ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เงินกู้ 4 แสนล.โครงการหมื่นล.ระดับกระทรวง กับ "หลักแสนระดับชุมชน" ใครจะได้ไปต่อ ? เผยแพร่: 13 มิ.ย. 2563 01:02 โดย: ผู้จัดการออนไลน์


    รายงานสุดสัปดาห์

    พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ออกมาการันตีถึงการใช้จ่าย "เงินกู้" ในการแก้ปัญหาเยียวยาฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ตามพ.ร.ก.ดูแลเสถียรภาพภาคการเงิน โดยให้กระทรวงการคลังกู้เงิน วงเงิน 400,000 ล้านบาท เพื่อสู้กับภัยโควิด-19 อีกครั้ง เมื่อวันอังคาร ( 9 มิ.ย.)ที่ผ่านมา

    "ขอให้มั่นใจว่าในกรอบนโยบายนายกรัฐมนตรี ผมในฐานะหัวหน้ารัฐบาล ผมป้องกันการทุจริตอย่างเด็ดขาด เพราะฉะนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถตรวจสอบได้โดยทันที ทั้งการตรวจสอบภายในและภายนอก องค์กรอิสระสามารถตรวจสอบได้โดยทันที"
    "ฉะนั้น ทุกคนต้องให้ความสำคัญกับเรื่องเหล่านี้ ไม่ให้มันกลับมาที่เก่า ไม่อย่างนั้นต้องหาวิธีการและแนวทางการปฏิบัติที่ดี ข้อสำคัญคือประชาชนต้องมีสว่นร่วม โดยให้ประชาชนเสนอความต้องการ ขึ้นมา และส่วนราชการต้องไปพิจารณาร่วมเพื่อให้ตรงต่อความต้องการของประชาชน ไม่เช่นนั้นถ้าทำออกมาไม่ตรงก็จะกลายเป็นปัญหา และทำให้ตรวจสอบยาก”

    "ผมได้ให้แนวทางไปว่า เราจะอนุมัติเป็นระยะไป ไม่ใช่อนุมัติทีเดียวทั้งหมด เพื่อที่จะมีการประเมิน-ปรับแผน อาจจะทำเป็น 2 หรือ 3 ระยะ ใน 3 เดือน เพื่อให้เงินสามารถหมุนเวียนส่งต่อไปยังเศรษฐกิจฐานรากได้อย่างแท้จริง"

    นายกฯ บอกว่า หลักการสำคัญอีกอันคือ การใช้งบฟื้นฟูดังกล่าว "ไม่ควรนำไปใช้ในโครงการที่เป็นการลงทุน" หรือการพัฒนาภายใต้งบปกติซึ่งเป็นโครงการระยะยาว และอยู่ในแผนงานงบประมาณประจำปีอยู่แล้ว
    เพราะ อันนี้เป็นเงินที่ได้มาด้วยความยากลำบากคือ "ต้องกู้เข้ามา"

    สำหรับงบฟื้นฟู เป็นส่วนที่จะทำให้เกิดสภาพคล่อง ทำให้ประชาชนไม่เดือดร้อน หรือกิจการต้องล้มละลาย ล้มเลิกไป เพราะจะทำให้เกิดปัญหาการจ้างงาน

    "วันนี้เราพยายามทำทุกมิติ ในส่วนแรกคือการใช้มาตรการทางการเงินการคลัง การลดภาษี ลดค่าใช้จ่าย การยืดระยะเวลา และอีกเรื่องคือการใช้งบประมาณลงไปสู่ประชาชนทุกกลุ่ม

    สอดคล้องกับ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ ในฐานะประธานคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ 1 ล้านล้านบาท เพิ่งให้ข้อมูล “การใช้เงินกู้ตาม พ.ร.ก.ในส่วนของการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม 400,000 ล้านบาท”

    จนถึงวันที่ 11 มิ.ย.63 เสนอเข้ามาแล้ว 31,801โครงการ วงเงิน 783,348 ล้านบาท

    ซึ่งคณะกรรมการกลั่นกรองฯ ยังต้องตัดทอนอีก และยังเปิดให้เสนอโครงการรอบ 2 จนถึงวันที่ 9 ก.ค.นี้ พร้อมกันนี้ ได้วางกระบวนการให้ประชาชน ประชาสังคมติดตาม ตรวจสอบการใช้เงินกู้ ตั้งแต่ขั้นตอนการเสนอขอโครงการการอนุมัติ การดำเนินโครงการ จนถึงการประเมินผลโครงการ ผ่านเว็บไซต์ ThaiME หรือ http://thaime.nesdc.go.th ซึ่งอยู่ระหว่างจัดทำ
    สำหรับโครงการที่เสนอมาแล้ว ได้แก่

    1.โครงการเพื่อปรับปรุงการผลิต การท่องเที่ยว เกษตรมูลค่าสูง 164 โครงการ วงเงิน 284,302 ล้านบาท

    2.เศรษฐกิจฐานรากและเศรษฐกิจชุมชน เสนอมาจากท้องถิ่นใน 77 จังหวัด 31,345 โครงการ วงเงิน 416,149 ล้านบาท
    นอกจากนี้ ยังมีอีก 13 กระทรวงและ 4 หน่วยงาน ที่ขึ้นตรงกับนายกรัฐมนตรี เสนอมา 115 โครงการ วงเงิน 168,889ล้านบาท

    “วงเงินที่เสนอมา ยังไม่รวมการแจกคูปองท่องเที่ยว และยังมีข้อเสนออีก 3 โครงการในการทำแพลตฟอร์มดิจิทัล"
    จากนั้น สภาพัฒน์ จะกลั่นกรองเบื้องต้นจนถึงวันที่ 15 มิ.ย.นี้

    สอดคล้องกับที่ พล.อ.ประยุทธ์ แจ้งข้างต้นว่า "ไม่ควรนำไปใช้ในโครงการที่เป็นการลงทุน"

    สภาพัฒน์ ย้ำว่า โครงการใดไม่ตรงวัตถุประสงค์ จะแจ้งเลยว่าไม่ได้ เช่น สร้างถนน สนามบิน ส่วนโครงการใดต้องปรับแต่ง จะให้นำไปปรับปรุงแล้วเสนอกลับมารอบ 2 จนถึง 9 ก.ค.63 รวมถึงคนที่ส่งโครงการรอบแรกไม่ทัน ยังส่งมาได้จนถึง 9 ก.ค.นี้

    สำหรับการกลั่นกรอง ขั้นตอนแรก คณะทำงานจะวิเคราะห์โครงการ เปิดให้ประชาชนร่วมกลั่นกรอง ขั้นตอน 2 คณะกรรมการกลั่นกรองฯจะพิจารณา และสุดท้ายเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยลอตแรกจะเสนอ ครม.อนุมัติเดือน ก.ค.นี้ โครงการสุดท้ายต้องทำให้เสร็จก่อนเดือน ธ.ค.64

    ที่นี้มาแยกดูรายโครงการ ที่เสนอเข้ามา จาก 31,801โครงการ วงเงิน 783,348 ล้านบาท ล่าสุด พบมีทั้ง "บิ๊กโครงการ"ของกระทรวง วงเงินตั้งแต่หลัก 1 ร้อยล้าน-5 หมื่นล้าน หรือ "โลว์โครงการ" ของระดับหมู่บ้าน หรืออบต. ขอจัดสรรงบฯกัน ตั้งแต่หลักแสนบาทถึง 1 ล้านบาท แถมยังมีโครงการของ "หน่วยงานทหาร"ทอดแทรกเข้ามาด้วย

    ฟันธงจากการดูผ่าน เว็บสภาพัฒน์ "ไทยมี" มากกว่า 80% เป็นโครงที่เกี่ยวกับการ "ซ่อมแซมถนน" จริง ๆ ตามที่ฝ่ายตรวจสอบภาคเอกชน หลายคนบอกไว้ แค่โครงการกระทรวงคมนาคม หรือ ระดับภูมิภาคท้องถิ่น ก็มีเรื่อง ถนนเข้ามาสอดแทรกเช่นกัน
    ไปเอาตัวอย่างจากหลายโครงการที่น่าสนใจ น่าจะผ่านได้จัดรับสรร "เงินกู้" ไปได้ไม่ยาก เช่น

    "กระทรวงแรงงาน" ที่ให้จังหวัด นำเสนอ ก.บ.จ. และรายงานให้กระทรวงดำเนินการ เสนอขอรับจัดสรรงบประมาณ จำนวน 2,004.2478 ล้านบาท

    "สำนักปลัดกระทรวงแรงงาน" ขอรับจัดสรร 579.5078 ล้านบาท เพื่อสร้างงาน สร้างอาชีพ ประกอบด้วย เสนอ "โครงการแก้ปัญหาความเดือดร้อนด้านอาชีพ" ให้กับประชาชนที่อยู่ในกำลังแรงงานที่ได้รับกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจ ภัยธรรมชาติ และโควิด-19 ทั่วประเทศ จำนวน 20,800 คน ขอรับจัดสรรวงเงิน 99.0800 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ ก.ค.63 - ก.ย.64 โดยเป็นการเพิ่มพูนศักยภาพในทักษะใหม่ นอกเหนือจากทักษะเดิมเพื่อพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง

    เสนอ "โครงการบัณฑิตแรงงานประจำอำเภอ" ช่วยเหลือบัณฑิตว่างงานในพื้นที่ จำนวน 1,682 คน ( 841 อำเภอ ๆ ละ 2 คน ยกเว้นพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ ยะลา ปัตตานี นราธิวาส และ 4 อำเภอในสงขลา) ขอรับจัดสรรวงเงิน 480.4278 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ ก.ค.63 - ก.ย. 64

