ติดตามสถานะการณ์

องค์กร Global COVID-19 จัดอันดับไทยฟื้นตัวจากโควิดดีเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากออสเตรเลีย เป็นอันดับ 1 ของเอเชีย ชูความสำเร็จเกิดจากความร่วมมือของประชาชน

อ่านต่อ >https://news1live.com/detail/9630000061290
............................................
● อีกช่องทางติดตาม NEWS1
Line : http://nav.cx/4tvbDJ8
Youtube : youtube.com/c/NEWS1VDO

 

นักศึกษาไทย ที่ มาดีนะห์ ซาอุดีอาระเบีย ขอความช่วยเหลือ ระบุข้อมูลว่า นักศึกษาไทย 54 คน เข้ารับการตรวจโรคโควิด-19 รอบแรกทั้งหมด 54 คน เจ้าหน้าที่แจ้งว่าทุกคน มีผลเป็นบวก วอนให้ส่งตัวกลับประเทศ หวั่นไม่ได้รับการรักษา

อ่านต่อ >https://news1live.com/detail/9630000061314
............................................
● อีกช่องทางติดตาม NEWS1
Line : http://nav.cx/4tvbDJ8
Youtube : youtube.com/c/NEWS1VDO

 

ประชาชนหลายพันคนทั่วออสเตรเลียเข้าร่วมการประท้วงแบล็กไลฟ์แมทเทอร์ในวันเสาร์ (13) โดยสวมหน้ากากและปฏิบัติตามหลักเว้นระยะห่างทางสังคมท่ามกลางเสียงเตือนจากเหล่าผู้นำรัฐ ให้ระงับกิจกรรมดังกล่าว เนื่องจากกลัวการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกสอง

อ่านต่อ >https://news1live.com/detail/9630000061334
............................................
● อีกช่องทางติดตาม NEWS1
Line : http://nav.cx/4tvbDJ8
Youtube : youtube.com/c/NEWS1VDO

 

พบศาลาพักผู้โดยสารสุดล้ำ ชาวบ้านบ่น คุ้มแดดคุ้มฝนไม่ได้
โซเชียลเป็นงง ศาลาพักคนโดยสารริมถนนสายศรีสะเกษ-ขุขันธ์ สร้างสุดล้ำ แต่ไม่คุ้มทั้งแดดและฝน แถมฝ้าเพดานหลุดออกมาแล้ว วอนผู้เกี่ยวข้องลงมาดูและแก้ไขด่วน เผื่อจะเป็นประโยชน์ได้บ้าง
Source : #ไทยรัฐ #ไทยรัฐทีวี #Thairath #ThairathOnline

 

ระทึก จีนพบติดโควิดรายใหม่ เกี่ยวข้องตลาดค้าส่งในปักกิ่ง กว่า 50 แล้ว
หวั่นโควิด-19 กลับมาระบาดรอบสองในปักกิ่ง พบผู้ติดเชื้อรายใหม่เกี่ยวข้องกับตลาดค้าส่งใหญ่สุดในปักกิ่งแล้ว 50 ราย เพียงแต่ 45 ราย ไม่แสดงอาการป่วย ทำให้จีนไม่นับรวมในจำนวนผู้ติดเชื้อ
Source : #ไทยรัฐ #ไทยรัฐทีวี #Thairath #ThairathOnline

 

IOC ยืนยันเดินหน้าจัดโตเกียวโอลิมปิกปีหน้า สยบข่าวลืออาจถูกยกเลิก

คณะกรรมการโอลิมปิกสากล (IOC) ยืนยันในวันนี้ถึงแผนการจัดการแข่งขันกีฬาโตเกียวโอลิมปิก 2020 ซึ่งเลื่อนไปเป็นฤดูร้อนปีหน้า โดยปฏิเสธข่าวลือที่ว่า การแข่งขันกีฬาดังกล่าวอาจถูกยกเลิก

ทั้งนี้ นายโธมัส บาค ประธานคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (IOC) ได้ให้สัมภาษณ์กับบีบีซี สปอร์ต (BBC Sport) เมื่อเดือนที่แล้ว โดยระบุว่า การแข่งขันกีฬาดังกล่าวอาจถูกยกเลิก หากไม่สามารถจัดขึ้นได้ในปีหน้า

ด้านโฆษกของ IOC กล่าวว่า "IOC รวมทั้งผู้สนับสนุนและพันธมิตรในญี่ปุ่นต่างทุ่มเทกันเต็มที่เพื่อจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกครั้งที่ 32 ในวันที่ 23 ก.ค. ถึง 8 ส.ค. 2564 ที่กรุงโตเกียว"

"คณะกรรมการจัดงานทุ่มเทกับเป้าหมายนี้กันอย่างเต็มร้อย ส่วนประเด็นอื่นๆ นั้น เป็นการคาดเดาล้วนๆ"

IOC กล่าวด้วยว่า เนื่องจากมีความร่วมมืออย่างดีเยี่ยมกับประเทศเจ้าภาพ เราจึงพร้อมที่จะ "หารือถึงทางเลือกใดๆ เพื่อให้งานเกิดขึ้นมาได้" ในอนาคตร่วมกับรัฐบาลญี่ปุ่น รัฐบาลมหานครโตเกียว และคณะกรรมการจัดการแข่งขัน

สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า สื่อญี่ปุ่นได้ตีความหมายข้อความดังกล่าวว่า เป็นการแสดงถึงจุดยืนของ IOC อย่างหนักแน่นที่จะไม่ยกเลิกการจัดแข่งขันกีฬาโตเกียวโอลิมปิก และเป็นการยุติประเด็นที่นายบาคเคยให้สัมภาษณ์ก่อนหน้านี้ว่า ยังไม่มีความแน่นอนในการจัดแข่งขันกีฬาดังกล่าว

