ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,497
    ค่าพลัง:
    +97,150
    June 8, 2020 ช๊อคเศรษฐกิจโลก! ปี 63 เศรษฐกิจโลกถดถอยรอบ 80 ปี เสียหายหนักรอบ 150 ปี ไทยติดลบหนักท้ายสุดในอาเซียน

    ธนาคารโลก เปิดเผยรายงานมุมมองเศรษฐกิจโลก 2020 ว่า อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจโลก หรือจีดีพีในปี 2563 จะตกต่ำ -5.2% ซึ่งทำสถิติภาวะเศรษฐกิจถดถอยหนักที่สุดในรอบ 80 ปี หรือตั้งแต่ปี 1940 นอกจากนี้ มูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจโลก ซึ่งประเมินจากรายได้ประชากรต่อหัวต่อจีดีพี จะรุนแรงที่สุดในรอบ 150 ปี หรือตั้งแต่ปี 1870 เป็นต้นมา นอกจากนี้ มีความเป็นไปได้สูงที่จีดีพีโลกจะติดลบมากกว่าตัวเลขที่ประกาศไว้ โดยในกรณีที่เลวร้ายที่สุด จีดีพีโลกจะดำดิ่งหนักถึง -8% หากมาตรการปิดล๊อคเมืองขยายต่อไป และความไม่แน่นอนของภาวะโรคระบาดโควิด-19 ที่อาจมีต่อไป

    ธนาคารโลกกล่าวต่อไปว่า ความเสียหายของเศรษฐกิจโลกปีนี้ที่รุนแรงตั้งแต่ปี 1840 จะส่งผลให้ประชากรโลกระหว่าง 70 ถึง 100 ล้านคนเข้าสู่ภาวะความยากจนอย่างรุนแรง ซึ่งทำสถิติจำนวนประชากรยากจนเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ประเมินไว้ 60 ล้านคน ถึงแม้ว่าธนาคารโลกจะประเมินว่า เศรษฐกิจโลกจะค่อยๆฟื้นตัวอย่างเล็กน้อยในปี 2564 แต่ยังคงมีความเสี่ยงของการระบาดโรคโควิด-19 ในระลอกที่ 2 ซึ่งไม่เพียงจะฉุดการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก แต่จะทำให้วิกฤตเศรษฐกิจโลกเปลี่ยนไปเป็นวิกฤตเศรษฐกิจการเงินโลก นำไปสู่การเกิดภาวะเศรษฐกิจล่มสลาย

    สำหรับจีดีพีของกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว ธนาคารโลก เปิดเผยว่าจะทรุดลง -7% ขณะที่กลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่จะมีจีดีพีตกต่ำ -2.5% หากพิจารณาในแง่จีดีพีรายได้ต่อหัว จะพบว่า เศรษฐกิจโลกที่ทรุดหนัก -5.2% ในปีนี้ จะทำสถิติตกต่ำมากที่สุดในช่วงปี 1945-1946 หรือนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 หรือในรอบกว่า 74-75 ปีผ่านมา

    ด้านเศรษฐกิจประเทศไทยปี 2563 นั้น ธนาคารโลก ประเมินว่า จะมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือจีดีพีตกต่ำ -5% ซึ่งเป็นตัวเลขจีดีพีที่ปรับลดลงจากเดิมที่ประเมินในเดือนมกราคมปีนี้ที่ -7.7% อย่างไรก็ตาม จีดีพีไทยที่ประเมินใหม่ที่ระดับ -5% กลายเป็นจีดีพีของไทยที่ติดลบมากที่สุดในกลุ่มประเทศอาเซียน(ไม่รวมสิงคโปร์) หรือรั้งอันดับสุดท้ายในอาเซียน โดยเวียดนามมีจีดีพีมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ที่ 2.8% อันดับ 2 เมียนมา 1.5% อันดับ 3 สปป.ลาว 1% อันดับ 4 อินโดนีเซีย 0% อันดับ 5 กัมพูชา -1% อันดับ 6 ฟิลิปปินส์ -1.9% อันดับ 7 มาเลเซีย -3.1% อันดับ 8 ติมอร์-เลสเต -4.5% และอันดับ 9 ไทย -5%

    ทั้งนี้ อัตราการขยายตัวเศรษฐกิจโลกปี 2563 ที่ธนาคารโลกประกาศครั้งล่าสุดนี้ จะเป็นตัวเลขจีดีพีที่ทรุดต่ำกว่าตัวเลขจีดีพีของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟ ที่ประเมินในเดือนเมษายนที่ผ่านไปว่าจะทรุดลง -3%

    #เศรษฐกิจถดถอย #ธนาคารโลก #โควิด19 #misterban #worldbank #recession #covid19

     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,497
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ยื่นหนังสือขอบรรจุ “พนง. สธ.-ลูกจ้างชั่วคราว” สายสนับสนุน เป็นลูกจ้างประจำ

    https://www.hfocus.org/content/2020/06/19521

    #Hfocus #ลูกจ้างชั่วคราวสธ #ลูกจ้างประจำ #ลูกจ้างสายสนับสนุน

     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,497
    ค่าพลัง:
    +97,150
    กรมสุขภาพจิต ห่วง คลื่นโควิด ลูกที่ 3-4 โถมปัญหาสุขภาพจิตคนไทย ทำเครียดเพิ่ม!!
    Mon, 2020-06-08 19:22 -- hfocus team

    ddh.jpg

    กรมสุขภาพจิตเผยสถานการณ์โควิดกระทบสุขภาพจิตคนไทย คาดการณ์มิ.ย.เป็นต้นไป อาจมีคนไข้รายใหม่เพิ่มจากเหตุความเครียด

    เมื่อวันที่ 8 มิ.ย. ที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.จุมภฏ พรมสีดา รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า กรมสุขภาพจิตได้มีการจัดทำกราฟที่บอกถึงผลกระทบระยะยาวจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) โดยคลื่นลูกที่ 1 ช่วงที่มีการระบาดและมีผู้ป่วยผู้เสียชีวิตสูงสุด ช่วงนี้รพ.ทุกแห่งเตรียมการรองรับผู้ป่วยติดเชื้อมากขึ้น แม้แต่รพ.จิตเวช ก็มีการกันหอผู้ป่วยเพื่อรองรับกรณีหากมีผู้ป่วยโควิดล้นจากรพ.อื่นๆ ทำให้ต้องจำหน่ายผู้ป่วยจิตเวชที่อาการดีขึ้นออกจากรพ.พอคลื่นลูกที่ 1 ลดลง สิ่งที่ตามมาคือคลื่นลูกที่ 2 คือผู้ป่วยที่ถูกเลื่อนการรักษาก่อนหน้านี้ เช่นผ่าตัด และกลับเข้าสู่กระบวนการรักษาอีกครั้ง และมากขึ้น

    ส่วนคลื่นลูกที่ 3 คือผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่แพทย์อาจจะให้ยากลับไปรับประทานนานขึ้น อาทิ กลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรัง รวมถึงผู้ป่วยจิตเวชด้วย และคลื่นลูกที่ 4 ซึ่งเป็นที่กังวลมากคือผลกระทบทางจิตเวชจากภาวะเศรษฐกิจจากโควิด ซึ่งประชาชนบางส่วนอาจจะมีความเครียด ซึมเศร้า บางคนมีความรู้สึกอยากฆ่าตัวตาย และบุคลกรทางการแพทย์ที่อาจจะมีภาวะหมดไฟ ตอนนี้ไทยอยู่คลื่นที่ 3 และ 4 หากไม่มีการระบาดรอบใหม่ก็จะมีผู้ป่วยจิตเวชมากขึ้น

    l2.jpg

    นพ.จุมภฏ กล่าวว่า ตั้งแต่เดือน ม.ค.-เม.ย. ซึ่งเกิดการระบาดคลื่นลูกที่ 1 ทำให้ รพ.จิตเวชเลื่อนนัดผู้ป่วยออกไป ส่งผลให้จำนวนผู้ป่วยลดลง 30 % ผู้ป่วยในลดลง 47.65 % อย่างไรก็ตาม กรมสุขภาพจิตได้ทำการคาดการณ์ว่าหลังจากในเดือนมิถุนายนนี้เป็นต้นไป อาจจะเกิดการที่จำนวนคนใช้บริการรายใหม่เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมได้จากหลายปัจจัย จากความเครียดทำให้เกิดปัญหาสุขภาพจิตมากกว่าเดิม จำนวนผู้ป่วยใช้บริการมากขึ้นจนอาจทำให้กระทบต่อคุณภาพและความปลอดภัยของผู้รับบริการ และจำนวนผู้ป่วยนอนรักษาในโรงพยาบาลอาจมากขึ้น จากการรักษาไม่ต่อเนื่องและขาดยา

    l3.jpg

    นพ.บุรินทร์ สุรอรุณสัมฤทธิ์ ผอ.กองบริหารระบบบริการสุขภาพจิต กล่าวว่า กรมสุขภาพจิตได้พัฒนาระบบบริการสุขภาพจิตวิถีชีวิตรูปแบบใหม่ อาทิ การจัดระบบจองคิว/นัดหมายออนไลน์ โดยเหลื่อมเวลา คลินิกสังเกตอาการระบบทางเดินหายใจ การรับบริการส่งยาทางไปรษณีย์หรือร้านขายยา รวมไปถึงการรับยาผ่านระบบ Drive thru เพื่อรักษาระยะห่างอีกด้วย ซึ่งจะพัฒนาใช้มากขึ้นในอนาคต นอกจากนี้ยังจัดทำระบบนัดติดตามโดยตรงทางโทรศัพท์/วิดีโอคอล ระบบการรายงานตัวเอง ผ่าน แอพพลิเคชั่นและวิดีโอคอบ และออกเยี่ยมบ้านในรายที่มีความซับซ้อน ประสานการติดตามกับสถานพยาบาลใกล้บ้าน หากเกินขีดความสามารถก็ให้ส่งต่อรพ.จิตเวชต่อไป

    “การบำบัดจิตแบบกลุ่มอาจจะต้องลดลง เน้นการบำบัดรายบุคคลมากขึ้น หากจำเป็นต้องบำบัดรายกลุ่มก็จะต้องเว้นระยะห่างด้วย การทำหัตถการบางอย่างอาจจะจำเป็นต้องสวมชุดป้องกัน เช่น การการบำบัดด้วยไฟฟ้า ลดการมารพ.ให้สั้นที่สุด ขอย้ำว่าสุขภาพกายคือชีวิต สุขภาพจิตคือชีวา ประเทศไทยจะไปต่อได้หากคนไทยใจไม่ป่วย” นพ.บุรินทร์ และว่า สำหรับการดูแลสภาพจิตใจตัวเองในระยะผ่อนปรนเหล่านี้ ขอให้มองมุมดีๆ มองบวกว่าวันนี้ดีกว่าเมื่อก่อนมาก เพราะวันนี้ผ่อนปรนไปมากแล้ว หากวันนี้เรายังช่วยกันปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดอนาคตก็จะได้รับการผ่อนคลายมากขึ้น การจะผ่อนคลายไม่ได้อยู่ที่รัฐบาล แต่อยู่ที่ประชาชน

    l4.jpg

    https://www.hfocus.org/content/2020/06/19523
     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,497
    ค่าพลัง:
    +97,150
    หลุมยุบ ที่เมืองริกา, ลัตเวีย กลืนรถยนต์ BMW ในวันที่ 5 มิถุนายน 2563