    เป็นกลไกเพื่อการสื่อสาร ทำหน้าที่ประสานการสำรวจสภาพปัญหาและความต้องการด้านแรงงานในพื้นที่กระทบโควิด-19 ตลอดจนความเดือดร้อนด้านอาชีพและความต้องการด้านแรงงานอื่น ๆ ในการดูแลประชาชนในพื้นที่ โดยร่วมกับภาคีเครือข่ายอาสาสมัครแรงงาน ครอบคลุมทุกอำเภอ

    "กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน" ขอรับจัดสรร 12,80.2000 ล้านบาท เพื่อสร้างงาน สร้างอาชีพ ประกอบด้วย

    เสนอ "โครงการพัฒนาศักยภาพแรงงานในสถานประกอบกิจการที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19" ในกลุ่มแรงงานตามมาตรา 75 แห่งพ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 จำนวน 622,112 คน ประมาณการผู้ประสงค์จะได้รับการพัฒนาทักษะ จำนวน 62,000 คน ขอรับจัดสรรงบประมาณ 170.2000 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ ก.ค.63 - ก.ย. 63
    เพื่อช่วยเหลือ ฟื้นฟู และบรรเทาปัญหาความเดือนร้อนกลุ่มแรงงานในสถานประกอบการ ตามมาตรา 75 และพัฒนาทักษะแรงงานในภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรม การค้าและการลงทุน ซึ่งได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ให้มีทักษะสูงขึ้นในสาขาที่ประกอบอาชีพอยู่ หรือสร้างทักษะใหม่ให้เข้าสู่สถานประกอบการอย่างมีประสิทธิภาพที่สูงขึ้น

    เสนอ "โครงการพัฒนาผู้ประกอบกิจการรายย่อยรองรับเศรษฐกิจชุมชน" ให้กับผู้ถูกเลิกจ้าง ว่างงาน ผู้ขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานจากผลกระทบโควิด-19 จำนวน 200,000 คน ขอรับจัดสรรงบประมาณ 1,110 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ ก.ค.63 - ก.ย. 63

    "เป็นแผนช่วยเหลือ ฟื้นฟู และบรรเทาความเดือดร้อนของกลุ่มแรงงานนอกระบบ ผู้ถูกเลิกจ้าง ว่างงาน ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 พัฒนาทักษะเพิ่มศักยภาพกลุ่มแรรงานดังกล่าว สู่การเป็นผู้ประกอบกิจการรายย่อยรองรับเศรษฐกิจชุมชนและเศรษฐกิจแบบแบ่งปัน (Sharing Economy) ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง และความปกติใหม่ (New Normal)รวมถึงรองรับแรงงานส่วนเกินที่อพยพกลับท้องถิ่นและชุมชนด้วย"

    ส่วนโครงการ ที่ใช้งบเกินระดับพันล้านบาท ถึงหมื่นล้านบาท เช่น "กรมวิชาการเกษตร" กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โครงการผลิตพันธุ์ดีและปัจจัยการผลิต (เมล็ดพันธุ์ ท่อนพันธุ์ เนื้อเยื่อ พันธุ์ปศุสัตว์ พันธุ์สัตว์น้ำ ไข่ไหมพันธุ์ดี) 12,045,230,000 บาท
    "กรมส่งเสริมการเกษตร" กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โครงการเพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถในการผลิตขยายพืชพันธุ์ดี 1,019,980,000 บาท

    "สำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม" กระทรวงวัฒนธรรม โครงการส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ทางวัฒนธรรม: ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ 1,998,949,000 บาท

    "กรมชลประทาน" กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อ 72 จังหวัด โครงการพัฒนาแหล่งน้ำ บริหารจัดการน้ำ และเพิ่มพื้นที่ชลประทาน 42,235,953,900 บาท

    "สำนักงานปลัดกระทรวง" กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อ 76 จังหวัด จ้างลูกจ้างเหมาบริการเพื่อพัฒนาระบบจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตำบล 1,576,080,000 บาท

    "กรมทรัพยากรน้ำ" กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อ 66 จังหวัด โครงการปรับปรุง พัฒนาแหล่งน้ำ เพื่ออุปโภค บริโภค และการเกษตร และบำรุงรักษาแหล่งน้ำ 10,640,078,900 บาท

    "สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม" สำนักนายกรัฐมนตรี ทุกจังหวัด โครงการพลิกฟื้นธุรกิจ SME ที่เป็น NPL ให้กลับมาดำเนินธุรกิจได้ 100,000,000,000 บาท และโครงการฟื้นฟูศักยภาพการดำเนินธุรกิจสำหรับ SME ที่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน 50,000,000,000 บาท

    เฉพาะของ "กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม" กระทรวงอุตสาหกรรม มาตาม แนงานที่ 3.1 ทุกจังหวัด พลิกฟื้นธุรกิจ SMEs สู่วิถีความปกติใหม่ 3,800,000,000 บาท โครงการพัฒนาอาชีพอิสระสู่ธุรกิจตามวิถีความปกติใหม่ 1,000,000,000 บาท โครงการพัฒนาอุตสาหกรรมเศรษฐกิจฐานรากเชื่อมโยงการท่องเที่ยว เพื่อสร้างงานสร้างอาชีพในวิถีความปกติใหม่ 1,900,000,000 บาท
    โครงการพัฒนาธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมสู่โอกาสวิถีความปกติใหม่ 3,300,000,000 บาท การสร้างผู้ประกอบการที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม - Innovation Driven Enterprise (IDE) จาก SMEs กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม 1,660,000,000 บาท เป็นต้น

    แผนงานที่ 3.2 ยังพบว่า มีโครงการของหนว่ยงาน "สังกัดกระทรวงกลาโหม" ทั้งกองทัพบก กองทัพเรือ จัดทำขึ้นใน 3 โครงการ ประกอบด้วย โครงการพัฒนาศูนย์การเรียนรู้ และแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร “โครงการทหารพันธุ์ดี” ขอรับจัดสรรวงเงิน 1,700,000 บาท มีค่ายเม็งรายมหาราช มณฑลทหารบกที่ 37 เป็นเจ้าของโครงการ ระยะเวลาดำเนินการ 12 เดือน

    โครงการพัฒนาปรับปรุงทัศนียภาพ ฐานยิงสนับสนุนอิทธิ และฐานกรุงเทพ ดำเนินการในพื้นที่ พิพิธภัณฑ์อาวุธ และการสู้รบ ขอรับจัดสรร 1,800,000 บาท มีกองพลทหารม้าที่ 1 จ. เพชรบูรณ์ เป็นเป็นเจ้าของโครงการ ระยะเวลา 4 เดือน ( มิ.ย.- ก.ย. 63)
    สุดท้าย โครงการปรับปรุงภูมิทัศน์สายไฟฟ้า และสายสื่อสารเป็นระบบท่อร้อยสายลงดิน ในพื้นที่ตลาดสัตหีบ บริเวณพื้นที่อ่าวดงตาล จ.ชลบุรี ขอรับจัดสรร 80,000,000 บาท มีฐานทัพเรือสัตหีบ กองทัพเรือ เป็นเจ้าของโครงการ โดนเริ่มดำเนินการในเดือน ก.ย.63

    โดยทั้ง 3 โครงการระบุว่า เป็นโครงการกิจกรรมภาคท่องเที่ยวและบริการ เพื่อให้เกิดการฟื้นฟูและพัฒนาท้องถิ่นของตนเอง
    ทั้งหมดนี้ สภาพัฒน์ ในฐานะคณะกลั่นกรองฯ ได้เปิดให้ประชาชนเข้ามาร่วมตรวจสอบ โครงการของใคร? จะได้ไปต่อ ได้เงินกู้ไปใช้ หรือตกอยู่แค่รอบแรก ในวันที่ 9 ก.ค.นี้รู้กัน โครงการหมื่นล้านของสารพัดกระทรวง กับโครงการแค่หลักแสนของชุมชน ใครจะได้ไปต่อ.

    https://mgronline.com/daily/detail/9630000061167
     
  2. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เมืองแพร่ เทคนิคและวิธีการอนุรักษ์อาคารเก่าตามหลักวิชาการบนโลกใบนี้ถูกลบล้างลงอย่างสิ้นเชิง
    ที่มา https://www.matichon.co.th/region/news_2229772

     
  3. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    "รถไฟเชื่อมโลก"



