ปฏิทินเมือง #จีน มี 364 วัน⁉️ #ไต้หวัน ข้ามเวลา ทวงคืนอดีต
ประธานาธิบดี #ไช่อิงเหวิน แห่งไต้หวัน โพสต์ภาพปฏิทินวันที่ 4 มิถุนายน พร้อมข้อความว่า
“ในที่ต่าง ๆ บนโลกนี้ 1 นาทีมี 60 วินาที แต่ที่ประเทศจีน หนึ่งปีมีเพียง 364 วัน มีวันหนึ่งได้ถูกลืมเลือนไป
ไต้หวันในอดีต เราก็มีช่วงวันเวลามากมายที่ไม่อาจจะปรากฏบนปฏิทิน หากแต่เราได้ทวงคืนมาทีละวันๆ เพราะว่าเราไม่จำเป็นต้องปิดบังอดีต เราจึงสามารถครุ่นคิดถึงอนาคตร่วมกันได้
หวังว่าทุกมุมในโลกนี้ ทุกผืนแผ่นดิน จักไม่มีวันที่ถูกทำให้สาบสูญไป ขออวยพรแด่ฮ่องกง
#ไต้หวันดินแดนเสรีหนุนเสรีภาพแห่งฮ่องกง "
ติดตามสถานะการณ์
ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.
หน้า 4078 ของ 11172
-
-
หญิงสาวร่างเล็กที่ยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มผู้ประท้วงจำนวนมหาศาล ในเหตุการณ์ที่จัตุรัส #เทียนอันเหมิน เมื่อ 30 ปีก่อน เธอเป็นผู้นำในการอดอาหารประท้วงรัฐบาล #จีน การปราศรัยของเธอทำให้ชายชาตรีจำนวนมากต้องหยุดฟัง แต่ท่าทีที่แข็งกร้าวของเธอก็ทำมีเสียงวิจารณ์ว่านำไปสู่การนองเลือด ทุกวันนี้ เธอยังหวังให้จีนเป็นประชาธิปไตย แต่บอกว่าได้ให้อภัยกับอดีตผู้นำจีนที่สั่งเข่นฆ่านักศึกษาแล้ว
ไฉหลิง อดีตแกนนำนักศึกษาในเหตุการณ์เทียนอันเหมิน เธอเป็นผู้หญิงเพียง 2 คนในกลุ่มแกนนำนักศึกษา 21 คน และอยู่ในหมายจับอันดับที่ 4 ของรัฐบาลจีน บทบาทของเธอเมื่อ 30 ปีก่อนมีทั้งคนที่พูดว่า “กล้าหาญ” “เข้มแข็ง” จนถึง “เอาตัวรอด” และ “ขายชาติ”
.
ไฉหลิง เกิดในครอบครัวที่พ่อและแม่ของเธอเป็นแพทย์ประจำกองทัพจีน เธอได้รับปริญญาด้านจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยปักกิ่ง และได้พบกับเฟิงฉงเต๋อ เพื่อนนักศึกษาโดยทั้งคู่ได้แต่งงานกันตั้งแต่อายุน้อย และกลายเป็นคู่รักที่มีบทบาทในการเคลื่อนไหวเรียกร้อง #ประชาธิปไตย ในจีนยุคนั้น
.
การเรียกร้องทางการเมืองในปี 1989 ซับซ้อนกว่าที่หลายคนรับรู้ เนื่องจากจีนอยู่บนทางแพร่งของการรักษาอำนาจของพรรคคอมมิวนิสต์ ท่ามกลางประเทศคอมมิวนิสต์ในยุโรปและสหภาพโซเวียตที่ล่มสลาย และจีนในขณะนั้นก็เพิ่งดำเนินนโยบายปฏิรูปและเปิดประเทศได้ 10 ปี กระแสประชาธิปไตยจึงถาโถมสู่แดนมังกร โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวที่นำโดยของนักศึกษามหาวิทยาลัยปักกิ่ง แหล่งรวมปัญญาชนอันดับ 1 ของจีน ทำให้ไฉหลิงและแกนนำคนอื่น ๆ กลายเป็นดาวรุ่งแห่ง #อนาคตใหม่
.
ไฉหลิงเริ่มต้นอดอาหารเพื่อประท้วงรัฐบาลจีน ร่วมกับนักศึกษารวม 40 คน และเธอได้รับคัดเลือกให้เป็น หัวหน้าคณะกรรมการอดอาหารประท้วง และต่อมาเธอยังเป็นหัวหน้าศูนย์ปกป้องจัตุรัสเทียนอันเหมิน ซึ่งเป็นองค์กรหลักที่ขับเคลื่อนกิจกรรมของผู้ประท้วง เธอจึงเป็นแกนนำผู้หญิงที่มีบทบาทสูงสุดในการวางยุทธศาสตร์ กำหนดการเคลื่อนไหว และเจรจากับรัฐบาลจีน
.
อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจของเธอในช่วงนั้นก็ถูกประเมินด้วยประวัติศาสตร์หลังจากนั้นว่า มีส่วนนำไปสู่การปราบปรามของรัฐบาล และเหตุนองเลือด เช่น ในวันที่ 27 พฤษภาคม ไฉหลิงและเฝิงฉงเต๋อลงมติในกลุ่มขบวนการนักศึกษาให้ยุติการชุมนุม เนื่องจากมีข่าวว่ารัฐบาลจะส่งกำลังเข้าขอคืนพื้นที่ แต่ไม่เพียงข้ามวัน เธอกลับเปลี่ยนจุดยืนให้ยึดพื้นที่จัตุรัสเทียนอันเหมินต่อไป
บทบาทแกนนำการชุมนุมของเธอก็เริ่มอ่อนแรงลง เพราะการชุมนุมขยายวงเกินกว่าที่นักศึกษาที่ดูแลได้ทั่วถึง ความขัดแย้งภายในหมู่แกนนำเองก็เพิ่มขึ้น มีการตั้งองค์กรนำการชุมนุมซ้อนกันหลายองค์กร มีทั้งผู้ที่สนับสนุนแนวทางประนีประนอมกับรัฐบาล และผู้ที่เห็นว่าต้อง 'ปิดสวิตซ์' พรรคคอมมิวนิสต์ จนเมื่อการชุมนุมยืดเยื้อจนถึงเดือนมิถุนายน การนำของนักศึกษาก็เริ่มสั่นคลอนอย่างหนัก จนเปิดช่องให้ฝ่ายรัฐพร้อมจะสลายการชุมนุม
.
คำสัมภาษณ์ของไฉหลิงที่สั่นสะเทือนขบวนการประชาธิปไตยอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเธอยอมรับว่า จำเป็นต้องมีการหลั่งเลือด เพื่อให้ประชาชนชาวจีน #ตาสว่าง และเป็นหนึ่งเดียวกันในการเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตย
.
การหลั่งเลือดได้เกิดขึ้นจริงในวันที่ 4 มิถุนายน ณ จัตุรัสเทียนอันเหมิน รัฐบาลจีนส่งทหารและรถถังเข้าปราบปรามผู้ชุมนุม พร้อมออกหมายจับ 21 แกนนำ ไฉหลิงและสามีหลบซ่อนอยู่ในประเทศจีนนานถึง 10 เดือน ก่อนที่จะลงเรือข้ามไปฮ่องกง และได้รับการช่วยเหลือให้ไปลี้ภัยในฝรั่งเศส และเดินทางสู่สหรัฐอเมริกาในเวลาต่อมา
.
การลี้ภัยในต่างแดนทำให้เธอต้องแยกทางกับสามีชาวจีน และต่อมาได้แต่งงานอีกครั้งกับโรเบิร์ต มากินน์ จูเนียร์ นักธุรกิจและนักการเมืองพรรครีพับลิกัน ทั้งคู่ได้ก่อตั้งบริษัทเพื่อสร้างซอฟแวร์สำหรับมหาวิทยาลัยต่างๆ ไฉหลิงยังได้ต่อตั้งองค์กร All Girls Allowed เพื่อรณรงค์ให้จีนยุตินโยบายลูกคนเดียว (ซึ่งทุกวันนี้จีนก็ได้ยกเลิกนโยบายนี้แล้ว)
.
เกือบ 20 ปีหลังเหตุเทียนอันเหมิน ไฉหลิงได้ระบุว่า “เนื่องจากเธอได้เข้านับถือคริสต์ศาสนา เพื่อเห็นแก่พระเยซู เธอได้ให้อภัยแก่อดีตผู้นำจีนที่ปราบปรามนักศึกษา”
.
ความเห็นนี้ถูกคัดค้านจากแกนนำนักศึกษาหลายคน ที่ยืนยันว่ารัฐบาลจีนควรจะยอมรับผิดเสียก่อน สร้างความจริงให้ปรากฏ ถึงสมควรให้อภัย
ทุกวันนี้ จัตุรัสเทียนอันเหมินยังคลาคล่ำไปด้วยผู้คน เพียงแต่ไม่ใช่ผู้ประท้วง แต่เป็นนักท่องเที่ยว เวลาเปลี่ยนใจคนเปลี่ยน ไฉหลิงและบรรดาแกนนำนักศึกษาในวันนั้นมีอายุเพียงแค่ราว 20 ปี ความคิดและสถานการณ์ในวันนั้นย่อมแตกต่างจากในวันนี้ ส่วนความผิดพลาดหรือถูกต้อง ทิ้งไว้ให้ประวัติศาสตร์เป็นผู้ชำระบัญชี.
-
การปราบปรามผู้ประท้วงที่จัตุรัส #เทียนอันเหมิน เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 1989 เป็นเหตุการณ์ที่ถูกหยิบยกมาโจมตีรัฐบาล #จีน มาตลอด แต่ความจริงแล้วเหตุการณ์เทียนอันเหมินมีความซับซ้อนกว่าแค่การปราบปรามผู้ประท้วง เพราะเกี่ยวพันทั้งบริบทระหว่างประเทศ, การแย่งชิงอำนาจระหว่างผู้นำจีน รวมทั้งความเยาว์วัยของนักศึกษา
“ฉันเยาว์ ฉันเขลา ฉันทึ่ง ฉันจึงมาหาความหมาย ฉันหวังเก็บอะไรไปมากมาย แต่สุดท้ายให้กระดาษฉันแผ่นเดียว” บทกวีนี้เป็นบทกวียอดนิยมของนักศึกษารุ่น “เดือนตุลา” ซึ่งเป็นช่วงรอยต่อทางการเมืองในประเทศ #ไทย และการเคลื่อนไหวของนักศึกษาคึกคักอย่างยิ่ง แต่ทุกวันนี้นักศึกษารุ่นใหม่ส่วนใหญ่กลับไม่รู้จักบทกวีดังกล่าวเสียแล้ว
.
บทบาททางการเมืองของนักศึกษาไทยไม่แตกต่างจากการเคลื่อนไหวของนักศึกษาจีนที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ซึ่งหากเหตุการณ์ที่เทียนอันเหมินเกิดขึ้นก่อนหน้าหรือหลังจากปี 1989 ราว 10 ปี อาจจะไม่เกิดโศกนาฏกรรมขึ้น
.
เหตุการณ์ที่นานาชาติเรียกว่า “การเรียกร้องประชาธิปไตยของนักศึกษาจีน” นั้น ความจริงแล้วไม่ใช่การเรียกร้อง #ประชาธิปไตย แบบที่โลกตะวันตกเข้าใจ
.
หวังตัน แกนนำนักศึกษายอมรับว่า ตอนนั้นเขาอายุเเค่ 19 ปี ไม่ค่อยรู้เรื่องประชาธิปไตยมากนัก เหล่านักศึกษาไม่ได้คิดถึงการ #เลือกตั้ง หรือมีพรรคการเมืองหลายพรรค การประท้วงของนักศึกษาเพียงแค่ต้องการแสดงออกถึงความยากลำบากของชาวบ้าน และกดดันรัฐบาลให้ยอมรับแนวคิดของฝ่ายปฏิรูป
.
ปี 1989 เป็น 10 ปีหลังจากเติ้งเสี่ยวผิงประกาศนโยบายปฏิรูปและเปิดประเทศ รัฐวิสาหกิจต่างๆ ไม่อาจทำงานแบบเช้าชามเย็นชามออกอีกไป มีการปลดคนงานส่วนเกินออกมากกว่า 100 ล้านคน รัฐวิสาหกิจหลายแห่งต้องปิดตัวลง ชาวจีนในยุคนั้นไม่มั่นใจว่าประเทศจะเดินไปในทิศทางไหน ภาวะข้าวยากหมากแพงเกิดไปทั่วเพราะรัฐบาลยุติการควบคุมราคา เงินเฟ้อพุ่งพรวดจนเกิดการแย่งซื้อสินค้า ส่วนนักศึกษาจบใหม่ก็หางานทำแทบไม่ได้ ขณะที่เหล่าข้าราชการอาศัยความไม่แน่นอนในช่วงการเปลี่ยนผ่านนโยบายคอร์รับชั่นอย่างมหาศาล
.
ความกดดันเหล่านี้ปะทุขึ้นเมื่อนักศึกษาอาศัยโอกาสการอสัญกรรมของ หูเย่าปัง อดีตเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์สายปฏิรูป นำไปสู่การประท้วงครั้งใหญ่บนท้องถนนในกรุง #ปักกิ่ง
.
การชุมนุมของนักศึกษาเปิดฉากขึ้นตั้งแต่วันที่ 15 เมษายน และช่วงเวลา ณ เทียนอันเหมิน ที่ยาวนานกว่าหนึ่งเดือนนั้นมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมายทั้งฝ่ายนักศึกษา และผู้นำจีน โดยผู้นำจีนในขณะนั้นมีความแตกแยกชัดเจนระหว่างกลุ่มที่สนับสนุนการปฏิรูป และกลุ่มที่ต้องการอนุรักษ์แนวทางคอมมิวนิสต์เข้มข้นของเหมาเจ๋อตง แกนนำทั้งสองฝ่ายแก่งแย่งอำนาจ และหาโอกาสกำจัดอีกฝ่ายให้สิ้นซากไป
.
ขณะที่การเมืองระหว่างประเทศ ได้เกิดการล่มสลายของรัฐคอมมิวนิสต์ยักษ์ใหญ่อย่าง เยอรมนีตะวันออกและพันธมิตรหลายประเทศยุโรป ทำให้เหล่าผู้นำจีนกลัวว่าจีนจะเดินซ้ำรอยเยอรมนี และพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อรักษาอำนาจของพรรคคอมมิวนิสต์จีน
.
ผู้นำสูงสุดอย่าง #เติ้งเสี่ยวผิง ถึงแม้จะเป็นต้นคิดนโยบายปฏิรูป แต่ลึกๆแล้วก็ยังหวั่นว่าหากผลักดันการปฏิรูปที่รวดเร็วเกินไปก็อาจจะทำให้เกิดความวุ่นวายได้
.
ความผิดพลาดอีกอย่างหนึ่ง คือ เติ้งเสี่ยวผิงปฏิเสธที่จะสื่อสารกับเหล่านักศึกษาโดยตรง เขาเก็บตัวอยู่ในมหาศาลาประชาชน เเละได้รับข่าวสารที่ผิดพลาดจากนายกรัฐมนตรีหลี่เผิง ที่ระบุว่า การประท้วงต้องการโค่นล้มพรรคฯ
.
นายกรัฐมนตรี #หลี่เผิง ต้องการใช้มาตรการเด็ดขาด แต่เลขาธิการพรรคฯ #เจ้าจื่อหยาง ต้องการให้เจรจากับนักศึกษา เติ้งปฏิเสธจะใช้กำลังอยู่นานนับเดือนจนกระทั่งเย็นวันที่ 17 พฤษภาคม เติ้งตัดสินใจประกาศกฎอัยการศึก และให้นายกรัฐมนตรีหลี่เผิงไปเจรจากับนักศึกษาเป็นครั้งสุดท้าย
เหล่านักศึกษาเองก็มีแนวคิดแตกต่าง บางคนเห็นว่าควรยอมประนีประนอม แต่บางคนก็ยืนกรานแข็งกร้าว แกนนำศึกษาหญิงอย่าง ไฉหลิง ถึงกับยอมรับว่า “จำเป็นต้องมีการหลั่งเลือดเพื่อผลักดันการเปลี่ยนแปลง” แกนนำนักศึกษามั่นใจในตัวเองมาก ส่วนนายกฯ หลี่เผิงก็เป็นคนแข็งกร้าว นี่จึงถือเป็นการหักหน้าอย่างมาก เพราะมีถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ด้วย ผู้คนทั้งประเทศจีนที่ดูอยู่ต่างมึนงงสุดขีด
.