     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,497
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ลูกไฟนี้ได้รับการเห็นจาก IL, IN, KY, MD, MI, NC, OH, PA, SC, TN, VA, WV และออนแทรีโอ! เราได้รับ 119 รายงานแล้ว หากคุณเห็นโปรดรายงานได้ที่นี่: https://fireball.amsmeteors.org/members/imo/report_intro

    แผนที่ & เส้นทางการเคลื่อนที่: https://fireball.amsmeteors.org/members/imo_view/event/2020/2740

    This fireball has been see from IL, IN, KY, MD, MI, NC, OH, PA, SC, TN, VA, WV & Ontario! We received 119 reports so far. If you saw it, please report it here: https://fireball.amsmeteors.org/members/imo/report_intro

    Map & Trajectory: https://fireball.amsmeteors.org/members/imo_view/event/2020/2740

     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,497
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ⚠️ ด่วนนนนน ⚠️ BP บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของโลกเป็น #เหยื่อรายล่าสุดของไวรัสโควิด ต้องปลดพนักงานออก 10,000 ชีวิต ! การปรับโครงสร้างครั้งนี้ชี้ชัดว่าทิศทางในอนาคตของบริษัทน้ำมันใหญ่ๆ... #เริ่มเปลี่ยนไปแล้ว

    ถึงแม้ราคาน้ำมันจะค่อยๆปรับตัวสูงขึ้นเรื่อยๆมาเป็นเวลาเดือนนึงแล้ว และราคาน้ำมันดิบ Brent เพิ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือนที่ 43 เหรียญไปเมื่อเช้านี้ ส่งผลให้หุ้นของ BP บริษัทน้ำมัน TOP 5 ของโลกทะยานแตะระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือนเช่นเดียวกัน !

    แต่... ทางบริษัทก็ไม่อาจทนพิษบาดแผลจากวิกฤตไวรัสโควิดได้ไหว เตรียมวางแผนลดพนักงานลง 10,000 ตำแหน่งหรือประมาณ 14% ของบริษัทเลยทีเดียว ! เพื่อเป็นการปรับโครงสร้างและลดต้นทุนในการดำเนินงานเพื่อรับมือกับ "New Normal" ของตลาดน้ำมันที่การใช้น้ำมันอาจไม่ได้โตต่อเนื่องเหมือนเดิมในระยะยาวแล้วจากการ Work From Home และการเดินทางที่น้อยลง

    นอกจากทางบริษัท BP แล้วทาง Shell และ Chevron อีกสองบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ TOP 5 ของโลกก็มีข่าวที่จะเปลี่ยนโครงสร้างครั้งใหญ่เช่นเดียวกัน

    ทาง CEO ของ BP นาย Bernard Looney ได้ออกมากล่าวว่า

    “We are spending much, much more than we make. I am talking millions of dollars, every day. It currently costs around $22 billion a year to run the company, of which around $8 billion is people costs.”

    “เรามีค่าใช้จ่ายมากยิ่งกว่าเงินที่เราหาได้ ผมกำลังพูดถึงหลักหลายล้านเหรียญสหรัฐในทุกๆวัน ปัจจุบันบริษัทเรามีค่าใช้จ่ายประมาณ 22 พันล้านเหรียญสหรัฐต่อปีในการดำเนินงานของบริษัท และประมาณ 8 พันล้านเหรียญสหรัฐนั้นมาจากเงินเดือนของพนักงาน" Bernard Looney กล่าว

    ทาง CEO ของ BP ยังได้กล่าวต่อว่าในพนักงาน 14% ที่เราจะต้องลดนั้น ส่วนใหญ่จะมาจากตำแหน่งใน Office มากกว่าในภาค Operations และเรายังมีความจำเป็นที่ต้องให้ระดับผู้บริหารบริษัทออกด้วย โดยตำแหน่ง Top 400 คนของบริษัทนั้นจะต้องโดนเชิญออกประมาณ 33% และปีนี้ทางพนักงานต่างๆนั้นไม่น่าจะได้รับโบนัส (very unlikely) และจะมีการเปิดให้พนักงานลาออกได้ตามความสมัครใจหลังวันที่ 15 เดือนนี้

    ทิศทางราคาน้ำมันในระยะยาวนั้นยังโดนกดดันโดย #พลังงานทดแทน อีกด้วย

    พลังงานทดแทนต่างๆ อย่างพลังงานลม แสงอาทิตย์ น้ำ และแบตเตอรี่ กำลังจะโตอย่างรวดเร็วในอนาคตและเข้ามาทดแทนการใช้น้ำมันจากเชื้อเพลิงฟอสซิล (Fossil Fuel) มากขึ้น และทาง BP ก็จะพยายามเน้นการลงทุนในพลังงานทดแทนมากขึ้นด้วยในอนาคตนี้

    ทางเราได้เคยเขียนบทความวิเคราะห์ไว้แล้วว่า #ทุกๆบริษัทน้ำมันกำลังตกเป็นเหยื่อของ Elon Musk !

    ทาง BP เริ่มเข้าใจจุดนี้อย่างลึกซึ้งแล้ว จึงต้องปรับโครงสร้างครั้งใหญ่เพื่อรับมือกับทิศทางของธุรกิจในอนาคต

    ท่านใดสนใจบทความของเราเรื่อง "#เปิดแผน Disruption ที่ใหญ่ที่สุดในโลก" ที่อธิบายถึงแผนการอันยิ่งใหญ่ของ Elon Musk ที่จะเข้ามากลืนตลาดของบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ ลองอ่านดูได้ในคอมเม้นท์ที่เราแนบไว้ให้นะครับ บทความนี้ได้รับความสนใจเยอะและรับรองว่าน่าสนใจมากๆ

    ติดตามทุกความเคลื่อนไหวในตลาดน้ำมันโลกไปกับเพจเราได้ ท่านใดไม่อยากพลาดข่าวสารในตลาดจากทีมงาน แนะนำให้กด Like ที่โพสต์เรื่อยๆ หรือกดตั้งค่า “เห็นโพสต์ก่อน” หรือ See First ไว้ที่เมนูมุมขวาบนของเพจได้เลยครับ ไม่งั้นทาง Facebook จะไม่ค่อยแสดงโพสต์ของทีมเราที่อัพเดทใหม่ๆครับ

    #ทันโลกกับTraderKP

     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,497
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ⚠️ ด่วนนน ⚠️ ราคาน้ำมันโดนเทขายแรง -3% คืนนี้ หลังทาง ซาอุดิอาระเบียกล่าวว่า #จะไม่ลดน้ำมันส่วนที่เกินไปกว่าโควตาด้วยความสมัครใจอีกต่อไปแล้ว เพราะการลดคงต้องมาจากสมาชิกอื่นๆร่วมกัน !

    ราคาน้ำมันดิบ Brent พุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือนที่ 43 เหรียญไปเมื่อเช้าวันจันทร์นี้ แต่ก็คงอยู่ในระดับสูงได้ไม่นาน ล่าสุดคืนนี้ราคาหล่นมาต่ำกว่า 41 เหรียญแล้ว หรือลงมา -5% จากราคาเมื่อเช้าวันจันทร์นี้

    รมต.พลังงานซาอุ Prince Abdulaziz bin Salman ได้ออกมากกล่าวว่า “The voluntary cuts served their purpose and we are moving on,”

    หรือหมายความว่าน้ำมันกว่า 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวันที่ทางซาอุกำลังผลิตต่ำกว่าโควตาด้วยความสมัครใจตั้งแต่ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เพื่อที่จะดันราคาตลาดขึ้นนั้นได้ #ทำหน้าที่ของมันไปแล้ว ส่งผลให้ราคาน้ำมันดีดขึ้นมาตลอดเดือนที่ผ่านมา

    แต่ต่อไปนี้ทาง... ซาอุจะกลับไปผลิตที่ปริมาณเท่าโควตาแล้วหลังจากสิ้นสุดเดือนนี้

    การประกาศครั้งนี้มีผลกระทบต่อตลาดพอๆกับนโยบายการลดกำลังการผลิตของโอเปกในช่วงเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา

    หากลองมาคำนวนดูนั้น น้ำมันที่จะหายไปจากการลดกำลังการผลิต 2 ล้านบาร์เรลต่อวันของกลุ่มโอเปกและพันธมิตร (คงการผลิตที่ 9.7 แทนที่จะเป็น 7.7 ไปอีก 1 เดือน) จะทำให้มีน้ำมันหายไป 2 ล้าน x 30 วัน = 60 ล้านบาร์เรล

    โดยหากทางซาอุจะหยุดการลดกำลังการผลิต 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวันจริง 60 / 1.2 = 50 วัน แปลว่าทางซาอุผลิตกลับขึ้นมาเพิ่มเท่าโควตาปกติเพียง 50 วันก็จะมีผลกลับมาเท่ากับการลดเพิ่มของกลุ่มโอเปกแล้ว

    ข่าวนี้ที่ออกมาช่วงค่ำของวันจันทร์และได้สร้างความผิดหวังให้ตลาดเป็นอย่างมาก จนทำให้ราคาน้ำมันโดนเทขายอย่างแรง

    อีก #ปัจจัยบวก จากการประชุมที่คนไม่ได้พูดถึงคือ...