    เมื่อทางรถไฟ ไทย- จีน ( กรุงเทพ เวียงจันทร์ คุณหมิง ) สร้างแล้วเสร็จ ซึ่งคาดการณ์ไว้ว่าน่าจะใช้เวลาอีกประมาณ 4 - 5 ปี มิติใหม่ของการเดินทางท่องเที่ยวก็จะเกิดขึ้น ตลอดสองข้างทางรถไฟสายที่ยาวที่สุดในโลก โดยที่รถไฟสายนี้จะมีจุดเริ่มต้นที่ สถานีรถไฟ Woodlands ในประเทศสิงคโปร์ ขึ้นเหนือผ่าน สถานีรถไฟเซ็นทรัลกัวลาลัมเปอร์ เลียบชายฝั่งทะเลอันดามัน ผ่านพรมแดนประเทศไทยที่ ปาดังเบซา ผ่าน สงขลา ผ่านคลองไทย (โครงการในอนาคต ซึ่งในโครงการมีการสร้างท่าเทียบเรือสำราญขนากใหญ่สามารถล่องเรือไปได้ทั้งทางฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิค และ มหาสมุทรอินเดียได้) ผ่านนครศรีธรรมราช เลียบอ่าวไทยขึ้นมา ผ่านสุราษฎร์ธานี ซึ่งสามารถต่อเรือไปเกาะ สมุย เกาะพงัน เกาะเต่า ได้ ผ่านเมืองท่องเที่ยวอย่างหัวหิน ราชบุรี นครปฐม แล้วเข้าสู่ศูนย์กลางขนส่งทางรางของอาเซียนที่สถานีกลางบางซื่อ กรุงเทพมหานคร ซึ่งจากที่นี่สามารถต่อรถไฟความเร็วสูงซึ่งใช้เวลาเพียง 4 ชั่วโมงถึงเวียงจันทร์ โดยผ่านเมืองมรดกโลกอย่าง พระนครศรีอยุธยา และมรดกทางธรรมชาติอย่างเขาใหญ่ ที่สถานีปากช่อง และข้ามแม่น้ำโขงที่ หนองคาย จากนั้นก็จะผ่านพรมแดนบริเวณท่านาแร้ง เวียงจันทร์ ผ่านวังเวียง เมืองมรดกโลก หลวงพระบาง และอีกเพียงไม่เกิน 8 ชั่วโมงก็เข้าถึงคุนหมิง จากนั้นต่อ รถไฟความเร็วสูงสายปักกิ่ง - คุนหมิง ซึ่งเป็นทางรถไฟที่ยาวที่สุดของประเทศจีนด้วยความยาว 2,760 กิโลเมตร จะวิ่งผ่านเมืองสำคัญหลายแห่ง เช่น เมืองสือจยาจวง มณฑลเหอเป่ย, เมืองเจิ้งโจว มณฑลเหอหนัน, เมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย, เมืองฉางซาในมณฑลหูหนาน และนครกุ้ยหยังในมณฑลกุ้ยโจว และทีสำคัญที่คุนหมิงนี่เอ้สามารถเปลี่ยนเส้นทางไปทางรถไฟสายหลังคาโลก ต้าหลี่ ธิเบต ตฝจากปักกิ่ง ขึ้นรถไฟสาย เส้นทางรถไฟสาย ทรานส์มองโกเลีย ช่วงเส้นทางระหว่างกรุงปักกิ่ง-อูลันบาตอร์ รถไฟจะไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ และมุดเข้าไปอยู่ในเขตภูเขา เป็นภูเขาแนวยาวตลอดเส้นทางเลยทีเดียว ช่วงนี้จะมีอุโมงค์ที่เจาะทะลุภูเขากว่า 50-60 อุโมงค์ได้ และทุกๆครั้งที่รถไฟโผล่พ้นจากอุโมงค์เราก็จะพบกับโตรกผาและแม่น้ำแบบอลังการตลอดเส้นทาง และที่พลาดไม่ได้ก็คือกำแพงเมืองจีนนั่นเอง จากนั้นก็จะเข้าสู่เขตทุ่งหญ้า กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา มี Ger District หรือที่อยู่อาศัยแบบเกอร์ของคนท้องถิ่น เป็นระยะๆ จากอุลานบาตอร์ เข้าสู่ประเทศรัสเซีย รถไฟจะวิ่งเลาะ ทะเลาบไบคาล (Lake Baikal) ไบคาล (Baikal) ทะเลสาบที่เก่าแก่และลึกที่สุดในโลก จากนั้น วิ่งผ่ากลางทุ่งน้ำแข็งไซบีเรีย ผ่านเทือกเขาอันไต ใช้เวลาประมาณ 7 วันก็เข้าสู่ กรุงมอสโก จากกรุงมอสโก ต่อรถไฟไปยังกรุงเคียฟ เมืองหลวงของยูเครน และจากเคียฟ ต่อไปยังวอร์ซอ โปแลนด์ และเข้าสู่เยอรมันนี สถานีกลางเบอร์ลิน หรือ Berlin Hauptbahnhof อันเป็นสถานีรถไฟที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป จากนั้น ต่อรถไฟ อีเซเอ 3 ไปยังสถานีกลางบลัสเซลล์ Brussel-Centraal ประเทศเบลเยี่ยม จากนั้น Paris Gare du Nord นั่ง metro ไปยัง สถานี Gare d'Austerlitz แล้วขึ้นรถไฟไปยัง Barcelona-Sants ประเทศ สเปน ซึ่งใช้เวลาเพียง 6 ชั่วโมง 25 นาทีผ่านเมืองเล็กๆที่สวยงาม ไร่องุ่น ทุ่งลาเวนเดอร์ ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส มุดอุโมงค์รอด เทือกเขาพิเรนีส ถึงบาเซโลนา จากนั้นต่อไปยัง สถานี Estación de Madrid Atocha กรุงมาดริด จากนั้นเดินทางต่อไปยังจุดหมายปลายทางของเราคือสถานี Lisboa Santa Apolónia กรุงลิสบอน โปรตุเกส ด้วยระยะทางกว่า 16,000 กิโลเมตร

    ติดตามเรื่องราวดีๆได้ที่ เพจ Bangkok I Love You

    www.facebook.com/BKkILoveYou/

     
  4. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150

    WHO งงสถิติโควิดรัสเซีย สุด “แปลก” ไม่ตามโลก
    14 Jun 2020 07:48 น.

    คอลัมน์หลังกล้องไซบีเรีย : เรื่อง: ยลรดี ธุววงศ์, ภาพ: Denis Greshlin/Mos.ru

    ถึงแม้ว่ารัฐบาลหมีขาวจะยังย้ำอยู่ทุกวันว่าการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ดำเนินยืดเยื้อมาเป็นเวลาเกือบครึ่งปีแล้วยังอยู่ในขอบเขตที่ควบคุมได้ แต่ตัวเลขสถิติผู้ติดเชื้อภายในประเทศตอนนี้ยังอยู่ในระดับที่น่ากังวลจนหลายคนอาจดูแล้วไม่สบายใจ

    ล่าสุดในสัปดาห์นี้ สถิติผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในประเทศที่มีอาณาเขตกว้างขวางที่สุดในโลกยังคงน่าเป็นห่วง กราฟยังคงไม่ตกลงเช่นในหลายประเทศที่เมื่อคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดได้แล้ว กราฟตัวเลขผู้ติดเชื้อต่อวันจะลดฮวบจนแบนราบในที่สุด ในทางกลับกับ ตัวเลขผู้ติดเชื้อกลับขึ้นๆ ลงๆ อยู่ในช่วงราวๆ 7,000-10,000 รายต่อวันต่อเนื่องมาร่วมเดือนแล้วตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ทำให้ยอดรวมสะสมขณะนี้มากกว่าครึ่งล้านแล้ว มากที่สุดเป็นอันดับที่ 3 ของโลก รองเพียงสหรัฐอเมริกา และบราซิลเพียงเท่านั้น

    ภายใต้สถิติที่น่ากลัว กลับมีเรื่องหนึ่งที่หลายฝ่ายยังต้องเอียงคอสงสัย เพราะว่าอัตราผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ของรัสเซียนั้นดูจะไม่เป็นไปในทางเดียวกับประเทศอื่นเขา แม้แต่ ไมเคิล ไรอัน ผู้รับผิดชอบแผนกโรคอุบัติใหม่ ขององค์การอนามัยโลก หรือ WHO ยังบอกว่าสถิติแบบนี้ถือว่า “แปลก” มาก ยากที่จะอธิบายได้ว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น

    ในแง่บริบทของประชากร ระบบสาธารณสุข หรือสัดส่วนอายุประชากรแล้ว รัสเซียดูจะไม่ได้ต่างไปจากประเทศอื่นๆ ในยุโรปมากนัก แต่เมื่อเทียบกับสถิติของประเทศอื่นเช่นสหราชอาณาจักรที่ขณะนี้ทีผู้ติดเชื้อเกือบ 3 แสนราย แต่มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 4 หมื่นราย ขณะที่รัสเซียมีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 สะสมอยู่ราว 7 พันราย แสดงว่ารัสเซียมีผู้ติดเชื้อมากกว่าสหราชอาณาจักรอยู่เกือบเท่าตัว แต่มีผู้เสียชีวิตน้อยกว่าถึง 6 เท่า

    แม้ว่าจะดูไม่ค่อยเหมือนชาวบ้านไปสักหน่อย แต่ส่วนตัวแล้ว หัวหน้าแผนกโรคอุบัติใหม่ขององค์การมนามัยโลกก็เชื่อว่าตัวเลขที่เห็นนั้นไม่น่าจะเกิดจากการตกแต่งตัวเลขของรัฐบาลรัสเซียอย่างแน่นอน เขาเองก็เห็นด้วยกับคำอธิบายของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขของรัสเซียที่ระบุว่า ตัวเลขผู้ติดเชื้อที่มากจนน่าตกใจนั้นเป็นผลมาจากการกว้านตรวจโรคอย่างกว้างขวาง แต่ในความเป็นจริงแล้ว มีหลายประเทศที่มีอัตราการตรวจหาเชื้อสูง แต่อัตราการเสียชีวิตจากเชื้อไวรัสชนิดนี้ก็ยังสูงไม่เหมือนกับในรัสเซีย