กองทัพและผู้ชุมนุมตรึงกำลังตรงหน้ากันอยู่ถึงสองสัปดาห์ วันที่ 2 มิถุนายน ผู้อาวุโสในพรรคประชุมกันอีกครั้ง เเละตัดสินใจยุติวิกฤตอย่างเบ็ดเสร็จ
.
หลังเหตุการณ์วันที่ 4 มิถุนายน ไม่เพียงนักศึกษาพบกับโศกนาฏกรรม แต่ผู้นำจีนสายอนุรักษ์ก็ได้ใช้โอกาสนี้กำจัดฝ่ายปฏิรูปไปด้วย เลขาธิการใหญ่ จ้าวจื่อหยาง ที่แสดงความเห็นใจนักศึกษาถูกกักบริเวณในบ้านพักจนวาระสุดท้ายของชีวิต แม้แต่เติ้งเสี่ยวผิงเองก็สูญเสียอำนาจในพรรคจนต้องหันไปพึ่งอำนาจจากกองทัพ และใช้เวลานานกว่า 5 ปีจึงทำให้จีนหันกลับสู่เส้นทางปฏิรูปได้
“เวลาเปลี่ยน ใจคนเปลี่ยน” ยิ่งมิต้องพูดถึงอุดมการณ์และความเชื่อที่เปลี่ยนไปตามกาลเวลาอย่างแน่นอน นักศึกษาเดือนตุลาของไทย นักศึกษาที่เทียนอันเหมิน รวมทั้งผู้กุมอำนาจรัฐต่างตัดสินใจและกระทำตามสิ่งที่ยึดมั่นถือมั่น ณ ช่วงเวลานั้น แต่ละคนจึงเหมือนมี “กรรม” เป็นของตน และเมื่อสถานการณ์ชักนำในต้อง “ก่อกรรม” ร่วมกันจึงต้องชดใช้กรรมร่วมกัน.
-
รูทส์ (Roots: The Saga of an American Family) -
รูทส์ (Roots: The Saga of an American Family) ได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อสี่สิบปีก่อน (ค.ศ. 1976) หนังสือเล่มนี้ได้รับรางวัลพูลิตเซอร์และเป็นหนังสือขายดีอันดับ 1 ของนิวยอร์กไทม์สนาน 22 สัปดาห์ หรือเกือบครึ่งปี และยิ่งเป็นที่รู้จักวงกว้างเมื่อถูกนำไปสร้างละครซีรีส์ ในอีกหนึ่งปีต่อมา มีชาวอเมริกันติดตามชมกว่า 130 ล้านคน (เวลานั้นส่วนใหญ่ยังเป็นทีวีขาวดำ มีการฉายในประเทศไทยด้วย)
อเล็กซ์ ฮาเลย์ เขียนหนังสือเล่มนี้ ด้วยปณิธานสืบหาบรรพบุรุษรากเหง้าของเขาว่ามาจากไหน และสืบย้อนไปเจ็ดชั่วอายุคน จนพบหมู่บ้านภูมิลำเนาของคุนต้า คินเต้ บรรพบุรุษของเขาในตอนจบในที่สุด
บรรพบุรุษของอเล็กซ์ ฮาเลย์ ก็คือ "คุนตา คินเต้" ศูนย์กลางของเรื่องราวนี้ เขาถูกล่าจากประเทศแกมเบีย เมื่ออายุสิบเจ็ดปีขณะกำลังเข้าป่าหาไม้มาทำกลอง ถูกตีสลบและตื่นมาก็พบว่าตนเองโดนล่ามตรวนอยู่ในเรือค้าทาสอังกฤษลอร์ดลิโกเนียร์ แออัดกับเพื่อนร่วมหมู่บ้านอีกจำนวนมากข้ามทะเลไปเป็นทาสในสหรัฐอเมริกา เมื่อปี 1750
เมื่อถึงฝั่งอเมริกา คุนต้าคินเต้ ถูกขายเป็นทาสที่แอนนาโปลิส รัฐแมรี่แลนด์ อันเป็นจุดเริ่มแห่งเรื่องราวรากเหง้าของชายคนหนึ่งจากหมู่บ้านในแอฟริกา ซึ่งแม้กันดารแต่ก็เป็นอิสระรายล้อมไปด้วยความรักและประเพณีชนเผ่า ก่อนจะตั้งรกรากในสหรัฐอเมริกา
รูทส์ (Roots: The Saga of an American Family) เป็นนวนิยายขนาดยาวที่เล่าเรื่องความทุกข์ของเพื่อนมนุษย์ และนำสู่ความเข้าใจประวัติศาสตร์หน้าสำคัญของอเมริกันชน
มีภาษิตว่า "ต้นไม้สูงใหญ่ ไม่สำคัญเท่ากับรากยาว" ชาวอเมริกันทุกคนเว้นแต่ชาวอเมริกันพื้นเมือง ล้วนมีรากเหง้ามาจากที่อื่น
หลายคนบอกว่า อเมริกันในอดีตสร้างชาติขึ้นจากเรื่องราวที่ย้อนคิดแล้วเหมือนหลอกหลอน โหดร้าย แต่การยอมรับและเรียนรู้อดีตในทุกมุม ก็เป็นหนทางที่จะสามารถแก้ไขและเรียนรู้ สำหรับสร้างอนาคตที่ดีกว่าเดิม
แม้เวลาผ่านนานเกือบครึ่งศตวรรษ แต่หนังสือและหนังยังเป็นที่กล่าวขวัญถึงเสมอมา
หนังสือรูทส์ มีส่วนด้อยเมื่อถูกกล่าวหาลอกผลงาน และมีบางข้อมูล เกี่ยวกับชาติพันธุ์วิทยาและเหตุการณ์ในเวอร์จิเนีย ไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง แต่ส่วนที่ได้รับการยอมรับมหาศาลคือการเปิดเผยเรื่องราวอันนำไปสู่ความเข้าใจและรับรู้ความทุกข์ของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
....
ภาพ - ‘Roots’ (1977)
ภาพ - อเล็กซ์ ฮาเลย์ (เสื้อเขียว) กับ ลีวา เบอร์ตัน ผู้แสดงเป็น คุนต้า คินเต้
-
ไม่ใช่ทุกธุรกิจ จะเหมาะกับโมเดล Subscription /โดย ลงทุนแมน
รูปแบบการเก็บค่าบริการในโลกนี้หลักๆ มีอยู่สองแบบ
แบบเหมาจ่ายหรือที่เรียกกันว่า “Subscription” กับแบบ “ตามการใช้งาน”
ถ้าเอาแนวคิดเรื่องโครงสร้างต้นทุน มาวิเคราะห์ธุรกิจที่เก็บค่าบริการแตกต่างกันสองแบบนี้
จะเห็นความสัมพันธ์ได้ง่าย
แล้วการเก็บค่าบริการแต่ละแบบเหมาะกับธุรกิจแบบไหน
ลงทุนแมนจะวิเคราะห์ให้ฟัง
╔═══════════╗
อัปเดตสถานการณ์และภาวะเศรษฐกิจกับ Blockdit
มีพอดแคสต์ให้ฟังระหว่างเดินทางด้วย
Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ถ้าพูดถึงต้นทุน ส่วนใหญ่แล้วจะประกอบด้วย
1. ต้นทุนคงที่ (Fixed Cost)
2. ต้นทุนแปรผันตามการให้บริการ (Variable Cost)
ธุรกิจประเภทแรก คือธุรกิจที่เก็บค่าบริการแบบเหมาจ่ายหรือค่า Subscription
ตัวอย่างเช่น Netflix, Spotify
ข้อสังเกตของธุรกิจประเภทนี้ คือไม่มีต้นทุนที่แปรผันตามการใช้งานจึงสามารถเก็บค่าบริการเหมาจ่ายแบบ Subscription ได้
ยกตัวอย่างเช่น Netflix แพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิงออนไลน์
ที่การเพิ่มขึ้นของการใช้งาน ไม่ได้เพิ่มต้นทุนในการให้บริการอย่างมีนัยสำคัญ
ไม่ว่าจะมีสมาชิก 100 คน หรือ 1,000 คน ที่เข้ามาชมภาพยนตร์ ซีรีส์
Netflix จะยังมีค่าใช้จ่ายหลักคล้ายเดิม
เช่น ค่าใช้จ่ายในการพัฒนาแอปพลิเคชัน ดูแลระบบ สร้างคอนเทนต์ ค่าโฆษณาประชาสัมพันธ์
อาจจะมีต้นทุนเพิ่มบางส่วน เช่น ค่าทราฟฟิก ค่าเซิร์ฟเวอร์ต่างๆ ที่ต้องจ่ายเพิ่ม แต่ก็ไม่ได้มีนัยสำคัญ
พูดง่ายๆ คือ ต้นทุนส่วนใหญ่ของ Netflix คือต้นทุนคงที่
ในขณะที่ต้นทุนแปรผันตามการใช้งานมีน้อย
Netflix จึงไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายส่วนเพิ่มจากจำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้น
และสามารถเก็บค่าบริการได้ในราคาเหมาจ่าย
ส่วนผู้ใช้งาน ก็รับชมคอนเทนต์ได้เต็มที่
ไม่ต้องกังวลว่าดูมากแล้วจะเสียเงินมาก
ส่วนธุรกิจอีกประเภท คือธุรกิจที่คิดค่าบริการตามการใช้งาน
เช่น GrabFood, Kerry
ข้อสังเกตของธุรกิจประเภทนี้คือมีต้นทุนแปรผันตามการให้บริการ
ยกตัวอย่าง เช่น GrabFood แอปพลิเคชันสั่งอาหารออนไลน์ และบริการจัดส่งอาหาร
ที่การเก็บค่าบริการจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับระยะทางที่ให้บริการ
เพราะระยะทางในการจัดส่งที่ไกลขึ้น มีต้นทุนค่าน้ำมัน และเวลาที่ต้องเสียมากขึ้น
พูดง่ายๆ คือ นอกเหนือจากต้นทุนคงที่ เช่น ต้นทุนการพัฒนาแอปพลิเคชัน สวัสดิการของพาร์ตเนอร์คนขับ
ยังมีต้นทุนที่แปรผันตามการให้บริการเพิ่มขึ้นมา
ทำให้ GrabFood ต้องคิดค่าบริการตามระยะทางหรือตามการใช้งาน
เพื่อให้เหมาะสมกับต้นทุนในการให้บริการแต่ละครั้ง
แต่เมื่อมีซ้ายสุดและขวาสุด ก็ย่อมมีตรงกลาง
ธุรกิจบางประเภท สามารถเก็บค่าบริการได้ทั้งสองแบบ
ทั้งแบบเหมาจ่าย และแบบคิดตามการใช้งาน เพื่อให้ผู้ใช้บริการได้มีตัวเลือกมากขึ้น
แล้วอาศัยการนำรายได้จากทั้งสองแบบมารวมกัน
ตัวอย่างเช่น ค่าบริการสัญญาณโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ต
มีทั้งคิดค่าบริการแบบเหมาจ่ายรายเดือน และตามการใช้งานหรือแบบเติมเงิน
โดยบริษัทที่ให้บริการจะใช้ค่า Average Revenue Per User (ARPU)
หรือรายได้เฉลี่ยต่อผู้ใช้งาน มาเป็นเครื่องมือบริหารรายได้
จากมุมมองโครงสร้างต้นทุนของแต่ละธุรกิจ
ก็สรุปได้ว่า ธุรกิจที่มีโครงสร้างต้นทุนต่างกัน เหมาะกับการคิดค่าบริการกันคนละแบบ
ธุรกิจที่ไม่มีต้นทุนแปรผันตามการใช้งานอย่าง Netflix
เหมาะกับการเก็บค่าบริการแบบเหมาจ่าย
ส่วนธุรกิจที่มีต้นทุนแปรผันตามการให้บริการอย่าง GrabFood
เหมาะกับการคิดค่าบริการตามการใช้งาน
ถ้าให้ GrabFood คิดค่าส่งเหมารวมราคาเดียวก็คงจะลำบาก
เพราะต้นทุนที่เกิดขึ้นจากการให้บริการแต่ละครั้งนั้นไม่เท่ากัน
ผู้บริโภคก็คงไม่ชอบใจ หากต้องจ่ายค่าส่งอาหารที่สั่งจากร้านที่ระยะทางขนส่ง 2 กิโลเมตร
เท่ากันกับอีกคนที่สั่งจากร้านที่ระยะทางขนส่ง 10 กิโลเมตร
โจทย์ของผู้ให้บริการ คือจะจัดการรายรับอย่างไร ให้เหมาะสมกับรูปแบบต้นทุนที่สุด
นั่นหมายความว่า
ไม่ใช่ทุกธุรกิจบนโลกจะเหมาะกับการเก็บค่าบริการแบบ Subscription ไปเสียทั้งหมด
ท้ายสุดแล้ว
อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญไม่แพ้คุณภาพของสินค้าหรือบริการ คือการบริหารรายได้ให้สัมพันธ์กับโครงสร้างต้นทุน
ไม่เช่นนั้นแล้ว ต่อให้มีผู้ใช้บริการมากมายแค่ไหน
ธุรกิจก็คงอยู่ไม่ได้ ถ้ารายได้น้อยกว่าต้นทุน..
╔═══════════╗
อัปเดตสถานการณ์และภาวะเศรษฐกิจกับ Blockdit
มีพอดแคสต์ให้ฟังระหว่างเดินทางด้วย
Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - ลงทุนแมน
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
-
⚠️ ด่วน ⚠️ เกิดเหตุการณ์น้ำมันรั่วไหลครั้งใหญ่ที่รัสเซีย น้ำมัน 24 ล้านลิตรไหลรั่วลงแม่น้ำ ! จนประธานาธิบดีปูติน ต้อง #ประกาศภาวะฉุกเฉิน ที่เมือง Norilsk ใกล้แถบ Arctic Circle แล้ว !
เกิดอุบัติเหตุน้ำมันดีเซลรั่วไหลที่แถวขั่วโลกเหนือเป็นปริมาณ 20,000 ตันหรือประมาณ 24 ล้านลิตรเลยทีเดียว !
โดยบริษัทเกี่ยวข้องเชื่อว่าเป็นเพราะภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (Climate Change)
ทางนักวิทยาศาสตร์ได้เตือนมาหลายปีแล้วว่าการละลายน้ำแข็งบนพื้นดิน (ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ของประเทศรัสเซียอยู่มากกว่าครึ่งนึง) อาจส่งผลกระทบต่อท่อส่งก๊าซและน้ำมันได้
ตอนนี้สาเหตุที่แท้จริงยังไม่สามารถพิศูจน์ได้ แต่น้ำมันดีเซลจำนวนมหาศาลได้ไหลทะลักจากถังน้ำมันเชื้อเพลิงของโรงไฟฟ้า NTEK ลงสู่แม่น้ำ Ambarnaya มาเป็นเวลาเกือบอาทิตย์แล้ว แต่ทางรัฐบาลนั้นเพิ่งทราบเรื่องสองวันหลังเกิดเหตุเพราะทางโรงงานนั้นพยายามจะสูบน้ำมันออกและควบคุมการรั่วไหลด้วยตัวเองอยู่
การรั่วไหลนั้นทำให้แม่น้ำ Ambarnaya ถูกย้อมจนเป็นสีแดงเป็นแนวยาวกว่า 12 กิโลเมตร (ตามในรูป) และได้สร้างความเสียหายและมลพิษเป็นวงกว้างกว่า 350 ตารางกิโลเมตร ! โดยการรั่วไหลในครั้งนี้นับเป็นอุบัติเหตุที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค Arctic นับตั้งแต่ Exxon เคยเกิดอุบัติเหตุในปี 2532 เลยทีเดียว
ผลกระทบของการรั่วครั้งนี้ ?