Source: อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย สุภัค โห้พึ่งจู/กัลยาณี

- Tokyo Olympic organizers have no agreement with 20% of games venues: https://english.kyodonews.net/news/...ave-no-agreement-with-20-of-games-venues.html

 

อนาคตของกระแสโลกาภิวัตน์: ความท้าทายจากไวรัสโควิด-19

การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ทั่วโลกต้องออกมาตรการปิดประเทศ ทำให้การส่งออกสินค้าที่ถือว่าเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบตามไปด้วย ผู้เชี่ยวชาญในหลายวงการทั้งภาคธุรกิจ และแวดวงวิชาการต่างมองว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะเป็นบททดสอบสำคัญต่อกระแสโลกาภิวัตน์ของเศรษฐกิจโลก (Globalization) รวมถึงห่วงโซ่อุปทานการผลิต (Global supply chain) ที่มีความเชื่อมโยงกันอาจพังทลายลงได้ บางขุนพรหมชวนคิดในวันนี้อยากชวนท่านผู้อ่านทำความเข้าใจกับประเด็นนี้กันค่ะ

การทวนกระแสโลกาภิวัตน์ หรือ Deglobalization ไม่ได้เป็นเรื่องใหม่ที่เข้ามาในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่เป็นพัฒนาการทางเศรษฐกิจการเมืองที่เริ่มต้นมาระยะหนึ่ง ที่ผ่านมากระแสโลกาภิวัตน์ทำให้ตลาดการค้าระหว่างประเทศเติบโตมาก เนื่องจากผู้ผลิตสามารถใช้ประโยชน์จากการแบ่งการผลิตระหว่างประเทศ โดยสร้างระบบห่วงโซ่การผลิตที่กระจายอยู่ในหลายประเทศ ซึ่งทำให้การผลิตมีประสิทธิภาพและมีส่วนช่วยในการเติบโตของธุรกิจ

อย่างไรก็ดี กระแสโลกาภิวัตน์ก็ให้เกิดปัญหาด้วยเช่นกัน เนื่องด้วยประชาชนบางส่วนมองว่ากระแสโลกาภิวัตน์มีส่วนสร้างปัญหาความเหลื่อมล้ำ จากการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่มีค่าแรงต่ำกว่า ซึ่งส่งผลเสียต่อแรงงานที่มีรายได้ต่ำในประเทศ ขณะที่เจ้าของกิจการและนักลงทุนกลับได้ประโยชน์จากต้นทุนการผลิตที่ถูกลง โดยเห็นได้ชัดเจนในช่วงปี 2018 ที่ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศสงครามการค้ากับจีนด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าหลายระลอก จนมีส่วนทำให้เกิดการกระจายของฐานการผลิตออกจากจีนในหลายอุตสาหกรรม

"การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อาจเป็นการเร่งการทวนกระแสโลกาภิวัตน์ให้รวดเร็วยิ่งขึ้น"

การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เป็นการตอกย้ำถึงความเสี่ยงของการใช้วัตถุดิบและส่วนประกอบที่ต้องนำเข้าจากหลายประเทศและการพึ่งพาประเทศจีนเป็นหลักโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการผลิตสินค้าจำเป็น และอาจเป็นการเร่งการทวนกระแสโลกาภิวัตน์ให้รวดเร็วยิ่งขึ้น

รายงานของสำนักงานกิจการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติ (UN DESA) ฉบับเดือนพฤษภาคม 2563 ประเมินว่า ประเทศต่าง ๆ มีโอกาสลดการพึ่งพาโลกภายนอกและปรับห่วงโซ่การผลิตให้สั้นลงจากไวรัสโควิด-19 เช่นเดียวกับความเห็นของสองนักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังทั้งคาร์เมน ไรน์ฮาร์ท (Carmen Reinhart) และเคนเนธ รอกอฟฟ์ (Kenneth Rogoff) ที่ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวบลูมเบิร์กว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ไม่ได้เกิดพร้อมกันในแต่ละพื้นที่ ทำให้ห่วงโซ่การผลิตกลับมาเดินเครื่องพร้อมกันได้ยาก เป็นช็อคต่อระบบการผลิตที่ใหญ่ที่สุดในรอบ 40 ปี และจะส่งผลให้กระแสโลกาภิวัตน์เสื่อมถอยลง

ทั้งนี้ การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้ภาคธุรกิจจำเป็นต้องลดความเสี่ยงด้วยการย้ายฐานการผลิตโดยให้ห่วงโซ่การผลิตสั้นลง ลดการพึ่งพาในระยะไกล หันมาพึ่งพาระยะใกล้ในภูมิภาคแทน (Regionalization) และบางส่วนอาจเข้าสู่การปกป้องอุตสาหกรรมตัวเองในลักษณะพี่งพาตัวเองมากขึ้น (Localization) ทั้งการผลิตสินค้าขึ้นเอง รวมถึงเน้นตอบสนองความต้องการภายในประเทศเป็นหลัก ในช่วงที่ผ่านมาภาคธุรกิจของทั้งไต้หวันและ ญี่ปุ่น จำนวนมากโดยกว่า 500 บริษัท (ข้อมูลจาก Taipei Times) และเกือบ 1,000 บริษัท (ข้อมูลจาก Tokyo Shoko Research) ตามลำดับ มีแผนที่จะกระจายกำลังการผลิตออกจากจีนหลังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยจะคงไว้เฉพาะโรงงานที่ผลิตสินค้าสำหรับความต้องการในจีนเท่านั้น