    ผลการสำรวจที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งในแดนหมีขาวในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ คือผลการศึกษาของ หน่วยงานคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคและสวัสดิการมนุษย์ของรัสเซีย (Rospotrebnadzor) ที่ไปสุ่มศึกษาเรื่องภูมิต้านทานโควิด-19 ของประชากรในประเทศ และจากตัวอย่างที่เก็บมาทั่วประเทศพบว่า 14% ของตัวอย่างมีภูมิต้านทานเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ในร่างกายแล้ว หากคิดเป็นสัดส่วนของประชากรประเทศแล้ว หน่วยงานสาธารณสุขของรัสเซียคาดว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อจริงๆ ในรัสเซียอาจจะมากถึง 20 ล้านคน จากประชากร 146 คนทั่วประเทศแล้ว เป็นไปได้ว่าคนกลุ่มนี้เคยติดเชื้อแล้วแต่ไม่ออกอาการและสร้างภูมิต้านทานในร่างกายได้สำเร็จ ในจำนวนนี้ 20% คือเด็กอายุต่ำกว่า 17 ปี และน้อยที่สุดในกลุ่มผู้สูงอายุมากกว่า 65 ปี คิดเป็นร้อยละ 11% เท่านั้นที่มีภูมิต้านทาน



    จากตอนแรกที่คาดกันว่ารัสเซียจะหยุดการแพร่ระบาดโควิดได้ภายในเดือนพฤษภาคม แต่ดูเหมือนว่ามาตรการควบคุมต่างๆ จะยังไม่ออกผลงานอย่างเต็มที่นัก จากการคำนวณในเชิงสถิติโดยนักวิชาการของมหาวิทยาลัย D. Mendeleyev University ล่าสุด คาดว่าการแพร่ระบาดน่าจะจบภายในเดือนกรกฎาคม แต่ก็ยังไม่ทิ้งความเป็นไปได้ว่าจะเกิดการระบาดระลอกที่ 2 ตามมา เนื่องจากยังมีการเคลื่อนย้ายไปมาระหว่างเมืองภายในรัสเซียเอง

    จนถึงตอนนี้ผู้ติดเชื้อทั่วประเทศในรัสเซียยังคงเพิ่มขึ้นอย่างไม่เห็นจุดสิ้นสุดที่ชัดเจน แต่รัฐบาลรัสเซียก็ต้องจำใจค่อยๆ ปลดมาตรการควบคุมโรคทีละอย่างเพื่อให้ประเทศขับเคลื่อนกันต่อไปได้ แต่ในอีกด้านหนึ่งมีฝ่ายที่ตั้งคำถามขึ้นมาว่า การที่รัฐบาลรัสเซียรีบผ่อนคลายมาตรการต่างๆ มีนัยยะแฝงทางการเมืองหรือเปล่า เพราะว่าปลายเดือนนี้จะมีการจัดงานสวนสนามงานวันชัยของกองทัพที่เลื่อนมาจากต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา และยังมีกำหนดการลงประชามติครั้งสำคัญในวันที่ 1 กรกฎาคมนี้ ซึ่งจะเป็นการออกเสียงครั้งสำคัญของชาวรัสเซียว่าเห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือใหม่ ซึ่งจะมีผลเปิดช่องให้ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน นายวลาดิมีร์ ปูตินดำรงอยู่ในตำแหน่งได้ต่ออีก 2 สมัย

    ** พบกับ คอลัมน์ “หลังกล้องไซบีเรีย” ทุกวันอาทิตย์ ทุกช่องทางออนไลน์ของ “ฐานเศรษฐกิจ" **
    Bio นักเขียน : “ยลรดี ธุววงศ์” อดีตนักข่าวที่ผ่านสนามข่าวทั้งในและต่างประเทศ จากสำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์ และ Spring News ปัจจุบันเป็นนิสิตปริญญาโทอยู่ในส่วนที่หนาวเย็นที่สุดของประเทศรัสเซีย

    https://www.thansettakij.com/conten...vxnLcRMtu3lv_lvGVIgv4aV2dwlRJAJ1jHPTpL76qIsFo
     
  5. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    • รัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมเตรียมขึ้นทะเบียนต้นเทียนทะเลให้เป็นไม้หวงห้าม หลังตลาดต้นไม้ทั้งในและต่างประเทศให้ความสนใจและยกให้เป็นราชาแห่งบอนไซ พร้อมกับจะเสนอให้อยู่ในอนุสัญญาไซเตสเนื่องจากเป็นไม้ใกล้สูญพันธุ์ หลังมีขบวนการลักลอบตัดต้นเทียนทะเล บริเวณเกาะแตน จ.สุราษฎร์ธานี

    • นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยเมื่อวันที่ 15 มิ.ย. 2563 ว่า ได้สั่งการให้เตรียมขึ้นทะเบียนต้นเทียนทะเล ให้เป็นไม้หวงห้าม และเสนอให้อยู่ในอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (Cites) เนื่องจากมีการลักลอบตัดไม้ชนิดดังกล่าว

    • ก่อนหน้านี้ศูนย์ปฏิบัติการพิทักษ์ป่าบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบุกจับขบวนการลักลอบตัดไม้เทียนทะเล บริเวณเกาะแตน จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นไม้ที่หายาก สวยงาม และเติบโตช้าทำให้เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ ประกอบกับในปัจจุบันไม้ชนิดนี้เป็นที่ต้องการจากตลาดทั้งในและต่างประเทศ

    • รวมทั้งขอความร่วมมือสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ตรวจสอบเส้นทางการเงินของขบวนการค้าไม้ดังกล่าวด้วย ขณะเดียวกันรณรงค์และประชาสัมพันธ์ประชาชนในพื้นที่ เพื่อสร้างการรับรู้และมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

    • อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 5 มิ.ย. ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่หน่วยเฉพาะกิจปราบปรามพิเศษ (พยัคฆ์ไพร) ร่วมกับเจ้าหน้าที่หน่วยป้องกันรักษาป่าที่ สฏ.16 เกาะสมุย สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 11 (สุราษฎร์ธานี) เจ้าหน้าที่ทหารกองทัพภาคที่ 4 ได้นำกำลังเข้าจับกุมขบวนการลักลอบตัดไม้เทียนทะเลในชุมชนหมู่ที่ 2 ต.ตลิ่งงาม อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี พบบุคคลต้องสงสัยลักลอบตัดต้นเทียนทะเล บริเวณชายหาดเกาะแตน จำนวน 2 คน

    • ทราบชื่อภายหลังคือนายกฤษฎา จันทร์รอด ชาวนครศรีธรรมราช และนายเทพสิทธิ์ สุวรรณปฏิมา ชาวชุมพร ทั้งคู่รับสารภาพว่า เข้ามาตัดต้นเทียนทะเลเพื่อนำไปขายตามที่มีการซื้อขายกันผ่านกลุ่มเฟซบุ๊กและแอปพลิเคชั่นไลน์ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตรวจจุดเกิดเหตุพบร่องรอยการขุดและตัดต้นเทียนทะเล 2 ต้น พร้อมอุปกรณ์การกระทำผิด เช่น เรือไฟเบอร์ 1 ลำ เลื่อยตัดกิ่งไม้ 5 อัน เสียม 1 อัน ฯลฯ

    • นอกจากนี้ ผู้ต้องหาดังกล่าวเคยถูกจับกุมข้อหาลักลอบตัดไม้เทียนทะเล เมื่อวันที่ 11 เม.ย. 2563 และเป็นขบวนการเดียวกันที่เคยถูกอายัดไม้เทียนทะเลกว่า 90 ตอ จึงได้ดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ 2484

    • สำหรับลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของต้นเทียนทะเล เป็นไม้ต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง สูง 3-10 เมตร ขึ้นตามชายหาดทั่วไป ออกดอกเดือน ก.ค.-ส.ค. เป็นผลเดือน ส.ค.-ก.ย. เรือนยอดพุ่มกลมเตี้ย ลำต้นสั้น กิ่งสีเทาปนเขียวอ่อนมีข้อเด่นชัด เปลือกสีเทาอมดำหรือน้ำตาลแตกเป็นร่องตื้นตามยาวลำต้น ขอบใบเรียบ ก้านใบสั้นสีแดง ดอก สีขาว มีกลิ่นหอม ออกเป็นดอกเดี่ยวตามซอกใบ ก้านดอกยาว 0.5-1 ซม. มีขน ดอกบานเต็มที่กว้าง 1-1.5 ซม. ผลสดมีเนื้อหลายเมล็ด
     
  6. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    • มีรายงานว่าตั้งแต่เมื่อปี 2562 จนถึงเดือน มี.ค. 2563 มี "แร้งฮู๊ด” ล้มตายมากกว่า 2,000 ตัว ในเขตประเทศกินี-บิสเซา ทวีปแอฟริกา ถือเป็นการล้มตายของแร้งครั้งใหญ่และจำนวนมากที่สุดในโลก ที่น่าวิตกก็คือสหภาพระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) ระบุว่า แร้งฮู๊ด (Hooded Vultures) เป็นสัตว์ที่เสี่ยงสูญพันธุ์อย่างยิ่งยวด

    • พวกมันไม่ได้ล้มตายเองตามธรรมชาติ แต่ถูกมนุษย์ใช้ยาฆ่าแมลงวางยาจนตาย ซึ่งในกรณีที่เกิดขึ้นในประเทศกินี-บิสเซา กลุ่มเอ็นจีโอพบว่าแร้งที่ตายแล้วหลายตัวถูกตัดหัวซึ่งแสดงให้เห็นว่ามันถูกฆ่าเพื่อนำชิ้นส่วนอวัยวะไปเป็นยารักษาโรคตามความเชื่อของคนท้องถิ่นด้วย

