติเศรษฐกิจที่กำลังลุกลามสู่ภาคการเงิน ผ่านทฤษฎี Financial Instability Hypothesis ในการอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างความเปราะบางของภาคการเงิน กับวงจรเศรษฐกิจ สะท้อนอะไรบ้าง? หรือจริงๆ แล้วควรเปิดตำราใหม่เพื่อให้เหมาะกับวิกฤติใหม่ครั้งนี้
    วิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจของโลกและไทยกำลังลุกลามสู่ภาคการเงิน สัญญาณจะชัดเจนมากขึ้นในไตรมาสสองนี้ แม้ธนาคารกลางหลายประเทศจะร่วมกันลดดอกเบี้ยและอัดฉีดปริมาณเงินเข้าสู่ระบบจำนวนมหาศาล แต่ความเชื่อมั่นยังไม่กลับมา เงินส่วนใหญ่ไหลเข้าสู่ตลาดสินทรัพย์ทางการเงิน ตลาดทองคำ มากกว่าเข้าสู่ภาคธุรกิจอุตสาหกรรมการผลิตและกิจการในภาคบริการท่องเที่ยว

    กิจการเหล่านี้ โดยเฉพาะที่จะถูก Lockdown นานๆ จะกลายเป็น “หนี้เสีย” ในที่สุด สถาบันการเงินที่มีฐานเงินทุนเข้มแข็งจะอ่อนแอลงจากการที่ลูกหนี้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ เจ้าหนี้ไม่มั่นใจต่อฐานะของกิจการโดยเฉพาะสถาบันการเงินขนาดเล็ก อย่างเช่น สหกรณ์ออมทรัพย์จะเริ่มไปถอนเงินฝากและขายหุ้น

    หลายคนอาจจะไม่คุ้นเคยกับคำว่า Minsky Moment พัฒนาจากทฤษฎีของนักเศรษฐศาสตร์นาม Hyman Minsky

    ทฤษฎี Financial Instability Hypothesis อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างความเปราะบางของภาคการเงินกับวัฏจักรธุรกิจหรือวงจรเศรษฐกิจ โดยฟองสบู่ที่เกิดจากการขยายตัวของการลงทุนที่เกินพอดีในภาวะเศรษฐกิจขยายตัวสูงเกิดขึ้นได้เสมอ วงจรของการก่อหนี้เกินตัวและปัญหาในภาคการเงิน จะทำให้วงจรเศรษฐกิจมีความผันผวนมากขึ้น

    ธนาคารมักผ่อนคลายสินเชื่อเมื่อเศรษฐกิจดี ทำให้มีการลงทุนมากและบางส่วนนำไปใช้เก็งกำไร ขณะที่เวลาเศรษฐกิจไม่ดี ธนาคารกลับเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ยิ่งทำให้การลงทุนที่น้อยอยู่แล้วหดลงไปอีก เมื่อเศรษฐกิจหดตัวมากๆ ก็วกกลับมาเป็นวิกฤติภาคการเงินจากหนี้เสียอีก

    ทั้งนี้ การก่อหนี้มีอยู่ 3 ลักษณะใหญ่ๆ ตามทฤษฎีนี้ ได้แก่

    การก่อหนี้แบบแรก “Speculative finance” หรือการกู้ยืมแบบเก็งกำไร ธุรกิจอาจมี “กำไร” และมีสินทรัพย์เพียงพอต่อการจ่ายคืนหนี้ทั้งหมด แต่มีกระแสเงินสดไม่เพียงพอกับภาระการจ่ายคืนหนี้ในแต่ละช่วงเวลา แม้ว่ากระแสเงินสดจะเพียงพอต่อต้นทุนการกู้ยืม แต่อาจต้องพึ่งพาการ “rollover” หนี้ไปเรื่อยๆ เพื่อจ่ายคืนเงินต้น

    การกู้ยืมเงินแบบนี้จึงอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยและสภาวะตลาด ซึ่งเกิดขึ้นมากในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะโครงการคอนโดในเมืองใหญ่ การลงทุนในพื้นที่ EEC หลายบริษัทประสบปัญหาแบบนี้โดยเฉพาะจากการ Lockdown จากโรค COVID-19 ทำให้ปัญหาได้รับการเผยโฉมเร็วขึ้นและทำให้วิกฤติหนักขึ้น

    เราได้เห็นการกู้เงินแบบที่สอง “Ponzi finance” โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำมากขึ้น เป็นการกู้ยืมที่กระแสเงินสดไม่เพียงพอ แม้แต่การจ่ายคืนต้นทุนการกู้ยืม แต่เจ้าหนี้ยอมปล่อยกู้ให้ แม้ว่ามูลหนี้จะเพิ่มขึ้นไปตลอดระยะเวลาการกู้ เนื่องจากกระแสเงินสดมีไม่พอกับภาระการจ่ายคืนหนี้ เพราะเชื่อว่ามูลค่าของ “สินทรัพย์” ของผู้กู้จะเพิ่มขึ้นมากกว่ามูลหนี้

    แต่ภายใต้สถานการณ์ Lockdown และการยืดเยื้อของผลกระทบ ทำให้หลากหลายองค์กรหรือกิจการที่มีลักษณะ “Ponzi finance” จะเข้าสู่ภาวะการล้มละลาย ไม่สามารถปฏิบัติตามกฎหมายแม้กระทั่งการจ่ายค่าชดเชยให้กับแรงงานที่ถูกเลิกจ้าง จึงเท่ากับการผลักภาระให้สังคม นอกจากนี้ กิจการที่เข้าข่าย Ponzi finance จะทำให้ฐานะทางการเงินของธนาคารอ่อนแอลงอีกด้วย

    แม้การกู้เงินแบบที่สาม Hedge finance หรือการกู้ยืมเงินมีประกันความเสี่ยง จะเป็นเงินกู้ส่วนใหญ่ในระบบการเงินไทยภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย แต่สถานการณ์ในขณะนี้จะทำให้บรรดา Hedge finance ทั้งหลายกลายเป็น “หนี้เสีย” ได้จากการไม่สามารถเปิดกิจการได้ตามปกติ ทำให้ขาดกระแสรายได้จนประสบปัญหาสภาพคล่อง

    การเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ จาก “ภาคการเงิน” ที่มีเสถียรภาพสู่ภาคการเงิน “เปราะบาง” และมีแนวโน้มเกิดภาวะหนี้เสียและวิกฤตินั้น มีปัญหาที่เกิดจากการก่อหนี้และปัจจัยในภาคการเงินเป็นสำคัญ ไม่ใช่เพียงแค่ Shocks จากโรค COVID-19 หรือ การ Lockdown เท่านั้น แนวคิดของทฤษฎีนี้ได้ช่วยอธิบายปัญหาวิกฤตการณ์ทางการเงินของโลกในระยะหลังได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะวิกฤตการณ์สินเชื่อซับไพร์มในช่วงปี 2008-2009 แต่วิกฤติ COVID-19 มีความซับซ้อนกว่ามาก

    การตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยหรือการผ่อนคลายทางการเงินมากเป็นพิเศษในภาวะเศรษฐกิจซบเซาของธนาคารกลางต่างๆ ล้วนได้รับการสนับสนุนจากแนวคิด “countercyclical” หรือต่อต้านหรือทวนกระแสวงจรเศรษฐกิจของ Hyman Minsky ส่วนแนวคิดกระแสหลักภายใต้อิทธิพลของ IMF ในนโยบายกำกับสถาบันการเงินของธนาคารกลางของหลายประเทศมักจะทำให้ภาวะทางการเงิน “procyclical” มากขึ้น ในบางช่วงเช่น การกำกับดูแลสถาบันการเงินมักจะผ่อนคลายในเวลาเศรษฐกิจดีๆ และเข้มงวดขึ้นเวลาสถาบันการเงินเริ่มมีปัญหา