มูลค่าของน้ำมัน 20,000 ตันนั้นอยู่ที่ประมาณ 7 ล้านเหรียญสหรัฐ นับเป็นส่วนน้อยมากเมื่อเทียบกับความเสียหายต่อธรรมชาติและเงินที่ต้องใช้ซ่อมแซมและบำรุงที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะอยู่สูงถึง 1.5 พันล้านเหรียญ ! และอาจต้องใช้เวลาทำความสะอาดและฟื้นฟูนานถึง 5-10 ปี
ขอเป็นกำลังใจช่วยทีมงานของรัสเซียให้สกัดการรั่วไหลของน้ำมันนี้ให้ได้เร็วที่สุดนะครับ
#ท่านใดไม่อยากพลาดข่าวสารในตลาด จากทีมงาน แนะนำให้กด Like ที่โพสต์เรื่อยๆ หรือกดตั้งค่า “เห็นโพสต์ก่อน” หรือ See First ไว้ที่เมนูมุมขวาบนของเพจได้เลยครับ ไม่งั้นทาง Facebook จะไม่ค่อยแสดงโพสต์ของทีมเราที่อัพเดทใหม่ๆครับ
#ทันโลกกับKP
-
ตลาดหุ้นสหรัฐเริ่มเห็นสัญญาณแผ่วลงเล็กน้อยคืนนี้ หลังสหรัฐยังมีคนตกงานเพิ่มอีก 1.88 ล้านคนในคืนนี้ รวม 11 อาทิตย์ที่ผ่านมามีคนตกงานรวมอยู่ที่ 42 ล้านคน ! แต่ตัวเลขตลาดแรงงานที่ตลาดรอลุ้นอยู่คือ Non-Farm Payrolls ในคืนวันศุกร์นี้ !
อาทิตย์นี้ถือเป็นอาทิตย์ที่ 11 ติดต่อกันแล้วที่ยอด Initial Jobless Claim หรือผู้ขอสวัสดิการตกงานประจำอาทิตย์ของสหรัฐออกมาที่ระดับหลักล้าน ! แต่ก็เป็นอาทิตย์แรกที่ตัวเลขลดลงน้อยกว่า 2 ล้านคนแล้ว และตัวเลขกำลังค่อยๆลดลงอย่างช้าๆทุกอาทิตย์
โดยอาทิตย์นี้ตลาดกำลังรอตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตร (Non-Farm Payrolls ) และอัตราการว่างงาน (Unemployment Rate) ที่จะออกมาเวลา 19.30น. ในคืนวันศุกร์นี้
โดยเลขที่ตลาดคาดการณ์ไว้คือจะมีการจ้างงานนอกภาคเกษตรลดลงที่ -8 ล้านคน และยอดอัตราการว่างงานที่ 19.5% โดยหากเลขออกมาแย่กว่าที่คาดก็อาจจะทำให่ตลาดเริ่มกลับทิศได้หรือไม่ ?
ตลาดหุ้นสหรัฐเปิดตลาดมาในคืนนี้ก็เริ่มลบลงเล็กน้อย แต่ก็ค่อยๆเริ่มดีดตัวกลับขึ้นไปเป็นลบอ่อนๆแล้ว แนบตลาดโดยรวมไว้ให้ในคอมเม้นท์นะครับ
ท่านใดไม่อยากพลาดข่าวสารในตลาดจากทีมงาน แนะนำให้กด Like ที่โพสต์เรื่อยๆ หรือกดตั้งค่า “เห็นโพสต์ก่อน” หรือ See First ไว้ที่เมนูมุมขวาบนของเพจได้เลยครับ ไม่งั้นทาง Facebook จะไม่ค่อยแสดงโพสต์ของทีมเราที่อัพเดทใหม่ๆครับ
#ทันโลกกับKP
-
ด่วน ⚠️ เช้าวันพฤหัส์นี้ #จีนตอกกลับ นโยบานการบินระหว่างประเทศสหรัฐ ! หลังเมื่อคืนนี้ทรัมป์ได้สั่งไม่ให้สายการบินจีนบินเข้าสหรัฐ แต่ทาง #จีนไม่ง้อ เร่งสั่งเพิ่มให้เที่ยวบินต่างชาติบินเข้าประเทศได้มากขึ้น !
ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐและจีนยังคงสูงขึ้นเรื่อยๆ
จีนประกาศอนุญาตให้สายการบินต่างประเทศเพิ่มเที่ยวบินขามากขึ้นเรื่อยๆ หลังรัฐบาลทรัมป์มีคำสั่งไม่ให้สายการบินจีนบินเข้าสหรัฐและจะมีผลในวันที่ 16 มิ.ย. นี้เป็นต้นไป
✈️ ทางจีนโต้กลับโดยจะเพิ่มสายการบินต่างชาติให้บินเข้าประเทศเพิ่มได้ที่ 1 เที่ยวบินต่ออาทิตย์โดยจะมีผลตั้งแต่ 8 มิ.ย. นี้เลย ! ก่อนสหรัฐอีก
โดยการเพิ่มเที่ยวบินเข้ามานี้ยังอยู่ภายใต้มาตรการควบคุมไวรัส Covid-19 ระบาดอยู่ โดยหากเส้นทางไหนมีผู้โดยสารเกิน 5 คนในเที่ยวบินตรวจสอบว่ามีการติดเชื้อไวรัสโควิด เส้นทางบินนั้นจะถูกระงับเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ และหากมีพบว่ามีผุ้โดยสารติดเชื้อเกิน 10 คน เส้นทางบิืนนั้นจะโดนหยุดเป็นเวลา 4 สัปดาห์
#อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นทั้งโลกยังคงแข็งแกร่งอยู่ทางกลางความตึงเครียด !
ดัชนี #SET ของไทยเปิดบวก +23 จุดวันนี้เกือบแตะระดับ 1,400 จุดแล้ว ในขณะที่ดัชนี Dow Jones พุ่งทะลุ 26,000 จุด และทาง S&P500 ก็ทะลุ 3,100 จุดไปแล้วเรียบร้อยเมื่อคืนนี้ !
ติดตามและวิเคราะห์ไปกับทางเพจเราได้ว่าความไม่เชื่องโยงของ #ตลาดหุ้น กับ #เศรษฐกิจโลก จริงๆนั้นจะไปได้อีกยาวแค่ไหน
ท่านใดไม่อยากพลาดข่าวสารในตลาดจากทีมงาน แนะนำให้กด Like ที่โพสต์เรื่อยๆ หรือกดตั้งค่า “เห็นโพสต์ก่อน” หรือ See First ไว้ที่เมนูมุมขวาบนของเพจได้เลยครับ ไม่งั้นทาง Facebook จะไม่ค่อยแสดงโพสต์ของทีมเราที่อัพเดทใหม่ๆครับ
#ทันโลกกับKP
-
Google ถอดแอป ‘ลบแอปจีน’ พ้น Google Play Store หลังกระแส ‘แบนจีน’ แรงมากในอินเดีย
.
ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา แอป “Remove China Apps” ได้รับความนิยมจากชาวอินเดียเป็นอย่างมาก โดยถูกดาวน์โหลดบน Google Play มากกว่า 5ล้านครั้ง โดยแอปนี้ มีฟีเจอร์ตรงตัวกับชื่อแอป คือ ค้นหาแอปจีนภายในอุปกรณ์ระบบปฏิบัติการAndroid พร้อมกับแสดงรายชื่อแอปเพื่อให้เราเลือกลบออกจากเครื่องได้
.
แต่ล่าสุด ทาง Google ได้ตัดสินใจ ถอดแอปตัวนี้ออกจาก Google Play โดยให้เหตุผลว่า
“ทาง OneTouch AppLabs ผู้พัฒนาแอปตัวนี้ ซึ่งเป็นนักพัฒนาชาวอินเดีย ได้ทำผิดกฎระเบียบ และขัดต่อนโยบาย Deceptive Behaviour Policy ของ Google Play ที่ระบุไว้ชัดเจน ห้ามแอปมีการเชิญชวนให้ผู้ใช้งานลบแอปตัวอื่นออก”
.
“ทำไมชาวอินเดีย พากันดาวน์โหลดแอป Remove China Apps?”
สาเหตุที่แอป ได้รับความนิยมและถูกพูดถึงในวงกว้างอย่างรวดเร็ว มาจากกระแส “แบนจีน” ในอินเดีย ที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หลังเกิดข้อพิพาทระหว่างจีนกับอินเดียที่เขตชายแดนบนเทือกเขาหิมาลัย
.
โดยคนดังของอินเดียหลายคน ได้ออกมาสนับสนุนและเชียร์ให้ชาวอินเดียติดตั้งแอปตัวนี้ด้วย อย่าง กูรูโยคะและนักธุรกิจชื่อดัง “บาบา รามเทพ” ซึ่งได้โพสต์คลิปลบแอปจีนบนเครื่องของเขา บนTwitter
เชื้อเพลิงยิ่งแรงไปอีก เมื่อ นูเปอร์ ชาร์มา โฆษกพรรคประชาชนอินเดีย หรือ BJP ออกมาสนับสนุน พร้อมย้ำ “เป็นสิ่งที่ดีมาก ที่พวกเราแสดงพลังให้พวกเขา (จีน) ได้เห็น”
.
ทางด้าน Global Times สื่อกระบอกเสียงของรัฐบาลจีน ได้ออกบทความแจ้งเตือนทางอินเดีย
"หากรัฐบาลอินเดีย ยังปล่อยให้กระแสต่อต้านจีนเกิดขึ้นต่อไป มันจะมีแต่ทำลายความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ และบางทีอาจถึงคราวที่จีนอาจต้องตอบโต้บ้าง"
.
ในส่วนของชาวเน็ตจีน ก็ไม่ยอมแพ้ชาวเน็ตอินเดียเช่นกัน โดยชาวเน็ตจีนจำนวนมาก พากันแสดงความคิดเห็นต่อประเด็นที่ชาวอินเดียติดตั้งแอปลบแอปจีน อย่างถึงพริกถึงขิง ถึงขั้นแนะนำให้ชาวอินเดีย โยนมือถือในมือทิ้งไปซะ เพราะสัดส่วนของแบรนด์มือถือที่ครองตลาดอินเดียอยู่ ณ ขณะนี้ ล้วนเป็นแบรนด์จากประเทศจีน
.
ถ้าหากกระแสต่อต้านจีนยังคงดำเนินต่อไป ไม่เพียงแต่กระทบความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ ที่กำลังมีข้อพิพาท ให้รุนแรงมากขึ้นไปอีก แต่ยังส่งผลโดยตรงต่อบริษัทจีน ที่มีตลาดอินเดียเป็นหนึ่งในตลาดต่างประเทศรายใหญ่ ไม่ว่าจะ TikTok ของ ByteDance, UCBrowser เว็บบราวเซอร์สัญชาติจีนที่เขี่ยGoogle Chromeออกจากอินเดีย และ Xiaomi แบรนด์มือถือและสินค้าไอทีจีนที่ครองเบอร์1ตลาดมือถืออินเดีย ณ ปัจจุบัน
แต่ในความเป็นจริง ก็ต้องยอมรับว่า กระแสการไม่เอาจีน และ ไม่เอาสินค้าต่างประเทศ ถูกจุดขึ้นในอินเดีย มาตั้งแต่เข้าสู่วิกฤติแพร่ระบาด COVID-19 และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอินเดีย โดยเดือนเมษายน อินเดียปรับปรุงนโยบายการลงทุนจากบริษัทต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มทุนจากจีน ให้มีความรัดกุมและเข้มงวดมากขึ้น นอกจากนี้ ยังกระตุ้นให้ชาวอินเดียหันมาใช้สินค้าและบริการท้องถิ่นอินเดียเพิ่มขึ้น เพื่อลดการขาดดุลต่างประเทศ
.
อ้างอิงจาก :
https://techcrunch.com/2020/06/02/remove-china-apps-google-play-store/
https://qz.com/1864073/millions-of-indians-flocked-to-download-a-tool-that-removes-chinese-apps/
#OnUFO #India #China #RemoveChinaApps #GooglePlay
-
คำสั่งแบน 6 สายการบินจีน เริ่ม 16 มิ.ย.
แต่อาจเร็วกว่านั้น ขึ้นอยู่กับโดนัลด์ ทรัมป์
.
1/ ตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆระหว่างสองชาติเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของโลก จีน-สหรัฐฯ นอกจากสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 และความเคลื่อนไหวของจีนที่ออกกฎหมายความมั่นคงฉบับใหม่ต่อฮ่องกง แล้ว
2/ ล่าสุด สหรัฐฯมีคำสั่ง ห้ามสายการบินพาณิชย์ 6 แห่งของจีนบินเข้าและออกสหรัฐอเมริกา
.
3/ คำสั่งนี้ให้มีผลบังคับใช้ 16 มิถุนายนเป็นต้นไป แต่อาจจะเร็วกว่านั้น ขึ้นอยู่กับคำสั่งของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
.
4/ 6 สายการบินพาณิชย์ของจีนที่ถูกสหรัฐฯแบน ได้แก่…
-แอร์ไชน่า (สายการบินแห่งชาติ)
-ไชน่า อีสเทิร์น แอร์ไลน์ส
-ไชน่า เซาเทิร์น แอร์ไลน์ส
-ไห่หนาน แอร์ไลน์ส
-เสฉวน แอร์ไลน์ส
-เซียะเหมิน แอร์ไลน์ส
.
5/ ปกติ มีเพียง 4 สายการบินเท่านั้นที่มีเส้นทางบินระหว่างเมืองใหญ่ในจีนกับเมืองใหญ่ของสหรัฐฯ คือ แอร์ไชน่า / ไชน่า อีสเทิร์น แอร์ไลน์ส / ไชน่า เซาเทิร์น แอร์ไลน์ส / และเซียะเหมิน แอร์ไลน์ส
.
6/ กระทรวงคมนาคมสหรัฐฯให้เหตุผลประกอบคำสั่งแบนว่า สายการบินพาณิชย์หลายแห่งของสหรัฐฯยื่นเรื่องต่อสำนักงานการบินพลเรือนของรัฐบาลจีน ตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เพื่อขอกลับมาเปิดบริการเส้นทางการบินระหว่างจีน-สหรัฐฯ ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน หลังหยุดไปนานหลายเดือนเพราะวิกฤตโควิด-19
.
7/ แต่...คำขอนั้นไม่ได้รับการตอบสนองใดๆ กระทรวงคมนาคมสหรัฐฯถือว่า เป็นการละเมิดความร่วมมือด้านการบินพาณิชย์ในระดับทวิภาคี
.
8/ ความเคลื่อนไหวล่าสุดจากจีนหลังสหรัฐฯประกาศแบนคือ สำนักงานการบินพลเรือนแห่งชาติจีน - CAAC อนุญาตให้สายการบินต่างชาติ (ไม่ได้ระบุประเทศ) เริ่มให้บริการเส้นทางบินเข้า-ออกจีนได้สัปดาห์ละ 1 ครั้งต่อ 1 เส้นทาง
.
9/ คำสั่งนี้ เริ่มตั้งแต่วันที่ 8 มิถุนายนเป็นต้นไป แต่รัฐบาลจีนจะอนุมัติเฉพาะสายการบินที่ผ่านเกณฑ์เท่านั้น
.