ขณะที่ฐานการผลิตอื่น ๆ จะกระจายออกมานอกจีนมากขึ้น เช่น อินเดีย อาเซียน ขณะที่ส่วนหนึ่งจะกลับมาลงทุนที่ประเทศตัวเอง นอกจากนี้ ภาครัฐมีแนวโน้มที่จะใช้นโยบายกีดกันทางการค้าและการปกป้องธุรกิจในประเทศที่เข้มข้นขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเกิดความเสี่ยงต่อความต้องการขั้นพื้นฐานของประชาชน อาทิ ด้านสุขภาพและอาหาร หลายประเทศหันมาใช้นโยบายห้ามการส่งออกหรือมีมาตรการควบคุมต่าง ๆ สำหรับผลิตภัณฑ์ที่สำคัญต่อการดำเนินชีวิตของประชาชน แม้การดำเนินนโยบายนี้จะกระทบต่อพันธมิตรหรือประเทศเพื่อนบ้านก็ตาม

ไม่ว่าท้ายที่สุดแล้ว การทวนกระแสโลกาภิวัตน์จะมีความเข้มข้นเพียงใด การเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นนี้

ถือว่าเป็นสิ่งท้าทายต่อเศรษฐกิจไทยในการจัดสรรทรัพยากรใหม่ให้สามารถปรับตัวได้ทันท่วงที ทั้งปัจจัยด้านเงินทุน แรงงาน และเครื่องจักร เพราะหากปรับตัวได้ช้าก็ยิ่งมีต้นทุนสูง และส่งผลต่อความสามารถการแข่งขันในระยะยาว รวมถึงเป็น “โอกาส” ด้วยเช่นกันในการทบทวนทิศทางนโยบายเศรษฐกิจของประเทศที่จำเป็นต้องกระจายการผลิตด้วยการไม่พึ่งพาประเทศใดประเทศหนึ่งมากจนเกินไปโดยหันมาให้ความสำคัญกับการลงทุนในประเทศมากขึ้น ซึ่งจะมีส่วนช่วยเพิ่มการกระจายรายได้ให้กับแรงงานไทยเช่นกันค่ะ

โดย นางสาวธนันธร มหาพรประจักษ์
ฝ่ายนโยบายการเงิน ธปท.

บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย

Source: BOT Website
https://www.bot.or.th/Thai/ResearchAndPublications/articles/Pages/Article_08Jun2020_2.aspx

 

“จีน” เผชิญสัญญาณเสี่ยง ฟาดหางเศรษฐกิจโลก : จีนเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก ซึ่งเติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ส่งผลให้เศรษฐกิจจีนในปัจุบันมีมูลค่าสูงถึง 14 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่เศรษฐกิจจีนก็ต้องเผชิญปัญหาหลายประการ นับตั้งแต่สงครามการค้ากับมหาอำนาจทางเศรษฐกิจเบอร์หนึ่งอย่าง “สหรัฐอเมริกา” จนถึงการแพร่ระบาดของ “โควิด-19” ที่นำไปสู่การชะลอตัวของการเติบโตทางเศรษฐกิจ และแน่นอนว่าเมื่อจีนได้รับผลกระทบ โลกก็ย่อมได้รับผลกระทบตามไปด้วย

บลูมเบิร์กรายงานว่า ก่อนหน้าที่จะเกิดภาวะโรคระบาด รัฐบาลจีนเคยคาดการณ์การขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ของจีนปี 2020 ไว้ที่ 6-6.5% แต่ความไม่แน่นอนในปัจจุบันทำให้สภาประชาชนแห่งชาติจีนตัดสินใจยกเลิกการกำหนดเป้าหมายการเติบโตของจีดีพีประจำปีนี้ไปในการประชุมเมื่อเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา แต่ล่าสุดรายงานบทวิเคราะห์เศรษฐกิจโลกประจำเดือน มิ.ย. 2020 ของธนาคารโลกได้ระบุว่า จีดีพีของจีนปีนี้อาจขยายตัวที่ระดับ 1% เท่านั้น

ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวไม่เพียงแต่เป็นความเสียหายของเศรษฐกิจจีน แต่ยังกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก ส่วนหนึ่งมาจากการเติบโตอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจจีนในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ภาคเศรษฐกิจเต็มไปด้วยหนี้สินมหาศาล ซึ่งความสามารถในการชำระหนี้ขึ้นอยู่กับรายได้ และผลกำไรตามความเติบโตทางเศรษฐกิจ

เมื่อเศรษฐกิจชะลอตัวจึงทำให้หนี้ทั้งในส่วนของภาครัฐและภาคครัวเรือนชาวจีนพอกพูนขึ้น ผลการวิจัยของ “บลูมเบิร์ก อีโคโนมิกส์” คาดว่า ปริมาณหนี้ของจีนกำลังเพิ่มสัดส่วนต่อจีดีพีมากกว่า 300% ภายในปี 2022 และมีความเสี่ยงที่จะกลายเป็นหนี้เสียในปริมาณมหาศาล ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเจ้าหนี้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ

ขณะเดียวกันเศรษฐกิจจีนยังขับเคลื่อนการสร้างงานในระดับภูมิภาค พร้อมกับการเป็นผู้บริโภครายใหญ่ของโลก แต่การชะลอตัวทางเศรษฐกิจทำให้อัตราการว่างงานที่สูงขึ้นก่อให้เกิดภาวะเงินฝืดตามมา เนื่องจากผู้คนไม่ยอมใช้จ่าย ส่งผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจต่างประเทศที่มีจีนเป็นตลาดใหญ่ โดยเฉพาะสินค้าแบรนด์ต่างชาติ อย่าง แอปเปิ้ล พราด้า สตาร์บัคส์ ที่ขยายสาขาในจีนอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา เช่นเดียวกับสินค้ายานยนต์ที่มียอดขายในจีนร่วงลงในปี 2019 นับเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 30 ปี