    แต่ในระยะหลังเราเห็นความพยายามที่จะการกำกับดูแลสถาบันการเงินแบบ “countercyclical” มากขึ้น เช่น ธนาคารกลางของหลายประเทศผ่อนคลายการปล่อยสินเชื่อมากขึ้นในภาวะวิกฤติจากโรค COVID-19 เป็นต้น นโยบายการเงินควรใช้อัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าปกติเพื่อลดความเสี่ยงที่เศรษฐกิจไทยกำลังเดินเข้าสู่ภาวะเงินฝืด

    นักเศรษฐศาสตร์สายเสรีนิยมใหม่อย่าง Carmen Reinhart และ Kenneth Rogoff แห่ง Harvard Kennedy School ยังออกโรงเตือนสถานการณ์เศรษฐกิจในอนาคตว่า เศรษฐกิจจะไม่ฟื้นตัวในรูป V-shape มีการไหลออกของเงินทุนในตลาดเกิดใหม่ (รวมทั้งไทย) ในไตรมาสแรกของปีนี้มากกว่าช่วงวิกฤติ 2008-2009

    งานวิจัยเรื่อง Growth in a time of debt ของ Carmen Reinhart และ Kenneth Rogoff ถูกวิจารณ์อย่างมากจากนักเศรษฐศาสตร์ สำนัก Neo-Keynesian ว่า ข้อเสนอในการดำเนินนโยบายแบบเข้มงวดไม่ให้เกิดวิกฤติฐานะการคลังโดยละเลยต่อปัญหาการว่างงานเป็นแนวคิดที่ไม่ถูกต้อง อีกทั้งข้อสรุปจากงานวิจัยที่ว่าประเทศที่มีภาระหนี้สินต่างประเทศสูงกว่า 60% ของจีดีพีจะทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจลดลง อาจมีความอ่อนแอในหลักฐานเชิงประจักษ์จึงไม่สามารถสรุปเป็นทฤษฎีได้

    New Normal จากปัญหาโรคระบาดอุบัติใหม่แบบ COVID-19 จึงต้องการ New theory ในการแก้ปัญหาและอธิบายผลกระทบและปรากฏการณ์ต่างๆ ทางเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้น Minsky Model อาจไม่เพียงพอต่อการเป็นกรอบความคิดในการกำหนดนโยบายการเงินก็ได้

    https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/881862

     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,989
    ค่าพลัง:
    +97,149
    เศรษฐกิจ 'ชาติลุ่มน้ำโขง' ระส่ำ แม้ยอดติดเชื้อ 'โควิด' น้อย 23 พฤษภาคม 2563

    ประเทศในกลุ่มลุ่มน้ำโขง 4 ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 ในเชิงเศรษฐกิจด้วยเช่นกัน แม้ว่ายอดผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตจากโรคนี้จะอยู่ในระดับต่ำ
    แต่หลังจากการระบาดของโควิด-19 ฉุดจีดีพีประเทศทั้ง 4 แล้วก็มีแนวโน้มว่าเศรษฐกิจจะกลับมาขยายตัวอย่างแข็งแกร่งเหมือนเดิม

    ขณะนี้ ทั้ง 4 ประเทศพบผู้ติดเชื้อน้อยกว่าประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนที่มีเศรษฐกิจก้าวหน้า แต่กลายเป็นว่ากลับไปรับผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างหนักหนาสาหัสเช่นกัน จึงเกิดคำถามขึ้นมาอีกครั้งเกี่ยวกับรูปแบบการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศทั้ง 4 ในลุ่มน้ำโขง

    บรรดานักวิเคราะห์จากเมย์แบงก์ กิมเอ็ง คาดการณ์ว่า อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของ 4 ประเทศ หรือที่รู้จักกันในชื่อกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม) จะลดลงเหลือ 3% ในปีนี้ จาก 6.9% ในปี 2562

    ส่วนผู้เชี่ยวชาญบางคนเตือนว่า รัฐบาลทั้ง 4 ประเทศอาจจะเรียกร้องขอให้ต่างชาติเข้ามาช่วยรับมือวิกฤติสาธารณสุขครั้งนี้ แม้ว่าจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่จะต่ำมากเมื่อเทียบกับ 5 ชาติเศรษฐกิจก้าวหน้าในอาเชียน เช่น สิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และไทย

    เมื่อวันศุกร์ (22 พ.ค.) กระทรวงสาธารณสุขสิงคโปร์เปิดเผยว่า ผู้ป่วยโควิด-19 รายใหม่มีจำนวน 448 รายในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ส่งผลให้ขณะนี้สิงคโปร์มีจำนวนผู้ป่วยโควิด-19 สะสมรวม 29,812 ราย ซึ่งเป็นจำนวนสูงที่สุดในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน)

    ผู้ป่วยโควิด-19 ส่วนใหญ่ของสิงคโปร์เป็นแรงงานต่างด้าวที่อาศัยอยู่ในหอพัก โดยคิดเป็นสัดส่วนราว 90% ของจำนวนผู้ติดเชื้อทั้งหมด

    นอกจากนี้ สิงคโปร์มีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 จำนวน 23 ราย แต่ต่ำกว่าอินโดนีเซีย ซึ่งมีผู้เสียชีวิตมากที่สุดในภูมิภาค จำนวน 1,278 ราย

    "ภาวะการชะลอตัวทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงในบรรดาประเทศที่เป็นหุ้นส่วนในอาเซียน เช่น กรณีของไทยจะสร้างแรงกดดันด้านการส่งออกแก่กลุ่มประเทศ CLMV โดยเฉพาะเมียนมาและลาว ซึ่งผลกระทบทางเศรษฐกิจจะส่งผลในเชิงลบอย่างมากในช่วงครึ่งแรกของปี 2563" ลินดา หลิว และชัว ฮัก บิน ระบุในรายงานวิเคราะห์เศรษฐกิจของ 4 ประเทศลุ่มน้ำโขง

    หลิว และชัว เสริมว่า อุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบหนักสุดคือ อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมบริการ เพราะจำนวนนักท่องเที่ยวลดลงอย่างมาก ส่วนอุตสาหกรรมการผลิตและการส่งออกก็ปรับตัวร่วงลงอย่างหนักจากปัจจัยเรื่องระบบห่วงโซ่อุปทานและความต้องการในตลาดโลกลดลง

    ช่วง 5 ปีที่ผ่านมา กลุ่มประเทศ CLMV มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจต่อปีอยู่ที่ 6% ซึ่งช่วยหนุนตัวเลขการเติบโตของจีดีพีโดยรวมของกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน โดยเฉพาะกลุ่มประเทศเศรษฐกิจก้าวหน้า 5 ประเทศให้ขยายตัวมากกว่า 4.6%

    แต่ปีนี้ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจเวียดนามจะขยายตัวแค่ 3.6% จาก 7% ส่วนประเทศอื่น ๆ อย่างกัมพูชาขยายตัวแค่ 0.5% เทียบกับปีที่แล้วที่ขยายตัว 7% เมียนมาขยายตัว 2% ลดลงจากปีที่แล้วที่ขยายตัว 6.8% ส่วนลาวขยายตัว 2.4% ลดลงจากที่เคยขยายตัว 4.7% เมื่อปีที่แล้ว