-
#โบราณคดีจีนจากงานสัมมนา
#สุสานโจโฉกับงานโบราณคดีจีน
สวัสดีค่ะ พอดีวันอังคารที่ผ่านมามีบรรยายออนไลน์ของศาสตราจารย์ฉีตงฟาง อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญโบราณคดีสมัยราชวงศ์ฮั่น-ถัง ของมหาวิทยาลัยปักกิ่งค่ะก็เลยคิดว่าน่าสนใจเลยอยากมาสรุปให้ฟัง (จริงๆ ก็มีงานบรรยายแทบทุกอาทิตย์ค่ะช่วงนี้ เพราะเข้าถึงได้ของทุกมหาวิทยาลัย แต่ก่อนตอนเป็นบรรยายในห้องประชุมก็จะได้ฟังแค่เดือนละครั้งโดยประมาณตามแต่ทางคณะเชิญมาค่ะ) อาจารย์เล่าว่ามีเรื่องเล่าหลายเรื่องแหละ แต่ไหนๆ ก็บรรยายออนไลน์เลยอยากเล่าเรื่องที่คนทั่วไปทั้งจีนและทั่วโลกสนใจกันดีกว่านั่นคือเรื่อง
“สุสานโจโฉกับงานโบราณคดีจีน”
เรื่องเริ่มต้นที่เมืองอันหยาง มณฑลเหอหนานค่ะ ถ้าใครพอจะจำได้ เมืองนี้เขามีการทำงานมานานพอๆ กับการเริ่มต้นของโบราณคดีจีนเลยค่ะ เพราะเป็นพื้นที่ที่ผลิต “สำริด” ที่เก่าที่สุดในจีน นั่นคือ “เมืองซางอันหยาง” หรือระบุลงไปอีก “แหล่งโบราณคดียินซู” ทีนี้เพื่อให้เข้าใจมากขึ้น ขอปูพื้นฐานคร่าวๆ ก่อนค่ะว่าทำไมที่เมืองซางถึงมีสุสานโจโฉ
ตรงนี้อยากให้ทุกคนนึกถึงเค้กค่ะ แล้วจินตนาการว่าแต่ละช่วงเวลาเป็นเค้กหนึ่งชั้น ชั้นแรกเป็นเค้กช็อกโกแลตสีน้ำตาลเข้มอยู่ล่างสุดแทนสมัยซาง ชั้นต่อมาเป็นเค้กไวท์ช็อกสีขาวแทนสมัยโจว ชั้นที่สามเป็นเค้กสตอเบอรี่สีชมพูแทนสมัยฮั่น ชั้นที่สี่เค้กส้มสีส้มแทนสมัยหมิง และชั้นบนสุดเค้กชาเขียวสีเขียวแทนสมัยปัจจุบัน ทีนี้ เค้กแต่ละรสชาติก็จะมีส่วนผสมที่แตกต่างกันใช่ไหมคะ ดินที่นักโบราณคดีขุดก็เช่นกันค่ะ ในแต่ละสมัยดินไม่เหมือนกัน วัชพืชและเมล็ดพืชที่ผสมอยู่ก็เช่นกันค่ะ ดังนั้นในการขุดค้นเราขุดจากชั้นปัจจุบันลงไป กว่าจะลงไปถึงชั้นดินสุดท้าย(คือช็อกโกแลต) ก็จะต้องผ่านชั้นไวท์ช็อก เค้กสตอเบอรี่ เค้กส้มและเค้กชาเขียวไปก่อน
ที่ “เมืองซาง” เองก็เช่นกันค่ะ เป้าหมายคือต้องการศึกษา “ซาง” แต่ก่อนหน้านั้นนักโบราณคดีจะต้องผ่าน “ฮั่น” ลงไป
โจโฉอยู่สมัยสามก๊กใช่ไหม ซึ่งก็ต่อจากฮั่นค่ะ ดังนั้นลักษณะของอุทิศและสุสานเขาจะได้รับอิทธิพลของสมัยฮั่นมาพอสมควร ดังนั้นในแรกการหาสุสานโจโฉจึงหาจากกลุ่ม “สุสานฮั่น” ค่ะ
ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือในพื้นที่นี้การ “ลักขุด” เกิดขึ้นเยอะค่ะ แน่นอนว่าเกิดมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว หลักฐานที่ชัดเจนก็ในสมัยซ่ง แต่จริงๆ ในช่วงสงครามก็ขุดสุสานกันเป็นว่าเล่นเหมือนกันค่ะ ดังนั้นสุสานโจโฉนี้เป็นเรื่องขึ้นมาจากการ “ลักขุด” นี่แหละค่ะ
เรื่องเกิดขึ้นเมื่อทางสถาบันวิจัยโบราณวัตถุและโบราณคดีมณฑลเหอหนานได้รายงานว่า “พบสุสานโจโฉแล้ว” ในปี 2009 นับแต่นั้นความวุ่นวายมากมายก็เกิดขึ้นตามมา
หลักฐานที่แสดงถึงการเป็น “สุสานโจโฉ” ในเวลานั้น มีดังนี้
1. ร่องรอยสุสานขนาดใหญ่ ยาวประมาณ 60 เมตร
2. พบชิ้นส่วนภาพสลักหินที่แตกหักมากมาย ระบุว่าเป็นสมัย “ฮั่นเว่ย”
3. มีเอกสารโบราณระบุเอาไว้ว่าสุสานโจโฉตั้งอยู่บริเวณนี้
4. แม้สุสานจะใหญ่ แต่ข้าวของธรรมดา มีเพียงอาวุธกับหมอนที่มีสลักอักษรเอาไว้ แต่รูปแบบไม่พิเศษ หาได้ทั่วไปในสมัยนั้น
5. พบแผ่นหินที่สลักคำว่า “เว่ยอูหวาง(魏武王)” ที่สามารถระบุว่าเป็นสุสานของโจโฉ เพราะยามมีชีวิตเขาเคยใช้นาม “เว่ยกง(魏公)” และ “เว่ยหวาง(魏王)” ต่อมาเมื่อสิ้นชีพมีนาม “อู่หวาง(武王)” ซึ่งสามารถเรียกรวมได้ว่า “อู่หวงตี้(武皇帝)” “เว่ยอู่ตี้(魏武帝)” ดังนั้น “เว่ยอู่หวาง” จึงมีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นสุสานโจโฉ
แต่ภายหลังการประกาศ เกิดข้อถกเถียงมากมายตามมาว่านี่ใช่สุสานโจโฉจริงๆ หรือไม่ ฉีเหล่าซือจึงใช้พื้นที่ตรงนี้แก้ไขข้อถกเถียงทั้งหมด ซึ่งพอจะสรุปได้ใหญ่ๆ 6 ข้อ ดังนี้
1. แผ่นหินที่สลักว่า “เว่ยอู่หวาง” ไม่ได้มาจากการขุดค้น แต่มาจากการลักขุด ดังนั้นเชื่อถือไม่ได้
2. อาวุธที่ว่าเว่ยอู่หวางเคยใช้งานไม่รู้ว่าจริงแท้ เพราะสุสานถูกลักขุดมาแล้ว ไม่ได้มีประตูปิด
3. สุสานพบโครงกระดูกชาย 1 หญิง 2 ไม่แน่ใจว่าจะใช่โจโฉไหม ต้องนำมาพิสูจน์ DNA กับคนสกุลโจ (สกุลเฉา *โจโฉในภาษาจีนกลางคือเฉาเชา)รุ่นหลัง
4. ต้องดูว่าเป็นสุสานของใคร และต้องระบุชื่อสุสานอีกที
5. ป้ายหินต่างๆ ที่พบไม่ใช่ของในสุสาน เป็นของที่ใช้จับจ่ายซื้อของ ไม่ควรจะมีอยู่ที่นี่
6. ถ้าการลักขุดสำเร็จก็ไม่น่าจะเหลืออะไรที่เป็นของเดิมแล้ว
ด้านบนคือการตีข่าวของนักข่าวที่บอกไป แต่ในทางโบราณคดีแล้วเป็นอีกทาง เพราะเราเชื่อว่าที่นี่คือ “สุสานโจโฉ” จริงๆ ก่อนจะบอกเหตุผลร่วม ต้องแก้ต่างข้อกล่าวหาทั้งหมดก่อน
1. แผ่นหินที่สลักว่า “เว่ยอู่หวาง” ไม่ได้มาจากการขุดค้น แต่มาจากการลักขุด ดังนั้นเชื่อถือไม่ได้
- มาจากการขุดค้น มีรูปตั้งแต่การขุดตามร่องรอยลงไปจนพบ
2. อาวุธที่ว่าเว่ยอู่หวางเคยใช้งานไม่รู้ว่าจริงแท้ เพราะสุสานถูกลักขุดมาแล้ว ไม่ได้มีประตูปิด
- สุสานลักขุดจริง แต่ไม่ได้เป็นการลักขุดในสมัยหลัง เพราะอย่างที่พูดไปข้างต้น ไม่มีร่องรอยของดินปัจจุบันขุดลงไปข้างล่าง ดังนั้นสุสานไม่ได้ปิดจริง แต่มันไม่ได้ปิดมาตั้งแต่สมัยนั้นแล้ว
3. สุสานพบโครงกระดูกชาย 1 หญิง 2 ไม่แน่ใจว่าจะใช่โจโฉไหม ต้องนำมาพิสูจน์ DNA กับคนสกุลโจ (สกุลเฉา *โจโฉในภาษาจีนกลางคือเฉาเชา)รุ่นหลัง
- DNA คนสกุลโจปัจจุบันไม่ได้หมายความว่าจะเป็นสกุลโจวในอดีต ดังนั้นจะเสียเวลาทำไปทำไม
4. ต้องดูว่าเป็นสุสานของใคร และต้องระบุชื่อสุสานอีกที
- คำตอบเดียวกับข้อบน วิทยาศาสตร์บอกคุณไม่ได้หรอกว่าเขาเป็นใคร ถ้าคุณไม่มีชื่อเขาสลักอยู่ หรือมีเอกสารที่กล่าวถึง
5. ป้ายหินต่างๆ ที่พบไม่ใช่ของในสุสาน เป็นของที่ใช้จับจ่ายซื้อของ ไม่ควรจะมีอยู่ที่นี่
- มีเอกสารในสมัยสามก๊กที่ระบุว่าการสร้างสุสานในสมัยนั้นนิยมทำป้ายหินระบุตัวตนใส่ลงไป ดังนั้นเรื่องนี้มีความเป็นไปได้ แม้บริเวณสุสานฮั่นรอบๆ จะไม่พบมาก แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่เจอ บางสุสานอาจไม่พบเป็นชื่อเจ้าของ แต่เป็นการสลักอื่นๆ ที่อาจมีความเกี่ยวข้องกับเจ้าของสุสาน
6. ถ้าการลักขุดสำเร็จก็ไม่น่าจะเหลืออะไรที่เป็นของเดิมแล้ว
- ก็ไม่ได้ลักขุดในสมัยนี้นะ
ทีนี้ฉีเหล่าซือก็เริ่มเปรียบเทียบข้อมูลทางฝั่งโบราณคดีโดยเริ่มจากสุสาน เทียบผังสุสานสมัยเว่ยกับสุสานที่ว่าเป็นสุสานโจโฉนี้ ก็พบว่ามีขนาดพอๆ กับสุสาน “กษัตริย์” อื่นๆ เล็กกว่าบางที่ แต่ใหญ่กว่าสุสานที่ระบุว่าเป็นฮองเฮาของกษัตริย์อีกองค์ ดังนั้น เล็กกว่ากษัตริย์อื่นได้ แต่ใหญ่กว่าฮองเฮา ยังไงก็ต้องเป็นกษัตริย์
โบราณวัตถุที่พบ แม้ “ธรรมดา” แต่เมื่อเทียบกับสุสานฮั่นอื่นๆ ในพื้นที่นั้นถือว่า “มีจำนวนมาก” จึงเหมาะสมกับฐานะอย่างไม่ต้องโต้แย้ง ภาชนะหลายใบยังเป็นภาชนะเคลือบ และมีโบราณวัตุหลายชิ้นมาจากต่างประเทศ ซึ่งคนธรรมดาคงไม่อาจครอบครองได้
มี “ปี้” และ “กุย” ที่ทำจากหิน อธิบายสั้นๆ ว่า “ปี้” กับ “กุย” คือวัตถุที่แสดงฐานะของชนชั้นสูงในสังคมค่ะ มักพบฝังร่วมอยู่กับผู้ตาย มีมาตั้งแต่สมัยหินใหม่แล้ว ดังนั้นเป็นวัตถุที่คนธรรมดาไม่อาจครอบครองได้
นอกจากนี้ยังพบเหรียญสำริดและพื้นที่ตั้งที่สอดคล้องกับเอกสารของราชสำนักที่บันทึกเอาไว้ว่าสุสานอยู่ตรงไหน ดังนั้นนักโบราณคดีจึงเชื่อว่าที่นี่คือ “สุสานโจโฉ” จริงๆ
แต่ทำไมประตูถึงเปิดออก แล้วภาพสลักถึงไม่สมบูรณ์และแตกเป็นชิ้นๆ
พูดเรื่องภาพสลักก่อน หลักฐานนี้เมื่อเทียบกับภาพสลักร่วมสมัยฮั่นตะวันออกแล้วพบว่ามีลายเส้นและเรื่องราวที่เล่าเป็นไปในแนวทางเดียวกัน (ในแต่ละสมัยค่านิยมการสลักเรื่องราวต่างกันไป) แต่โดยรวมแล้วน่าจะเป็นการ “สร้างไม่เสร็จ” มากกว่า ซึ่งตรงจุดนี้ไม่มีระบุเอาไว้ในเอกสารว่าทำไม แต่ไม่ว่าจะดูยังไงสุสานนี้ก็สอดคล้องกับการเป็นสุสานโจโฉ แต่หลังจากพิธีศพอาจเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันบางอย่างขึ้น เช่น มีคนพยายามจะทำลาย จึงมีการเคลื่อนย้ายโบราณวัตถุมีค่า และทิ้งบางส่วนเอาไว้ ทั้งยังเปิดประตูอ้าไม่สนใจ และภาพสลักหินที่ไม่สมบูรณ์อาจเพราะขนย้ายไปยังสุสานแห่งใหม่แล้ว ที่ตรงนี้เลยเหลือเศษๆ ที่ทิ้งเอาไว้ ส่วนร่างของคนที่พบ หากไม่เป็นคนที่ปลงศพไปด้วยกันอาจจะนำมาไว้ภายหลังในช่วงเวลาไม่ห่างกันมากนักเป็นไปได้
ดังนั้น สุสานแห่งนี้จึงเป็น “สุสานโจโฉในภายหลังการตาย” ที่สอดคล้องกับหลักฐานเอกสารในสมัยนั้นได้ระบุเอาไว้ แต่สุดท้ายแล้ว “สุสานโจโฉหลังจากนั้น” อยู่ที่ไหน เราก็ยังคงต้องรอการศึกษาต่อไป
ใครจะรู้... อาจจะเป็นหนึ่งในสุสานฮั่นที่ระบุไม่ได้ในพื้นที่ใกล้เคียงก็ได้
ฉีเหล่าซือเสนอว่าใครสนใจสามารถไปช่วยทางไซต์วิเคราะห์โบราณวัตถุสมัยฮั่นได้ เพราะเขาทำไม่ได้ทัน คนส่วนใหญ่ของเขาเน้นทำงานสมัยซางมากกว่า ซึ่งก็ทำไม่ทันเช่นกัน
ฉีเหล่าซือส่งท้ายอีกว่า “ใครอยากจะโต้แย้งก็โต้มาเลย แต่ขอให้เขียนบทความโต้ เอางานวิชาการมาแข่งกัน หักล้างหลักฐานที่ผมเสนอไปให้ได้ ไม่ใช่เอาแต่ลงข่าวว่าไม่ใช่”
สุดท้ายนี้ฉีเหล่าซือฝากว่านักข่าวเวลาจะลงข่าวช่วยตรวจสอบให้มากด้วย เวลาเราอ่านข่าวโบราณคดีเช่นกัน ต้องสืบเสาะที่มาว่าถูกต้องหรือไม่ เพราะเดี๋ยวนี้โลกออนไลน์มันไปไกล อยากให้คนเขียนข่าวมีจรรยาบรรณมากกว่านี้ เพราะทำแบบนี้นักโบราณคดีเสียหาย งานก็วุ่นวายมากเพราะมีแต่คนอยากรู้เข้ามาถามกัน
เพิ่มเติม*
ช่วงคำถามที่น่าสนใจน่าจะมีข้อหนึ่งที่ไม่ใช่เรื่องเทคนิคเกินไปคือ “สุสานสร้างสมัยโจโฉมีชีวิตหรือสร้างสมัยหลัง” คำตอบคือ “ไม่รู้” เพราะตรงจุดนี้เราทำได้แต่ค้นเอกสาร นักโบราณคดีทำได้เพียงระบุเวลาคร่าวๆ จากหลักฐานร่วม ซึ่งสมัยฮั่น – จั้นกว๋อ โบราณวัตถุคล้ายกันมาก ยากที่จะเจาะจงไปเป็น 10 ปี 20 ปี เราระบุอายุในช่วง 100 ปีขึ้นไป
เรื่องชั้นดินในอนาคตจะเขียนเพิ่มนะคะ แต่แวะไปอ่านที่เพจเพื่อนบ้านก่อนก็ได้ค่ะ ArchaeoGO
-