    เหตุผลที่ซาอุสามารถประกาศปรับเพิ่มการผลิตแบบนี้โดยไม่กลัวว่าราคาจะลง ไม่ใช่เพราะว่าซาอุเชื่อว่า #การใช้น้ำมันจะกลับมาเป็นปกติแล้ว แต่เป็นเพราะทางซาอุสามารถกดดันให้สมาชิกในกลุ่มโอเปกผ่านมติ #การผลิตทดแทนโควตาที่ลดไม่ครบในเดือนถัดๆไป ได้ และการลดตามโควตาให้ครบกำหนดเหล่านี้จะเข้ามาชดเชยส่วนที่หายไปจากทางซาอุเอง

    เรื่องนี้ถือเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของ ซาอุดิอาระเบียมากๆ เพราะทำให้สิ่งที่ทางซาอุพยายามแก้ไขมานานในการคุมให้สมาชิกทุกคนผลิตตามกรอบที่สัญญานั้นเริ่มจะเห็นผลมากขึ้นแล้ว แต่ก่อนนั้นทางซาอุไม่สามารถทำได้เลย และการโกงโควตาและแอบผลิตเพิ่มของสมาชิก ก็ทำให้ซาอุ #ต้องเริ่มสงครามราคาน้ำมัน หลายๆครั้งเพื่อเข้ากดดันประเทศที่พยายามผลิตเกิน

    ⚠️ รายละเอียดของสงครามราคาน้ำมันครั้งที่ผ่านๆมา ลองอ่านได้จากบทความแนบในคอมเม้นท์

    โดยในครั้งนี้ ประเทศหลักๆที่ผลิตเกินโควตาคือประเทศอิรัก ไนจีเรีย คาซัคสถาน และ แองโกลา ที่ยังไม่สามารถลดกำลังการผลิตตามสัญญาได้และจะต้องลดการผลิตชดเชยต่อไป (สามารถดู% ลดการผลิตของทั้ง 4 ประเทศได้จากกราฟแนบในคอมเม้นท์)

    คืนนี้มีข่าวสารอื่นๆที่น่าสนใจอีกคือ

    มีรายงานว่า 2 หลุมผลิตน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในลิเบียจะเริ่มกลับมาผลิตใหม่ได้แล้ว หลังจากต้องหยุดผลิตไปเพราะสงครามภายในประเทศนานถึง 5 เดือน สองแหล่งผลิตน้ำมันนี้คือ Sharara (300 KBD) และ El Feel (70 KBD) โดยอาจใช้เวลา 90 วันในการกลับมาดำเนินการผลิตอย่างเต็มกำลัง ก็อาจเป็นอีกแรงที่เข้ามากดดันราคาน้ำมันได้

    #ทิศทางของราคาน้ำมันในอนาคต ?

    ตอนนี้มีปัจจัยใหม่นึงที่กำลังเกิดขึ้นในตลาดที่ทำให้ #ยิ่งราคาน้ำมันขึ้นสูงเร็วๆ #ก็จะยิ่งทำให้ราคาน้ำมันลงไปต่ำอีกนานๆ อาจจะฟังดูแล้วงงๆ แต่นี่เป็นเรื่องจริงที่กำลังเกิดขึ้นหลังสงครามราคาน้ำมันในปี 2020

    ท่านใดไม่อยากผลาดบทความนี้ แนะนำให้กดตั้งค่า “เห็นโพสต์ก่อน” หรือ See First ไว้ที่เมนูมุมขวาบนของเพจได้เลยครับ ไม่งั้นทาง Facebook จะไม่ค่อยแสดงโพสต์ของทีมเราที่อัพเดทใหม่ๆครับ และฝากกด Like ที่โพสต์เรื่อยๆ เป็นกำลังใจให้กับทีมงานด้วยนะครับ

    #ทันโลกกับTraderKP

     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,497
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Goldman Sachs มองว่าราคาน้ำมันดิบอาจปรับตัวลดลง -17% ได้ภายใน 2 อาทิตย์หน้า ! ด้วยเหตุผลเดียวกับที่ทางเพจเราได้วิเคราะห์ไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว #ทันโลกกับTraderKP

    ราคาน้ำมันดิบ Brent เพิ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือนเมื่อเช้านี้ ทะลุกลับขึ้นไปเกิน 43 เหรียญต่อบาร์เรล แต่ทาง Goldman Sachs วาณิชธนกิจรายใหญ่ของสหรัฐอเมริกากลับเพิ่งออกมาฟันธงในคืนนี้ว่า #ราคาจะปรับตัวลงไปเหลือ 35 เหรียญต่อบาร์เรล เร็วๆนี้ !

    Goldman Sachs เป็นผู้ที่ทำนายราคาน้ำมันดิบโลกถูกกันมาหลายครั้งติดๆกัน และได้ชื่อว่าเป็นสำนักวิเคราะห์ราคาน้ำมันที่ทั้งโลกให้น้ำหนักมากที่สุด โดยเฉพาะใน 2 ครั้งล่าสุดที่ Goldman Sachs บอกว่า

    1️⃣ เมื่อช่วง 2 เดือนก่อน ในวันที่ 12 เมษายน ถึงแม้ทางโอเปกเพิ่งตกลงโควตาการผลิตใหม่กันได้และเป็นการรวมตัวกันของผู้ผลิตน้ำมันครั้งใหญ่ที่สุดในโลก แต่ทาง Goldman Sachs ยังฟันธงว่า #ราคาน้ำมันดิบจะปรับตัวลดลงไปที่ 20 เหรียญ ถึงแม้สงครามราคาน้ำมันจะเพิ่งยุติกันไป ! ถือว่าสวนทางกับสิ่งที่ตลาดมอง

    แต่ราคาน้ำมันดิบ Brent ก็ได้หล่นลงไปที่ 20 เหรียญจริงๆ ! ภายในเวลาไม่ถึง 2 อาทิตย์

    2️⃣ ต่อมาในวันที่ 23 เดือนเมษายน หลังจากที่ราคาน้ำมันดิบ WTI เพิ่งลงไปติดลบได้ไม่กี่วันทาง Goldman Sachs ก็ได้ออกมาฟันธงอีกครั้งว่า #ราคาน้ำมันดิบได้ปรับตัวผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ! ซึ่งสวนทางกับที่ตลาดมองอย่างสิ้นเชิงเพราะผู้คนกำลังกลัวจากการที่ราคา WTI ลงไปถึงติบลบได้อย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน !

    แต่หลังจากวันนั้นมาราคาน้ำมันดิบก็ได้ปรับตัวสูงขึ้นเรื่อยๆมาเป็นเวลา 1.5 เดือนแล้ว และปรับตัวสูงขึ้นมากว่า 100% ! จนแตะระดับ 43 เหรียญแล้วเมื่อเช้า

    เรียกได้ว่าทาง Goldman Sachs นั้นเป็นผู้มองทิศทางราคาน้ำมันได้เฉียบคมมากๆ และยังมีอิทธิพลต่อทิศทางของตลาดด้วย

    โดยทุกๆครั้งที่ทาง Goldman Sachs ออกมาปรับทิศทางและมุมมอง นักลงทุนทุกๆท่านก็สามารถติดตามผ่านเพจเราได้นะครับ รับรองเลยว่าท่านจะได้รับอัพเดทโดยทันทีอย่างแน่นอนภายในไม่กี่นาที

    โดยในครั้งก่อนๆที่ทาง Goldman Sachs ทางเราก็ได้อัพเดทโดยทันทีและวันนี้ได้แนบตัวอย่างไว้ให้ในคอมเม้นท์นะครับ ท่านใดได้รับข่าวสารเรื่องตลาดน้ำมันโลกจากเพจเราเป็นที่แรกเสมอ ขอเสียงยืนยันให้เพื่อนๆในคอมเม้นท์หน่อยครับ

    คืนนี้ Goldman Sachs มองว่าราคาน้ำมันจะปรับตัวลดลงเพราะ ?

    Goldman นั้นให้เหตุผลเดียวกับที่ทางเราเคยมองไว้เลยครับ เพราะราคาน้ำมันดิบจะวิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องนานๆไม่ได้หากค่าการกลั่นทั่วโลกยังไม่ดีดตัวขึ้น ราคาน้ำมันดิบในช่วงสั้นนั้นอาจจะวิ่งขึ้นได้จากแรงเก็งกำไรของนักลงทุน แต่หากการใช้น้ำมันจริงๆยังไม่มีมากเท่ากับที่ตลาดคาดการณ์ ยังไงวันนึงปัจจัยพื้นฐานที่อาจไม่ดีเท่าที่คาดก็จะต้องดึงราคาน้ำมันลงมา โดยปัจจัยที่จะดูการใช้น้ำมันที่ดีที่สุดคือ #ค่าการกลั่น โดยหากค่าการกลั่นยังไม่ปรับตัวดีขึ้นจากแรงซื้อน้ำมันสำเร็จรูป ทางโรงกลั่นก็จะไม่สามารถดำเนินการผลิตต่อไปได้และก็ต้องหยุดซื้อน้ำมันดิบในที่สุดและราคาก็จะไม่สามาถยืนอยู่สูงได้

    นี่เป็นคำอธิบายสั้นๆ แต่ถ้าใครอยากเข้าใจตลาดน้ำมันในรายละเอียด แนะนำให้อ่านบทความก่อนหน้านี้เลยครับ เพราะจะได้เข้าใจตลาดน้ำมันที่แบ่งออกเป็น 3 ส่วนสำคัญ

    1️⃣ ราคาน้ำมันดิบที่ขึ้นลง
    2️⃣ ราคาซื้อขายน้ำมันดิบล่วงหน้า
    3️⃣ ราคาส่วนต่างของน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูป (ค่าการกลั่น)

    และเข้าใจอย่างชัดเจนว่าแต่ละตลาดเชื่อมโยงกันอย่างไร อ่านได้ที่โพสต์นี้เลยครับ



    หลังจากราคาน้ำมันปรับตัวลดลงมาก่อนแล้ว ทาง Goldman Sachs จึงมองว่าภายในสิ้นปีราคาน้ำมันดิบ Brent จึงจะปรับตัวกลับขึ้นไปเหนือ 45 เหรียญได้อีกครั้ง หลังจากการใช้น้ำมันค่อยๆดีขึ้นจริงๆ

    ⛔️ ติดตามทุกความเคลื่อนไหวในตลาดน้ำมันโลกไปกับเพจเราได้

    ท่านใดไม่อยากพลาดข่าวสารในตลาดจากทีมงาน แนะนำให้กด Like ที่โพสต์เรื่อยๆ หรือกดตั้งค่า “เห็นโพสต์ก่อน” หรือ See First ไว้ที่เมนูมุมขวาบนของเพจได้เลยครับ ไม่งั้นทาง Facebook จะไม่ค่อยแสดงโพสต์ของทีมเราที่อัพเดทใหม่ๆครับ

    ท่านใดมีความเห็นอย่างไรลอง Comment กันเข้ามาดูได้เลยครับ

    #ทันโลกกับTraderKP

     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,497
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ราคาน้ำมันนั้นได้ค่อยๆทยอยปรับตัวสูงขึ้นมาตลอดเดือนพฤษภาคม โดยราคาน้ำมันดิบ Brent ได้ไต่ขึ้นมาประมาณ +70% จากระดับ 22 เหรียญช่วงต้นเดือนก่อนที่จะมาปิดเดือนที่ระดับ 37 เหรียญ

    โดยเหตุผลหลักๆที่ทำให้ราคาน้ำมันนั้นดีดตัวขึ้นมาก็มีอยุ่ 2 อย่างด้วยกันคือ

    1️⃣ การทยอยกลับมาผ่อนคลายนโยบาย Lockdown ของเมืองต่างๆทั่วโลกช่วยกระตุ้นให้การใช้น้ำมันดีดกลับขึ้นมาเร็วกว่าที่คาด

    2️⃣ ทางกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันรวมพลังกันลดการผลิตได้สูงและเร็วกว่าที่คาดไว้ ! โดยภายในเพียง 1 เดือนที่เริ่มลดการผลิต อุปทานน้ำมันทั่วโลกได้หายไปแล้วกว่า 15%

    แต่คำถามที่สำคัญกว่าต่อไปนี้คือ #ราคาน้ำมันจะยังเป็นขาขึ้นอยู่ต่อไปไหม ?