    • ตามความเชื่อของผู้คนในแถบแอฟริกาตะวันตกและแอฟริกาตอนใต้ ส่วนต่างๆ ของร่างกายแร้งสามารถรักษาอาการเจ็บป่วยทางร่างกายและจิตใจ เป็นเครื่องรางช่วยให้ชนะพนันและการทำธุรกิจ หรือเพิ่มความฉลาดในเด็ก

    • นอกจากการฆ่าเพื่อกินเนื้อและใช้เป็นเครื่องรางแล้ว แร้งยังถูกฆ่าเพราะพวกมันมีพฤติกรรมอย่างหนึ่งที่ช่วยบอกที่กบดานนักล่าสัตว์ให้เจ้าหน้าที่ได้รู้

    • ในเดือน มิ.ย. ปี 2562 พบซากแร้งหลายชนิดถึง 537 ตัวถูกฆ่าเพราะกินซากสัตว์ที่เจือปนยาฆ่าแมลง คาดว่ามันคงจะตายหลังจากกินซากของช้าง 3 ตัวที่ถูกวางยาพิษโดยนักลอบล่าสัตว์ เพราะแร้งจะบินวนเหนือซากสัตว์ที่ตายจากการล่า ทำให้เจ้าหน้าที่สามารถมองเห็นได้ในระยะไกลว่าเกิดอะไรขึ้นในพื้นที่อนุรักษ์

    • ดังนั้นในแอฟริกาที่มีแร้งอยู่ 7 ชนิด จะพบว่าบางชนิดมีจำนวนลดลงมากถึง 97% ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ที่แปลกก็คือการลดลงของจำนวนแร้งที่มากสุดในบางพื้นที่ยังเกิดขึ้นกับพื้นที่คุ้มครองด้วยซ้ำ

    • แร้งฮู๊ดยังพบเห็นได้มากในบางพื้นที่ แต่ในบางพื้นที่ของแกมเบียและกินี-บิสสเซา มีประชากรแร้งฮู๊ดลดลงมากกว่า 85% ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา

    • ไม่ใช่แค่ในแอฟริกา ในอินเดียยังพบว่าในเวลาเพียง 15 ปีระหว่างปี 2535-2550 แร้งสามชนิดที่พบมากที่สุดของอินเดียมีจำนวนลดลงระหว่าง 97- 99.9% จนเรียกกันว่า "วิกฤตแร้งอินเดีย" กว่าจะรู้สาเหตุก็ต้องใช้เวลาอีก 10 ปีต่อมา

    • สาเหตุคือแร้งเอเชียกินซากสัตว์ที่มีสารไดโคลฟีแนค (Diclofenac) ซึ่งเป็นยาต้านการอักเสบที่เกษตรกรจะให้ปศุสัตว์กินเป็นประจำ แต่มันเป็นพิษต่อแร้ง (หลังจากนั้นอินเดียสั่งแบนสารนี้กับปศุสัตว์)

    • จากแบบจำลองการวิจัยแสดงให้เห็นว่าถ้าซากสัตว์ที่เป็นอาหารแร้งปนเปื้อนสารไดโคลฟีแนคเพียง 1% ประชากรอีแร้งอินเดียจะลดลงระหว่าง 60% และ 90% ต่อปี และการศึกษาพบว่ามีซากสัตว์ประมาณ 10% ถูกปนเปื้อน

    • ผลก็คือในช่วงทศวรรษ 1980 มีแร้งหลังขาว (Gyps bengalensis) จำนวนมากถึง 80 ล้านตัว ในอินเดีย แต่วันนี้จำนวนประชากรมีเพียงหลายพันตัวเท่านั้น

    ข้อมูลจาก
    • What’s behind hundreds of vulture deaths in Guinea-Bissau. And what can be done (https://rb.gy/b6nxjz)
    • The vultures aren't hovering over Africa – and that's bad news (https://rb.gy/sjfcmz)
    • Indian vulture crisis (https://rb.gy/ey5jtc)
     
  7. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    • หลายชั่วอายุคนก่อน บริเวณป่าพรุทางตอนเหนือของทะเลสาบสงขลามีช้างประเภทหนึ่งรูปร่างของมันเล็กแกรน ตัวขนาดเท่าหมูหรือเรียกว่า "ช้างค่อม" หรือช้างแคระ ซึ่งช้างแคระปัจจุบันพวกมันเป็นสัตว์ที่สูญพันธุ์จากไทยไปตลอดกาล

    • หนังสือเรื่องช้างของอาจารย์เฮง ไพรยวัล ยังบอกว่า "เมืองไทยภาคใต้สมัยก่อนก็มีช้างแคระ" อาจารย์เฮง ไพรยวัล เป็นผู้มีชื่อเสียงในด้านวิทยาคมและไสยศาสตร์ แต่แต่งหนังสือเกี่ยวกับช้างที่น่าทึ่งไว้เล่มหนึ่ง ท่านเสียชีวิตในปี 2502 แสดงว่าในยุคของท่านๆ ก็ยังไม่เคยเห็นช้างแคระ

    • ช้างค่อมสูญพันธุ์ไปนานจนคนลืมไปแล้วว่ามันหน้าตาเป็นอย่างไร แต่มีบันทึกไว้ว่าช้างค่อมมีส่วนสูงเพียง 5 ฟุต เศษ (ประมาณ 160 เซนติเมตรหรือเท่ากับลูกช้างธรรมดา) บางคนบอกว่าตัวมันเท่าหมู บ้างก็ว่าตัวเท่าควาย มีหัวและเท้าเล็ก ผิวหนังออกเป็นสีน้ำตาลแดง

    • ดังนั้นบางพื้นที่จึงเรียกมันว่า "ช้างแดง" หรือช้างป่าหัวแดง บางคนเล่าว่ามันน่าจะอยู่แถว อ.ระโนด จ. สงขลา และบางกระแสเล่าว่าคนสมัยก่อนกินมันเหมือนกินหมู

    • ในหนังสือ Geological Studies ของ Alexander Winchell รายงานว่าในปี 2427 มีการนำเข้าช้างแคระจากประเทศสยามมายังนิวยอร์ก ตัวของมันแคระแกรนมีขนดก จึงเชื่อกันว่าน่าจะเป็นทายาทของช้างแมมม็อธ จากบันทึกเหล่านี้จึงถูกฝรั่งมองว่าเหมือนช้างแมมมอธ

    • ในบันทึกของต่างชาติเรียกช้างแคระในไทยว่า dwarf elephants หรือ pygmy elephants และมักจะเทียบว่าเหมือนซากช้างแคระที่พบในมอลตา ซิซิลี ครีต ซาร์ดิเนีย ไซปรัสในยุโรป

    • ญาติที่ใกล้เคียงที่สุดของช้างค่อมแห่งสงขลาน่าจะเป็นช้างบอร์เนียว หรือช้างแคระบอร์เนียวซึ่งมีความสูงประมาณ 8 ฟุต (ประมาณ 2.4 เมตร) แต่จะเห็นว่ามันยังสูงกว่าความสูงของช้างค่อมที่สงขลาถึงเกือบเท่าตัว

    อ่านบทความฉบับเต็มได้ที่: http://www.igreenstory.co/borneo-elephant/
     
  8. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    นายโสภณ ทองดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) พร้อมด้วยนายปิ่นสักก์ สุรัสวดี รองอธิบดี พร้อมคณะได้ลงพื้นที่พบปะพูดคุยกับประชาชน ม.7 ต.ม่วงงาม อ.สิงหนคร จ.สงขลา ซึ่งเป็นกลุ่มคัดค้านโครงการก่อสร้างกำแพงกันคลื่นกัดเซาะชายฝั่งหาดม่วงงามของกรมโยธาธิการและผังเมือง
    .
    นายโสภณอธิบายกับชาวบ้านที่บริเวณชายหาดม่วงงามว่า "ถ้าดูไม่มีปัญหา ผมอยู่กับทะเลมา 35 ปีเท่าอายุราชการ ถ้าสร้างแล้วนะ ตรงนี้แก้ได้ (ม.7) แต่ว่าถัดๆ ไปมันจะกัดไปเรื่อยๆ ผมไม่ได้บอกว่าผมจะใช้อำนาจอะไรที่จะระงับนะ แต่มองในมุมคนที่อยู่กับทะเล
    .
    "เหมือนสะพานที่ผมไปดู ฝั่งนี้โดนกัดแต่หัวสะพานที่งอกเยอะแยะเลย มันจะเกิดปัญหาแน่นอน จึงมีแผนที่จะต้องทำให้มีการเฉลี่ยการพัดพาของตะกอนทรายให้มันสมดุลตามธรรมชาติ ธรรมชาติมันสมดุลในตัวของมันเองอยู่แล้ว แต่พอมีอะไรไปขวางไว้มันจะเปลี่ยนทิศทางใหม่ทันที มรสุมพัดมามันก็พัดกลับ วันนี้ทำความเข้าใจกันประมาณนี้นะ"
    .
    จากนั้นคณะอธิบดี ทช.ได้ลงพื้นที่หาดมหาราช อ.สทิงพระ เพื่อตรวจสอบสภาพพื้นที่ของโครงการเขื่อนกันคลื่นอีกโครงการฯ ของกรมโยธาธิการและผังเมือง ซี่งมีการร้องเรียนให้กรม ทช.ใช้อำนาจ ตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. 2558 ดำเนินการยกเลิกโครงการ
    .
    ทั้งนี้ ทางอธิบดี ทช.แจ้งว่าจะรวบรวมข้อมูลเพื่อใช้พิจารณาในการแก้ไขปัญหาต่อไป โดยอยู่บนพื้นฐานของการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งเพื่อความอุดมสมบูรณ์และยั่งยืน
    .
    อย่างไรก็ตาม สำหรับโครงการกำแพงกันคลื่นที่กำลังก่อสร้างอยู่ที่หาดม่วงงาม จ.สงขลา มูลค่า 84 ล้านบาท ล่าสุดเมื่อวันที่ 5 มิ.ย.ที่ผ่านมา กรมโยธาธิการและผังเมือง ได้ประกาศให้ผู้รับเหมาหยุดดำเนินการก่อสร้างชั่วคราว หลังจากมีประชาชนไปปักหลักประท้วงอยู่ที่ศาลากลางจังหวัดสงขลา 4 คืน 5 วัน
    #saveหาดม่วงาม #saveชายหาดสงขลา #ปกป้องชายหาดทั่วประเทศ
     