พบผู้ติดเชื้อที่ไม่แสดงอาการทั้งสิ้น 300 รายจากการตรวจหากรดนิวคลิอิกพลเมืองทั่วอู่ฮั่น
#โควิด19 #อู่ฮั่น #ตรวจกรดนิวคลิอิก
วันที่ 2 มิถุนายน รัฐบาลท้องถิ่นของอู่ฮั่นประกาศว่า ตั้งแต่เวลา 0.00 น. ของวันที่ 14 พฤษภาคม ถึงเวลา 24.00 น. ของวันที่ 1 มิถุนายน ทางการอู่ฮั่นได้ตรวจกรดนิวคลิอิกประชาชนทั่วเมืองจำนวนทั้งสิ้น 9,899,828 คน ซึ่งผลตรวจไม่พบผู้ติดเชื้อยืนยันเลย ทั้งนี้ได้ตรวจพบผู้ติดเชื้อแบบไม่แสดงอาการจำนวน 300 ราย และได้สืบหาผู้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อกลุ่มดังกล่าวอีก 1,174 ราย แต่ผลตรวจกรดนิวคลิอิกของผู้สัมผัสใกล้ชิดก็พบว่าเป็นลบทั้งหมด
เฝิง จื่อเจี้ยน รองผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของจีนกล่าวว่า แม้ว่าการตรวจครั้งนี้จะไม่พบว่าผู้ติดเชื่อที่ไม่แสดงอาการจะมีประวัติการแพร่กระจายเชื้อไปยังผู้อื่น แต่ทางการอู่ฮั่นก็ยังต้องกักตัวเฝ้าดูอาการทั้งผู้ติดเชื้อที่ไม่แสดงอาการและผู้สัมผัสใกล้ชิดกับบุคคลกลุ่มนี้ต่อไป ซึ่งอู่ฮั่นในตอนนี้ถือเป็นเมืองที่มีความปลอดภัยมากที่สุด
กดไลก์และติดตามด้วยนะคะ ชอบคุณค่ะ
-
เซี่ยงไฮ้จัดเทศกาลดนตรีคลาสสิกกลางแจ้งเป็นครั้งแรกหลักสถานการณ์หารระบากคลี่คลาย
#โควิด19 #คอนเสิร์ต #เซี่ยงไฮ้
เนื่องจากสถานการณ์การระบาดได้คลี่คลายลงแล้ว วิถีชีวิตของชาวเซี่ยงไฮ้เริ่มคืนสู่ภาวะปกติ เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคมที่ผ่านมา เซี่ยงไฮ้ได้จัดเทศกาลดนตรีคลาสสิกกลางแจ้งขึ้นเป็นครั้งแรกหลักการระบาดของโควิด-19 คลี่คลายลงแล้ว
เทศกาลดนตรีครั้งนี้ไม่จำหน่ายบัตรเข้าชม แต่จัดงานในรูปแบบของการแสดงเพื่อการกุศลแทน ทั้งยังได้เชิญตัวแทนทีมบุคลากรการแพทย์ที่ไปทำภารกิจในอู่ฮั่น ตัวแทนผู้ปฏิบัติภารกิจด้านอื่น ๆ ในแนวหน้าต้านโควิดฯ พร้อมด้วยสมาชิกในครอบครัวมาในงานเทศกาลดนตรีนี้โดยเฉพาะอีกด้วย
สมาชิกในทีมบุคลากรการแพทย์ที่ไปทำภารกิจในอู่ฮั่นกล่าวว่า เมื่อถอดหน้ากากอนามัยแล้วก็ได้สูดอากาศอันสดชื่น สัมผัสถึงความอบอุ่นและพลังที่มาจากเสียงดนตรี ดีจังเลย
กดไลก์และติดตามด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ
-
โรงแรมห้าดาวในอู่ฮั่นเปิดแผงจำหน่ายอาหารว่าง รับมือผลกระทบจากโควิดฯ
#โควิด19 #อู่ฮั่น
เพื่อรับมือกับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 โรงแรมระดับห้าดาวหลายแห่งในนครอู่ฮั่นได้ยกเอาโต๊ะออกมาตั้งหน้าประตูโรงแรม ทำอาหารว่างและของปิ้งย่างหลายประเภท ดึงดูดชาวเมืองให้มาซื้อรับประทาน ราคาของอาหารยังเหมาะสำหรับคนทั่วไปด้วย อาหารว่างหลายอย่างมีราคาเพียง 10 หยวน (ราว 44 บาท)โดยประมาณ ค่าใช้จ่ายสำหรับซื้ออาหารจีนต่อคนลดลงจาก 300 หยวน (ราว 532 บาท) เหลือเพียง 120 หยวน (ราว 1,330 บาท)โดยประมาณ
กุ้งเครฟิชเป็นหนึ่งในอาหารเลิศรสยอดนิยมของชาวอู่ฮั่น โรงแรมแห่งหนึ่งในอู่ฮั่นได้ทำอาหารแนวใหม่ขึ้นที่ใส่กุ้งเครฟิชและขนมปังเข้าไว้ด้วยกัน ทั้งยังได้เปิดตัวเซ็ตอาหารกลางวัน ซึ่งชาวอู่ฮั่นสามารถเลือกรับประทานที่ร้าน หรือสั่งอาหารผ่านบริการจัดส่งได้เช่นกัน
กดไลก์และติดตามด้่วยนะคะ ขอบคุณค่า
-
เมื่อวานตอนเช้า Donald Trump โพสต์ถึงสำนักข่าว CNN, MSNBC, The New York Times, และ Washington Post ในทำนองว่าเป็นแหล่งรวมของข่าวปลอมที่ส่งต่อเนื้อความที่ปรุงแต่ง เอาแต่ใส่ร้าย ใส่ไฟ ใส่ไข่ ถึงขั้นที่ว่าถ้ามีข่าวปลอมเกิดขึ้นเมื่อไรให้สงสัยไว้ก่อนเลยว่ามาจาก 4 แหล่งที่เขากล่าวนี้
ซึ่งเขาไม่ได้พูดออกมาตรงๆหรอกว่า 4 สำนักข่าวพวกนี้ใส่ร้ายเขา แต่เขาใช้คำว่า “Disinformation” ที่ในเชิงรัฐศาสตร์มีความหมายว่าการปลุกปั่นด้วยข้อมูลที่ถูกปรุงแต่งโดยหวังผลทางการเมือง มาใช้นิยาม CNN, MSNBC, NYTIMES, และ Washington Post ผมเลยเอามาขยายความต่อให้
ตรงนี้ผมไม่ค่อยเห็นด้วยกับ Donald Trump สักเท่าไร แต่จากข้อความเหล่านี้บวกกับที่ผมใช้เวลาคลุกคลีกับคนบนโลกออนไลน์ในไทยมาสักพัก ผมประเมินว่าคนไทยหลายๆคนอาจจะคล้อยตาม Donald Trump ไปไม่มากก็น้อย เพราะผมเห็นบ่อยมากที่คนไทยไปเย้วๆตาม Donald Trump แล้วอ้างว่า BBC กับ CNN เป็นสำนักข่าวที่ชอบใส่ร้ายคนอื่น
เอาจริงๆตรงนี้มันเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยจะถูกต้องสักเท่าไร กับการเหมารวม หรือไปแปะป้ายว่าสำนักข่าวไหนมันเป็น outlet เป็นแหล่งรวมของ Fake news หรือข่าวปลอม เพราะทุกๆสำนักข่าวมันก็คือสำนักข่าวอะครับ ตาม Concept ของมันเลย คือมีสถานะเป็น House เป็น Outlet เป็นคลังของข่าว
ซึ่งคลังของข่าวก็ตรงตัวในเรื่องของการไปหาข่าวแล้วนำมาเผยแพร่กระจายต่อ มันเป็นไปไม่ได้ที่สำนักข่าวไหนจะเสนอข่าวที่มีความเป็น Factual เสีย 100% ผมบอกได้เลยว่าสำนักข่าวทุกสำนักข่าวมี Bias มีอคติเป็นของตนเองอยู่แล้วครับ อย่าไปเชื่อ Spectrum หรือแกนวัดว่าสำนักข่าวไหนเป็นการเมือง เป็นซ้ายหรือเป็นขวา
เวลาจะพิจารณาว่าสำนักข่าวไหนมีความน่าเชื่อถือแค่ไหน ให้ดูประเด็นเรื่องข่าว เนื้อหา หรือประเด็นที่เขานำเสนอ แล้วนำไปเปรียบเทียบกับสำนักอื่นๆเพิ่มเติมว่ามีความเป็นจริงมากน้อยแค่ไหน จะได้รู้ว่าอะไรจริงไม่จริง จริงหรือเท็จ เราอยู่ในโลกที่ข้อมูลข่าวสารมันทะลักเข้ามาตลอดเวลา
การอ่านจากสำนักข่าวไหนสำนักเดียวไม่มีทางเพียงพออยู่แล้ว ถ้าคุณคิดจะติดตามข่าวสาร ก็อย่าพึ่งพาแค่ House หรือ Outlet ข่าวแค่เพียงแหล่งเดียว ทุกสำนักข่าวมีโอกาสเสนอข่าวที่มันผิดพลาดได้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นสำนักข่าวที่บางกลุ่มอ้างว่าเชื่อถือได้อย่าง Reuters, The Economist, หรือแม้แต่ The Financial Times
ก็ล้วนแต่มีโอกาสที่จะเสนอบทความ ข่าว หรือเนื้อหาที่มันไม่ได้เป็นความจริงไปซะ 100% สำนักข่าวทุกสำนักข่าวมีความเอนเอียงเป็นของตัวเองทั้งสิ้น แปลว่า ถึง BBC หรือ CNN มันจะเอียงซ้าย แต่ไม่ได้แปลว่ามันจะต้องเสนอข่าวปลอมไปซะทุกๆครั้ง
ดูที่เนื้อหา อย่าดูที่หัวของสำนักข่าว ถ้าต้องการเสพข่าวสาร เสพสื่อจริงๆ หน้าที่พิสูจน์ความจริง หน้าที่การ Fact-Check หน้าที่การตรวจสอบเป็นของผู้อ่านทุกคน พวกเราทุกคนอยู่ในโลกอินเตอร์เน็ตกันแล้ว ข้อมูลข่าวสารมันไม่มีทางที่จะตรง หรือ Factual 100% คุณต้องตรวจสอบทุกครั้งด้วยตัวเอง
เพราะระบบด้านการตรวจสอบข่าวปลอมของ Google หรือ Facebook/Twitter มันช่วยกรองและแสกนให้เราได้ไม่หมดอยู่แล้ว ต้องพึ่งตัวเอง อย่ารอให้คนอื่นมาพิสูจน์ให้ หรืออย่ามัวแต่อคติบอกว่าสำนักนี้สำนักนั้นไม่ดี อ่านให้จบซะก่อน แล้วเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบทีหลัง
ถ้าไม่อ่านก็จะไม่รู้ ว่าเขาเสนออะไร ที่ Donald Trump ออกมาด่า CNN หรือ The New York Times บ่อยๆเนี่ยพิจารณาดีๆก็เพราะเขาถูก CNN ถูก NY Times วิจารณ์บ่อย แทบจะด่าทุกวันเลยก็เป็นได้ บางครั้งอาจมีการเขียนข่าว หรือตีข่าวจนเป็นประเด็นดราม่าบ้างก็จริง
แต่มันก็เป็นเสรีภาพของสื่อ และในมิติหนึ่งมันก็เป็นหน้าที่ของผู้เสพข่าวสาร ถ้าเขาหรือนักการเมืองชี้นิ้วว่าสำนักข่าวไหนเป็นแหล่งรวม Fake News จงอย่าเชื่อในวินาทีนั้นว่ามันเป็นแหล่งรวม Fake News จริงๆ ตามที่เขากล่าว ให้ลองเปิดใจอ่าน หรือใช้เวลาร่วมกับมันก่อน
ผมไม่เคยสนนะว่าสำนักข่าวไหนถูกด่าว่าเป็น Fake News เป็นสำนักข่าวที่เอียงซ้ายหรือเอียงขวา ทั้ง The Guardian, CNN, BBC, The New York Times, NPR, MSNBC ที่คนว่าเอียงซ้ายกันผมอ่านหมด เช่นเดียวกันกับสำนักข่าวเอียงขวา ไม่ว่าจะ The Economist, National Review, Wall Street Journal, Russia Times อะไรพวกนี้ผมอ่านหมดแหละ
เพราะมันต้องมีการเปรียบเทียบข่าวสารอยู่ตลอดเวลาที่เสพอยู่แล้ว ผมบอกได้เลยว่ามันไม่มีสำนักข่าวไหนเสนอข่าวได้ตรง Fact จากเหตุการณ์ ณ ที่เกิดเหตุจริงๆ 100% หรอก สำนักข่าวส่วนใหญ่ถ้าได้ข่าวมาเขาก็ส่งต่อให้กัน สมมติสำนักข่าว A ไปที่เกิดเหตุก่อน ได้ข่าวมาเขียน ลงเว็ป ลงหนังสือพิมพ์
เขาก็ส่งเนื้อข่าวต่อให้สำนักข่าวอื่นต่อเป็นทอดๆ ถ้าอ่านหนังสือพิมพ์บ่อยๆจริงๆลองสังเกตดูก็ได้ มันจะมีการทำงานร่วมกันของเครือข่ายหนังสือพิมพ์อยู่ อย่างสำนักข่าวไทย หนังสือพิมพ์ไทยเนี่ยก็มีความร่วมมือกับสำนักข่าว AP (Associated Press) อยู่ เวลา AP ลงข่าว พวกหนังสือพิมพ์ไทยก็ไปก็อปมาแปลๆๆ
ฉะนั้นเรื่องสำนักข่าวหัวไหน เอียงไปทางไหน ซ้ายหรือขวาอะไรนี่ ไม่มีประโยชน์ที่จะมัวบ่นครับ ทุกสำนักข่าวมีโอกาสผิดพลาดเท่าๆกันหมด เพราะยุคนี้ต้องแข่งขันกันทำข่าวสาร การส่งต่อข้อมูล การผลิตข้อมูล ความผิดพลาดมีโอกาสเกิดขึ้นทุกเมื่อ
คำแนะนำของผมคือ อ่านจากหลายๆแหล่งจะดีที่สุด อย่าไปเชื่อว่าสำนักนี้ หรือสำนักนั้นไว้ใจได้มากที่สุด แล้วจะอ่านพึ่งพาแต่สำนักนั้นๆไปตลอด มันไม่ใช่ เรื่องแบบนี้เป็นหน้าที่ของผู้เสพข่าวสารครับ ตัวผู้อ่านเป็นหลักเลย
-
เมื่อวันอังคารมีความคืบหน้าจากค่ายกักกันผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญาในเขต Cox’s Bazar ว่ามีการตรวจพบผู้เสียชีวิตรายแรกจากการติดเชื้อไวรัส COVID-19 ภายในค่ายแล้ว (เป็นการตรวจพบเชื้อผ่านการชันสูตรศพของทีมงานแพทย์ผู้ดูแลค่ายภายในบังกลาเทศ) โดยผู้เสียชีวิตนั้นเป็นชายวัย 70 ปี
ที่มีอาการป่วยจากไข้หวัดมานานแล้ว แต่ไม่หายสักที ไม่มีใครสังเกต ไม่มีใครสนใจ เลยไม่ได้รับการรักษาที่ถูกที่ควร หมอที่ทำงานติดตามดูแลค่ายเพิ่งจะมารู้ว่าเขาป่วย COVID-19 ก็หลังจากเขาตายไปแล้ว ทีนี้มันก็เลยกลายเป็นเรื่องวุ่นวาย ยุ่งเหยิงกันใหญ่ เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่าภายในค่ายผู้ลี้ภัยของบังกลาเทศนั้น
ขาดแคลนทรัพยากร ขาดหน้ากากอนามัย อุปกรณ์ป้องกันสำหรับผู้ป่วย ชุดตรวจไวรัส COVID-19 ก็มีจำนวนจำกัด ที่น่ากลัวที่สุดขณะนี้คือเป็นหน้าฝน หน้ามรสุม ฝนตก มีพายุพัดเข้าพัดออกบริเวณค่ายตลอด คนจึงเป็นหวัด ไอ จาม เป็นไข้หวัดกันเยอะอยู่แล้ว ระบบการรักษาและการสาธารณสุขที่เกิดขึ้นภายในค่ายจึงเกิดขึ้นในแบบที่รักษาไข้หวัดธรรมดาๆ