    เมย์แบงก์ คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจทั้ง 4 ประเทศลุ่มแม่น้ำโขงจะฟื้นตัวในปี 2564 แต่ในปี 2563 เศรษฐกิจทั้ง 4 ประเทศยังต้องดิ้นรนต่อสู้อย่างหนัก

    เหมือนกับที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) คาดการณ์ไว้เมื่อเดือน เม.ย.ว่า เศรษฐกิจเวียดนามจะขยายตัวแค่ 2.7% ส่วนเมียนมาขยายตัวเพียง 1.8% ลาวขยายตัว 0.7% และกัมพูชาเศรษฐกิจหดตัวประมาณ 1.6% ส่วนภาพรวมเศรษฐกิจทั้งภูมิภาคอาเซียน ไอเอ็มเอฟคาดการณ์ว่าปีนี้จะหดตัวประมาณ 0.7%

    "กลุ่ม CLMV เป็นประเทศเศรษฐกิจขนาดเล็กมาก ประเทศเหล่านี้พึ่งพารายได้จากการส่งออกสินค้าและบริการเป็นหลัก เพราะฉะนั้นจะเห็นว่า กัมพูชา ซึ่งพึ่งพารายงานจากอุตสาหกรรมสิ่งทอก็ขาดรายได้มหาศาลเพราะความต้องการสิ่งทอทั่วโลกลดลง" นักวิเคราะห์จากซีไอเอ็มบี ให้ความเห็น

    ในส่วนของการรับมือกับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 รัฐบาลทั้ง 4 ประเทศในกลุ่ม CLMV พยายามทำทุกวิธีทางเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ อย่างกรณีเวียดนาม จัดสรรเงิน 180 ล้านล้านด่อง (7.78 พันล้านดอลลาร์) ในช่วงต้นเดือนเม.ย. ไว้ใช้จ่ายในการลดภาษี เช่นเดียวกับกัมพูชาและเมียนมาใช้มาตรการยกเว้นภาษีแก่ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว ส่วนลาวลดภาษีนิติบุคคลให้กับบริษัทขนาดเล็ก

    แต่นักวิเคราะห์จากซีไอเอ็มบี มองว่ายังไม่เพียงพอที่จะกระตุ้นให้เศรษฐกิจฟื้นตัว

    "ฐานะการเงินของประเทศเหล่านี้อยู่ในฐานะเปราะบาง แม้รัฐบาลทั้ง 4 ประเทศจะใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมากแค่ไหนแต่ก็ยังไม่พอ อาจจะต้องถึงเวลาขอความช่วยเหลือจากต่างชาติทั้งจากธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) หรือธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (เอดีบี)" ซอง เส็ง วุน นักเศรษฐศาสตร์ด้านไพรเวท แบงกิงของซีไอเอ็มบี กล่าว

    จุดแข็งของ 4 ประเทศเรื่องค่าแรงราคาถูกที่เคยดึงดูดบรรดาผู้ประกอบการด้านสิ่งทอจากต่างประเทศเข้ามาตั้งฐานการผลิต รวมทั้งบริษัทรถยนต์และบริษัทผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แต่เมื่อเกิดปัญหาการระบาดของโรคโควิด-19 จนทำให้ระบบห่วงโซ่อุปทานมีปัญหาก็ทำให้อุตสาหกรรมที่กล่าวมาพลอยได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงไปด้วย

    ฟิทช์ โซลูชัน เผยแพร่บทวิเคราะห์เมื่อเดือนก.พ. ว่า การผลิตรถในอาเซียนจะเผชิญภาวะขาลงในช่วงที่โรคโควิด-19 ยังคงแพร่ระบาด และเมียนมาเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบหนักสุดเนื่องจากอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ในเมียนมาต้องพึ่งพาชิ้นส่วนรถยนต์จากจีน โดยมีสัดส่วนการพึ่งพาชิ้นส่วนจากจีน 28% ส่วนเวียดนามเป็นอันดับ 2 คือ 16.5%

    ขณะเดียวกัน การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อความต้องการในเวียดนามอย่างมาก โดยราจีฟ บิสวาส หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จากไอเอชเอส มาร์กิต ระบุว่า ในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ ยอดขายรถที่ผลิตในเวียดนามลดลง 35% โดยคาดว่าจะฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลังของปี

    ไม่ใช่มีแต่ชิ้นส่วนรถยนต์เท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ จีนยังเป็นแหล่งรายได้หลักด้านการท่องเที่ยวของทั้ง 4 ประเทศด้วย โดยหลิว และชัว ตั้งข้อสังเกตว่า การระบาดของโรคโควิด-19 ทำรายได้ด้านการท่องเที่ยวของประเทศเหล่านี้หายไปมากเมื่อเทียบกับปี 2561

    “จำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามา โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากจีน ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอาเซียนโดยรวม ไม่ใช่เฉพาะ 4 ประเทศลุ่มน้ำโขง โดยกัมพูชา พึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวในสัดส่วน 12.3% ของจีดีพี ตามมาด้วยเมียนมา 11.2% และเวียดนาม 6.6%” รายงานวิเคราะห์จากเมย์แบงก์ ระบุ

     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,989
    ค่าพลัง:
    +97,149
    หมอมนูญ ลีเชวงวงศ์ FC ได้เผยแผยแพร่ข้อมูล มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์หน้ากากอนามัยสามารถป้องกันและลดการแพร่ระบาดโรคไวรัสโควิด-19 ได้
    .
    .
    .
    #กรุงเทพธุรกิจ #กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
    -------------------------------
    https://www.instagram.com/bangkokbiznews
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,989
    ค่าพลัง:
    +97,149
    “ตลท.” เผยบจ.ทำกำไรไตรมาสแรกปีนี้ 98,524 ล้าน ลดลง 60.5% จากช่วงเดียวกันปีก่อน
    .
    กลุ่มพลังงาน-ปิโตรเคมีฉุด หลังราคาน้ำมันดิบร่วง ด้านดัชนีหุ้นไทยร่วง 16.72 จุด กังวลเทรดวอร์ปะทุ
    .
    .
    .
    #กรุงเทพธุรกิจ #กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
    -------------------------------

     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,989
    ค่าพลัง:
    +97,149
    4 ประเทศ ที่จะค้นพบวัคซีนโควิด-19 เป็นรายแรก /โดย ลงทุนแมน
    นี่คือการแข่งขันครั้งสำคัญที่สุด ในปี 2020
    ความหวังที่ทุกคนทั่วโลกเฝ้ารอในเวลานี้
    คงไม่มีอะไรสำคัญไปมากกว่า “วัคซีนโควิด-19” อีกแล้ว

    หลังจากที่มีการระบาดหนัก จนมีผู้ติดเชื้อทั่วโลกกว่า 5 ล้านรายทั่วโลก
    หลายบริษัทในหลายประเทศ ทั้งจีน สหรัฐอเมริกา อังกฤษ เยอรมนี ฝรั่งเศส
    ต่างระดมองค์ความรู้ทุกวิถีทาง
    เทคโนโลยีล้ำหน้าถูกนำมาใช้ในกระบวนการวิจัยและพัฒนา
    ย่นย่อระยะเวลาให้สั้นลง เพื่อให้ได้วัคซีนออกมาโดยเร็วที่สุด

    หลายวัคซีนผ่านการทดลองในสัตว์ทดลองแล้ว
    และได้เข้าสู่การทดลองในมนุษย์ หรือการทดลองเฟส 1
    ซึ่งบางบริษัทได้ผ่านเฟส 1 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