  9. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    15 มิถุนายน 2563 นายโทชิมิตสึ โมเตกิ รัฐมนตรีต่างประเทศญี่ปุ่น เปิดเผยว่า ขณะนี้รัฐบาลญี่ปุ่นยังไม่ได้ตัดสินใจผ่อนคลายข้อจำกัดการเดินทางที่เกี่ยวกับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ให้กับพลเมืองบางประเทศอย่างที่เคยมีข่าวก่อนหน้านี้

    ถ้อยแถลงดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่สัปดาห์ที่แล้ว สำนักข่าวซินหัวรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวจากรัฐบาลญี่ปุ่นและสื่อท้องถิ่นว่า ญี่ปุ่นกำลังวางแผนที่จะผ่อนคลายข้อจำกัดการเดินทางที่เกี่ยวกับโควิด-19 ในฤดูร้อนนี้ (มิ.ย.-ส.ค.) โดยจะเริ่มต้นจากการอนุญาตให้นักธุรกิจที่มาจากออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ไทย และเวียดนาม เดินทางเข้าญี่ปุ่นได้ไม่เกิน 250 คนต่อวัน

    รัฐมนตรีต่างประเทศญี่ปุ่น ระบุว่า ขณะนี้รัฐบาลญี่ปุ่นเพียงแค่กำลังดูแนวทางในการผ่อนคลายข้อกำหนดดังกล่าว โดยจะพิจารณาหลายๆ ปัจจัยประกอบกัน และจะผ่อนคลายข้อกำหนดเป็นระยะๆ หากพิจารณาแล้วเห็นสมควรให้ผ่อนคลาย

    รัฐมนตรีต่างประเทศญี่ปุ่น เปิดเผยว่า ตนได้ตอบตกลงกับรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศของเวียดนาม ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์แล้ว เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการอนุญาตให้ผู้ที่จำเป็นต้องเดินทางสามารถเดินทางเข้าญี่ปุ่นได้อีกครั้ง อย่างไรก็ดี รายงานข่าวดังกล่าวไม่ได้ระบุชื่อประเทศไทยแต่อย่างใด

    ปัจจุบัน ญี่ปุ่นได้ห้ามชาวต่างชาติจาก 111 ประเทศและภูมิภาคทั่วโลกเข้าประเทศ รวมถึงห้ามชาวต่างชาติที่เดินทางไปยัง 111 ประเทศและภูมิภาคดังกล่าวภายในระยะเวลา 2 สัปดาห์ก่อนหน้าที่จะเดินทางมายังญี่ปุ่นด้วย

    รายงานข่าวก่อนหน้านี้ระบุว่า ผู้ที่เดินทางมาจากประเทศที่ได้รับอนุญาตนั้น จะต้องเข้ารับการตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 ก่อนเดินทางเข้าญี่ปุ่นเพื่อพิสูจน์ว่าไม่มีเชื้อโควิด-19 และเมื่อไปถึงญี่ปุ่นก็จะต้องเข้ารับการตรวจอีกครั้ง

    นอกจากนี้ หากได้รับอนุญาตให้เข้าญี่ปุ่นได้ ก็จะต้องแจ้งรายละเอียดสถานที่พักระหว่างการพำนักอยู่ในญี่ปุ่น รวมถึงแจ้งแผนการเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ให้เจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นทราบด้วย

    ขณะเดียวกัน บรรดาผู้มาเยือนจะถูกห้ามใช้ระบบขนส่งสาธารณะ และอาจจะต้องติดตั้งแอป GPS ที่สมาร์ตโฟนของตัวเองเพื่อให้สามารถติดตามตัวผู้สัมผัสได้ หากพบว่าพวกเขาติดเชื้อโควิด-19

    https://www.tnnthailand.com/content/44042

    #RoundtableThailand
    roundtablethailand.com
     
  10. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    15 มิถุนายน 2563 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ว่าในช่วงหนึ่งของการแถลงผ่านสถานีโทรทัศน์แห่งชาติ เมื่อวันอาทิตย์ ประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครง กล่าวถึงกระแสต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติและสีผิวที่กำลังเป็นประเด็นอย่างมากในสหรัฐฯ และอีกหลายประเทศในทวีปยุโรป และขยายวงกว้างเป็นการทำลายรูปปั้นของบุคคลในประวัติศาสตร์ ว่าฝรั่งเศสไม่มีทาง "ลบประวัติศาสตร์ของตัวเอง" ไม่มีวันลืมสิ่งที่เคยเกิดขึ้นและผลกระทบที่ตามมา ฝรั่งเศสจะไม่มีทางทำลายหรือสร้างความเสียหายให้กับรูปปั้นและอนุสาวรีย์ แต่จะใช้เป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้ประวัติศาสตร์

    มาครงกล่าวถึงประวัติศาสตร์ยุคอาณานิคม ซึ่งฝรั่งเศสยึดครองดินแดนหลายแห่งในทวีปแอฟริกา แล้ว "ทิ้งร่องรอย" สร้างความทรงจำที่เจ็บปวดและความโกรธแค้นให้กับชาวแอฟริกันจำนวนมาก ว่าเป็นเรื่องที่ฝรั่งเศสและแอฟริกาต้องแสวงหาจุดยืนที่สมดุลร่วมกัน ทั้งในปัจจุบันและอนาคต พร้อมทั้งเรียกร้องให้ชาวฝรั่งเศสร่วมกันสร้างสรรค์สังคม "ให้มีที่ยืนสำหรับทุกคน โดยปราศจากกำแพงเชื้อชาติ สีผิว และศาสนา"

    ทั้งนี้ ฝรั่งเศสเป็นหนึ่งในประเทศขนาดใหญ่ของทวีปยุโรปซึ่งมีการจัดการเดินขบวนและชุมนุมเรียกร้องความยุติธรรมทางสีผิว จากกระแสของนายจอร์จ ฟลอยด์ ชายผิวสีชาวอเมริกัน ซึ่งเสียชีวิตระหว่างถูกตำรวจจับกุม เมื่อปลายเดือนพ.ค. ที่ผ่านมา แต่ในเวลาเดียวกัน สิ่งที่เกิดขึ้นกับฟลอยด์ทำให้ชาวฝรั่งเศสจำนวนมากนำไปเปรียบเทียบกับคดีของนายอาดามา ตราโอเร ชายชาวฝรั่งเศสเชื้อสายมาลี ซึ่งเสียชีวิตระหว่างอยู่ในการควบคุมตัวของตำรวจ เมื่อปี 2559

    #roundtablethailand
    Roundtablethailand.com

    ที่มา https://www.dailynews.co.th/foreign/779941
    https://time.com/5853499/emmanuel-macron-racism-colonial-statues/?utm_source=twitter&utm_medium=social&utm_campaign=editorial&utm_term=world_&linkId=90841655
     
  11. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ข่าวที่ทำให้รัฐบาลจีนหวาดผวาที่สุดในขณะนี้ คงหนีไม่พ้นการพบแหล่งระบาดใหม่ที่ตลาดซินฟาตี้ในกรุงปักกิ่ง โดยยืนยัยผู้ติดเชื้อแล้วไม่น้อยกว่า 78 คน ล่าสุด สำนักข่าวไชน่า โกลเบิล เทเลวิชชั่น เน็ตเวิร์ก รายงานจากกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. โดยอ้างจากรายงานของ "ปักกิ่ง เดลี" หนึ่งในหนังสือพิมพ์กระบอกเสียงของพรรคคอมมิวนิสต์จีนสาขากรุงปักกิ่ง เกี่ยวกับการให้บุคคลที่มีรายชื่อต่อไปนี้ พ้นจากตำแหน่ง "ทันที" ซึ่งรวมถึงนายโจว ยู่ชิง รองผู้อำนวยการเขตเฟิงไท่ นายหวัง หัว เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ประจำเมืองหัวเซียงในเขตเฟิงไท่ และนายจาง เยว่หลิน ผู้จัดการทั่วไปของตลาดสดซินฟาตี้ "โทษฐานล้มเหลว" ในการป้องกันและควบคุมสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19

    ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นในวันเดียวกับที่คณะกรรมาธิการสาธารณสุขแห่งชาติของจีนรายงานการพบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในกรุงปักกิ่ง 36 คน จากทั้งหมด 39 คนที่เป็นการติดเชื้อภายในประเทศ และผลการสอบสวนพบว่าทุกคนมีประวัติเดินทางไปยังตลาดซินฟาตี้ ซึ่งเป็นตลาดค้าส่งสินค้าเกษตรและอาหารทะเลขนาดใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง เพิ่มจำนวนผู้ติดเชื้อสะสมเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับตลาดแห่งนี้ นับตั้งแต่มีการยืนยันผู้ป่วยคนแรกเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา เป็นอย่างน้อย 78 คน