ใครป่วยก็ให้มารับยาแก้ไอ ยาพาราไป ไม่ได้มีการจับคนภายในค่ายมาตรวจหาไวรัส COVID-19 กันอย่างจริงจังเท่าไรนัก เพราะชาวโรฮิงญาที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อทั้งหมดกว่า 15,000 คนนั้นถูกแยกออกไปกักตัวที่อื่นกันหมดตั้งแต่วันแรกๆที่มีการพบเชื้อไวรัส COVID-19 เมื่อกลางเดือนพฤษภาคมแล้ว
จึงมีความเป็นไปได้สูงว่าจะมีผู้ติดเชื้อแอบแฝงรายอื่นๆปะปนอยู่ภายในชุมชนของโรฮิงญาภายในค่ายผู้ลี้ภัยแห่งดังกล่าว อาจจะมีทั้งติดเชื้อแบบไม่แสดงอาการ และทั้งแบบติดเชื้อแบบแสดงอาการแต่ยังไม่มีใครสังเกต หรือไหวตัวทันแล้วพาเขาไปตรวจคัดกรอง
นี่คือสิ่งที่น่ากังวลครับ เพราะชายวัย 70 ปีผู้เสียชีวิตคนล่าสุดนี้กำลังเป็นเครื่องยืนยันว่ายังมีผู้ติดเชื้อจากไวรัส COVID-19 แอบแฝงตัวรวมอยู่ภายในชุมชนร่วมกับคนอื่นๆ หรือแม้กระทั่งมีผู้ติดเชื้อเล็ดรอดจากการตรวจคัดกรองออกไป ทำให้ตอนนี้เชื้ออาจแพร่กระจายไปยังหลายๆมุมของค่ายผู้ลี้ภัยที่ Kutapalong เรียบร้อยแล้ว
ค่ายผู้ลี้ภัยภายในบังกลาเทศแห่งนี้จึงอาจจะกลายเป็นศูนย์กลางการระบาดครั้งใหญ่ของบังกลาเทศ ด้วยจำนวนประชากรภายในค่ายที่มีมากกว่า 600,000 คน อยู่กันอัดๆแบบ 40,000-70,000 คน ต่อตารางกิโลเมตรน่ะ
(อันนี้แค่ค่ายเดียวนะ ยังมีค่ายอื่นๆอีก จำนวนโรฮิงญาที่ลี้ภัยจากพม่ามาอยู่บังกลาเทศขณะนี้ตัวเลขทั้งหมดนั้นรวมกันเกิน 1,000,000 คนไปแล้ว)
ซึ่งถ้ามันกลายเป็นศูนย์กลางการระบาดของบังกลาเทศจริงๆ พื้นที่ตรงนี้ก็จะกลายเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ควบคุมดูแล และบริหารจัดการยากที่สุดแห่งหนึ่งภายในบังกลาเทศ จากเดิมที่ทางบังกลาเทศเป็นประเทศยากจน มีระบบสาธารณสุขที่ไม่ค่อยแข็งแรง ขาดแคลนทรัพยากรอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
ถ้าเจอวิกฤติภายในค่ายผู้ลี้ภัยแถบ Cox’s Bazar นี้อีก ก็อาจจะมีทรัพยากรการรักษาให้แก่ชาวโรฮิงญาไม่เพียงพอก็เป็นได้ อนึ่ง ณ เวลานี้ผ่านไปประมาณ 3 สัปดาห์แล้วหลังจากที่ตรวจพบเคสผู้ป่วย COVID-19 คนแรกภายในค่ายโรฮิงญา แต่ทางฝ่ายสาธารณสุขที่เข้ามาดูแลนั้นเพิ่งทำการตรวจเคสไปแค่ประมาณ 300 กว่าตัวอย่างนิดๆเอง
หากมีการระบาดขึ้นมาในค่ายโรฮิงญาจริงๆ คงจะมีโรฮิงญาเสียชีวิตไปไม่น้อยทีเดียว จากภาวะขาดแคลนทรัพยากร อุปกรณ์ทางการรักษา และบุคลากรที่ผันตัวเข้ามาให้การช่วยเหลือแก่โรฮิงญาที่นี่
** ขณะนี้ตัวเลขผู้ติดเชื้อไวรัสล่าสุดภายในค่ายยังมีค่อนข้างต่ำคือ 29 คน จากการตรวจทั้งหมด 300 กว่าตัวอย่าง ส่วนบังกลาเทศนั้นมีผู้ติดเชื้อรวมทั้งหมดประมาณ 57,000 กว่าคน เสียชีวิตอีก 780 คน โดยภาพรวมของกราฟยังคงมีความชันขึ้นอยู่เรื่อยๆทุกวัน และมีแนวโน้มที่จะหนักขึ้นเรื่อยๆด้วย
เรื่องนี้คงโทษบังกลาเทศ หรือการบริหารจัดการของรัฐบาลบังกลาเทศอย่างเดียวคงไม่ได้ เพราะแค่ลำพังดูแลตัวเองก็หนักพออยู่แล้ว ครั้นจะแบ่งทรัพยากรไปดูแลคนโรฮิงญาก็คงไม่มีกำลังมากพอ คงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ขององค์กรโลกบาลอย่างสหประชาชาติ หรือไม่ก็องค์กรแพทย์ไร้พรมแดน (Medecins-sans-Frontieres) เป็นหลักแทน
(ในการจัดหาทรัพยากรการรักษา และชุดตรวจ รวมถึงอุปกรณ์ป้องกันโรคระบาดชนิดอื่นๆ)
-
สถานการณ์ในฮ่องกงค่อนข้างวุ่นวาย และน่าจะคุกรุ่นขึ้นเรื่อยๆในทุกวันมาเป็นเวลาเกือบสัปดาห์นึงแล้ว ตั้งแต่ที่จีนนำเสนอแผนที่จะแก้กฎหมายรัฐธรรมนูญน้อย (ขออนุญาตเรียกว่ารัฐธรรมนูญน้อย เพราะเห็นส่วนใหญ่ในภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Mini constitution) แล้วจำกัดสิทธิประชาชนฮ่องกงไม่ให้ก่อประท้วงขึ้นมาอีก
ละไหนจะเรื่องเพลงชาติ March of the Volunteers ที่เป็นเพลงชาติจีนต้นตอของปัญหาของเรื่องอีก (กฎใหม่ที่จะมีการแก้นี้คือ ใครเอาเพลงชาติจีนมาล้อเลียน หรือดูหมิ่น จะต้องโดนจับเข้าคุก หรือโดนปรับเป็นเงินค่าปรับจำนวนกว่า 5,000 ปอนด์) คนฮ่องกงก็เลยพากันออกมาประท้วง
แต่เรื่องมันไม่ได้จบแค่ว่าฮ่องกงออกมาประท้วงจีน หรือจีนพยายามจะแก้กฎหมาย ตอนนี้ตัวละครโผล่เข้ามาในสนามกันเต็ม ทั้งสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย อังกฤษ ไต้หวัน ฝ่ายออสเตรเลียก็ผสมโรงด่าจีนเพราะมีปัญหากับจีนมาก่อนแต่แรกอยู่แล้ว
ฝ่ายไต้หวันกับอังกฤษก็ฉวยโอกาสแกล้งประกาศจะเปิดรับผู้ลี้ภัยชาวฮ่องกงให้ลี้ภัยไปยังประเทศตนเอง (อย่างอังกฤษนี้ถึงขั้นมีแผนจะให้สัญชาติอังกฤษกับพวกที่ถือพาสปอร์ต BNO ของฮ่องกงกันเลย) ฝ่ายสหรัฐอเมริกาและ Donald Trump ก็ขู่จะเปลี่ยนนโยบายทางการค้าที่มีต่อฮ่องกง
เรื่องนี้ในมุมของจีนเองผมเข้าใจว่าจีนทำไปเพื่อผลประโยชน์แห่งชาติ ตามหลักการด้านความมั่นคงของตนเอง ซึ่งก็เป็นเรื่องที่มีเหตุผล ตาม Rationale ของรัฐบาลจีน ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะในสายตาของจีน เกาะฮ่องกงเป็นของจีน จีนจะทำอย่างไรก็น่าจะเป็นสิทธิของจีน จริงไหม? มันเป็นเรื่องของ Statism รัฐย่อมมองตัวเองเป็นศูนย์กลางอยู่แล้ว
แต่ถ้ามองกลับกันในมุมของการทูต การเมืองระหว่างประเทศ และประชาคมโลกนี้ ไม่ว่าจะมุมไหนจีนก็ผิดครับ และมันสร้างความชอบธรรมให้กับม็อบฮ่องกง กลุ่มผู้ประท้วงฮ่องกงเอามากๆด้วย เพราะพฤติกรรมของจีนนั้นแสดงให้เห็นว่าจีนไม่เคารพกฎกติกา
กฎกติกาที่ว่านี้คือหลักการ One Country, Two Systems หรือ 1 ประเทศ 2 ระบบที่รัฐบาลจีนของ Deng Xiaoping และรัฐบาลอังกฤษของ Margaret Thatcher เซ็นลงนามตกลงกันไว้ ในปี 1984 ที่กรุงปักกิ่ง (ฝั่งจีนนั้นดูเหมือนจะส่ง Zhao Ziyang เป็นคนเซ็นลงนาม)
โดยตามข้อตกลง Sino-British Joint Declaration นั้นจีนต้องให้สิทธิและเสรีภาพทางการเมือง สิทธิในการกำหนดนโยบายการค้า เศรษฐกิจ และกฎหมายอันเป็นเอกเทศแก่เกาะฮ่องกง (ย้ำว่าเป็นเอกเทศ แต่ไม่มีเอกราช) คือ ต้องมีอิสระในการกำหนดทิศทางของตนเอง โดยที่ไม่ต้องให้จีนมาสั่ง มาแทรกแซง
ซึ่งการณ์นี้จะมีกรอบระยะเวลาการปฏิบัติอยู่ 50 ปี คือตั้งแต่ปี 1997 ถึง 2047 แปลว่าในทางปฏิบัติแล้วจีนไม่ควรเข้ามายุ่มย่ามหรือเกาะแกะความเป็นเอกเทศของฮ่องกง แม้ว่าจีนจะค้าขายกับฮ่องกง หรือมีสถานะเป็นเจ้าของเกาะฮ่องกงแล้ว ก็ไม่ควรที่จะใช้อำนาจบาตรใหญ่เข้ามากดขี่ฮ่องกง
เพราะมันยังอยู่ในขอบเขตของนโยบาย 1 ประเทศ 2 ระบบอยู่ แต่จากพฤติกรรมของจีนนั้นแสดงให้เห็นชัดเจนว่า จีนไม่เคยคิดจะทำตามสัญญาเลย เอาแต่จะแทรกแซง แสดงอำนาจ กดขี่ ข่มเหงชาวฮ่องกง เดี๋ยวก็จะหาเรื่องแก้กฎหมายภายในฮ่องกง อย่างปี 2019 ก็หาเรื่องจะแก้กฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดน
ปี 2020 ก็หาเรื่องจะส่งกองกำลังทหารของกองทัพ PLA ของตนเองไปประจำการในเกาะฮ่องกง หาเรื่องจะลิดรอนสิทธิและเสรีภาพของฮ่องกง ห้ามฮ่องกงเอาเพลงชาติตัวเองไปล้อเลียน แล้วยังมีแนวโน้มที่จะบังคับให้ฮ่องกงเรียนประวัติศาสตร์ฉบับที่จีนเขียนขึ้นในโรงเรียนอีก
มองจากมิติไหน จีนก็ผิดนะในประเด็นนี้ (โพสต์นี้ขอพูดถึงแค่ประเด็นนี้เป็นหลักก่อน ยังไม่ขยายไปประเด็นอื่น เพื่อไม่ให้ยาวจนเกินไป) คือจีนไม่เล่นตามกติกาที่ตัวเองเซ็นไว้เอง ก็ไม่แปลกที่จะถูกรัฐบาลของโลกตะวันตกประณามและหาเรื่องกดดัน
ที่สำคัญคือ การเล่นไม่ซื่อของจีนนี้มันส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของฮ่องกง ในความเข้าใจของคนทั่วไปนั้น อาจจะมองว่าม็อบฮ่องกง หรือขบวนการประชาธิปไตยในฮ่องกงเป็นฝ่ายผิดที่ทำให้เศรษฐกิจเสียหายยับเยินจากการออกมาก่อม็อบ เผาเมืองกันเมื่อปี 2019
และจีนอาจไม่ต้องง้อเกาะฮ่องกงในการเป็นศูนย์กลางทางการทำธุรกิจ เพราะจีนมีเสิ่นเจิ้น เซี่ยงไฮ้ ฯลฯ ที่เจริญรุ่งเรืองไม่แพ้ฮ่องกงอยู่แล้ว แต่ในความเป็นจริงนั้น นักลงทุนและรัฐบาลเขาไม่ได้มองว่าเสิ่นเจิ้นดีเลิศอะไรขนาดนั้นนะครับ บริษัทต่างชาติจำนวนมากนิยมเข้าไปทำการปฏิบัติการในจีนก็จริง
แต่ข้อจำกัดของการเข้าไปปฏิบัติการ ไปทำมาค้าขายในจีนแผ่นดินใหญ่ของบริษัทต่างชาติคือ ต้องทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ภายในท้องถิ่นนั้นๆ บริษัทใหญ่ๆที่เข้าไปทำงานในจีนหลายบริษัทถูกบังคับให้ต้องรับเอาเจ้าหน้าที่พรรคคอมมิวนิสต์ในจีนเข้าไปนั่งในบอร์ดบริหารด้วย
(เกือบทุกเรื่องที่ Donald Trump ด่าจีนนั้นมีมูลทั้งหมดครับ ไม่ว่าจะเรื่องการแทรกแซงเศรษฐกิจ การขโมยเทคโนโลยี การใช้กฎหมายส่งต่อข้อมูลเพื่อเอาเปรียบบริษัทข้ามชาติ ปัญหานี้สร้างความหนักใจให้กับบริษัทภายในอเมริกาและยุโรปมานาน แต่แค่พรรค Democrat เขาไม่ได้ออกมาพูดตรงๆบน Twitter แบบ Trump เท่านั้น)
ในขณะที่การทำธุรกิจภายในฮ่องกงมันไม่ได้มีข้อจำกัดเหล่านั้น การเมืองและข้อจำกัดทางด้านกฎหมายมันน้อยกว่าในจีนมาก บริษัทหลายบริษัทจึงไม่เคยคิดจะทิ้งฮ่องกง ขนาดปี 2019 ที่ผ่านมาคนฮ่องกงประท้วงหนัก เผาบ้าน เผาเมือง ทำลายข้าวของไปตั้งเยอะ
ตอนจัดอันดับตลาดในการทำ IPO เมื่อปี 2019 ฮ่องกงยังติดอันดับท็อปโลก ไม่ว่าจะนิวยอร์คหรือลอนดอนยังเทียบฮ่องกงไม่ติดเลยครับ และถึงแม้จะมีกลุ่มทุนบางส่วนถอนตัวออกจากเกาะฮ่องกงไปบ้าง แต่สัดส่วนมันยังถือว่าน้อยมากๆ เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ยังเชื่อมั่นในฮ่องกงแล้วตัดสินใจไม่ยอมหนีฮ่องกงไปที่อื่น
ดังนั้น เรื่องม็อบฮ่องกงทำให้เศรษฐกิจหรือฮ่องกงเสียความเชื่อมั่นนั้นจึงค่อนข้างมีน้ำหนักน้อย เมื่อเทียบกับประเด็นที่ Donald Trump ออกมาด่าจีนเรื่องการแก้กฎหมายฮ่องกงว่าทำให้ฮ่องกงสูญเสียความเชื่อมั่น และความน่าลงทุนลงไป สิ่งที่ Trump พูดยังจะดูมีน้ำหนักมากกว่า ถ้าพิจารณาจากข้อมูลข้างต้นเหล่านี้