    โดยวัคซีนที่มีผลการทดลองน่าสนใจ
    มาจาก 4 ประเทศ ใน 3 ทวีป นั่นคือ

    จีน เยอรมนี สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา

    ใน 4 ประเทศนี้ ใครจะเป็นผู้ค้นพบวัคซีนโควิด-19 เป็นรายแรก?
    ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
    ╔═══════════╗
    Blockdit แหล่งรวมบทความวิเคราะห์
    เจาะลึกแบบ deep content
    ล่าสุดมีฟีเจอร์พอดแคสต์แล้ว
    Blockdit.com/download
    ╚═══════════╝
    ก่อนอื่น มาเข้าใจถึงการทดลองวัคซีนกันสักนิด
    โดยปกติแล้ว การทดลองวัคซีน จะเริ่มจากการทดลองในสัตว์
    เมื่อมีผลการทดลองเป็นที่น่าพอใจแล้ว จึงจะเข้าสู่การทดลองในมนุษย์

    การทดลองวัคซีนในมนุษย์ประกอบไปด้วย 3 เฟส
    แต่ละเฟสจะเพิ่มจำนวนอาสาสมัครในการทดลองมากขึ้นเรื่อยๆ

    เฟส 1 เป็นการทดลองเพื่อหาขนาด (Dose) ที่เหมาะสม และทดสอบความปลอดภัย
    เฟส 2 เป็นการทดลองเพื่อหาประสิทธิภาพในการป้องกันโรค และทดสอบความปลอดภัย
    เฟส 3 เป็นการทดลองเพื่อประเมินประสิทธิภาพ และค้นหาผลข้างเคียง

    ทั้งนี้ ระยะเวลาการทดลองในแต่ละเฟสอาจใช้เวลานานหลายเดือน จนเกือบถึง 1 ปี

    แต่อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาที่มีการระบาดอย่างหนักนี้
    การรอคอยนานขนาดนั้นจะยิ่งส่งผลเสียต่อชีวิต และระบบเศรษฐกิจอย่างหนัก

    ช่วงเวลาในการทดลองจึงถูกร่นระยะเวลาให้สั้นลง
    เพราะความเสียหายรอไม่ได้อีกแล้ว..

    แล้วคู่แข่งในครั้งนี้มีใครบ้าง?

    เริ่มจาก จีน..

    ประเทศที่พบผู้ป่วยเป็นประเทศแรก ผ่านการระบาดหนักก่อนใคร
    มีการควบคุมการระบาดได้เป็นอย่างดี
    และวัคซีนของจีนก็ได้ข้ามผ่านทดลองเฟส 1 เข้าสู่การทดลองในเฟส 2 แล้ว

    โดยมีวัคซีน จาก 2 แห่ง ที่น่าสนใจ

    วัคซีนแรก มาจากอู่ฮั่น
    พัฒนาโดย Wuhan Institute of Biological Products
    วัคซีนนี้เป็นแบบ Inactivated Vaccine สร้างมาจากเชื้อไวรัสที่ตายแล้ว

    อีกวัคซีนหนึ่ง พัฒนาโดยบริษัท CanSino Biologics
    วัคซีนนี้เป็นแบบ Viral Vector Vaccine

    เนื่องจากข้อมูลรูปแบบของวัคซีน มีรายละเอียดที่ค่อนข้างมาก
    ลงทุนแมนยอมรับว่าไม่เชี่ยวชาญในด้านนี้
    หากอธิบายจะทำให้ไม่ครบถ้วน และเกิดความผิดพลาดได้

    แต่เอาเป็นว่า วัคซีนจากทั้ง 2 แห่งของจีน ที่กำลังอยู่ในเฟส 2 จะใช้เทคโนโลยีชีวภาพที่เป็นรูปแบบเดิมที่เคยมีอยู่แล้ว

    ซึ่งต่างจากฝั่งสหรัฐอเมริกา
    เจ้าแห่งอุตสาหกรรมยา มีบริษัทยาและไบโอเทคยักษ์ใหญ่มากมาย..

    สหรัฐฯ เดิมพันกับวัคซีนโควิด-19 ด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าที่สุด คือ mRNA

    ซึ่งยังไม่เคยมีวัคซีนตัวไหนในท้องตลาดที่ใช้เทคโนโลยีรูปแบบนี้มาก่อน..

    บริษัท Moderna ได้ร่วมมือกับ สถาบัน U.S. NIAID พัฒนาวัคซีน mRNA-1273
    ซึ่งมีผลการทดลองผ่านเฟส 1 ได้อย่างน่าสนใจ

    แต่อย่างไรก็ตาม การที่จีนนำหน้าไป 1 ก้าว
    ทำให้สหรัฐอเมริกาไม่สามารถทนอยู่เฉยได้
    จึงต้องมองหาช่องทางเลือกอื่นๆ ต่อไป

    จุดเปลี่ยนสำคัญของการแข่งขันนี้จึงพุ่งตรงมาที่ยุโรป..

    เยอรมนี และสหราชอาณาจักร
    ทั้ง 2 ประเทศนี้ มีวัคซีนที่กำลังเตรียมการเพื่อเข้าสู่การทดลองในเฟส 2

    เริ่มจากสหราชอาณาจักร..

    มหาวิทยาลัย Oxford ร่วมมือกับ บริษัท AstraZeneca บริษัทยาสัญชาติอังกฤษ-สวีเดน
    พัฒนาวัคซีนในรูปแบบ Viral Vector Vaccine
    โดยผ่านการทดลองในเฟส 1 แล้ว และกำลังเตรียมการเพื่อเข้าสู่เฟส 2

    สหรัฐอเมริกาจึงมอบทุนสำหรับการวิจัยสูงถึง 31,000 ล้านบาท
    ผ่านองค์กรด้านเทคโนโลยีชีวภาพ BARDA
    เพื่อหวังว่าจะมีส่วนร่วมในความสำเร็จของวัคซีนนี้ด้วย

    เช่นเดียวกับเยอรมนี ผู้นำด้านยาแห่งยุโรป

    บริษัทไบโอเทคสัญชาติเยอรมัน BioNTech
    ได้พัฒนาวัคซีนด้วยวิธีการล้ำหน้าอย่าง mRNA
    ซึ่งวัคซีนนี้ก็กำลังเตรียมการเพื่อเข้าสู่การทดลองในเฟส 2

    ความก้าวหน้านี้มีบริษัทยายักษ์ใหญ่สัญชาติอเมริกันอย่าง Pfizer
    เข้ามามีส่วนร่วมในความสำเร็จด้วย

    บริษัท Pfizer ซึ่งมีฐานการผลิตที่แข็งแกร่ง ได้ประกาศร่วมทุนกับ BioNTech
    โดยสหรัฐอเมริกายินดีให้มีการทดลองวัคซีนกับชาวอเมริกัน
    ซึ่งหากเป็นผลสำเร็จ ก็จะมีการผลิตและจำหน่ายวัคซีนไปทั่วโลกร่วมกันทั้ง 2 บริษัท

    ความร่วมมือของเยอรมนีกับสหรัฐอเมริกาในการพัฒนาวัคซีน mRNA ซึ่งเป็นเทคโนโลยีล้ำหน้า

    ถึงแม้ไม่เคยมีวัคซีนรูปแบบนี้วางจำหน่ายมาก่อน
    และไม่มีใครรู้ว่าประสิทธิภาพการป้องกันจะเป็นอย่างไร

    แต่เทคโนโลยีสุดล้ำนี้ จะทำให้ได้วัคซีนที่ผลิตได้ง่ายกว่า และผลิตเร็วกว่าวัคซีนในรูปแบบเดิม

    จีนซึ่งรู้ดีว่ายังตามหลังสหรัฐฯ ด้านไบโอเทคโนโลยี โดยเฉพาะ mRNA
    หากพลาดครั้งนี้ จะทำให้จีนตกขบวนวิทยาการที่สำคัญที่สุดไป

    ซึ่งนำมาสู่การแก้เกมของจีน..