    ต้องบอกก่อนว่าตลาดน้ำมันตอนนี้นั้นคาดเดาทิศทางได้ยากกว่าตลาดหุ้น เพราะตลาดหุ้นหลักๆตอนนี้นั้นกำลังขึ้นอยู่กับการระบาดของไวรัสว่าจะมีเฟสสองหรือไม่เป็นหลัก (น่าจะประมาณ 75%) ส่วนเรื่องของความตึงเครียดระหว่างสหรัฐและจีน การประท้วงในสหรัฐต่างๆที่เกิด หรือนโยบายทางการเงินต่างๆนั้นน่าจะเป็นอีก 25% ที่เหลือ

    ในขณะที่ #ราคาน้ำมันนั้นตอนนี้ตัวแปรมีมากกว่าเยอะ เพราะการระบาดของไวรัสนั้นน่าจะมีผลกระทบไม่ถึงครึ่งของตลาดน้ำมันในตอนนี้ เพราะตลาดกำลังจะเปลี่ยนโฟกัสไปที่ด้านอุปทานแทน ซึ่งน่าจะมีผลกระทบต่อราคามากกว่า 50% โดยเฉพาะทางกลุ่มโอเปกและพันธมิตรกำลังจะมีการประชุมใหญ่กันในวันที่ 9 มิถุนายนนี้

    ในการวิเคราะห์ว่ากลุ่มโอเปกและพันธมิตรจะมีนโยบายอย่างในการประชุมนั้น ยากกว่าการจะคาดเดาตัวเลขของการระบาดที่เริ่มจะนิ่งๆแล้วอยู่แล้วสูงมาก เพราะเราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าผู้นำแต่ละประเทศนั้นวางแผนอะไรไว้บ้างและการตัดสินใจของคนเรานั้นเปลี่ยนได้ตลอดเวลา ต่างจากไวรัสที่หากพยายามควบคุมไว้เราก็พอกำหนดมันได้

    โดยเฉพาะในช่วงเดือนหลังๆที่สมาชิกทางกลุ่มโอเปกแต่ละประเทศนั้นต่างมีมุมมองที่แตกต่างกันไป จนเราเคยเห็นการเดินออกจากการประชุมกลางคันของรัสเซีย และก่อให้เกิดสงครามราคาน้ำมันอย่างคาดไม่ถึง และนี่คือสาเหตุว่าทำไม #ดัชนีความผันผวนของราคาน้ำมัน ถึงยังเทรดอยู่สูงกว่า VIX ของตลาดหุ้นอยู่ถึง 3 เท่า

    ตลาดส่วนใหญ่นั้นมองว่าโอเปกจะยืดเวลาการลดการผลิตออกไปจนถึงสิ้นปี

    ในปัจจุบันนั้นทางโอเปกและพันธมิตรทั่วโลกตกลงที่จะลดกำลังการลิตรวมกันกับที่ 9.7 ล้านบาร์เรลต่อวันในเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน ก่อนที่จะลดปริมาณการผลิตลงมาเป็น 7.7 ล้านบาร์เรลต่อวันในเดือนกรกฎาคมเป็นต้นไปจนถึงสิ้นปี เพราะคาดว่าการใช้น้ำมันจะเริ่มทยอยกลับมาแล้วจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องลดกำลังการผลิตไปมากกว่านี้

    แต่ล่าสุดนั้นข่าวเริ่มออกมาหนาหูมากๆว่า การที่ราคาน้ำมันนั้นกำลังดีดขึ้นกลับมาอย่างรวดเร็วนั้นเป็นที่น่าพอใจสำหรับกลุ่มโอเปกอย่างมาก ทางพี่ใหญ่ของกลุ่มอย่างซาอุดิอาระเบียและหลายประเทศในกลุ่มโอเปกจึงต้องการจะขยายเวลาในการลดกำลังการผลิตที่ 9.7 ล้านบาร์เรลต่อวันนี้ออกไปจนถึงสิ้นปี #หากเป็นแบบนั้นจริงราคาน้ำมันจะขึ้นอย่างต่อเนื่องแน่ๆ

    เราคงไม่สามารถคาดเดาการตัดสินใจของโอเปกได้ แต่ยังมีอย่างอื่นที่เราพอวิเคราะห์ได้

    หากกลุ่มโอเปกลดกำลังการผลิตต่อไปถึงสิ้นปีนั้นราคาน้ำมันจะขึ้นแน่ๆ แต่ถ้าการประชุมมีมติที่จะคงแผนลดการผลิตเหมือนเดิมราคาน้ำมันก็จะโดนเทขายลงมาอย่างแน่นอน แต่ในการวิเคราะห์วันนี้เราจะขอถอดตัวแปรนี้ออกก่อนถึงแม้ว่ามันจะเป็นตัวแปรที่ใหญ่ที่สุดในตลาด

    แต่สิ่งนึงที่ทำให้การวิเคราะห์น้ำมันนั้นจับต้องได้คือการวิเคราะห์จากมุมการใช้น้ำมันจริงๆ

    #ตลาดน้ำมันนั้นแบ่งออกได้ เป็น 3 ส่วน

    1️⃣ ราคาน้ำมันดิบที่ขึ้นลง
    2️⃣ ราคาซื้อขายน้ำมันดิบล่วงหน้า
    3️⃣ ราคาส่วนต่างของน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูป (ค่าการกลั่น)

    เราคงต้องทำความเข้าใจความเชื่องโยงของตลาดทั้งสามก่อนถึงจะวิเคราะห์ต่อไปได้ โดยหากจะพูดถึงความรวดเร็วของราคาที่เปลี่ยนแปลงไปจากสภาพตลาดที่ดีขึ้นนั้นเราจะไล่เรียงลำดับได้จาก 1️⃣ ไป 3️⃣

    เราจะเห็นได้ว่านับตั้งแต่การใช้เริ่มแสดงสัญญาณว่าจะกลับมา 1️⃣ ราคาน้ำมันดิบ เป็นสิ่งแรกที่พุ่งขึ้นมาก่อน เพราะตลาดนี้เป็นตลาดที่เงินทุนเข้าถึงได้เร็วที่สุด กองทุนเก็งกำไรเข้าซื้อสัญญาน้ำมันดิบ Futures ได้ พวกนักลงทุนรายย่อยต่างก็ใส่เงินเข้ามาผ่านกองทุนน้ำมันได้ ทำให้ราคานี้มีความเคลื่อนไหวได้เร็วที่สุด

    ต่อมา 2️⃣ ราคาซื้อขายน้ำมันดิบล่วงหน้า จะเป็นราคาที่สองที่ขยับเพราะเทรดเดอร์น้ำมันดิบทั่วโลกก็จ้องที่จะเก็งกำไรจากตลาดที่กำลังฟื้นกลับมา พอเห็นสัญญาณราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นเทรดเดอร์น้ำมันดิบจึงกว้านซื้อเรือที่พร้อมส่งมอบน้ำมันในระยะสั้นเพื่อเก็งกำไร ทำให้ตอนนี้ส่วนต่างราคาล่วงหน้าที่เคยเป็น Contango ที่ลึกมากกำลังปรับตัวกลับไปเป็น Backwardation แล้ว อย่างที่ทางเพจได้วิเคราะห์ไปบ่อยๆ

    และแล้วสุดท้าย หากการใช้กลับขึ้นมาจริงๆ เราจะเห็นว่า 3️⃣ ราคาส่วนต่างของน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูป (ค่าการกลั่น) จะเป็นสิ่งสุดท้ายที่ทยอยปรับขึ้น เพราะความต้องการใช้น้ำมันสำเร็จรูปจากปลายทาง เช่นการเดินทาง การขนส่ง การผลิตต่างๆจะทำให้ราคาน้ำมันสำเร็จรูปปรับตัวสูงขึ้น ไม่ใช่เพราะเงินทุนต่างๆในตลาดที่ไหลเข้าไป

    แต่สิ่งที่น่าสนใจในตลาดตอนนี้คือ #ค่าการกลั่นไม่ได้ปรับตัวขึ้นมาตามราคาน้ำมันดิบ หรือราคาซื้อขายน้ำมันดิบล่วงหน้า

    อันนี้เป็นจุดที่น่าเป็นห่วงว่าเงินที่ไหลเข้ามาในตลาดและการเก็งกำไรของเทรดเดอร์น้ำมันดิบนั้นจะเป็นไปตามจริงไหม ? เพราะถ้าสุดท้ายการใช้น้ำมันไม่ได้ทำให้ราคาน้ำมันสำเร็จรูปสูงขึ้นได้จริงๆ ราคาน้ำมันดิบก็จะต้องโดนเทขายลงไปใหม่

    ผ่านมา 1 เดือนแล้วที่ราคาน้ำมันดิบและราคาซื้อขายล่วงหน้ากำลังปรับตัวสูงขึ้น ตลาดน้ำมันดิบหลายตลาดกำลังจะกลับตัวเป็น Backwardation แล้ว #แต่ราคาค่าการกลั่นนั้นปรับตัวขึ้นมาน้อยมากๆ ! นี่ไม่ใช่สัญญาณที่ดีเลยครับ

    เหตุผลอาจจะเป็นไปได้สองทางคือ 1) การใช้ยังไม่ได้กลับมาเท่าที่คาดจริงๆ หรือ 2) ตลาดอาจมีสต็อกเหลือล้นมากอยู่

    แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุผลไหนก็ตามหากค่าการกลั่นยังไม่ดีขึ้นเรื่อยๆโรงกลั่นต่างๆก็จะต้องหยุดหรือลดการผลิตลงเพราะไม่สามารถดำเนินการได้อย่างคุ้มค่า และสุดท้ายหากโรงกลั่นไม่ซื้อน้ำมันดิบ ความมต้องการใช้น้ำมันดิบก็จะลดลง เทรดเดอร์น้ำมันดิบทั่วโลกก็ต้องขายเรือน้ำมันที่เก็งกำไรนั้นออกมา ตลาดก็จะกลับไป Contango มากขึ้นอีกครั้ง และเงินกองทุนต่างๆที่เก็งกำไรราคาน้ำมันไว้ก็จะโดนบีบให้เทขายออกมาอีกครั้งเพราะปัจจัยพื้นฐานไม่ได้ดีอย่างที่คาด

    การที่ราคาน้ำมันจะขึ้นอย่างยั่งยืนได้นั้นจะต้องมากจากการที่ค่าการกลั่นเป็นตัวนำ

    เราจะเห็นได้ว่าหากราคาน้ำมันดิบจะขึ้นจากเหตุการณ์ความไม่สงบต่างๆนั้นราคาจะทรงอยู่ได้ไม่นานเลยเพราะมันเป็นปัจจัยในระยะสั้น แต่หากราคาจะทรงอยู่ได้นานๆนั้นจะต้องเกิดจากค่าการกลั่นหรือการใช้น้ำมันปลายทางเป็นตัวดึง หรือเป็นที่รู้จักกันในคำว่า Demand Pull ถ้าเป็นแบบนี้ราคาน้ำมันก็จะอยู่ในระดับสูงได้นาน