ส่วน “สงครามการค้า” กับสหรัฐก็ไม่เพียงส่งผลด้านลบต่อภาคการส่งออกของจีนเท่านั้น แต่บริษัทต่างชาติที่มีฐานการผลิตในจีนก็ได้รับผลกระทบจากภาษีศุลกากรที่สูงขึ้นของสหรัฐด้วย กระทั่งบางบริษัทต้องย้ายฐานออกจากจีน

ล่าสุดความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ชาติยังทวีความตึงเครียดขึ้นอีกครั้ง จากความพยายามบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงในฮ่องกงของรัฐบาลจีน ทำให้เกิดความหวั่นวิตกว่าธุรกิจต่างชาติในฮ่องกงจะถูกละเมิดสิทธิเสรีภาพ ซึ่งสหรัฐได้ตอบโต้ด้วยการประกาศตัดสิทธิพิเศษทางการค้าที่ให้แก่ฮ่องกง รวมถึงพิจารณากฎควบคุมบริษัทของจีนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐอย่างเข้มงวดด้วย สร้างความยากลำบากมากขึ้นให้กับธุรกิจของทั้ง 2 ประเทศ

การชะลอตัวและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจของจีนเหล่านี้จึงไม่เพียงแต่กระทบต่อธุรกิจภายในประเทศ แต่เศรษฐกิจจีนที่โยงใยทั่วโลกและมีขนาดใหญ่เกือบ 1 ใน 3 ของเศรษฐกิจโลก กำลังส่งผลกระทบในระดับที่กว้างขวางยิ่งกว่าการชะลอตัวทางเศรษฐกิจในประเทศอื่น ๆ ด้วยเหตุนี้คำกล่าวที่ว่า “เมื่อจีนจาม ทั้งโลกก็จะติดหวัดไปด้วย” จึงยังคงใช้สะท้อนสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี

Source: ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
https://www.prachachat.net/world-news/news-477168

 

นักวิทย์จีน-อิสราเอลพบแบคทีเรียใน ‘ผักดองเสฉวน’ ป้องกันฟันผุได้

รายงานผลการวิจัยฯ ชิ้นนี้ตีพิมพ์ในวารสารฟรอนเทียร์ส (Frontiers) ด้านจุลชีววิทยา โดยเป็นผลงานร่วมระหว่างนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเสฉวนในเฉิงตูและมหาวิทยาลัยเบน-กูเรียน ระบุว่าแบคทีเรียแลคโตบาซิลไล (Lactobacilli) ที่พบในผักดองเสฉวน สามารถลดจำนวนแบคทีเรียสเตร็พโตคอคคัส มิวแทนส์ (Streptococcus mutans) ซึ่งเป็นสาเหตุของฟันผุลงได้ถึงร้อยละ 98.4

 