    กลางเดือนมีนาคม บริษัท Fosun Pharmaceutical บริษัทยาจากเซี่ยงไฮ้
    ได้ประกาศร่วมทุนกับบริษัท BioNTech ของเยอรมนี เป็นมูลค่า 4,300 ล้านบาท
    เพื่อจะได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาวัคซีน และการทดลองวัคซีนในจีน
    รวมถึงพัฒนาเทคโนโลยีวัคซีน mRNA ในอนาคต

    เช่นเดียวกับบริษัท CanSio Biologics ถึงแม้จะมีวัคซีนที่กำลังทดลองในเฟส 2 อยู่แล้ว
    แต่ก็ได้จับมือกับ บริษัท Precision NanoSystems บริษัทไบโอเทคสัญชาติแคนาดา
    เพื่อพัฒนาวัคซีนรูปแบบ mRNA ร่วมกัน

    เท่ากับว่าเวลานี้
    ถึงจีนจะก้าวนำอยู่ แต่ก็ไม่อยากพลาดเทคโนโลยีใหม่
    ส่วนสหรัฐอเมริกาถึงจะก้าวช้ากว่า แต่ก็เดิมพันด้วยวิทยายุทธ์สุดล้ำ

    การทดลองที่ถูกย่นระยะเวลาลงเพื่อให้ทันกับความต้องการ
    อาจส่งผลให้วัคซีนที่ได้ยังคงต้องติดตามผลข้างเคียงอย่างใกล้ชิด

    แต่ในเวลานี้ ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าเป็นคนที่ครอบครองวัคซีนเป็นคนแรก..

    ใครสำเร็จก่อน ไม่ใช่แค่ประชาชนของประเทศตัวเองจะมีเกราะคุ้มกันโรค และได้ส่งออกวัคซีนไปขายทั่วโลก

    แต่วัคซีนจะเป็นสัญลักษณ์ซึ่งนำมาสู่ความมั่นใจของประชาชน
    ชีวิตปกติที่ทุกคนต่างโหยหา
    กิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ ทั้งการท่องเที่ยว การติดต่อค้าขาย การประชุม การแข่งขันกีฬา

    และเหนืออื่นใด คือการได้เป็นผู้ชนะ และประกาศศักดาในวงการแพทย์ของโลก

    จากการแข่งขันอย่างดุเดือดเพื่อค้นหาวัคซีนป้องกันโรคร้าย
    อาจทำให้วัคซีนโควิด-19 สร้างจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของวงการไบโอเทคโนโลยี

    เหตุการณ์ที่เราคิดว่ามันเป็นขีดสุดในชีวิตเรา
    มันก็จะอาจทำให้เราเห็นวัคซีนที่เร็วที่สุด ในเทคโนโลยีที่ไม่เคยมีมาก่อน

    ที่เหลือก็แค่ ใส่หน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่างให้ดี
    มีชีวิตอยู่ เพื่อวันนั้น คงอีกไม่นานเกินรอ..
    ╔═══════════╗
    Blockdit แหล่งรวมบทความวิเคราะห์
    เจาะลึกแบบ deep content
    ล่าสุดมีฟีเจอร์พอดแคสต์แล้ว
    Blockdit.com/download
    ╚═══════════╝
    ติดตามลงทุนแมนได้ที่
    Website - longtunman.com
    Blockdit - blockdit.com/longtunman
    Facebook - ลงทุนแมน
    Twitter - twitter.com/longtunman
    Instagram - instagram.com/longtunman
    Line - page.line.me/longtunman
    YouTube - youtube.com/longtunman
    References
    -https://www.gavi.org/vaccineswork/covid-19-vaccine-race
    -https://www.bloomberg.com/news/storythreads/2020-05-08/the-race-to-develop-a-coronavirus-vaccine
    -http://www.dent.chula.ac.th/upload/news/1620/file_1_3836.pdf
    -https://horizon-magazine.eu/article/five-things-you-need-know-about-mrna-vaccines.html
    -https://www.bloomberg.com/news/articles/2020-05-15/china-launches-more-virus-vaccine-candidates-tests-thousands
    -https://www.pfizer.com/news/press-release/press-release-detail/pfizer_and_biontech_dose_first_participants_in_the_u_s_as_part_of_global_covid_19_mrna_vaccine_development_program
    -https://pfe-pfizercom-d8-prod.s3.amazonaws.com/COVID19-Vaccine-Program-FIH-Manufacturing-Infographic-5.4.20%20FINAL.pdf
    -https://www.bloomberg.com/news/articles/2020-05-21/astrazeneca-gets-1-billion-from-u-s-to-make-oxford-vaccine?utm_campaign=socialflow-organic&utm_content=asia&utm_source=facebook&utm_medium=social&cmpid=socialflow-facebook-business
    -https://investors.biontech.de/news-releases/news-release-details/biontech-and-fosun-pharma-form-covid-19-vaccine-strategic/
    -https://www.fiercebiotech.com/biotech/cansino-adds-mrna-to-covid-19-vaccine-efforts-precision-nanosystems-deal

     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,989
    ค่าพลัง:
    +97,149
    พิษโควิด ทุบเศรษฐกิจไทยสาหัส สู่ยุค New Normal ธุรกิจใดฟื้นเร็ว หรือโคม่า
    วิกฤติโควิด ทำให้พฤติกรรมของผู้คนต้องปรับเปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิต เข้าสู่ยุค New Normal ยิ่งทำให้หลายธุรกิจจะต้องปรับแนวทางการทำธุรกิจในระยะยาว เพื่อตอบสนองผู้บริโภคที่ไลฟ์สไตล์เปลี่ยนไป
    Source : #ไทยรัฐ #ไทยรัฐทีวี #Thairath #ThairathOnline

     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,989
    ค่าพลัง:
    +97,149
    สรุปเรื่อง หยวนดิจิทัล แบบเข้าใจง่ายๆ /โดย ลงทุนแมน
    ตั้งแต่จีนเริ่มปฏิรูปเศรษฐกิจในยุค เติ้ง เสี่ยวผิง ในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 ทำให้เศรษฐกิจ และภาคอุตสาหกรรมจีนขยายตัวเรื่อยมา จนขึ้นชื่อว่าเป็นโรงงานของโลก

    ด้วยขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ขึ้น และเติบโตแข็งแกร่ง ทำให้เงินสกุลหยวนของจีนมีความสำคัญมากขึ้น จนในปี 2015 IMF ได้รับรองให้หยวนเป็นสกุลเงินที่ 5 ที่ได้บรรจุในตะกร้า SDRs หรือตะกร้าเงินสำรองระหว่างประเทศ

    ปัจจุบัน จีนในยุค สี จิ้นผิง มีวิสัยทัศน์พาจีนก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีและก้าวเป็นผู้นำเศรษฐกิจโลก ได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญกับเงินหยวนอีกครั้ง ด้วยการพยายามเปลี่ยนให้เงินหยวนเป็นเงินดิจิทัลสกุลแรกของโลก

    แล้ว “หยวนดิจิทัล” มีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง
    ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟังแบบเข้าใจง่ายๆ
    ╔═══════════╗
    <ad> “1-2-3 คำถาม Facebook” หนังสือที่รวบรวมคำถามและข้อสงสัยที่ถูกถามบ่อยๆ จากเหล่าเจ้าของธุรกิจ โดย Digital Tips Academy
    ╚═══════════╝
    หยวนดิจิทัล ถูกพัฒนาโดยกลุ่มวิจัย Digital Currency Research Institute ที่ร่วมกันก่อตั้งโดยรัฐบาลและเอกชนในปี 2017