    #สรุป - ราคาน้ำมันดิบในระยะสั้นจะยังคงขึ้นอยู่กับการประชุมโอเปกเป็นหลัก รองลงมาคือการระบาดของไวรัสและการกลับมาเปิดเมืองหรือการเดินทางระหว่างประเทศ

    แต่หากเราจะคงปัจจัยต่างๆด้านบนไว้ #ค่าการกลั่น จะเป็นตัวแปรที่สำคัญมากๆต่อการที่ราคาน้ำมันจะอยู่ในระดับสูงได้นานแค่ไหน หากภายในเดือนนี้ค่าการกลั่นยังไม่ปรับตัวสูงขึ้นอีก เราอาจจะได้เห็นการเทขายอีกครั้งถึงแม้ทางโอเปกจะพยายามพยุงราคาไว้ก็ตาม

    ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามเพจของเรานะครับ ฝากกด Like และ Share ให้แอดด้วยหากข้อมูลนี้มีประโยชน์นะครับ ขอบคุณมากๆครับ

    #ทันโลกกับKP #OilTraderKP

     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,497
    ค่าพลัง:
    +97,150
    พนักงานส่งสินค้าออนไลน์ของ #TescoLotus สาขาบางกะปิ ช่วยกันรวบรวมเงินเพื่อซื้อของใช้ที่จำเป็นและอาสาทำความสะอาดบ้านให้กับลูกค้า หลังจากที่ได้ไปส่งสินค้าให้และพบว่าลูกค้าเป็นผู้พิการและอาศัยอยู่กับคุณแม่ซึ่งเป็นผู้ป่วยติดเตียง

     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,497
    ค่าพลัง:
    +97,150
    กวางเมืองมรดกโลก นารา สุขภาพดีขึ้นจากโควิด
    .
    จากการระบาดของ covid 19 ทำให้เมืองมรดกโลกอย่าง”นารา”ของญี่ปุ่นนักท่องเที่ยวหายไป 99.9% ทำให้บรรดากวางซึ่งมีอยู่ทั่วเมืองจากที่เคยได้ทานขนมเซมเบ้จากนักท่องเที่ยวก็ไม่มีขนมให้กินอีก พวกมันต้องกลับไปกินหญ้าตามธรรมชาติที่มันเป็นและมีบ้างที่ไปคุ้ยขยะ
    อาจจะดูน่าสงสารแต่ความจริงแล้วมันกลับส่งผลดีต่อสุขภาพของพวกกวางอย่างเห็นได้ชัด
    จากเดิมนั้นเมื่อมันกินขนมเซมเบ้ แม้ขนมจะมีประโยชน์ต่อพวกมันแต่นี่จากขนมที่แห้งทำให้มันต้องกินน้ำมากขึ้นส่งผลให้มันถ่ายเหลว แต่หลังจากนักท่องเที่ยวหายไปขนมเซมเบ้ก็ไม่มีใครซื้อเลี้ยงพวกวางอีกพวกมันที่กลับไปกินหญ้าแล้วก็ถ่ายเป็นปกติ
    คนในเมืองนาราที่สังเกตความเปลี่ยนแปลงนี้เริ่มพูดคุยถึงการขายขนมเซมเบ้ในอนาคตเมื่อการท่องเที่ยวกลับมาว่าควรต้องมีการควบคุมปริมาณการขายและให้พวกกวางกินเพื่อสุขภาพของพวกมัน
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,497
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Food Delivery ที่เมืองเฉิงตู เริ่มเปลี่ยนมาใช้ “มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า” เพราะถูกกว่าเติมน้ำมัน
    .
    สาเหตุที่มอเตอร์ไซค์ฟู้ด เดลิเวอรี่ ในเมืองเฉิงตู เปลี่ยนไปใช้มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า หากดูจากความสะดวกสบาย เปรียบเทียบกับการเติมน้ำมันน่าจะพอๆ กัน ใช้เวลาไม่มาก เนื่องจากเป็นการยกแบตเตอรี่ที่ใกล้จะหมดไฟไปเปลี่ยนแบตเตอรี่ที่มีไฟเต็มที่สถานีชาร์จ ใช้เวลาเพียง 3 วินาทีในการเปลี่ยน ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ของการชาร์จมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า ที่เพิ่งเปิดใช้ได้ประมาณ 1 ปี ปัจจุบันมีสถานีชาร์จนับหมื่นจุด

    ด้วยการลงทุนเริ่มต้นประมาณ 68 หยวน สามารถเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้ 30 ครั้ง เมื่อนับเป็นระยะทางในการเปลี่ยนแบตเตอรี่ ประมาณ 50 กิโลเมตร ต่อครั้ง หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 18 สตางค์ต่อกิโลเมตร ซึ่งถูกกว่าการใช้น้ำมัน

     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,497
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เนเธอร์แลนด์สั่งฆ่าตัวมิ้ง 10 000 ตัวเพื่อป้องกันการระบาด covid 19
    .
    รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรต่างค่าตัวมิ้งทั้งประเทศเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิค 19 หลังพบว่ามิ้งสามารถติดCovid 19 ได้และยังสามารถแพร่เชื้อไปยังมนุษย์ได้ด้วย
    โดยเนเธอร์แลนด์มีฟาร์มเลี้ยงมิ้งเสื้อทำเสื้อขนมิ้งจำนวน 10 ฟาร์มและมีมิ้นทั้งประเทศราวๆ 10 000 ตัว
    อย่างไรก็ดีหลังจากมีคำสั่งออกไปทางองค์กรพิทักษ์สัตว์ได้ยื่นกับศาลให้ระงับคำสั่งดังกล่าวนี้แล้วชื่อว่าจะมีการพิจารณาอีกครั้งในวันจันทร์ที่ 8 มิถุนายนนี้
    หมายเหตุ
    เสื้อขนมิ้งถูกมองว่าเป็นการทรมานสัตว์ ได้รับการต่อต้านและห้ามขายจากหลายๆประเทศ เนเธอร์แลนด์อุตสาหกรรมและฟาร์มผลิตขนมิ้งในปี 2567 แต่ปัจจุบันยังคงมีฟาร์มที่ผลิตขนมิ้งในเนเธอร์แลนด์อยู่แต่ลดลงไปจากในอดีตมากแล้ว

     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,497
    ค่าพลัง:
    +97,150
    กลัวจำไม่ได้
    .
    ท่านนายกเทศมนตรีของเมือง Surakarta ,Central Java, Indonesia เกรงนักข่าวจะจำท่านไม่ได้ หน้ากากอนามัยของท่านช่วงโควิดเลยทำพิเศษ

     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,497
    ค่าพลัง:
    +97,150
    แม่คุณณณณณณณณณณณ
    กำลังปะทะตำรวจนะไม่ต้องห่วงสวยขนาดนั้น

     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,497
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สกู๊ปไทยรัฐ
    ไทยรัฐออนไลน์9 มิ.ย. 2563 05:30 น.

    “A riot is the language of the unheard.’’ จลาจล คือ ภาษา ที่ไม่ได้ยิน

    วรรคทองอมตะ จาก สุนทรพจน์ The other America ของ ด็อกเตอร์มาร์ติน ลูเธอร์ คิง ที่ 3 (Martin Luther King III) นักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนของชาวผิวสี ใน ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ในปัจจุบันอาจกำลังกลายเป็นสิ่งที่ ชาวอเมริกัน ต้องการสื่อถึง “ใครบางคน”

    หม่อมถนัดแดก ปิดตัวร้านอาหารรวดเดียว 6 สาขา เซ่นพิษโควิด-19
    คลายตึงเครียด นิวยอร์กเลิกเคอร์ฟิวคุมประท้วง-ทรัมป์ถอนทหารในดี.ซี.
    ไปให้คำแนะนำป้องกันโควิด ตำรวจท่องเที่ยว ชี้แจงภารกิจนำ ฮ.ตรวจวัดไอ้ไข่
    “ใครบางคน” ที่ทวีตข้อความที่ชวนตกตะลึง ว่า...

    “When the looting starts the shooting starts” Thank you!
    (แต่…เมื่อใดก็ตามที่เริ่มมีการปล้น ให้เริ่มยิงได้ทันที ขอบคุณ)

    และบางที ใครบางคน นั้น อาจไม่ได้ยินเสียง "I can't breathe" (ผมหายใจไม่ออก)

    รวมทั้ง ข้อมูลสำคัญชุดนี้.....

    เว็ปไซต์ Mapping Police Violence https://mappingpoliceviolence.org พบว่า ในปี 2019 มีคนผิวสีถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจในสหรัฐอเมริกา “สังหาร” รวมกันมากถึง 1,099 ศพ และในทั้งปีนั้น มีเพียง 27 วันเท่านั้น ที่ตำรวจสหรัฐฯ ไม่ได้ลงมือสังหาร “ใครสักคน”

    และจากสถิติดังกล่าว ยังพบอีกด้วยว่า คนผิวสี มีโอกาสที่จะถูกตำรวจฆ่ามากกว่า คนผิวขาว ถึง 3 เท่า หนำซ้ำ คนผิวสี ที่ปราศจากอาวุธ ยังมีโอกาสที่จะถูกตำรวจสังหาร มากกว่า คนผิวขาว ถึง 1.3 เท่าด้วยเช่นกัน


    หากแต่...สถิติที่เว็บไซต์นี้ฟ้องต่อชาวโลก อาจทำให้ “คุณ” ต้องอึ้งขึ้นไปอีกแน่ๆ เพราะตั้งแต่ปี 2013 จนถึง ปี 2019 นั้น พบว่า ตำรวจสหรัฐถึง 99% ไม่เคยต้องรับผิดชอบใดๆ “จากการกระทำของตัวเองเลย”

    เห็นแบบนี้แล้วใคร่สงสัยยิ่งนักว่า โฆษณาชวนเชื่อชาวโลกจากบรรดาซีรีส์และภาพยนตร์ ที่มักอวดอ้างว่า นิติวิทยาศาสตร์ของประเทศตัวเองแน่นปึกนั้น ที่จริงแล้ว มันความจริงหรือไม่?


    "I can't breathe" (ผมหายใจไม่ออก) สำคัญไฉน?

    นี่คือ “ประโยค” ที่ปัจจุบัน ได้กลายเป็น “นัย” เชิงตั้งคำถามถึงเสรีภาพ ความเสมอภาค และ ภราดรภาพ บนแผ่นดินเสรีภาพทุกตารางนิ้ว ว่าแท้ที่จริงแล้ว...หลังการเปิดสงครามกลางเมือง ฆ่าฟันคนในชาติเดียวกัน เพื่อปลดแอกธุรกิจค้ามนุษย์ เมื่อหลายร้อยปีก่อนนั้น

    ปัจจุบัน ณ ดินแดนแห่งนั้นเป็น ดินแดนแห่งความฝัน ของเสรีชนจริงหรือไม่?