The American Trap บทเรียนจาก Alstom ถึง Huawei
.
การจับกุม เมิ่ง หว่านโจว (孟晚舟) หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน (ซีเอฟโอ) และรองประธานคนหนึ่งของ ‘หัวเว่ย’ ยักษ์ใหญ่โทรคมนาคมของจีน บุตรสาวของ เหริน เจิ้งเฟย ผู้ก่อตั้งหัวเหว่ย ณ สนามบินนานาชาติแวนคูเวอร์ เมื่อเดือนธันวาคม 2561 โดยเจ้าหน้าที่ของทางการแคนาดา ตามความต้องการของสหรัฐฯ ที่กล่าวหาว่า บริษัทลูกของ หัวเว่ยส่งออกชิ้นส่วนที่ผลิตในสหรัฐฯ ไปยังอิหร่านหรือประเทศอื่น ๆ ซึ่งเข้าข่ายฝ่าฝืนกฎหมายคว่ำบาตร ... โดยคดีดังกล่าวยืดเยื้อมาเป็นเวลานานเกือบ 2 ปี แล้ว และมีแนวโน้มว่าเธอจะต้องถูกส่งตัวไปดำเนินคดีที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งหากศาลสหรัฐฯ ตัดสินว่าเธอมีความผิดจริงอาจต้องโทษจำคุกสูงสุดถึง 30 ปี
.
กรณีการจับกุม เมิ่ง หว่านโจว ไม่ใช่กรณีแรกที่สหรัฐฯ ใช้อำนาจในการจับกุมนักธุรกิจใหญ่ระดับนานาชาติ เพื่อใช้ต่อรองและบีบบังคับให้บริษัท นั้น ๆ ต้องยอมตามความต้องการของทางการสหรัฐฯ หรือ บริษัทสหรัฐฯ
.
วันที่ 14 เมษายน 2556 (ค.ศ.2013) เฟรเดอริก เปียรุชชี่ (Frédéric Pierucci) อดีตผู้บริหารระดับสูงของอัลสตอม (Alstom) ดำรงตำแหน่งรองประธานฝ่ายขายต่างประเทศ ถูกจับที่สนามบินนานาชาติเจเอฟเค มหานครนิวยอร์ก หลังลงจากเครื่องคาเธ่ย์ แปซิฟิก โดยเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ใส่กุญแจมือและควบคุมตัวเขาไว้ด้วยข้อหา ติดสินบนเจ้าหน้าที่อินโดนีเซีย ในสัญญาซื้อขายอุปกรณ์ที่ใช้ในโรงไฟฟ้า
.
ในเวลานั้นอัลสตอม เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่สัญชาติฝรั่งเศส ที่อยู่ในธุรกิจพลังงาน ธุรกิจขนส่ง ธุรกิจรถไฟ ธุรกิจรถไฟความเร็วสูง (ผลิตอุปกรณ์ให้รถไฟ AGV, TGV, Eurostar) เป็นต้น ทั้งนี้ในธุรกิจอุปกรณ์กำเนิดกระแสไฟฟ้า (Generator) อัลสตอมมีส่วนแบ่งทางการตลาดมากถึง 15% โดยถือเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก โดยคู่แข่งสำคัญคือจีอี
.
หลังถูกจับ ตอนแรกเปียรุชชี่ คิดว่าเขาไม่น่าจะโดนอะไรหนักหนา เพราะเขาไม่ได้เป็นคนจัดการเรื่อง “เงินทอน (Kickback)” ให้กับเจ้าหน้าที่ของทางการอินโดนีเซีย โดยเหตุเกิดในประเทศที่ 3 อีกทั้งยังเป็นเหตุที่เกิดขึ้นเมื่อสิบกว่าปีก่อน แต่เขาคิดผิด เพราะเจ้าหน้าที่ซึ่งจับกุมเขาเป็นเจ้าหน้าที่เอฟบีไอ โดยเขาถูกตั้งข้อหาอนุมัติการจ่ายเงินสินบน ภายใต้กฎหมายต่อต้านการคอร์รัปชัน ซึ่งอนุญาตให้ทางการสหรัฐฯ สามารถจัดการกรณีคอร์รัปชันในต่างประเทศได้ หากธุรกิจทำเป็นเงิน ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ การติดต่อสื่อสารผ่านอีเมล์กระทำผ่านเซิร์ฟเวอร์ในสหรัฐฯ
.
วิธีการดังกล่าว ถูกเรียกขานเรียกว่า Long Arm Jurisdiction หรือ การขยายเขตอำนาจศาล ให้ครอบจักรวาล
.
หลังการถูกควบคุมตัว อัลสตอมถูกตัดแขนขาทางด้านธุรกิจจนหมดสิ้น โดยนอกจากเปียรุชชี่แล้ว ต่อมานายลอเรนซ์ ฮอว์กินส์ รองประธานภาคพื้นเอเชียของอัลสตอมก็ถูกสหรัฐฯ จับกุมด้วย จนเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2557 (ค.ศ.2014) ประธานบริษัทอัลสตอมต้องประกาศทันทีว่ามีแผนจะขายธุรกิจพลังงานให้กับ GE ในราคา 13,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
.
ในที่สุดอัลสตอมถูกสหรัฐฯ ปรับเงินจำนวนหลายร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนเปียรุชชี่นั้นถูกจำคุกเป็นเวลา 2 ปี ณ เรือนจำในเพนซิลวาเนีย และโรด ไอส์แลนด์ พร้อมทั้งถูกทัณฑ์บนเป็นเวลา 3 ปี
.
ที่สำคัญที่สุด และถือเป็นแรงจูงใจหลักของทางการสหรัฐฯ ในการดำเนินคดีกับเปียรุชชี่ ก็คือ อัลสตอมถูกบีบบังคับให้ยอมขายกิจการบางส่วนให้ GE คู่แข่งจากสหรัฐฯ และเปิดทางให้ บริษัทสหรัฐฯ เข้ามาควบคุมโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ทุกแห่งของฝรั่งเศสไปโดยปริยาย
.
“(เมื่อได้ยินข่าว) ผมโกรธมาก เพราะเขาใช้วิธีเดียวกันกับที่ใช้กับผมมาก่อน พอพวกเขาไม่ได้รับความร่วมมือจากบริษัท (เป้าหมาย) ก็ใช้วิธีเอาผู้บริหารระดับสูงของบริษัทนั้น ๆ ยัดเข้าคุก สิ่งที่เกิดขึ้นกับหัวเว่ย กับ คุณเมิ่งเป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับผมมาก่อน มันเป็น ‘วิธีราคาถูก’ ในการกำจัดคู่แข่ง รวมทั้งเป็นวิธีที่ถูกที่สุดในการแย่งชิงความได้เปรียบทางเทคโนโลยีมา เมื่อพวกเขา (สหรัฐฯ) พ่ายแพ้ในสนามใดสนามหนึ่ง” อดีตผู้บริหาร บ.อัลสตอมระบุ
.
เปียรุชชี่ ซึ่งในเวลาต่อมาเขียนหนังสือเรื่อง กับดักของอเมริกา (Le Piège Américain; ตีพิมพ์ครั้งแรกเป็นภาษาฝรั่งเศสในปี 2562 โดยในเวลาต่อมาถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษในชื่อ The American Trap) ออกมาเปิดโปงเรื่องดังกล่าว ระบุว่า “อัลสตอม”เปรียบไปแล้วก็เหมือนกับ “หัวเว่ย” ของฝรั่งเศส แต่ถูกสหรัฐฯ แบล็กเมล์ และบังคับซื้อไปแบบหน้าด้าน ๆ
.
The American Trap หรือในชื่อภาษาจีนคือ เหม่ยกั๋วเสี้ยนจิ่ง (美国陷阱) เป็นที่กล่าวขวัญถึงอย่างมาก เมื่อหนังสือเล่มดังกล่าวไปปรากฎอยู่บนโต๊ะของ เหริน เจิ้งเฟย ผู้ก่อตั้งบริษัทหัวเว่ย ในภาพที่ปรากฎตามสื่อ จนกลายเป็นหนังสือขายดี โด่งดังเป็นพลุแตกในเมืองจีน รวมไปถึงในฮ่องกง ทั้งในแบบออนไลน์และออฟไลน์
.
คลิกอ่านตัวอย่างหนังสือ The American Trap (ภาษาอังกฤษ) จากเว็บไซต์ Amazon.com >> The American Trap: My battle to expose America's secret economic war against the rest of the world ;