    หยวนดิจิทัลมีลักษณะเป็น Central Bank Digital Currency (CBDC) หรือสกุลเงินดิจิทัลที่ออกและควบคุมโดยธนาคารกลาง

    หยวนดิจิทัลเป็นรูปแบบ Stable Coin คือมูลค่าจะถูกหนุนหลังด้วยเงินหยวนในอัตราส่วน 1:1 หมายความว่าทุกการออกเงิน 100 หยวนดิจิทัล จะต้องมี 100 หยวนเก็บไว้ในบัญชีธนาคารกลางของจีนเสมอ

    กระเป๋าที่ใช้เก็บหยวนดิจิทัล คือแอปพลิเคชันที่ต้องดาวน์โหลดลงมือถือของแต่ละคนโดยไม่ต้องผูกกระเป๋ากับบัญชีธนาคาร ซึ่งต่างจากแอปพลิเคชันในการจ่ายเงินอื่นในจีน เช่น WeChat หรือ Alipay ที่ต้องผูกกับบัญชีธนาคาร

    หรือพูดให้เข้าใจง่าย คือการย้ายกระเป๋าเงินจากโลกปัจจุบันไปไว้ในโลกออนไลน์แทน

    จุดเด่นอีกเรื่องที่สำคัญคือ การรับ-จ่ายเงินแบบออฟไลน์ ในขณะที่มือถือไม่ได้เชื่อมสัญญาณอินเทอร์เน็ต ระบบจะใช้เทคโนโลยี Near Field Communication (NFC) ในการจับคู่อุปกรณ์และรับส่งข้อมูลธุรกรรมทางการเงินที่เกิดขึ้นในขณะออฟไลน์ คล้ายกับการแตะบัตรจ่ายเงินตาม BTS หรือศูนย์อาหาร และส่งข้อมูลเข้าระบบอีกครั้งในภายหลังเมื่ออุปกรณ์มีสถานะออนไลน์

    การควบคุมปริมาณเงิน และตรวจสอบธุรกรรมที่ผิดปกติเป็นอำนาจหน้าที่ของธนาคารกลางของจีน (PBOC) โดยการนำเงินหยวนดิจิทัลเข้าระบบจะเริ่มส่งกระจายผ่านธนาคารพาณิชย์หลัก 4 แห่ง คือ ICBC, CCB, ABC และ BOC ที่จะมีแอปพลิเคชันให้ดาวน์โหลด e-wallet ส่วนภาคเอกชนอย่าง WeChat หรือ Alipay ก็มีช่องทางการใช้หยวนดิจิทัลในแอปพลิเคชันของตัวเอง

    ระบบที่ดูแลเชื่อมต่อธุรกรรมทางการเงินเป็นเทคโนโลยี Blockchain ที่อาจใช้ร่วมกับเทคโนโลยีอื่นๆ ที่ส่งเสริมให้การกำกับดูแลของธนาคารกลางมีความคล่องตัวมากขึ้น ซึ่งสวนทางกับแนวคิดของสกุลเงินดิจิทัลอื่นที่เน้นการใช้ Blockchain เพียงอย่างเดียวเพื่อลดการแทรกแซงจากองค์กรต่างๆ เช่น รัฐบาล หรือธนาคารกลาง

    หยวนดิจิทัลอยู่ในช่วงการทดสอบใน 4 เขตพื้นที่พิเศษ คือ ซูโจว เซินเจิ้น สงอัน และ เฉิงตู โดยมีการทดลองจ่ายเงินเดือนข้าราชการ พนักงานบริษัทบางส่วนเป็นหยวนดิจิทัล และให้ประชาชนนำไปใช้จ่ายตามร้านค้าที่เข้าร่วมการทดสอบในพื้นที่ เช่น McDonald, Subway, Starbucks

    โดยภาพรวม จีนไม่ได้พยายามสร้างสกุลเงินใหม่ขึ้นมา แต่เป็นการพัฒนาโครงสร้างระบบการชำระเงินใหม่ที่รัฐบาลตรวจสอบเส้นทางการเงินได้ง่ายขึ้นในโลกดิจิทัล

    และด้วยการระบาดของ Covid-19 ในปัจจุบัน คนกังวลเรื่องการใช้ธนบัตรหรือการสัมผัสกันทางอ้อมมากขึ้น ก็ยิ่งเป็นปัจจัยส่งเสริมผลักดันให้คนเริ่มใช้หยวนดิจิทัลได้ง่ายขึ้น

    ท่ามกลางความสนใจของธนาคารกลางหลายประเทศที่กำลังศึกษาวิจัยสกุลเงินดิจิทัล รวมถึงภาคเอกชนอย่างเช่น สกุล Libra ของ Facebook ที่กำลังเดินหน้าในเรื่องนี้ ยิ่งน่าสนใจว่าหยวนดิจิทัลจะสามารถประกาศใช้อย่างเป็นทางการทั่วประเทศได้เมื่อใด

    ต้องติดตามกันต่อไปว่า หยวนดิจิทัลจะเป็นที่แพร่หลายและแผ่อำนาจไปตามยุทธศาสตร์ One Belt, One Road ของจีนที่เน้นการลงทุนตามเส้นทางสายไหมในประเทศตั้งแต่โลกตะวันออกทอดยาวไปตะวันตกได้มากแค่ไหน

    แต่ที่แน่ๆ ในอนาคตอันใกล้นี้
    กระเป๋าสตางค์อาจไม่จำเป็นแล้วสำหรับคนจีนก็เป็นได้..

    ╔═══════════╗
    <ad> “1-2-3 คำถาม Facebook” เป็นหนังสือที่เกิดขึ้นจากการรวบรวมคำถามเจ๋งๆ รวมถึงข้อสงสัยที่ถูกถามบ่อยๆจากเหล่าเจ้าของธุรกิจ มารวบรวมและเรียบเรียงเพื่อให้ได้คำตอบที่ครอบคลุมและอัปเดตที่สุด
    .
    .
    ราคาเพียง 220บาท ตกข้อละ 2 บาทนิดๆ คุ้มค่า คุ้มราคามาก สั่งซื้อได้เลยที่แฟนเพจ Digital Tips Academy (m.me/thedigitaltips)
    ╚═══════════╝
    References
    -https://www.asiacryptotoday.com/china-digital-yuan-dcep/
    -https://www.pymnts.com/cryptocurrency/2020/starbucks-among-19-firms-trialing-chinas-digital-yuan/
    -https://www.globalgovernmentforum.com/china-to-test-digital-currency-in-four-cities/
    -https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/880226
    -https://www.imf.org/en/About/Factsheets/Sheets/2016/08/01/14/51/Special-Drawing-Right-SDR

     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,989
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ถ้าเปิดห้างแล้วร้าง มันจะหนักกว่าเดิม /โดย ลงทุนแมน
    สำหรับคนที่เป็นเจ้าของร้านค้าในห้าง
    คงอยากให้ห้างเปิดเร็วๆ
    พวกเขาจะได้กลับมาขายสินค้ากันอีกครั้ง
    แต่พวกเขาคงไม่คิดว่า
    จริงๆ แล้ว ถ้าห้างกลับมาเปิด แต่ไม่มีคนเดิน
    ผลลัพธ์ที่ได้ เขาอาจเจอปัญหามากกว่าเดิมก็เป็นได้
    เรื่องนี้เป็นเพราะอะไร
    ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
    ╔═══════════╗
    Blockdit แหล่งรวมบทความวิเคราะห์
    เจาะลึกแบบ deep content
    ล่าสุดมีฟีเจอร์พอดแคสต์แล้ว
    Blockdit.com/download
    ╚═══════════╝
    หลังจากที่ กรุงเทพมหานคร สั่งปิดห้าง ร้านอาหาร และสถานบริการอื่นๆ มาแล้ว 1 เดือน
    หนึ่งในคนที่ได้รับผลกระทบหนักสุดก็คงเป็นร้านค้าที่อยู่ในห้าง