    ขณะเดียวกัน การพบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่อย่างต่อเนื่องที่ตลาดซินฟาตี้ เพิ่มจำนวนผู้ป่วยสะสมเฉพาะในกรุงปักกิ่งเป็นอย่างน้อย 499 คน รักษาหายแล้ว 411 คน และเสียชีวิตอย่างน้อย 9 คน นอกจากนี้ มีรายงานการกักบริเวณชุมชนอย่างน้อย 10 แห่ง ใกล้กับตลาดยู่กวนตง ในเขตไห่เตียนของกรุงปักกิ่ง หลังมีการตรวจพบคนงานในตลาด "จำนวนหนึ่ง" ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ และทุกคนมีประวัติเดินทางไปที่ตลาดซินฟาตี้ ซึ่งมีการกักบริเวณชุมชนใกล้เคียงแล้ว 11 แห่ง

    ด้าน สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า นางซุน ซุนหลาน รองนายกรัฐมนตรีจีนได้มีถ้อยแถลงในที่ประชุมว่าด้วยกลไกการป้องกันและควบคุมโรคโควิด-19 ของคณะรัฐมนตรีจีน โดยเตือนว่า กลุ่มผู้ติดเชื้อรายใหม่ในกรุงปักกิ่งล้วนมีความเชื่อมโยงกับตลาดซินฟาตี้ ซึ่งเป็นตลาดค้าส่งที่มีผู้คนมาเยือนเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ความเสี่ยงที่ไวรัสโควิด-19 จะแพร่ระบาดสูงขึ้นด้วย พร้อมขอให้รัฐบาลใช้มาตรการอย่างเข้มงวด

    ขณะเดียวกันรองนายกฯจีนได้เน้นย้ำให้มีการยกระดับการทดสอบกรดนิวคลีอิกในกรุงปักกิ่งเพื่อให้ครอบคลุมทุกพื้นที่และกลุ่มประชากร พร้อมขยายขอบข่ายการทดสอบเพื่อให้พบการติดเชื้อและการติดเชื้อที่ไม่แสดงอาการได้อย่างรวดเร็ว ทั้งยังได้เรียกร้องให้ชุมชนต่างๆ ดำเนินมาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดอย่างเข้มงวด ดำเนินการคัดกรองหาผู้ติดเชื้อ ผู้ที่สงสัยว่าติดเชื้อ ผู้ป่วยที่มีไข้และอาจเป็นคนแพร่เชื้อ รวมถึงผู้สัมผัสใกล้ชิด และกักกันบุคคลเหล่านี้ในสถานที่ที่จัดเตรียมไว้

    https://news.cgtn.com/news/2020-06-15/Officials-sacked-after-COVID-19-cases-reported-in-Fengtai-District-RkLn5dmobS/index.html
    http://www.xinhuanet.com/english/2020-06/15/c_139138635.htm

    #RoundtableThailand
    roundtablethailand.com
     
  12. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    FDA สั่งยุติการใช้ยา chloroquine-hydroxychloroquine รักษาผู้ป่วยโควิด



    สำนักงานอาหารและยาสหรัฐ (FDA) ออกแถลงการณ์ในวันนี้ ระบุว่า FDA ได้ยุติการอนุมัติให้มีการใช้ยา chloroquine และ hydroxychloroquine ในกรณีฉุกเฉินเพื่อรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19
    ทั้งนี้ FDA ระบุว่า ยาดังกล่าว ซึ่งเป็นยารักษาโรคมาลาเรีย ไม่มีประสิทธิภาพในการรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 ในกรณีฉุกเฉิน
    "เมื่อพิจารณาถึงผลกระทบจากการเต้นของหัวใจที่ผิดจังหวะ และผลข้างเคียงอื่นๆ ทำให้ประโยชน์จากการใช้ยา chloroquine และ hydroxychloroquine ไม่สามารถชดเชยความเสี่ยงหากมีการอนุญาตใช้ยาดังกล่าว" แถลงการณ์ระบุ
    ก่อนหน้านี้ FDA ได้ออกคำสั่งในเดือนมี.ค.อนุมัติให้มีการใช้ยา chloroquine และ hydroxychloroquine ในกรณีฉุกเฉินเพื่อรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 ซึ่งการออกคำสั่งดังกล่าวช่วยให้แพทย์สามารถสั่งจ่ายยาทั้งสองในการรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่กำลังรักษาตัวที่โรงพยาบาล แม้ว่ายาดังกล่าวยังไม่ได้รับการอนุมัติอย่างเป็นทางการจาก FDA
    อย่างไรก็ดี FDA ได้ออกแถลงการณ์เตือนในเดือนเม.ย. มิให้ผู้ป่วยโรคโควิด-19 ทานยา chloroquine และ hydroxychloroquine หากไม่ใช่เป็นการสั่งจ่ายของแพทย์ในการรักษาตัวที่โรงพยาบาล หรือเป็นการเข้าร่วมโครงการทดลองทางคลินิกอย่างเป็นทางการ หลังจากที่เกิดกรณีมีผู้เสียชีวิตจากการทานยาดังกล่าว
    FDA ระบุว่า มีรายงานว่า ผู้ป่วยโควิด-19 ที่กินยารักษามาลาเรียดังกล่าวจะมีปัญหาการเต้นของหัวใจผิดจังหวะ
    นอกจากนี้ การกินยา chloroquine และ hydroxychloroquine ยังมีผลข้างเคียงอีกหลายประการ ซึ่งรวมถึงการทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง
    ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่า chloroquine และ hydroxychloroquine จะเป็น"ตัวพลิกเกม" ในการต่อสู้กับไวรัสโควิด-19 และเขาได้กินยา hydroxychloroquine เป็นประจำทุกวัน เพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสโควิด-19
    Source: อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ก้องเกียรติ กอวีรกิติ
    https://www.ryt9.com/s/iq29/3133558
    - FDA warns hydroxychloroquine may weaken effectiveness of coronavirus drug remdesivir : https://www.cnbc.com/2020/06/15/fda-warns-hydroxychloroquine-may-weaken-effectiveness-of-coronavirus-drug-remdesivir.html
     
  13. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ผู้นำสหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักรเห็นชอบร่วมกันกันที่จะเร่งกระบวนการเจรจาข้อตกลงความสัมพันธ์ภายหลัง Brexit ให้เร็วขึ้นในเดือน ก.ค. ขณะที่หลายฝ่ายยังกังวลว่า ทั้งสองฝ่ายจะไม่สามารถบรรลุข้อตกลงร่วมกันได้

    การหารือผ่าน video conference ระหว่างสหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักรในวันนี้ (15 มิ.ย.) ผู้นำทั้งสองฝ่ายต่างเห็นตรงกันว่า จะเร่งกระบวนการเจรจาข้อตกลงความสัมพันธ์ระหว่างกันภายหลัง Brexit ให้เร็วขึ้นในเดือน ก.ค. และจะพยายามหาหลักการที่ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องร่วมกันให้ได้โดยเร็ว หลังจากการหารือทั้ง 4 ครั้งที่ผ่านมา ไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควร ซึ่ง นาย Michel Barnier ผู้แทนการเจรจาจากสหภาพยุโรป ระบุว่า สาเหตุที่ทำให้การเจรจาดังกล่าวมีความล่าช้า ส่วนหนึ่งเกิดจากการที่รัฐบาลสหราชอาณาจักร “backtrack on previous commitments” โดยสิ่งที่ยังคงมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน ได้แก่ประเด็นด้าน อุตสาหกรรมการประมง การช่วยเหลือของภาครัฐ และ การควบคุมสินค้านำเข้าและส่งออก ในขณะที่นาง Ursula von der Leyen ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป หรือ European Commission กล่าวว่า ทางสหภาพยุโรปพร้อมที่จะเร่งกระบวนการเจรจาข้อตกลง Brexit อยู่ตลอดเวลา โดยในเบื้องต้นสหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักร วางแผนที่จะจัดการประชุม เพื่อเจรจาหารือเกี่ยวกับข้อตกลง Brexit ร่วมกันทุกสัปดาห์ แทนที่จะทำการหารือกันเป็นรายเดือนดังเช่นที่ผ่านมา และอาจมีการพบปะเพื่อหารือเป็นกลุ่มย่อย หากสามารถทำได้ภายใต้ข้อกำหนดการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อ Covid-19
    อย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายกังวลว่า ทั้งสองฝ่ายจะไม่สามารถบรรลุข้อตกลงร่วมกันได้ภายในระยะเวลาช่วงเปลี่ยนผ่าน (Transition Period) ที่มีกำหนดจะสิ้นสุดในวันที่ 31 ธ.ค. 2020 เนื่องจาก ทั้งสองฝ่ายต้องหาข้อตกลงร่วมกันให้ได้ภายในเดือน ต.ค. นี้ หากต้องการให้ข้อตกลง Brexit ได้รับการอนุมัติอย่างเป็นทางการภายในกำหนดเส้นตายของช่วง Transition Period ขณะที่สมาคมอุตสาหกรรมสหราชอาณาจักร เตือนว่า หากสหราชอาณาจักรและสหภาพยุโรปไม่สามารถบรรลุข้อตกลง Brexit ได้ทันภายในสิ้นปีนี้ จะเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหราชอาณาจักรในระยะถัดไป
    Source: BoTSS
    - EU and UK agree to speed up Brexit trade talks with the transition period expiring in six months: https://www.cnbc.com/2020/06/15/eu-and-uk-speed-up-brexit-trade-talks-after-no-extension-to-transition.html
     