ก็ต้องยอมรับว่าในส่วนนี้จีนเองแทบไม่มีความชอบธรรมในการกระทำเลย แค่ความต้องการในการกดชาวฮ่องกงไว้ไม่ให้ลุกฮือขึ้นมาต่อต้านจีนเฉยๆ และอเมริกาไม่ได้เริ่มก่อนด้วย ที่สหรัฐอเมริกาและสภา Congress ดูเหมือนพยายามจะออกกฎหมายมาแทรกแซงฮ่องกงนั้นเป็นมาตรการตอบโต้ภายหลังรัฐบาลจีน Take action ทั้งนั้น
ไม่ว่าจะฮ่องกง ไต้หวัน ซินเจียง ทุกอย่างมันเริ่มมาจากจีนเป็นฝ่ายที่ใช้อำนาจบาตรใหญ่โดยไม่สนหลักการสิทธิมนุษยชนและประเด็น 1 ประเทศ 2 ระบบเป็นหลัก (ส่วนของไต้หวันคือ 1992 Consensus) ทั้งนั้น ถ้าประชาคมโลกจะมองจีนว่าเป็นผู้ร้ายในประเด็นนี้ก็คงจะไม่น่าแปลกใจนัก
-
เห็นข่าวที่มินนิโซต้าแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ เรื่องนี้เกิดขึ้นมานานแล้ว แทบจะเรียกได้ว่าเป็นประวัติศาสตร์การต่อสู้ของอัตลักษณ์เลยแหละ เรื่องคนดำ กับคนขาว ที่เราเห็นว่าคนดำกับคนขาวอยู่ร่วมกันอย่างผาสุกในสหรัฐอเมริกาทุกๆวันนี้ตามข่าว ตามสื่อ ตามหนัง Hollywood นี้จริงๆมันแค่ภาพที่สื่อช่วยกันประกอบสร้างกันมาทั้งนั้นแหละ
ถ้าติดตามเหตุการณ์ และความเคลื่อนไหวของทางฝั่งสหรัฐอเมริกามาตลอดก็จะพบว่ามันมีคดีที่ตำรวจคนขาว หรือคนผิวขาวหาเรื่องทะเลาะ หาเรื่องดูถูก หาเรื่องรังแกคนดำกันตลอด ไม่ใช่มีแค่เคสตำรวจเมื่อตอนต้นสัปดาห์เพียงอย่างเดียว แต่คดีตำรวจไล่ยิงผู้ต้องสงสัยที่เป็นคนดำมีเยอะมากนะครับในสหรัฐอเมริกา
และมีมาตลอดด้วย มีคนเคยทำสถิติขึ้นเป็นภาพ Infographic เทียบกันไว้ (น่าจะของหนังสือพิมพ์ The Guardian และ Vox เดี๋ยวแปะรูปไว้ให้ข้างล่าง) ว่าสัดส่วนปริมาณของคนดำในอเมริกานั้นมีเพียงประมาณ 13% ของประชากรทั้งหมดเอง แต่อัตราการถูกตำรวจวิสามัญโดยที่ผู้ร้ายไม่มีอาวุธนั้นอยู่ที่ 39%
ในขณะที่คนขาวในอเมริกานั้นคิดเป็นสัดส่วน 63% ของประชากรทั้งหมด แต่อัตราการถูกวิสามัญโดยตำรวจนั้นห่างจากจากคนดำเพียงแค่ไม่เกิน 10% คือ 46% ถือเป็นสัดส่วนที่ไม่สมดุลอย่างมาก และบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าตำรวจอเมริกามีแนวโน้มที่จะลงมือยิงวิสามัญคนดำได้มากกว่าคนขาว
สถิติการจับยาของตำรวจที่อเมริกานั้นก็สะท้อนภาพได้ค่อนข้างดีเช่นกัน คือในจำนวนประชากรคนขาว 100,000 คนเนี่ย จะมีเพียง 300 คนนิดๆเท่านั้นที่โดนจับคดีที่เกี่ยวกับยาเสพติด แต่ในประชากรคนดำจำนวน 100,000 คนนั้น จะมีเกือบ 900 คนที่โดนตำรวจจับในคดียาเสพติด (อันนี้ยังอาจเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันต่อได้)
ในเบื้องต้น สถิติและการสำรวจเหล่านี้จึงช่วยเป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดีว่าความขัดแย้ง และความเกลียดชังระหว่างคนดำและคนขาวมีค่อนข้างสูง ในระดับที่ว่าตำรวจเห็นโจรคนขาว ตำรวจอาจจะไม่ยิงถ้าไม่ถือปืน แต่ถ้าเป็นคนดำ ต่อให้ไม่ถือปืน ตำรวจก็มีแนวโน้มที่จะยิงวิสามัญคนดำอยู่ดี
ถ้าพูดกันในแง่ประวัติศาสตร์ก็จะเห็นว่าประเทศอเมริกานี้ เป็นประเทศที่มีจิตใจชอบเหยียดคนต่างชาติมาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ประเด็น Xenophobia เนี่ย ไม่ได้เพิ่งมามีตอน 10-20 ปีนี้แต่อย่างใด ถ้าใครเคยดูสารคดี หรือภาพถ่ายย้อนยุคก็จะเห็นว่าช่วงต้นของศตวรรษที่ 20 ประมาณ 1900-1950s คนอเมริกายังเห็นคนดำเป็นทาสอยู่เลย
มีสวนสัตว์มนุษย์เอาคนแอฟริกา เอาคนฟิลิปปินส์มาวางจัดโชว์เป็นนิทรรศการของแปลกจากต่างประเทศกันอยู่เลยครับ และกว่าคนดำในอเมริกาทั้งหมดจะมีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง หรือโหวตเลือกนักการเมืองของตัวเองได้จริงๆจังๆก็กลางๆยุค 1960s ไปแล้ว ถึงมีการแก้กฎหมายให้โหวตได้ตามข้อบัญญัติ Voting Rights Act
นอกจากเหยียดกันในด้านกฎหมาย กีดกันกันในเรื่องสิทธิทางการเมืองแล้ว ก็ยังมีขบวนการไล่ฆ่าไล่กระทืบคนผิวดำอย่าง Ku Klux Klan กันอีก (สมัยนั้นมีกันเป็น 3,000,000-4,000,000 คนเลยนะสมาชิกองค์กร KKK เนี่ย) มีกันมาเป็น 100 ปี จนถึงปัจจุบันนี้ก็ยังมีอยู่
ความเกลียดชัง ความรังเกียจ การเหยียดคนดำในหมู่คนผิวขาวนี้จริงๆก็มาจากแนวคิดแบบอนุรักษ์นิยม ที่เชื่อว่าตนเองและคนขาวนั้นมีความสูงส่งมากกว่า เก่งกว่า เหนือกว่าอะไรทำนองนี้ ก็เลยต้องกีดกันคนดำไม่ให้เข้ามาอยู่ร่วมกับคนขาว ไม่ให้มาทำงานร่วมกับคนขาว
คนดำก็ต้องมีย่านคนดำ อย่างเมื่อก่อนที่ถูกพูดถึงบ่อยๆก็คือย่าน Harlem ในนิวยอร์คซิตี้ สมัยยุค 1950s ก็เป็นถิ่นและชุมชนที่รวมเอาคนดำจำนวนมากมากองอยู่รวมกัน เพราะไปอยู่ที่อื่นไม่ได้ คนเขารังเกียจ สมัยนั้นเกือบ 100% ของประชากรในย่าน Harlem จึงเป็นคนดำซะส่วนใหญ่
คนขาวเขารังเกียจ กลัวว่าจะไปก่ออาชญากรรม กลัวจะไปขโมยจักรยาน ขโมยไก่ทอดเขา ไปอยู่ย่านคนขาวเขาก็ไม่ต้อนรับ เอาง่ายๆไม่ต้องไปมองที่ไหนไกล เมื่อตอนต้นเดือนมีนักการเมืองคนหนึ่งในอเมริกาพูดออกสื่อว่า
“If you have a problem figuring out whether you’re for ME or DONALD TRUMP, then you ain’t BLACK” คำกล่าวนี้แปลออกมาเป็นภาษาง่ายๆได้ว่าถ้าการเลือกตั้งครั้งนี้คนดำออกไปเลือก Donald Trump เป็นประธานาธิบดีอีก ก็จงลาออกจากการเป็นคนดำไปได้เลย
(การเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2016 ที่ผ่านมามีคนดำโหวตให้ Donald Trump เป็นประธานาธิบดีมากกว่า 1,000,000 คน)
ทายสิครับว่าใครเป็นคนกล่าวคำพูดนี้ออกมา... เฉลย Joe Biden นั่นแหละ นี่ขนาด Joe Biden เขาประกาศตัวและหาเสียงโดยใช้ฉลากของความเป็นคนหัวก้าวหน้าแบบเดียวกับ Barack Obama นะครับ เขายังหลุดปากเหยียดคนดำออกมาขนาดนี้ เป็นบทสะท้อนข้อนึง
ว่าคนอเมริกาจำนวนมากนั้นลึกๆแล้วก็ยังมีความรู้สึกที่ไม่ดีต่อคนดำ รู้สึกเหยียดคนดำอยู่ดี ต่อให้ผ่านการต่อสู้ การเรียกร้อง การเปลี่ยนแปลงปฏิรูปสังคมมานานจนเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 แล้วก็ตาม มันมีความรู้สึกเหยียดและเกลียดกลัวคนดำอยู่ภายในจิตใจของคนอเมริกาทุกระดับชนชั้นจากชนชั้นกลางธรรมดาๆอย่างตำรวจ ไปจนถึงนักการเมืองภายในพรรค Democrat เอง
ขนาดในหนังสยองขวัญ หนังเอาชีวิตรอดของวงการ Hollywood คนดำยังตายก่อนเลย เหตุการณ์ที่ตำรวจบังเอิญฆ่าคนดำโดยอุบัติเหตุเมื่อหลายวันก่อนจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนดำหลายๆคนจะโกรธและพากันออกมาประท้วง แล้วก่อจลาจลกันใหญ่โตขนาดขว้างปาก้อนหินใส่ตำรวจ ปล้นร้านขายของกัน
พูดถึงตรงนี้แล้ว สรุปคนดำเลวจริงไหม ชอบขายยาบ้า ชอบขโมยของ ชอบตั้งตัวเป็นนักเลงทำร้ายร่างกายคนอื่นจริงไหม ตอบได้ว่ามันก็จริงส่วนหนึ่งครับ แต่ถ้าหันมาพิจารณาในภาพมุมกว้าง หรือภาพมุมสูง (Bird’s-eye view) นั้นคุณจะเห็นว่ามันมีเหตุและผลของมันอยู่
คือมันไม่ได้ว่าคนดำเกิดมาแล้วเลวเลย หรือ เกิดมาแล้วโตมาเป็นอาชญากรกันเลย ที่เห็นๆกันว่าคนดำชอบดีลยาบ้า พี้ยา ขโมยจักรยาน ขโมยไก่ทอด ล้วงกระเป๋ากันตามข่าวเนี่ย ส่วนหนึ่งมันมาจากว่าคนดำไม่มีทางเลือกในชีวิตแต่แรก จะทำงานเขาก็ไม่ค่อยรับเข้าทำงานกัน จะทำงานสุจริต ขายของ ส่งของก็โดนตำรวจเพ่งเล็ง แกล้งเรียกตรวจตลอด
ในชีวิตคนดำช่วงหนึ่งในอเมริกา งานในโลกขาวสะอาดจึงค่อนข้างหายาก หลายคนก็หาไม่ได้เลย ก็เลยต้องเลือกเส้นทางใต้ดินตามๆกัน รับยาบ้ามาขาย เอาไอซ์ เอาปืน เอาสิ่งผิดกฎหมายมาดีลขายกัน เพราะได้เงินง่าย อันนี้ไม่ได้พูดลอยๆนะครับ มันก็เหมือนกับกรณีคนที่เพิ่งออกจากคุกในไทยอะครับ
คุณคิดว่าคนมีประวัติติดตัวในคุก ออกจากคุกมามีสักกี่ % ที่เจ้าของธุรกิจ เถ้าแก่จะกล้าจ้าง คือมันมี Perception หรือ อะไรบางอย่างที่บอกให้เรากลัว หรือกังวลว่าเขาจะก่อเหตุทำอะไรซ้ำอีกน่ะ อันนี้ผมไม่ได้บอกว่าคนดำเหมือนนักโทษนะ แต่สื่อ และสภาพแวดล้อมทางสังคมมันสร้างภาพตัวแทนให้คนส่วนใหญ่คิด
ว่าคนนั้นคนนี้ไม่ดี ความเกลียด กลัว รังเกียจมันเลยเกิดขึ้น แล้วนำมาซึ่งการกีดกัน คนดำก็เหมือนกันครับ พอมีข่าวไม่ดีเกี่ยวกับคนดำโผล่ขึ้นมามากๆสมัยทีวีเพิ่งมีใช้กันแพร่หลาย คนดำก็ถูกสื่อวาดภาพให้เป็นผู้ร้ายไปจนได้ เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นๆมากนักเมื่อเทียบกับคนขาว
คนขาวจนๆ กับคนดำจนๆ ในสมัย 50-60 ปีก่อน ยังไงคนขาวจนๆก็มีโอกาสเปลี่ยนสถานะทางสังคมได้ง่ายกว่าคนดำ คนดำเนี่ย ขนาดสมัยปัจจุบันช่วง 20-30 ปีก่อน จะเปลี่ยนสถานะทางสังคมได้ยังต้องเข้าสู่ตลาดธุรกิจผิดกฎหมาย ตั้งตัวเป็นนายหน้า เป็นมาเฟีย นักเลงกันอยู่เลย
เพราะช่องทางหลักมันไปได้ยาก ก็อาจจะพอมีบางส่วนที่นิสัยแย่ เลว ชอบแซวผู้หญิง ชอบค้ายา ชอบก่อเรื่องกันจริงๆ แต่มันไม่ใช่ทั้งหมดหรอกครับ ที่เห็นคนดำรวยๆ ใส่ทอง ใส่เพชรเต็มคอ แหวนวงเท่าไข่ไก่ตามหนัง ตามซีรีส์นี้ส่วนน้อยนะ ไม่ได้มีกันเยอะแบบที่หลายๆคนเข้าใจกัน
พวกที่ทำเลว ก็นั่นแหละครับตามสภาพแวดล้อม เรื่องพวกนี้มันเกิดจากสภาพแวดล้อมทั้งนั้น เกิดในสลัม ก็โตแบบสลัม เกิดมาในชุมชนคนค้ายาก็มักมีแนวโน้มจะเป็นแบบนั้น ของแบบนี้ต้องแก้กันทั้งระบบ ถ้าเขาลืมตาอ้าปาก ได้เข้าถึงโอกาสและสิทธิที่เท่าเทียมกันแต่แรก เรื่องพวกนี้ก็ไม่เกิด
และก็คงไม่เกิดภาพจำแบบด้านลบที่คนขาวมองไปที่คนดำแบบทุกวันนี้ แบบที่ตำรวจหลายๆคนมองว่าคนดำต้องเป็นอาชญากร และจำเป็นต้องวิสามัญทิ้งแบบในหลายๆเคสที่เกิดในอเมริกาทุกวันนี้ คนขาวก็ต้องหัดเปลี่ยน mindset กันด้วย มันเชื่อมถึงกันหมด ปัญหานี้จริงๆเป็นปัญหาที่ใหญ่มาก แก้ยาก แต่จำเป็นที่จะต้องมีการแก้ไข
-
#คืนอันหนักหน่วงที่นิวยอร์ค
#งานประท้วงทำยอดขายปืนพุ่งกระฉูด
เข้าสู่วันที่ 10 ของการประท้วงใหญ่ครั้งประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา ที่มีการประกาศเคอร์ฟิวในหลายๆรัฐ รวมถึงรัฐนิวยอร์ค ที่เป็นจุดที่มีการประท้วง และเกิดเหตุจราจล ปล้น เผา ห้างสรรพสินค้าในหลายคืนที่ผ่านมา
มาวันนี้ก็มีข่าวว่า เกิดเหตุทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ในย่านบรู๊คลิน ของนิวยอร์ค ในช่วงเวลาเคอร์ฟิวใกล้เที่ยงคืนของวันพุธที่ผ่านมาตามเวลาสหรัฐ
ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังเดินลาดตระเวณเพื่อเฝ้าระวังไม่ให้เกิดเหตุปล้นสะดม ปรากฏชายคนหนึ่ง แอบเขามาทำร้ายตำรวจด้วยมีดจากทางด้านหลังโดยการแทงเข้าบริเวณลำคอ แล้วแย่งปืนตำรวจมาทำร้ายเจ้าหน้าที่ และเกิดการยิงปะทะกัน
จากเหตุการณ์ครั้งนี้ เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ NYPD ได้รับบาดเจ็บถึง 3 นาย ได้แก่เจ้าหน้าที่คนแรกที่ถูกแทงบริเวณลำคอ ส่วนเจ้าหน้าที่อีก 2 นายถูกยิง ขณะต่อสู้กับคนร้าย
ส่วนคนร้ายถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจยิงตอบโต้ โดนกระสุนหลายนัด อาการสาหัส ผู้บาดเจ็บทั้งหมด 4 คนถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลทันที แต่ยังไม่มีรายงานว่ามีใครเสียชีวิต
ตอนนี้ยังไม่มีใครทราบว่าคนร้ายเป็นใคร และเกี่ยวข้องกับกลุ่มผู้ประท้วงหรือไม่ แต่ก็สร้างความหวาดกลัวให้ผู้คนในชุมชนไม่น้อย
ในสถานการณ์ของสหรัฐตอนนี้ ถือว่าน่าเป็นห่วง ไม่ใช่ในแง่ของการระบาดของไวรัสโคโรน่า หรือ การชุมนุมประท้วงของกลุ่มคนผิวดำเพียงอย่างเดียว แต่มีความเปราะบางในเหตุการณ์ ที่พลิกผันทำให้สหรัฐกลายเป็นบ้านป่า เมืองเถื่อน เพราะมีกลุ่มคนที่ไม่หวังดี พวกรู้หน้า ไม่รู้ใจ ใช้เหตุการณ์ครั้งนี้ก่อความรุนแรงสารพัดรูปแบบ
ด้วยเหตุนี้ เลยทำให้ชาวอเมริกันหลายครอบครัวเริ่มรู้สึกว่าไม่ปลอดภัยแล้ว จึงรีบไปหาซื้ออาวุธปืน มาเก็บไว้ป้องกันตัวเป็นจำนวนมาก ทำให้ยอดขายปืนในสหรัฐพุ่งกระฉูดในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
โดยยอดขายกระสุน และอาวุธปืน เริ่มเติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัดตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมีนาคมเป็นต้นมา ที่สหรัฐเริ่มเข้าสู่วิกฤติการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า
มีการเปิดเผยตัวเลขยอดขายปืนโดยรวมเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว สูงขึ้นถึง 78% และยอดขายกระสุนทางออนไลน์ ของร้าน Ammo.com สูงขึ้นถึง 602% ส่วนใหญ่เป็นยอดสั่งจากรัฐเท็กซัส ฟลอริด้า และ อิลลินอยส์
ส่วนการลงคอร์สสอนยิงปืนทางออนไลน์ก็เพิ่มสูงขึ้นถึง 50% ในช่วงที่มีมาตรการล็อคดาวน์ หลายคนให้เหตุผลว่า ตัดสินใจซื้อปืนไว้ติดตัว เพราะไม่สบายใจในเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น
ซึ่งตัวเลขนี้ ไม่สามารถบอกเราได้ว่า คนที่ซื้ออาวุธปืน และกระสุนเก็บไว้นี้ จะเป็นสุจริตชน ที่ต้องการป้องกันตัวเองจริงๆ หรือ ทรชน ที่จะเอามันไปใช้ในทางเสื่อม
แต่ด้วยความที่ตอนนี้หลายเมืองเกิดความไม่สงบ มีผู้ไม่หวังดี หรือกลุ่มคนหัวรุนแรงมาผสมโรง บวกกับความแรงของเสี่ยทรัมพ์ ออกมาท้ายทาย และข่มขู่ว่าจะใช้กำลังทหารเข้าปราบปราม ก็ยิ่งทำให้ชาวบ้านกลัว และกระตุ้นให้ออกไปซื้อปืนมาติดบ้านกันมากยิ่งขึ้น
ก็นับเป็นธุรกิจที่สวนกระแสในยุคเศรษฐกิจซบเซาของสหรัฐ แต่จะเป็นเรื่องดีหรือเปล่า อันนี้ไม่แน่ใจ
เหตุการณ์ในสหรัฐอเมริกาช่วงนี้ จึงน่าจับตาจริงๆค่ะ ด้วยอารมณ์ได้แต่ดูอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ และหวังว่าทางการสหรัฐจะควบคุมเหตุการณ์ได้โดยไว และไม่บานปลายไปกว่านี้นะคะ
แหล่งข้อมูล
https://www.nbcnewyork.com/news/local/2-officers-shot-1-stabbed-in-brooklyn-police/2446200/
https://www.foxnews.com/us/police-officer-shot-in-brooklyn-hours-into-new-yorks-curfew
https://www.newscentermaine.com/art...oklyn/97-01407933-ca3e-4803-8fba-4b363e20fcf4
https://www.usatoday.com/story/mone...-guns-and-ammo-wake-race-protests/3124011001/
-
อเมริกาใต้ – แอฟริกา
ยิ่ง "จน" ยิ่งเดือดร้อน
“โควิด” อาจลากยาวเป็นปี
.
.
ปลายเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา องค์การอนามัยโลก เพิ่งแถลงไปว่า “ศูนย์กลาง” การระบาดของโรคโควิด – 19 ล่าสุดนั้นเคลื่อนจากยุโรป ไปยังอเมริกาใต้ โดยภูมิภาคนี้ มีผู้ติดเชื้อมากกว่า 7.2 แสนคน โดยเฉพาะที่บราซิล ซึ่งมีผู้ติดเชื้อเป็นอันดับ 2 ของโลก มีผู้ติดเชื้อแล้วเกือบ 5 แสนคน เปรู ชิลี เม็กซิโก ล้วนมีผู้ติดเชื้อในหลักหมื่น
.
หากเทียบกับทวีปยุโรป ที่มีระบบสุขภาพที่แข็งแรง และมีฐานะที่อยู่ตัว – มั่งคั่ง กว่านั้น ยังใช้เวลาถึง 2 เดือนเศษ โควิด – 19 ได้พังทลายระบบสุขภาพยุโรปจนย่ำแย่ ไม่ว่าจะเป็นสเปน อิตาลี หรือสหราชอาณาจักร และคร่าชีวิตผู้คนรวมแล้วนับแสนคนในประเทศเหล่านี้
.
ปัญหาก็คือ ประเทศในอเมริกาใต้ส่วนใหญ่ อยู่ในสถานะ “เปราะบาง” ระบบสุขภาพของประเทศไม่ได้ดีนัก อัตราความยากจน – ความเหลื่อมล้ำสูง บางประเทศเช่น เวเนซุเอลา ชิลี เพิ่งเจอปัญหา “เศรษฐกิจ” มาหมาดๆ เมื่อสิ้นปี 2019 ที่ผ่านมา ซ้ำเติมด้วยการคอร์รัปชัน ทั้งเวชภัณฑ์ที่ใช้ในการต่อสู้กับโคโรนาไวรัส ทั้งงบประมาณที่ใช้ในการช่วยเหลือประชาชน
.
เพราะฉะนั้น ประเมินได้เลยว่า เหตุการณ์ในอเมริกาใต้ น่าจะ “เลวร้าย” กว่ายุโรปมาก คำถามก็คือ จะไป “สุดทาง” ถึงขั้นไหน?
.
คาริสซา เอทินเน ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลกประจำทวีปอเมริกา ประเมินว่า เฉพาะบราซิลประเทศเดียว ด้วย “อัตราตาย” ที่สูงระดับนี้ จะไปพีคสุดที่ปลายเดือน มิ.ย. คือวันละ 1,020 คน และภายในเดือน ส.ค. อาจมีผู้เสียชีวิตกว่า 8.8 หมื่นคน
.
ทั้งหมดนี้ ประเมินจากตัวเลขที่ “เป็นทางการ” เท่านั้น ปัญหาสำคัญของบราซิลก็คือ ยังมีชุมชนชายขอบอีกมาก ที่ระบบสาธารณสุขไปไม่ถึง และทำให้ตัวเลขหลายอย่างไม่สามารถรายงานมายังรัฐบาลกลางได้
.
อีกประเทศที่ “น่วม” ไม่แพ้กันคือ “เปรู” ประเทศที่ “ล็อคดาวน์” ทุกอย่างเป็นประเทศแรกในภูมิภาคนี้ แต่ก็พ่ายแพ้ความยากจน ทำให้ชาวเปรู ยังต้องออกไปทำมาหากินตามปกติ ไม่สามารถใช้ชีวิตท่ามกลางการล็อคดาวน์ได้
.
ตัวเลขถึงสิ้นเดือน พ.ค. เปรูมีผู้ติดเชื้อกว่า 1.35 แสนคน เสียชีวิต 4,000 คน และด้วยอัตราขนาดนี้ มีการประเมินว่า อัตราการติดเชื้อของเปรูจะทะลุ 2 แสนคนแน่ ในช่วงเดือน มิ.ย.
.
เช่นเดียวกับชิลี ที่ขาดแคลนอาหาร ขาดแคลนน้ำดื่ม และประชาชนจำนวนมาก “ตกงาน” จากสภาพเศรษฐกิจก่อนหน้านี้ ก็มีการประเมินเช่นเดียวกันว่า ตัวเลขผู้ติดเชื้อจะทะลุ 2 แสนคน ในเวลาอีกไม่ถึง 2 เดือนข้างหน้า
.
ถึงชิลีจะแก้ปัญหาโควิดได้ แต่สิ่งที่ลากยาวต่อคือปัญหา “สังคม” และปัญหาเศรษฐกิจที่จะยืดเยื้อยาวนานไม่แพ้กัน..
.
อีกทวีปที่น่าเป็นห่วงคือ “แอฟริกา” ซึ่งแม้จะมีตัวเลขผู้ติดเชื้อไม่มากนัก อยู่ราว 1 แสนคน แต่ WHO ก็เป็นห่วงว่าเรื่องในแอฟริกา น่าจะเป็น “หนังม้วนยาว”
.
เพราะจำนวนการ “เทสต์” ยังคงน้อยนิด เช่นเดียวกับความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานด้านระบบสาธารณสุข ยกตัวอย่างเช่น ประเทศอย่าง “เคนยา” นั้น เพิ่งเทสต์ไปได้ราว 6.7 หมื่นคน เจอผู้ติดเชื้อ 1,455 คน โดยหากจะเทสต์ให้ได้ในอัตรา 1% ของจำนวนประชากร ตามที่องค์การอนามัยโลกแนะนำนั้น ต้องเทสต์ให้ได้ถึง 5.37 แสนคน ซึ่งยังห่างไกลอยู่มาก
.
นอกจากนี้ ปัญหาด้านสาธารณสุขที่สะท้อนชัดก็คือ รัฐบาลยังคงเก็บค่า “กักตัว” จากประชาชนกลุ่มต้องสงสัย โดยคิดราคาตั้งแต่คืนละ 20 เหรียญสหรัฐฯ – 100 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 640 – 3,200 บาท) ซึ่งหลายพื้นที่ สภาพย่ำแย่ มีความพยายามหลบหนีออกจากสถานที่เหล่านี้เป็นข่าวแทบทุกวัน เพราะประชาชนต้องการออกไปทำงาน หารายได้ ใช้ชีวิตตามปกติ
.
อีกประเทศอย่าง “อียิปต์” ระบบสาธารณสุขที่ล้มเหลว ส่งผลให้แพทย์เสียชีวิตมากกว่า 19 คน และติดเชื้อมากกว่า 350 คน จนทำให้สมาพันธ์แพทย์แห่งอียิปต์ออกมา “ประท้วง” รมว.สาธารณสุข ให้รับผิดชอบต่อการเสียชีวิตของหมอ และจัดอุปกรณ์ป้องกันตัวให้กับเจ้าหน้าที่ให้มากกว่านี้ หลังจากมีปัญหา ขาดหน้ากากอนามัย และขาดชุด PPE จากการบริหารจัดการที่ล้มเหลว
.
จนถึงตอนนี้ อียิปต์ มีผู้ติดเชื้อมากเป็นอันดับ 2 ของทวีป กว่า 2 หมื่นคน และเสียชีวิต 816 คน ซึ่งยังมีแนวโน้มสูงขึ้นไปเรื่อยๆ จากระบบสาธารณสุขที่ไม่แข็งแรง จำนวนบุคลากรทางการแพทย์ไม่เพียงพอ และสภาพเศรษฐกิจ – สังคม ที่ทำให้การเทสต์ และการควานหาผู้ติดเชื้อรายใหม่เพื่อกักกันโรค เข้าระบบรักษา ทำได้ไม่ดีพอ
.
ข้อมูลล่าสุดพบว่า ในภาพรวม จำนวนเทสต์ทั้งทวีปแอฟริกาใต้นั้นยังต่ำมาก จาก 54 ประเทศ ทั้งทวีป มีเพียง 8 ประเทศเท่านั้น ที่สามารถเทสต์จนได้เงื่อนไข ตามที่ WHO กำหนดไว้คือ 3,000 เทสต์ ต่อประชากร 1 ล้านคน
.
ประเทศอย่าง “กาน่า” มีแล็บเพียง 5 แห่งสำหรับตรวจเชื้อ หรือประเทศอย่าง “ไนจีเรีย” ซึ่งมีประชากร 200 ล้านคน ก็มีแล็บเพียง 25 แห่งที่จะรับรองผลตรวจโคโรนาไวรัส 2019 ได้
.
WHO ยังบอกอีกด้วยว่า ปัญหาของประเทศเหล่านี้คือ ไม่อาจที่จะ “กดกราฟ” จำนวนผู้ติดเชื้อลงได้เหมือนในเอเชีย และในยุโรป เพราะด้วยโครงสร้างพื้นฐานสาธารณสุข จำนวนเตียง ระบบราชการ และระบบเศรษฐกิจ ต่างก็ไม่เอื้ออำนวยให้รัฐใช้มาตรการอย่างการ “ล็อคดาวน์” หรือหยุดเชื้อ อยู่บ้านได้
.
เพราะฉะนั้น ในขณะที่โลก “ตั้งความหวัง” ว่าจะสามารถเปิดให้เดินทางทางอากาศโดยเสรี เปิดให้การท่องเที่ยว “เดินเครื่อง” ได้อีกครั้งในช่วงสิ้นปีนี้ ทั้งอเมริกาใต้ และแอฟริกาใต้ อาจยังไม่สามารถต่อสู้กับโรคนี้ได้เต็มที่อย่างที่หวัง จนกว่าสรรพกำลัง ทั้งชุดตรวจ ทั้งอุปกรณ์ทางการแพทย์ จะลงไปจัดการโควิด – 19 ในประเทศเหล่านี้ได้เสร็จสิ้น
.
WHO คาดการณ์ว่า หากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ทั้ง 2 ภูมิภาค อาจต้องใช้เวลานานเกินปี หรืออาจจะถึง 2 ปี จนกว่าจะกลับมาเป็นปกติ ก่อนช่วงโควิด – 19 ได้อีกครั้ง...
#COVOD19 #โควิด19 #อเมริกาใต้ #แอฟริกา
อ้างอิงจาก
https://www.vox.com/2020/5/26/21270376/south-america-covid-19-coronavirus-brazil-peru-chile
https://www.globalcitizen.org/en/content/covid-19-testing-lack-in-africa-who/
หน้า 4078 ของ 11172