    เหตุการณ์ที่ดูแล้ว ไม่ต่างอะไรกับการ (จงใจ) ฆาตกรรมหนุ่มผิวสีกลางถนน ที่กระทำโดยเจ้าหน้าที่รัฐถึง 4 นาย ท่ามกลางประชาชนจำนวนมาก ที่ทั้งถ่ายคลิปและร้องเตือน ให้ปล่อยเหยื่อจากอุ้งมือมัจจุราช แต่กลับไม่ได้รับความสนใจใดๆ จากผู้ที่กระทำ รวมถึงนักสิทธิมนุษยชนทั้งหลาย ที่เอาแต่สนใจ “เรื่องนอกประเทศ” มากกว่า “ปัญหาบนแผ่นดินของตัวเอง”

    จนกระทั่ง เหยื่อเคราะห์ร้าย ต้องมาสิ้นใจตายอย่างทุกข์ทรมาน! และทำให้เกิด “กลียุคเผาบ้านเผาเมือง” เพื่อเรียกร้องหา “ความยุติธรรม” บนแผ่นดินที่อวดอ้างว่า มี เสรีภาพทุกตารางนิ้ว และมักจะ “ชี้นิ้ว” ไปที่ประเทศอื่นๆ ว่ามี “มาตรฐาน” เรื่องเสรีภาพและความยุติธรรม ต่ำกว่า “แผ่นดินของตัวเอง”

    "Please, I can't breathe" (กรุณาเถอะ...ผมหายใจไม่ออก)
    "My stomach hurts," (ผมเจ็บท้อง)
    "My neck hurts. Everything hurts." (คอผมเจ็บ ทั่วร่างกายของผมเจ็บไปหมดแล้ว)
    "Give me some water or something. Please. Please." (ขอน้ำให้ผมดื่มสักนิดเถอะ กรุณาผมด้วย กรุณาผมด้วย)


    เสียงคร่ำครวญอย่างน่าเวทนาของชายผิวสี ที่มีชื่อว่า จอร์จ ฟลอยด์ (George Floyd) ที่ทำงานเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยร้านอาหารมานานถึง 5 ปี ที่วินาทีนั้น เหนือร่างของที่กำลังนอนคว่ำแบบไร้ทางสู้ของ “เขา” มีเจ้าหน้าที่ตำรวจผิวขาว เมืองมินนีแอโพลิส (Minneapolis) ที่มีชื่อว่า เดริก ชอวิน (Derek Chauvin) บรรจงทิ้งน้ำหนักทั้งตัวลงบนเข่า เพื่อ “บดขยี้” เข้าไปที่บริเวณลำคอของหนุ่มผิวสีวัย 46 ปี เป็นเวลานานถึง 8 นาที! ในขณะที่เพื่อนตำรวจอีก 3 นาย คนหนึ่ง “ยืนดูต้นทาง” คอยห้ามไม่ให้ “อเมริกันมุง” นับร้อยคน เข้ามาช่วยเหยื่อ ส่วนอีก 2 นาย คอย “ตรึงร่าง” ที่กำลังหายใจไม่ออก ให้คว่ำหน้าคาถนนต่อไป

    MAMA! (แม่) คำพูดสุดท้ายของ จอร์จ ฟลอยด์ ก่อนที่เขาจะไม่สามารถพูดได้อีกตลอดกาล และสิ้นใจตายที่โรงพยาบาลในเวลาต่อมา

    คำอธิบายของตำรวจทั้ง 4 นาย ต่อการเสียชีวิตของเหยื่อ คือ หมอนี่ “พยายามขัดขืนการจับกุม”

    หากแต่ “คำตอบ” ดังกล่าว ทำให้เกิด “คำถาม” ตามมาดังๆ จากทั่วทุกสารทิศทั้งในสหรัฐอเมริกาและทั่วโลกว่า การจับกุมตัว “ผู้ต้องสงสัย” คนหนึ่งที่ไร้ทางสู้ และมีเจ้าหน้าที่ตำรวจมากถึง 4 นายนั้น จำเป็นต้องทำถึงขนาดนี้เลยน่ะหรือ?

    โดยเฉพาะเมื่อมีหลักฐานจากคลิปวิดีโอของอเมริกันมุงจำนวนมาก รวมถึงภาพจากกล้องวงจรปิดในบริเวณที่เกิดเหตุ ซึ่งแสดงให้เห็นชัดว่า “ผู้ต้องสงสัยคนนั้น” ปราศจากอาวุธ และไม่ได้มีท่าทีใดๆ ที่จะขัดขืนการจับกุม ดังที่ตำรวจทั้ง 4 นาย เอ่ยอ้าง!

    ซ้ำร้ายไปกว่านั้น หลังการเสียชีวิตอย่างน่าเวทนา ผู้ลงมือใช้เข่า “กดทับคอ” กลับถูกตั้งข้อหาแสนเบาอย่าง “ข้อหาฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา” และ “ให้ออกจากราชการ” เอาไว้ก่อน เท่านั้น (ปัจจุบันถูกตั้งข้อหาหนัก(ขึ้น)กว่าเดิม)

    ทั้งๆ ที่ จาค็อบ เฟรย์ (Jacob Frey) นายกเทศมนตรี เมืองมินนีแอโพลิส อธิบายถึงการกระทำของตำรวจทั้ง 4 นายว่า เป็นการกระทำที่ขัดต่อเทคนิคการจับกุมตัวคนร้าย “ตามคู่มือการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ตำรวจ” และไม่มีเหตุผลจำเป็นใดๆ เลยที่จะใช้ “เข่า” กดทับลงไปบริเวณต้นคอของผู้ต้องสงสัย

    และในเมื่อใกล้เคียงอย่างยิ่งที่ “ชายผิวสีผู้น่าสงสาร” จะไม่ได้รับความเป็นธรรม นั่นแหละ ไฟแห่งการเรียกร้อง “ความยุติธรรม” จึงถูกจุดขึ้นบนดินแดนแห่งเสรีภาพ (อีกครั้ง)


    และเหตุแห่งการจุดติดนั้น ก็มาจากไวรัลคลิป "I can't breathe" (ผมหายใจไม่ออก) ที่ถูกแชร์ยับบนโลกโซเชียลมีเดีย จนกระทั่งทำให้ ชาวอเมริกันทั้งผิวสีและผิวขาว ที่รักความยุติธรรม ต่างออกมาแสดงพลัง ก่อเหตุจลาจลเผาบ้านเผาเมือง จนกระทั่งทำให้มีถึง 25 เมือง ต้องออกมาประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เอ๊ย...ประกาศเคอร์ฟิว หลังต้องเผชิญหน้ากับกลุ่มผู้ประท้วงนับพันคนบนท้องถนน รวมถึงฝูงก้อนหิน ที่ปาเข้าตอบโต้ หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเริ่มใช้แก๊สน้ำตาและกระสุนยาง เพื่อหวังสลายการชุมนุม

    หากแต่เหตุการณ์ “ชายผิวสี” ถูก “กระทำการป่าเถื่อน” จากเจ้าหน้าที่รัฐผิวขาว จนนำไปสู่ การเผาบ้านเผาเมือง ครั้งนี้ มิใช่เกิดขึ้นครั้งแรก หากแต่ USA เคยพานพบกับ เหตุการณ์ “เดจาวู” คล้ายๆ กันนี้มาแล้ว หนึ่งในเหตุการณ์นั้น คือ...

    Los Angeles Riots 1992 (การจลาจล ที่ลอสแอนเจลิส)
    มีนาคม 1991 ชายผิวสี ที่มีชื่อว่า ร็อดนีย์ คิงส์ (RODNEY KING) ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจลอสแอนเจลิส กระชากตัวลงมาจากรถยนต์ จากนั้นตำรวจผิวขาว 4 นาย ได้เข้ารุมกระหน่ำทำร้ายร่างกายชายผิวสีเคราะห์ร้าย อย่างโหดเหี้ยม กลางถนนหลวง ในขณะที่เพื่อนๆ ตำรวจอีกหลายนายทำเพียง “ยืนดูอยู่เฉยๆ” ไม่ได้คิดจะพยายามเข้าไปห้ามปราม หรือช่วยเหลือ “เหยื่อ” แม้แต่เพียงน้อยนิด และหลังจากถูก “รุมซ้อมอย่างหนักหน่วง” ร็อดนีย์ คิงส์ ซึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัส กะโหลกร้าว กระดูกหักหลายแห่ง ฟันหลุดหลายซี่ สมองบางส่วนได้รับความเสียหาย ยังถูกตั้งข้อหา “ต่อสู้ขัดขืนการจับกุม” เป็นของแถมอีกด้วย

    แต่โชคดีที่ เหตุการณ์ทารุณกรรมทั้งหมด ถูกบันทึกเอาไว้ได้โดยช่างภาพสมัครเล่น ที่มีชื่อว่า จอร์จ ฮอลิเดย์ (George Holliday) จากนั้นมันได้ถูกเผยแพร่ออกไป จนกลายเป็นข่าวดังไปทั่วโลก


    อย่างไรก็ดี แม้จะมีวิดีโอบันทึกเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเอาไว้ได้ แต่ก็แทบไม่น่าเชื่อเลยว่า ในเวลาต่อมา ตำรวจ LA ทั้ง 4 นาย ที่ถูกดำเนินคดีจากข้อหา “ใช้กำลังเกินกว่าเหตุ” กลับถูก “คณะลูกขุน 12 คน” ที่ประกอบด้วย คนผิวขาวถึง 9 คน เชื้อสายลาติน 1 คน เอเชีย 1 คน บุคคล 2 สัญชาติอีก 1 คน ตัดสินว่าทั้ง 4 คน “ไม่มีความผิด” ในเดือนเมษายน ปี 1992

    และจากคำตัดสิน “อันไร้ซึ่งความยุติธรรม” ในสายตาชาวแอฟริกัน-อเมริกันนี้เอง อีกเพียง 3 ชั่วโมงต่อมา เหตุจลาจลเผาบ้านเผาเมือง (LA) เป็นระยะเวลาถึง 4 วันติดต่อกัน ก็เกิดขึ้น....จนทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 55 ศพ อีกมากกว่า 2,300 คน ได้รับบาดเจ็บ ในขณะที่บ้านเรือนและร้านรวงต่างๆ ถูกเผาได้รับความเสียหาย มากกว่า 1,000 หลัง สร้างความเสียหายมูลค่ารวมกว่า 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ!

    2 เหตุการณ์ที่แทบจะ “ไม่มีความแตกต่างกัน” ทั้งๆ ที่มันผ่านมานานถึง 30 ปี เข้าให้แล้ว!

    จริงหรือ? สหรัฐอเมริกา มีเสรีภาพ และ ความเท่าเทียม

    ควรมีการตั้งคำถามตัวโตๆ ได้หรือยังว่า ปัญหาความไม่เท่าเทียม ระหว่าง คนผิวสี และ คนผิวขาว บนดินแดน (อวดอ้าง) เสรีภาพทุกตารางนิ้วนี้ ยังคงมีปัญหาซุกซ่อนอยู่ใต้พรม เพียงแต่รอวันที่จะระเบิดออกมาเมื่อไหร่เท่านั้น!