.
(ภาพ) เฟรเดอริก เปียรุชชี่ (Frédéric Pierucci) อดีตผู้บริหารระดับสูงของอัลสตอม (Alstom)

 

ชายสหรัฐฯ วัย 70 ปี รักษาหายโควิด-19 เจอบิลค่ารักษา 1.1 ล้าน$

ซีแอตเทิลไทม์ (12 มิ.ย.) รายงานว่า นายไมเคิล ฟลอร์ เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลในซีแอตเติลเป็นเวลา 62 วัน จนหายออกจากโรงพยาบาล แต่ก็เกือบตายอีกรอบเมื่อเห็นตัวเลขค่ารักษาที่ รพ.ส่งบิลมา

“ผมเปิดซอง เอกสารการเรียกเก็บเงิน 181 หน้า มาพร้อมกับค่าใช้จ่ายรวม 1,100,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ

รายงานข่าวกล่าวว่า โชคดีที่นายไมเคิล ฟลอ ได้มีประกันฯ คุ้มครอง โดยครอบคลุมรวมถึง Medicare ด้วย ดังนั้นจากยอดค่าใช้จ่ายนี้ เขาน่าจะต้องจ่ายเพียงบางส่วน

เดอะไทมส์รายงานความเห็นว่า ในความเป็นจริง เพราะเขาป่วยจากโคโรนาไวรัส เขาอาจไม่ต้องจ่ายอะไรเลย

ค่าใช้จ่ายรวมยอด 1.1 ล้านดังกล่าว แยกเป็นรายการฯ ใหญ่ ๆ มีอาทิ

$ 408,912 - ค่าห้องผู้ป่วยหนัก (ICU) ซึ่งได้รับการติดตั้งแบบพิเศษเป็นห้องแยกเนื่องจากลักษณะของเชื้อไวรัส เป็นเวลา 42 วัน

$ 100,000 - สำหรับการรักษาหัวใจ ไตและปอดของเขาซึ่งเกือบล้มเหลวทั้งหมด

$ 82,215 - สำหรับการใช้เครื่องช่วยหายใจ 29 วัน

อย่างไรก็ตาม Los Angeles Times ตั้งข้อสังเกตว่า ในสหรัฐอเมริการาคามักจะสูงกว่าในประเทศร่ำรวยอื่น ๆ

ฟลอร์ กล่าวกับสื่อท้องถิ่นซีแอตเทิลว่า “ผมรู้สึกผิดที่มีชีวิตรอด” “ มีความรู้สึก ‘ทำไมต้องเป็นผม เหตุใดผมจึงสมควรได้รับสิ่งนี้ทั้งหมด 'ยิ่งเมื่อดูที่ค่าใช้จ่ายที่เหลือเชื่อทั้งหมดนี้ ยิ่งทำให้รู้สึกผิด"

ฟลอร์ กล่าวว่า รู้สึกผิดเพราะต้นทุนของการรักษาเขาให้มีชีวิตอยู่ มาจากผู้เสียภาษีและลูกค้าประกันอื่น ๆ

ทั้งนี้ จากข้อมูลสถานการณ์โควิด-19 ในสหรัฐอเมริกา ล่าสุด (13 มิ.ย.) มีผู้ติดเชื้อได้รับการยืนยันแล้ว 2.09 ล้านคน มีผู้เสียชีวิตในสหรัฐอเมริกา 116,347 คน

https://www.foxnews.com/health/seat...irus-then-gets-1-1m-hospital-bill-report-says

 

วันที่ 11 มิถุนายน 2020 สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า กรมทหารราบที่ 3 (The 3rd Infantry Regiment) แห่งกองทัพบกสหรัฐฯ มีคำสั่งให้ทหารจัดเตรียมดาบปลายปืนและกระสุนจริง ให้มีความพร้อมใช้งานทุกเมื่อ หากได้รับคำสั่งให้เข้าควบคุมสถาณการณ์การชุมนุมประท้วงในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.
.
ทางเพนตากอน โดยนายมาร์ก เอสเปอร์ (Mark Esper) รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม และพล.อ. มาร์ก มิลลีย์ (General Mark Milley) ประธานคณะเสนาธิการกองทัพสหรัฐฯ ได้ส่งหนังสือชี้แจงไปยังนายอดัม สมิธ (Adam Smith) ส.ส. พรรคเดโมแครต ในฐานะประธานกรรมาธิการกลาโหมสหรัฐฯ เพื่อชี้แจงกรณีที่กรมทหารราบที่ 3 จัดเตรียมอาวุธยุทโธปกรณ์ ซึ่งในหนังสือชี้แจงมีเนื้อหาส่วนหนึ่งที่ระบุว่า “การจัดเตรียมเพื่อให้มีความพร้อมสำหรับภารกิจต่างๆนี้ ผู้บัญชาการค่าย The Old Guard (กรมทหารราบที่ 3) มีคำสั่งให้จัดเตรียมดาบปลายปืน (bayonets) และกระสุนจริงจำนวนหนึ่ง ให้พร้อมใช้งาน”
.
ส่วน ร.อ. ไรอัน แม็กคาร์ที (Captain Ryan McCarthy) รัฐมนตรีกระทรวงกองทัพบกสหรัฐฯ ให้ข้อมูลกับผู้สื่อข่าวว่า กรมทหารราบที่ 3 มีความพร้อมที่จะออกปฏิบัติภารกิจ ภายใต้แผนการบังคับบัญชาของเพนตากอน โดยกรมทหารราบที่ 3 นี้ มีที่ตั้งอยู่ที่ค่ายฟอร์ด มายเออร์ (Ford Myer) ไม่ไกลจากตัวเมืองกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. มีทหาร 800 นาย ซึ่งพร้อมออกปฏิบัติการทุกเมื่อ
.
ก่อนหน้านี้ นายโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน โดยขู่ว่าจะใช้กฎหมายพิเศษ The Insurrection Act of 1807 ซึ่งเป็นกฎหมายปราบกบฏ ค.ศ. 1807 ที่ให้อำนาจกองทัพสหรัฐฯ สามารถส่งกองกำลังทหาร เข้าปราบปรามกลุ่มผู้ประท้วง หรือผู้ใดก็ตามที่ก่อเหตุความไม่สงบในสหรัฐฯ