    อย่างไรก็ตาม เจ้าของห้างที่ให้เช่าพื้นที่ ส่วนใหญ่จะมีมาตรการไม่เก็บค่าเช่าเพื่อช่วยเหลือร้านค้า
    ทำให้ต้นทุนของร้านค้า ก็คงจะมีเพียงค่าพนักงานที่มีอยู่
    บางร้านอาจจ่ายเงินเดือนเต็มเดือน บางร้านอาจจ่ายครึ่งหนึ่ง บางร้านหยุดจ่ายพนักงานเลย

    เมื่อบวกลบแล้ว ทำให้ร้านค้าต่างๆ น่าจะยังอยู่ได้ ถึงแม้ว่าจะขาดรายได้ แต่ค่าใช้จ่ายก็น้อยลงตาม

    แต่เรื่องราวเหล่านี้จะเปลี่ยนไป ในวันที่ห้างกลับเปิดอีกครั้ง

    เพราะอะไร?

    เพราะในวันที่ห้างกลับมาเปิดอีกครั้ง ผู้ให้เช่าพื้นที่ย่อมจะกลับมาเก็บค่าเช่าจากร้านค้าอีกครั้ง
    ดังนั้นสิ่งที่จะเกิดขึ้นทันทีก็คือค่าใช้จ่าย..

    แล้วรายได้ล่ะ?
    ไม่มีใครรู้ว่า วันที่เปิดห้าง คนจะไปห้างมากน้อยขนาดไหน
    ถ้ากรณีที่เปิดปุ๊บ คนเดินเต็มห้างทันที ร้านค้าจุคนได้เท่าเดิม ร้านค้าก็จะกลับมาทำกำไรเหมือนเดิมได้

    แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผู้คนจะระวังตัว ไม่ได้ไปเดินห้างกันทุกคน และร้านค้าเหล่านั้นก็จะมีข้อจำกัดมากขึ้น
    เช่น จากเดิมร้านอาหารรองรับลูกค้าได้ 10 โต๊ะ
    มาวันนี้จะรองรับได้เพียง 5 โต๊ะ

    หรือจากเดิมปล่อยให้เข้าไปในร้านเพื่อซื้อสินค้ากี่คนก็ได้
    มาวันนี้ต้องจำกัดจำนวนคนต่อรอบในการเข้าร้านค้า

    ยิ่งร้านที่เคยจัดการพื้นที่ได้คุ้มค่าสุดๆ คนแน่นสุดๆ เช่น บุฟเฟต์ สุกี้ ปิ้งย่าง
    ร้านค้าเหล่านั้นต้องเว้นระยะห่างมากขึ้น
    ทำให้ต้องการพื้นที่ต่อคนมากขึ้นในการบริการ

    ทั้งหมดนี้จะทำให้ร้านเหล่านั้นมีรายได้น้อยลง เมื่อเทียบกับค่าเช่า ค่าพนักงาน ที่เกิดขึ้นทันที

    ถ้าเจ้าของพื้นที่ไม่ลดค่าเช่าให้ร้านค้า ร้านค้าเหล่านั้นก็มีความเสี่ยงที่จะขาดทุนจากการดำเนินงาน ซึ่งจะขาดทุนมากกว่าตอนปิดร้านเสียอีก

    และยิ่งร้านค้าที่มีเชนเป็นร้อยสาขา
    การขาดทุนก็จะถูกคูณไปด้วยจำนวนสาขา

    ในที่สุดแล้ว ร้านค้าที่อยู่ในห้าง
    อาจต้องกลับมาถามตัวเองใหม่ว่า
    ปิดห้าง หรือเปิดห้าง มันจะดีกว่ากัน?

    ╔═══════════╗
    Blockdit แหล่งรวมบทความวิเคราะห์
    เจาะลึกแบบ deep content
    ล่าสุดมีฟีเจอร์พอดแคสต์แล้ว
    Blockdit.com/download
    ╚═══════════╝
    ติดตามลงทุนแมนได้ที่
    Website - longtunman.com
    Blockdit - blockdit.com/longtunman
    Facebook - ลงทุนแมน
    Twitter - twitter.com/longtunman
    Instagram - instagram.com/longtunman
    Line - page.line.me/longtunman
    YouTube - youtube.com/longtunman

     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,989
    ค่าพลัง:
    +97,149
    “อังกฤษ”สั่งกักตัว14 วันเข้าปท. ฝ่าฝืนปรับ1พันปอนด์ ดีเดย์ 8 มิ.ย. : สกัดโควิด-19 สหราชอาณาจักรสั่งกักกันผู้เดินทางเข้าประเทศสกัดโควิด เริ่ม 8 มิ.ย.นี้ ฝ่าฝืนปรับ 1 พันปอนด์ แม้สายการบินเตือนกระทบอุตสาหกรรมการบิน

    นางพริที พาเทล รมว.มหาดไทยแห่งสหราชอาณาจักรเปิดเผยในวันศุกร์ (22 พ.ค.) ว่า สหราชอาณาจักรจะใช้มาตรการกักกันโรคโควิด-19 กับผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ ตั้งแต่วันที่ 8 มิ.ย.นี้เป็นต้นไป ซึ่งเป็นมาตรการที่สายการบินต่างๆ เตือนว่า จะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการบิน ทั้งนี้ผู้ที่เดินทางจากต่างประเทศทั้งหมด รวมถึงชาวอังกฤษ จะต้องกักกันตัวเองเป็นเวลา 14 วัน และต้องให้รายละเอียดเกี่ยวกับสถานที่อยู่อาศัยในช่วงกักกันตัว ซึ่งมาตรการนี้ได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากสายการบิน, กลุ่มธุรกิจ และนักการเมือง

    นางพาเทล เปิดเผยในการแถลงข่าวว่า "เราได้ผ่านจุดสูงสุดของการแพร่ระบาดแล้ว แต่เรายังต้องดำเนินมาตรการเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ติดเชื้อโควิด-19 จากต่างประเทศมากระตุ้นให้เกิดการระบาดขึ้นอีก"ผู้ที่ละเมิดมาตรการกักกันตัวเองในอังกฤษ อาจถูกปรับเป็นเงิน 1,000 ปอนด์ (1,218 ดอลลาร์) โดยเจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุข และตรวจคนเข้าเมือง จะสุ่มตรวจสอบผู้ที่ต้องกักกันตัว

    มาตรการกักกันตัวเองดังกล่าวจะไม่บังคับใช้กับผู้ที่เดินทางมาจากสาธารณรัฐไอร์แลนด์, คนขับรถบรรทุกสินค้า, ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ และคนงานที่ทำการเกษตรตามฤดูกาล และมาตรการนี้จะได้รับการทบทวนทุกๆ 3 สัปดาห์

    Source: ฐานเศรษฐกิจออนไลน์
    https://www.thansettakij.com/conten...edium=internal_referral&utm_campaign=politics

    - U.K. to Require 14-Day Quarantine of Arrivals to Contain Coronavirus: https://www.wsj.com/articles/u-k-to...f-arrivals-to-contain-coronavirus-11590163200