    หากแต่ในความเหมือนที่แทบจะไม่มีอะไรแตกต่างของทั้งสองเหตุการณ์นั้น ยังคงมีความ “แตกต่าง” ซุกซ่อนอยู่

    แล้วอะไรคือ “ความแตกต่าง” ที่ว่านั้นน่ะหรือ?

    “ผมได้ร้องขอให้มีการสืบสวนเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน และผมขอชื่นชมอย่างยิ่งกับการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ภายใต้กฎมายของรัฐมินนิโซตา หัวใจของผมโศกเศร้าไปกับครอบครัวและเพื่อนของ จอร์จ ฟลอยด์ ความยุติธรรมจะต้องบังเกิดขึ้น”

    ทวนอีกครั้ง “พอใจอย่างยิ่งกับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐ” อืม.....

    และเมื่อประชาชนในเมืองมินนีแอโพลิส ลุกฮือก่อจลาจล บุกสถานีตำรวจ เพื่อต่อต้าน ความ “อยุติธรรม” ที่เกิดขึ้น ท่านผู้นำทรัมป์ ได้ทวีตข้อความว่า “ผมไม่สามารถก้าวถอยหลัง หรือเอาแต่เฝ้าดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองมินนีแอโพลิส หลังจากเมืองนี้มี นายกเทศมนตรีที่เป็นพวกซ้ายจัด และสุดแสนจะอ่อนแอ (เนื่องจากเป็นนายกเทศมนตรี ที่มาจากพรรคเดโมแครต) และหากเขายังไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ความรุนแรงได้ ผมจะส่งกองกำลัง National Guard เข้าไปจัดการเอง!”

    ทวนอีกครั้ง “จะส่งกำลังทหารจาก รัฐบาลกลาง เข้าไปจัดการ ประชาชน” อืม....


    และหนักหนาสาหัสมากยิ่งไปกว่านั้น คือ ประโยคจากทวีตนี้...

    อันธพาล (กลุ่มผู้ประท้วง) เหล่านี้ ทำลายความระลึกถึง จอร์จ ฟลอยด์ ลงเสียสิ้น และผมจะไม่ยอมปล่อยให้มันเกิดขึ้น ผมบอกกับ ผู้ว่าการรัฐมินนิโซตา แล้วว่า กำลังทหาร (จากรัฐบาลกลาง) พร้อมให้การสนับสนุน และไม่ว่าจะยากเย็นแค่ไหน เราจะควบคุมมันให้ได้

    และจากนั้น ก็ถึง “วรรคทอง” ที่โลกต้องจดจำ...

    “When the looting starts the shooting starts” Thank you! (แต่…เมื่อใดก็ตามที่เริ่มมีการปล้น ให้เริ่มยิงได้ทันที ขอบคุณ) สาบานได้ว่า....นี่คือทวีตของท่านผู้นำแห่งโลกเสรี ณ พ.ศ.นี้

    ทั้งๆ ที่ท่ามกลางเหตุจลาจลเผาบ้านเผาเมือง ประเทศสหรัฐอเมริกา แทบจะร้อนเป็นไฟ ท่านผู้นำโดนัลด์ ทรัมป์ กลับสาดน้ำมันลงบนกองเพลิงในหัวใจอันโกรธกริ้วของประชาชนเข้าให้ ทั้งๆ ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจในหลายรัฐ “ยอมสยบ” ต่อประชาชนด้วยการ “คุกเข่า” ให้กับกลุ่มผู้ประท้วง เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความเสียใจต่อเหตุการณ์ “อยุติธรรม” ที่เกิดขึ้นกับ จอร์จ ฟลอยด์

    อืม.....เราขอตัดภาพ เพื่อแสดงความ “แตกต่าง” กันต่อดีกว่า

    แล้ว ผู้นำสหรัฐอเมริกา ในช่วงที่เกิดเหตุการณ์ “ร็อดนีย์ คิงส์” ล่ะ....MR.PRESIDENT ณ เวลานั้น พูดกับอเมริกันชนแตกต่างจาก ท่านผู้นำทรัมป์ ว่าอย่างไร?

    “น่าขยะแขยง”

    ประธานาธิบดีจอร์จ บุช (George Bush) จาก พรรครีพับลิกัน (พรรคเดียวกันกับ ท่านผู้นำทรัมป์) ซึ่งในเวลานั้น นั่งเก้าอี้ผู้นำสหรัฐฯ เรียก การกระทำอันโหดเหี้ยมของ ตำรวจทั้ง 4 นาย ที่ลงมือรุมทำร้าย “ร็อดนีย์ คิงส์” ว่า “น่าขยะแขยง”

    “การกระทำอันโหดเหี้ยมนั้น กระตุกพวกเราทุกคนให้พยายามหาทางยุติความรุนแรงและโหดร้ายที่ไร้เหตุผลในทุกรูปแบบ เจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมาย ไม่อาจวางตนให้อยู่เหนือกฎหมาย ที่พวกเขาให้สัตย์สาบานว่าจะปกป้อง

    และมันน่าขยะแขยงสิ้นดี ที่ต้องมาพบเห็นการทำร้ายร่างกายในลักษณะนี้ มันไม่มีทางเลย ไม่มีทางเลยในความเห็นของผม ที่จะมีคำอธิบายใดๆ สำหรับการกระทำอันแสนอุกอาจในครั้งนี้” บุช ผู้พ่อ กล่าวด้วยความอัดอั้นตันหัวใจ

    แน่นอน ประเทศสหรัฐอเมริกา ไม่ได้เกิดเหตุการณ์ “น่าขยะแขยง” ดังที่ ท่านประธานาธิบดีบุช เรียก เพียงแค่ 2 เหตุการณ์นี้เท่านั้น ในอดีตที่ผ่านมา มันเคยเกิด ปรากฏการณ์ ข่มเหง รังแก หรือแม้กระทั่งสังหารคนผิวสีอย่างไร้เหตุผล โดยเจ้าหน้าที่รัฐ ควบคู่มาตลอดประวัติศาสตร์ของประเทศนี้

    ไม่เชื่อเราลองไปย้อนความหลังของ ประเทศแห่งเสรีภาพทุกตารางนิ้ว แห่งนี้กัน


    ประธานาธิบดี บิล คลินตัน (Bill Clinton)

    “หากมีวัยรุ่นผิวขาวอยู่ในละแวกของคนผิวขาว เรื่องแบบนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น”

    ในระหว่างที่ “ท่านผู้นำรูปหล่อ” นั่งเก้าอี้ในห้องทำงานรูปไข่ (กรุณาอย่าคิดลึก ถึงเหตุการณ์อื้อฉาวคาวโลกีย์ในห้องนั้นประกอบ) เกิดซีรีส์เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้กำลังทำร้ายคนผิวสีหลายต่อหลายครั้ง แต่ที่รุนแรงที่สุดคือ เหตุการณ์ที่ เจ้าหนุ่ม (AMADOU DIALLO) วัย 23 ปี จากประเทศกินี ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจนิวยอร์ก 4 นาย รุมระดมยิงเข้าร่างถึง 19 นัด จากทั้งหมดที่รัวไปอย่างบ้าคลั่งถึง 41 นัด จนเสียชีวิต ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1999

    ประธานาธิบดีบิล คลินตัน กล่าวถึงเรื่องที่เกิดขึ้นว่า ผมรู้สึกกังวลใจเป็นอย่างยิ่ง สำหรับข้อกล่าวหาที่ว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจ ประพฤติผิดอย่างร้ายแรง รวมถึงมีรายงาน เรื่องเหยียดเชื้อชาติ ที่สั่นคลอนต่อความน่าเชื่อถือในองค์กรตำรวจอย่างต่อเนื่อง ทั้งๆที่พวกเขา (ตำรวจ) ควรที่จะปกป้อง (ความน่าเชื่อถือ) นั้นเอาไว้ และเรื่องนี้มันจะต้องไม่เกิดขึ้นแต่เฉพาะ “คดี” ของ (AMADOU DIALLO) เท่านั้น

    ผมคงไม่อาจก้าวล่วง การพิจารณาคดีของ “คณะลูกขุน” ได้ แต่...ผมรู้ว่า ประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศสหรัฐอเมริกาทุกเชื้อชาติ เชื่อมั่นว่า หากมีวัยรุ่นผิวขาว อยู่ในละแวกของคนผิวขาว เรื่องแบบนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น


    ประธานาธิบดี บารัค โอบามา (Barack Obama)

    “เมื่อใดที่ใครก็ตามในประเทศนี้ ไม่ได้รับการปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเท่าเทียม นั่นคือ ปัญหา!”

    และนี่คือ ต้นฉบับของ "I can't breathe" (ผมหายใจไม่ออก)

    เจ้าของเสียงต้นฉบับคนนี้ คือ (Eric garner) หนุ่มแอฟริกัน-อเมริกัน วัย 43 ปี ที่ในอดีตเคยถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจนิวยอร์ก (อีกแล้ว) จับกุมตัวถึง 30 ครั้ง จากข้อหาขายบุหรี่ผิดกฎหมาย ต่อสู้และขัดขืนการจับกุม ในช่วงปี 1980 พอถึงปี 2014 เขาถูกตำรวจนิวยอร์กเข้าจับกุมตัวอีกครั้ง ในฐานะเป็นผู้ต้องสงสัยใน “คดีเดิมๆ”

    แต่คราวนี้ เขาถูกตำรวจผิวขาว “ล็อกคอ” จากด้านหลังอย่างรุนแรงเป็นเวลานาน จนกระทั่ง หลุดคำพูดออกมาว่า "I can't breathe" (ผมหายใจไม่ออก) ก่อนที่จะหมดสติลง แล้วไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาลในเวลาต่อมา


    โดย ประธานาธิบดีโอบามา กล่าวถึงเหตุการณ์นั้นว่า

    “เราเห็นกันมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง ที่ประชาชนเกิดความไม่มั่นใจว่า จะได้รับการปฏิบัติอย่างยุติธรรม บางกรณีอาจเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน แต่ในบางกรณีเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง

    มันจึงเป็นหน้าที่ของพวกเราชาวอเมริกันทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติไหน ภูมิภาคใด หรือ ความเชื่อแบบใด จะต้องรับทราบร่วมกันแล้วว่า นี่คือปัญหาของชาวอเมริกันทั้งผอง หาใช่ปัญหาของคนผิวดำ ผิวน้ำตาล หรือ ชนพื้นเมือง

    แต่นี่คือ...ปัญหาของชาวอเมริกัน เมื่อใดที่ใครก็ตามในประเทศนี้ไม่ได้รับการปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเท่าเทียม นั่นคือ ปัญหา!”