-------------------------------
แหล่งข่าว
- https://www.bloomberg.com/news/arti...-issued-bayonets-to-prep-for-d-c-protest-duty
-------------------------------
ติดตามข้อมูลข่าวสาร รู้ไทย รู้โลก กับ Thailand Vision ได้ที่
Facebook :
https://www.facebook.com/thvi5ion
Twitter : https://twitter.com/Thailand_vision
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCDeS2riffyohV9FW2QEWjHQ

 

June 13, 2020 บริติช แอร์เวย์ส - อีซีเจ็ต - ไรอันแอร์จับมือยื่นฟ้องรัฐบาลอังกฤษ

สายการบินบริติช แอร์เวย์ส อีซีเจ็ต และไรอันแอร์ร่วมกันยื่นฟ้องรัฐบาลอังกฤษที่ออกมาตรการกักตัวนักท่องเที่ยว14วัน จนส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวและธุรกิจสายการบิน
.
แถลงการณ์ร่วมของ3 สายการบินระบุว่า มาตรการดังกล่าวมีข้อบกพร่อง ซึ่งมีผลกระทบอย่างร้ายแรงกับการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของอังกฤษ รวมทั้งทำให้คนตกงานอีกนับพันนับหมื่นคนและยังเรียกร้องให้รัฐบาลอังกฤษนำมาตรการกักตัวก่อนหน้านี้กลับมาใช้ นั่นก็คือ จำกัดเฉพาะนักท่องเที่ยวที่มาจากประเทศที่มีความเสี่ยงสูงเท่านั้นที่ต้องกักตัว ซึ่งเป็นไปได้ในทางปฏิบัติและได้ผลมากกว่า ทั้งยังสอดคล้องกับมาตรการของหลายประเทศในยุโรป
.
ก่อนหน้านี้ทางด้านสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ ระบุว่า ธุรกิจสายการบินทั่วโลกขาดทุนแล้วกว่า 74,000 ล้านปอนด์ในช่วงที่โควิด-19 ระบาด ซึ่งถือเป็นปีที่แย่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของธุรกิจสายการบิน
.
#อังกฤษ #สายการบิน #บริติชแอร์เวย์ส #อีซีเจ็ต #ไรอันแอร์ #ธุรกิจการบิน #Misterban #ข่าวอัพเดท #โควิท19 #covid19

 

June 13, 2020 ศาลล้มละลายกลางเตรียมประกาศคำสั่งรับคำร้องขอฟื้นฟูการบินไทยสัปดาห์หน้า

นายสุริยัณห์ หงษ์วิไล โฆษกศาลยุติธรรม กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีที่ศาลล้มละลายกลาง นัดไต่สวนการขอฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ บริษัทการบินไทย ในวันที่ 17 ส.ค.นี้ ว่า ก่อนถึงวันนัดไต่สวน ศาลมีคำสั่งให้ประกาศคำสั่งรับคำร้องขอ พร้อมวัน-เวลานัดไต่สวน ในหนังสือพิมพ์รายวันที่แพร่หลายอย่างน้อย 1 ฉบับไม่น้อยกว่า 2 ครั้งห่างกันไม่เกิน 7 วัน และให้ส่งสำเนาคำร้องขอฟื้นฟูฯ ถึงเจ้าหนี้ทั้งหลายตามบัญชีรายชื่อเจ้าหนี้ และแก่นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท หรือนายทะเบียนนิติบุคคลที่เกี่ยวข้อง กรมบังคับคดีด้วย รวมทั้งให้ส่งสำเนาถึงสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ กลต. ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/9

ทั้งนี้การประกาศวัน-เวลานัดไต่สวนนั้น ก็ให้ทำโดยวิธีลงโฆษณา ทางสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศอีกทางหนึ่งด้วย ซึ่งหากเจ้าหนี้ประสงค์คัดค้านการขอฟื้นฟูฯ ก็ให้ยื่นคำคัดค้านก่อนจะถึงวันนัดไต่สวนนัดแรกไม่น้อยกว่า 3 วัน มิฉะนั้นถือว่าไม่คัดค้าน

สำหรับกรณีนี้ ศาลล้มละลายกลางแจ้งว่า เมื่อวันที่ 12 มิ.ย.ที่ผ่านมาการบินไทย ซึ่งเป็นลูกหนี้ ได้แถลงรายละเอียดเจ้าหนี้แยกเป็นรายประเภท และรายละเอียดขั้นตอนวิธีการส่งสำเนาคำร้องขอฟื้นฟูฯ ทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ให้แก่เจ้าหนี้ทั้งหลายเท่าที่ทราบตามกฎหมายแล้ว โดยศาลล้มละลายกลาง มีคำสั่งอนุญาตให้ส่งสำเนาทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ได้ ตามกรอบรายละเอียดและวิธีการที่กำหนด เนื่องจากเจ้าหนี้ในคดีมีเป็นจำนวนมากเพื่อให้การดำเนินคดีเป็นไปโดยรวดเร็ว สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ในคดีฟื้นฟูฯ เพิ่มเติมจากที่ศาลได้มีคำสั่งให้ส่งสำเนาคำร้องขอฟื้นฟูฯ ทางไปรษณีย์ให้แก่เจ้าหนี้บางส่วนแล้ว ซึ่งการส่งสำเนาเอกสารได้เริ่มส่งคำร้องขอฟื้นฟูฯ ทางอีเมล์เเละทาง SMS ด้วยบางส่วน ตั้งแต่วันที่ 12 มิ.ย.