     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,989
    ค่าพลัง:
    +97,149
    #ถามทันที มาแล้ว !!! ราคาน้ำมันต่ำสุดหรือยัง? ทำไมราคาน้ำมันไทยกับโลกขึ้นลงไม่เท่ากัน?
    .
    ถามอีก กับคุณเกียรติชาย ไมตรีวงษ์ ผู้อำนวยการ องค์การบริหารจัดการก๊าชเรือนกระจก อดีตรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทบางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
    -----------------------
    .
    อิสรภาพชีวิต !! อยู่ไหนก็ไม่พลาด อย่าลืมกดติดตามนะครับ หรือเพิ่มช่องทางการสื่อสารได้เลย
    .
    Line official: https://lin.ee/hFHEWGA



    FB_IMG_1590241216443.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 พฤษภาคม 2020
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,989
    ค่าพลัง:
    +97,149
    "การบินไทย" ฟื้นฟูกิจการ ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย หลังจากนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง!?
    FB_IMG_1590241110979.jpg
    สรุปให้คุณเข้าใจง่ายๆ ใน 10 ขั้นตอน

    ขั้นตอนที่ 1 เข้าสู่การฟื้นฟูกิจการ

    ขั้นตอนแรกเกิดขึ้นไปเมื่อวานนี้ 19 พฤษภาคม 2020

    หลังจากที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้การบินไทยเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการผ่านศาลล้มละลายกลาง


    ขั้นตอนที่ 2 การบินไทยยื่นคำร้องต่อศาล

    หลังจากได้รับการอนุมัติ การบินไทยจะต้องยื่นคำร้องต่อศาล (ทั้งศาลล้มละลายของไทย และสหรัฐฯ เนื่องจากดำเนินการบินระหว่างประเทศด้วย)

    ทางบริษัทจะต้องเสนอตัวผู้ทำแผนฟื้นฟู พร้อมตั้งคณะทำงานเจรจาหนี้กับเจ้าหนี้ขึ้นมาโดยทันที


    ขั้นตอนที่ 3 ศาลรับคำร้องฟื้นฟูกิจการ

    เมื่อศาลรับคำร้องฟื้นฟูกิจการ การบินไทยจะได้รับการคุ้มครองเรื่องหนี้สินชั่วคราว เช่น ไม่ต้องชำระหนี้ เจ้าหนี้ไม่สามารถยึดทรัพย์สินไปขายเป็นเงินได้ เป็นต้น

    (ซึ่งรวมไปถึงกระทั่งค่าน้ำ ค่าไฟ แม้บริษัทจะไม่จ่ายค่าไฟ เจ้านี้ก็ไม่สามารถตัดไฟได้)


    ขั้นตอนที่ 4 ส่งจดหมายหาเจ้าหนี้

    ขั้นตอนนี้เหมือนเป็นไปตามระเบียบปฏิบัติ คือการส่งจดหมายแจ้งเจ้าหนี้ ว่าลูกหนี้อย่าง "การบินไทย" เข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ ให้เจ้านี้มาประชุมหาทางออกร่วมกัน


    ขั้นตอนที่ 5 ประชุมหาผู้ทำแผนฟื้นฟู

    เป็นการประชุมระหว่างเจ้าหน้าที่ เจ้าหนี้ และลูกหนี้ เพื่อหา "ผู้จัดทำแผนฟื้นฟู" เพื่อมาทำแผนฟื้นฟูกิจการ ซึ่งการคัดเลือกจะอิงตามมติของเสียงข้างมาก


    ขั้นตอนที่ 6 ศาลตั้งผู้ทำแผนฟื้นฟู

    เมื่อได้ผู้ทำแผนฟื้นฟูแล้ว จะต้องส่งเรื่องให้ศาลทำการแต่งตั้งผู้ทำแผนฟื้นฟู

    จากนั้นถ้าไม่ติดปัญหาอะไร ศาลก็จะพิจารณาเห็นชอบให้ตั้งผู้ทำแผนฟื้นฟูอย่างเป็นทางการ


    ขั้นตอนที่ 7เสนอแผนฟื้นฟูกิจการ

    ผู้ทำแผนฟื้นฟู จะมีอำนาจในการควบคุมธุรกิจ จัดการทรัพย์สินภายในบริษัท พร้อมทำแผนการดำเนินงานเพื่อฟื้นฟูกิจการต่อไป


    ขั้นตอนที่ 8 ประชุมเจ้าหนี้อีกครั้ง

    เมื่อทำแผนฟื้นฟูเสร็จ เจ้าหนี้จะมาประชุมกัน เพื่อดูว่าแผนฟื้นฟูนั้นจะทำได้จริงแค่ไหน!? และตกลงว่าจะอนุมัติแผนฟื้นฟูกิจการนั้นหรือไม่!?


    ขั้นตอนที่ที่ 9 ศาลอนุมัติแผนฟื้นฟู

    จากนั้นก็จะส่งแผนมาให้ศาลอีกรอบ ตามปกติศาลจะพิจารณาเห็นชอบแผนฟื้นฟู พร้อมกับแต่งตั้งผู้บริหารแผน เข้ามาปฏิบัติงานตามแผนฟื้นฟูกิจการ


    ขั้นตอน 10 ฟื้นฟูกิจการ ให้กลับมาทำกำไร

    หลังจากนั้นจะเป็นหน้าที่ของผู้บริหารแผนฟื้นฟู ที่จะต้องดำเนินงานตามแผนฟื้นฟู ซึ่งปกติแล้วแผนฟื้นฟูกิจการทั่วไป ก็จะเน้นในเรื่องของการปรับโครงสร้างหนี้ ปรับโครงสร้างองค์กร ลดค่าใช้จ่าย

    โดยมีเป้าหมายให้ธุรกิจหยุดขาดทุน แล้วกลับมาทำกำไรได้อีกครั้ง


    ในกรณีของการบินไทยนี้ ใครจะมาจัดทำแผนฟื้นฟู!? และจะมีแนวทางอย่างไร!?

    ผู้บริหารแผนนั้นจะเป็นใคร??

    รวมถึงว่า จะสามารถบริหารงานเพื่อพาองค์กรกลับมาทำกำไรได้หรือไม่!?

    เป็นเรื่องที่เราต้องคอยติดตามกันต่อไปครับ...


    -----------------------------------------------------

    ไม่พลาดทุกสาระน่าสนใจจาก Billion Mindset - แนวคิดพันล้าน

    กด Like และตั้งค่าติดดาว See First ไว้ด้วยนะ

    หรือติดตาม Billion Mindset ได้ในหลากหลายช่องทาง

    - เว็บไซต์ https://www.BillionMindset.com/

    - อินสตาแกรม https://www.instagram.com/billionmindset.ig/

    - ทวิตเตอร์ https://twitter.com/Billion_Twit

     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,989
    ค่าพลัง:
    +97,149
    เรือบรรทุกน้ำมันห้าลำ ขณะนี้อยู่ในน่านน้ำสากล ถ้าเข้าสู่เขตเศรษฐกิจพิเศษของเวเนซุเอล ในเขตเศรษฐกิจพิเศษซึ่งมีความยาวถึง 370 กิโลเมตร (200 ไมล์ทะเล) จากชายฝั่งเครื่องบินรบ และเรือจากกองกำลังเวเนซุเอลาจะเข้าคุ้มครองและนำพาเรือบรรทุกน้ำมันของอิหร่านทันที คาดการณ์ว่าเรือบรรทุกน้ำมันทั้งห้าลำจะถึงเวเนซุเอลาประมาณปลายเดือนพฤษถภาคมนี้
    รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเวเนซุเอลา
    Vladimir Padrino กล่าว

    BY>>>>>Giant Khan<<<<<

     

แชร์หน้านี้

Loading...