    และอีกไม่กี่เดือนต่อมา เมื่อ หนุ่มน้อยผิวสี แอฟริกัน-อเมริกัน MICHAEL BROWN วัยเพียงแค่ 18 ปี ถูกตำรวจสายตรวจผิวขาว ยิงเสียชีวิตกลางถนน ในเมืองเฟอร์กูสัน (Ferguson) รัฐมิสซูรี ทั้งๆ ที่ไม่มีอาวุธ


    ผู้นำผิวสีคนแรกในประวัติศาสตร์ของ ประเทศแห่งเสรีภาพ กล่าวว่า...

    “พวกเราต้องรับทราบร่วมกันว่า เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาของ ชาวเมืองเฟอร์กูสัน (Ferguson) แต่มันคือปัญหาของ ชาวอเมริกัน ทั้งมวล เราร่วมกันพัฒนากระบวนการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเชื้อชาติ ให้เติบโตและก้าวหน้ามาตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ซึ่งผมได้เห็นประจักษ์แก่สายตามาตลอดชีวิต และหากมีการปฏิเสธกระบวนการดังกล่าว ผมคิดว่านั่นคือ การปฏิเสธ การนำประเทศสหรัฐอเมริกาไปสู่การเปลี่ยนแปลง”

    หากคุณอ่านมาถึงบรรทัดนี้ “คุณ” อาจรู้สึกซาบซึ้งไปกับ “สุนทรพจน์อันสุดแสนซาบซึ้งกินใจ” ของผู้นำอเมริกาทั้ง 3 ท่านใช่หรือไม่?

    แต่เดี๋ยว เดี๋ยวก่อน...หาก “คุณ” ได้อ่านบรรทัดต่อจากนี้ไป “คุณ” อาจจะรู้สึก “พีค” ถึงความมาดมั่นและเด็ดเดี่ยว ในการพิทักษ์เสรีภาพและความเท่าเทียมของ คนทุกชนชั้น ในประเทศแห่งเสรีภาพ จนกระทั่งชายผู้นี้ได้ชื่อว่าเป็นผู้นำสหรัฐฯ ที่คนผิวสีรักมากที่สุดในประวัติศาสตร์ และอาจมากกว่า 3 ผู้นำสหรัฐฯ ก่อนหน้านี้ ก็เป็นได้...

    โปรดอย่าถามว่า ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ให้อะไรแก่ท่าน แต่จงถามว่า ท่าน ได้ให้อะไรแก่ ประเทศสหรัฐอเมริกา บ้าง?

    อ่านเพียงแค่นี้ “คุณ” คงรู้แล้วใช่หรือไม่ว่า “เรา” กำลังจะเล่าถึง “ความมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยว” ของ “ใคร”?

    ปี 1962 เมื่อ James Meredith Jr. หนุ่มผิวสี เชื้อสายแอฟริกัน-อเมริกัน และทหารผ่านศึก ถูกปฏิเสธ ความพยายามเพื่อขอเข้าเรียนต่อ ที่มหาวิทยาลัยมิสซิสซิปปี ถึง 4 ครั้ง บุรุษผู้กล่าว “สุนทรพจน์ที่ดีที่สุดในโลกการเมือง” ผู้นั้น โทรศัพท์สายตรงถึง อัยการสูงสุด และผู้ว่าการรัฐมิสซิสซิปปี เพื่อขอเคลียร์ปัญหาที่เกิดขึ้นทันที แต่ในเบื้องต้น ความพยายามเพื่อหาทาง “แก้ปัญหา” ด้วยการเจรจาทุกรูปแบบ “ล้มเหลว”

    และเมื่อบุรุษผู้นั้นสั่งให้เจ้าหน้าที่จากรัฐบาลกลาง เดินทางไปพร้อมกับ หนุ่มทหารผ่านศึก เพื่อเข้าไปสมัครเรียนที่มหาวิทยาลัยเดิมอีกครั้ง คราวนี้พวกเขาถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจรัฐมิสซิสซิปปีเข้าขัดขวาง จนเกิดเหตุการณ์ความวุ่นวายขึ้น จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 2 คน และได้รับบาดเจ็บอีกหลายสิบราย

    นั่นแหละ บุรุษแห่งอเมริกา จึงหมดความอดทน โทรศัพท์สั่งหน่วยกองกำลัง “National Guard” เข้าไปที่มหาวิทยาลัย เพื่อจบปัญหาทันที จากนั้น James Meredith Jr. ก็ได้เข้าเรียนสมใจอยาก และเรียนจบจากมหาวิทยาลัย ที่ไม่ได้อยากจะรับ “เขา” เข้าเรียนในที่สุด

    และอีกครั้ง....

    เมื่อ “George Wallace” เจ้าของ มอตโต้ "segregation now, segregation tomorrow, and segregation forever." (แยกกันตอนนี้ แยกกันพรุ่งนี้ และ แยกกันตลอดไป” ซึ่งเป็นการแสดงจุดยืน ต่อต้านนโยบายการแบ่งแยกเชื้อชาติของรัฐบาลกลาง จนได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งผู้ว่าการรัฐแอละแบมา ได้ประกาศต่อสาธารณชนว่า “จะขอปักหลักยืนอยู่หน้าประตูมหาวิทยาลัย” เพื่อป้องกันไม่ให้ Vivian Juanita และ Malone Jones 2 นักศึกษาผิวสีเชื้อสายแอฟริกัน-อเมริกัน เข้าไปสมัครเรียนที่ มหาวิทยาลัยแอละแบมา อย่างเด็ดขาด!

    และเพื่อเป็นการแสดงจุดยืนที่ชัดเจนต่อคำประกาศนั้น ผู้ว่าการรัฐแอละแบมา ได้สั่งการให้ “ตำรวจรัฐ” เข้าไปยืนขวางหน้าทางเข้ามหาวิทยาลัย เพื่อ “ข่มขู่” 2 นักศึกษาผิวสี ทันที!

    แต่เพียงสิ้นคำนั้น...กองกำลัง “National Guard” ถูกส่งมาคุ้มกัน 2 นักศึกษาผิวสี เดินฝ่ากองกำลังตำรวจรัฐ ที่ปิดทางเข้ามหาวิทยาลัย เพื่อเข้าไปสมัครเรียนทันทีเช่นกัน!

    จากนั้น “เขา” ได้กล่าวสุนทรพจน์ อันจับใจ อีกครั้งว่า...

    ปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน คือ เรื่องของคุณธรรม เช่นเดียวกับ รัฐธรรมนูญและกฎหมาย ฉะนั้น กฎหมายเรื่องการแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน จึงต้องได้รับความเห็นชอบ จาก “สภาคองเกรส” เพื่อเป็นหลักรับประกันว่า ประชาชนทุกคนจะสามารถเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐาน (การศึกษา) “อย่างเท่าเทียม”


    และเจ้าของความมุ่งมั่นและคำพูดอันจับใจนั้น ก็คือ ประธานาธิบดีจอห์น เอฟ เคนเนดี้ (John F. Kennedy) ประธานาธิบดีคนที่ 35 แห่งสหรัฐอเมริกา

    ช่างแตกต่าง....ทั้ง “คำพูด” และ “การกระทำ” จนแทบไม่น่าเชื่อว่า ทั้ง “จอห์น เอฟ เคนเนดี้” และ “ใครคนนั้น” คือ ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา เหมือนๆ กัน

    และเพราะความ “แตกต่าง” เช่นนี้หรือไม่ ที่ทำให้...

    “ประเทศสหรัฐอเมริกา ล้มเหลว ที่จะได้ยิน ชะตากรรมของคนผิวสีที่ยากจน และนับวันจะยิ่งเลวร้ายลงเรื่อยๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มันคือ ความล้มเหลว ที่จะได้ยิน คำมั่นสัญญา เรื่องเสรีภาพ และความยุติธรรม ที่พวกเรา (คนผิวสี) ไม่เคยพานพบ และมันคือความล้มเหลว ที่จะได้ยิน คนส่วนใหญ่ในชุมชนของคนผิวขาว ที่เอาแต่วิตกกังวลกับเรื่องความสงบสุข และสถานะทางสังคม มากกว่าความยุติธรรม ความเสมอภาค และ ความเป็นมนุษย์” ด็อกเตอร์มาร์ติน ลูเธอร์ คิง บันทึกไว้ ณ ค.ศ.1967

    แต่จนถึงปัจจุบัน 53 ปี ผ่านพ้น ประเทศสหรัฐอเมริกา หรือใครคนนั้น “ยังคงไม่ได้ยิน” เสียงของคนผิวสีเช่นเดิม!

    ซึ่งมันคงไม่ต่างอะไรกับ ไฟในทำเนียบขาวทุกดวงที่ต้องดับลง ในวันที่ ชาวอเมริกัน พยายามไปร้องขอ ความยุติธรรม จาก ผู้นำคนปัจจุบัน ของ พวกเขา เช่นกัน

    ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน

     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,497
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ส.ส.เดโมแครตดันก.ม.ปฏิรูปตำรวจ แก้ปัญหาจนท.ใช้ความรุนแรง
    ส.ส.ฝ่ายเดโมแครตของสหรัฐฯ เสนอออกกฎหมายปฏิรูปตำรวจอเมริกันแบบครอบคลุม หลังเกิดการประท้วงต่อต้านการเหยียดผิวและการใช้ความรุนแรงของเจ้าหน้าที่ ในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา
    Source : #ไทยรัฐ #ไทยรัฐทีวี #Thairath #ThairathOnline

     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,497
    ค่าพลัง:
    +97,150
    อิสราเอลสั่งเบรก หยุดคลายล็อกโควิดหลังผู้ติดเชื้อรายใหม่พุ่งสูง
    นายกฯ อิสราเอลสั่งหยุดการผ่อนคลายข้อจำกัดต่างเพื่อควบคุมการระบาดของไวรัสโควิด-19 หลังพบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นมาก
    Source : #ไทยรัฐ #ไทยรัฐทีวี #Thairath #ThairathOnline

     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,497
    ค่าพลัง:
    +97,150
    กล้วยป่า...ปลีทอง
    กล้วยป่าปลีทองจัดเป็นกล้วยอีกชนิดที่ค่อนข้างหายากในประเทศไทย พบได้แค่ในพื้นที่ป่าโปร่งแถบ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา เท่านั้น
    Source : #ไทยรัฐ #ไทยรัฐทีวี #Thairath #ThairathOnline

     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,497
    ค่าพลัง:
    +97,150
    บราซิลติดโควิดทะลุ 7 แสนราย สธ.ยอมเผยยอดรวมหลังถูกโวยหนัก
    กระทรวงสาธารณสุขบราซิลกลับมาเปิดเผยยอดรวมของผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศอีกครั้ง โดยล่าสุดจำนวนผู้ติดเชื้อสะสมเพิ่มขึ้นจนเกินกว่า 7 แสนรายแล้ว
    Source : #ไทยรัฐ #ไทยรัฐทีวี #Thairath #ThairathOnline

     

แชร์หน้านี้

Loading...