ทั้งนี้ในวันที่ 16 เเละ 19 มิ.ย. ศาลจะประกาศคำสั่งรับคำร้องขอ และวัน-เวลานัดไต่สวนคดีนี้ ลงทางหนังสือพิมพ์รายวัน เเละ ลงโฆษณาวันเวลานัดไต่สวน ทางสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศ กับให้ download คำร้องขอฟื้นฟู ในเว็บไซด์ของศาลล้มละลาย ตามคำสั่งศาลเพื่อให้เจ้าหนี้ทั้งหลาย ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับกำหนดการนัดไต่สวนคำร้องขอฟื้นฟูฯ อย่างแท้จริง
#การบินไทย #ฟื้นฟูการบินไทย #คำร้องการบินไทย #หนี้การบินไทย #misterban #ข่าวอัพเดท

 

รัสเซีย : คราบน้ำมันกว่า 20000 ตันรัสเซียต้องใช้เวลาอย่างน้อย 10 ปี เพื่อกำจัดคราบน้ำมันที่รั่วไหลลงแม่น้ำในไซบีเรีย ซึ่งจำนวนที่แน่นอนปริมาณน้ำมันที่รั่วไหลไม่แน่ชัดอาจมีมากกว่าตัวเลขที่แจ้ง

 

จีน : มณฑลเจ้อเจียง เมื่อประมาณ 2ชั่วโมงที่ผ่านมารถบรรทุกน้ำมันระเบิด ทำให้มีผู้เสียชีวิต 4รายบาดเจ็บ 50 รายการระเบิดที่รุนแรงทำให้ ทรัพย์สินโดยรอบเสียหา
อัพเดท 21.20 เสียชีวิต 10 บาดเจ็บ 112
# อะไรกระเด็นจากแรงระเบิด
# แอดมินลงคลิปเพิ่มในช่องแสดงความคิดเห็น

 

เวียดนาม : จีนได้มอบรถบรรทุกทางทหารช่วยเหลือกองทัพกัมพูชากว่า 200 คัน
เปิดเผยโดยนายทหารระดับสูงวันที่ 11 มิถุนายน รถบรรทุกทั้งหมดถึงท่าเรือสีหนุวิลล์ใรวันที่10มิถุนายน รถบางส่วนได้เคลื่อนย้ายไปกรมที่รับผิดชอบแล้วจำนวนทั้งหมด 290 คัน เป็นการมอบเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กองทัพกัมพูชา
สื่อเวียดนามตั้งข้อสังเกตในปี 2562
- จีนมอบเงินสนับสนุนกองทัพกัมพูชา2880 ล้านบาท
- นายกกัมพูชาประกาศซื้ออาวุธจีนเพิ่ม
-ใน10 ปีที่ผ่านมากัมพูชาซื้ออาวุธจีน 10000 ลบ.
- เดือนมีนาคมช่วงโควิดมีการซ้อมรบร่วมกัน ทหารกว่า 3000 นาย
- และมีดีลอื่นๆของเอกชนจีนในกัมพูชามากมาย

# ข่าวในเวียดนาม กล่าวถึง กัมพูชา

 

อินเดีย : Haveri งานประจำปี ที่จัดขึ้นวานนี้
หลังจากคลิปแพร่ทางสื่อ หลายฝ่ายต่างออกมากังวล กับผู้คนนับหมื่นที่มาร่วมงาน แต่ละคนไม่เว้นระยะห่าง ไม่มีหน้ากากอนามัย ปัจจุบันผู้ติดเชื้อโควิดอินเดียอยู่ลำดับ 4 ของโลก

 

สมอ.จับเหล็กนำเข้ากว่า 146 ตัน ฐานไม่ตรงกับที่ได้รับอนุญาต

สมอ.บุกจับเหล็กกว่า 146 ตัน มูลค่ากว่า 3 ล้านบาท นำเข้าไม่ตรงกับที่ได้รับอนุญาต สอบย้อนหลัง 1 ปี พบมีการนำเข้ามาแล้ว 16 ครั้ง กว่า 2,100 ตัน มูลค่ากว่า 48 ล้านบาท

https://www.tcijthai.com/news/2020/6/current/10476

 

ชาวฟิลิปปินส์รวมตัวประท้วงกม.ก่อการร้ายฉบับใหม่ที่อนุญาตให้คุมตัวผู้ต้องสงสัย 24 วัน

ชาวฟิลิปปินส์หลายร้อยคนรวมตัวกันที่กรุงมะนิลา เพื่อร่วมคัดค้านกฎหมายต่อต้านการก่อการร้ายฉบับใหม่ ที่องค์กรสิทธิมนุษยชนเห็นว่าเป็นการเพิ่มอำนาจให้กับประฐานาธิบดีโรดิโก ดูเตอร์เต โดยมีนัยสำคัญคือสามารถการจับกุมผู้ต้องสงสัยที่ก่อการร้ายได้โดยที่ไม่ต้องขอหมายจับ รวมถึงอนุญาตให้มีการควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยไว้ได้นานถึง 24 วันแม้จะไม่ถูกตั้งข้อกล่าวหาก็ตาม โดยกฎหมายฉบับดังกล่าวได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาแล้ว รอให้ประธานาธิบดีลงนามเพื่อที่จะให้มีผลบังคับใช้

https://www.tcijthai.com/news/2020/6/asean/10508