  14. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ผลสำรวจชัด 'อิทธิพลจีนเหนือสหรัฐ' : สหรัฐกับจีนแข่งอิทธิพลกันอย่างหนักหน่วงช่วงหลาย ปีหลัง รายงานจากศูนย์ยุทธศาสตร์และการระหว่างประเทศศึกษาพบว่าสหรัฐกำลังไล่หลังอิทธิพลจีนที่มีต่อเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ทั้งด้านการเมืองและเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นทุกขณะ
    เว็บไซต์ซีเอ็นบีซีรายงาน ศูนย์ยุทธศาสตร์และการระหว่างประเทศศึกษา (ซีเอสไอเอส) กลุ่มคลังสมองในกรุงวอชิงตัน สำรวจเมื่อเดือน พ.ย. และธ.ค. 2562 ก่อนที่ไวรัสโคโรนา ปรากฏขึ้นครั้งแรกในจีนแล้วกระจายไปทั่วโลก



    การสำรวจสอบถามกับผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่ไม่ใช่คนของรัฐบาลทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีผู้ให้ข้อมูลรวม 188 คนจากเวียดนาม ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์
    "ผลการสำรวจให้ภาพชัดเจนถึงอิทธิพลจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพิ่มขึ้นทุกขณะ มุมมองต่อจีนซับซ้อนและแตกต่าง เกิดความกังวลอย่างมากเรื่องการแข่งขันเชิงยุทธ์ศาสตร์ระหว่างจีนกับสหรัฐ และผลกระทบที่มีต่อ สมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน)" รายงานจากซีเอสไอเอสสรุป
    รายงานเผยแพร่ในช่วงที่ความตึงเครียดระหว่างวอชิงตันกับปักกิ่งบานปลายไปมาก สองมหาอำนาจเศรษฐกิจขัดแย้งกันใน หลายเรื่อง รวมถึงการจัดการการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาของจีน การรวบอำนาจเหนือ ฮ่องกง ดินแดนกึ่งปกครองตนเองที่มี สายสัมพันธ์ทางการค้าเป็นพิเศษกับสหรัฐ
    ผู้เขียนรายงานกล่าวว่า การระบาดของไวรัสโคโรนาอาจเปลี่ยนพลวัตในเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ และวิธีคิดต่อประเด็นปัญหาของการสำรวจ กระนั้นรายงานก็ยังให้ฐานการเปรียบเทียบเพื่อประเมินแนวโน้ม ในภูมิภาคหลังการแพร่ระบาด รายงานได้ข้อค้นพบมากมาย ดังนี้
    มหาอำนาจทางการเมืองในปัจจุบัน ผู้ให้ข้อมูล 94.5% รวมจีนเป็น 1 ใน 3 ประเทศที่มีอำนาจและอิทธิพลทางการเมืองสูงสุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในทุกวันนี้ 92% เลือกสหรัฐเป็น 1 ใน 3
    มหาอำนาจทางการเมืองใน 10 ปี คำตอบเป็นแบบเดียวกับข้อแรก ผู้ให้ข้อมูล 94.5% ตอบว่า จีนเป็น 1 ใน ประเทศที่มีอำนาจและอิทธิพลทางการเมืองสูงสุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 10 ปีนับจากนี้ 77% เลือกสหรัฐ
    มหาอำนาจทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน98% เลือกจีนเป็น 1 ใน 3 ประเทศที่ทรงอำนาจและอิทธิพลทางเศรษฐกิจสูงสุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในขณะนี้ 70.6% เลือกสหรัฐ เป็น 1 ใน 3 ประเทศทรงอำนาจ
    มหาอำนาจทางเศรษฐกิจใน 10 ปี ราว 96.5% จัดให้จีนเป็น 1 ใน 3 ประเทศที่ทรงอำนาจและอิทธิพลทางเศรษฐกิจสูงสุดในภูมิภาค 10 ปีนับจากนี้ 56.7% เลือกสหรัฐ
    อนาคตการเมืองจีน ผู้ให้ข้อมูลจากไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซียมั่นใจและมีความหวังกับอนาคตอำนาจและอิทธิพลทางการเมืองของจีนมากที่สุด
    แม้ว่าจีนมีอิทธิพลทางการเมืองและเศรษฐกิจเหนือกว่าสหรัฐในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผู้ให้ข้อมูลยังมีการรับรู้ต่อปักกิ่งแตกต่างกัน 53% มองบทบาทจีนในภูมิภาคว่า มีประโยชน์มากหรือ ค่อนข้างมีประโยชน์ 46% มองว่าอันตรายมากหรือค่อนข้างอันตราย
    สิงคโปร์เป็นผู้นำในแง่ที่มีผู้ให้ข้อมูลมองจีนในแง่ดีมากที่สุด รองลงมาคือมาเลเซีย ที่เห็นได้ชัดคือผู้ให้ข้อมูลจากเวียดนามและฟิลิปปินส์ 2 ประเทศที่มีข้อพิพาทดินแดนทางทะเลกับจีนมากที่สุด มองบทบาทปักกิ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นลบมากที่สุด
    ข้อค้นพบ ของซีเอสไอเอส สะท้อนถึงงานวิจัยอื่นๆ เมื่อเร็วๆ นี้ งานชิ้นหนึ่งของ สถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา ยูโซฟ อิสฮัค ในสิงคโปร์ที่เผยแพร่ไปก่อนหน้านี้ สำรวจจากทั้งภาครัฐและเอกชน พบเช่นเดียวกันว่า จีนจะเป็นมหาอำนาจด้านเศรษฐกิจและการเมือง ทรงอิทธิพลที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
    แต่ผู้ให้ข้อมูลส่วนใหญ่กังวลที่จีนกำลัง ขยายอิทธิพลในภูมิภาค ในเวลาเดียวกันพวกเขายังสังเกตเห็นว่า สหรัฐภายใต้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ามาข้องเกี่ยว กับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้น้อยลง
    ภูมิภาคนี้มีประชากรกว่า 650 ล้านคน และเป็นที่ตั้งของเขตเศรษฐกิจโตเร็วที่สุดของโลกหลายแห่ง เป็นพื้นที่ของทะเลจีนใต้ เส้นทางเดินเรือเชิงพาณิชย์ที่สำคัญ มูลค่าการค้าผ่านเส้นทางนี้นับหลายล้านล้านดอลลาร์ จึงยิ่งทวีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ให้กับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
    สหรัฐเข้ามามีบทบาทสำคัญในภูมิภาคนี้ มานานหลายปีแล้วทั้งในแง่ความมั่นคงและเศรษฐกิจ แต่เมื่อทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 2560 สหรัฐก็ถอนตัวจากข้อตกลงความเป็นหุ้นส่วนข้ามแปซิฟิก (ทีพีพี) ข้อตกลงการค้าขนาดมหึมาที่บางประเทศอาเซียนเข้าร่วมเป็นสมาชิกด้วย นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลสหรัฐหลายคนก็ไม่มาประชุมผู้นำเวทีสำคัญในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หลายครั้ง
    การที่สหรัฐไม่ค่อยสนใจสอดรับกันพอดี กับการที่จีนรุกเข้ามาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้น ผ่านโครงการต่างๆ เช่น การลงทุนสร้างโครงสร้างพื้นฐานตามโครงการริเริ่มสายแถบและเส้นทาง (บีอาร์ไอ)
    งานสำรวจของซีเอสไอเอสยังพบด้วยว่า นอกจากจีนแล้วประเทศอื่นๆ อย่างญี่ปุ่น อินโดนีเซีย และอินเดียถูกมองว่า เป็นมหาอำนาจเกิดใหม่ที่กำลังแข่งกันมีอิทธิพลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย
    Source: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
    https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/884973
    เพิ่มเติม
    - China’s influence in Southeast Asia is growing — and the U.S. has some catching up to do : https://www.cnbc.com/2020/06/12/china-is-more-powerful-than-the-us-in-southeast-asia-csis-survey-shows.html
    - China Warms to Idea of Four More Years of Trump Presidency : https://www.bloomberg.com/asia
     
  15. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ประวัติศาสตร์อาณานิคม 'หลอกหลอนอังกฤษ'



    หลังการประท้วงต่อต้านเหยียดผิวในสหรัฐและอังกฤษ กลายเป็นการทำลายอนุสาวรีย์บุคคลในประวัติศาสตร์ที่มีบทบาทในการล่า อาณานิคม ทางการอังกฤษจึงเริ่มป้องกันอนุสาวรีย์หลายแห่ง รวมถึง วินส์ตัน เชอร์ชิล หนึ่งในผู้นำสงครามโลกครั้งที่ 2 และอนุสาวรีย์วีรชนกลาง กรุงลอนดอน หลังจากสัญลักษณ์ ความทรงจำในที่อื่นๆ ถูกทำลายลงแล้ว
    ในเมืองลิเวอร์พูล ป้ายถนนเพนนีเลน ที่กลายเป็นเพลงดังอมตะนิรันดร์กาลของเดอะบีเทิลส์ ในปี 2510 ถูกพ่นสี เพราะตั้งชื่อตามพ่อค้าทาส
    ในเมืองแบนนอคเบิร์น ทางภาคกลาง ของสกอตแลนด์ อนุสาวรีย์กษัตริย์ โรเบิร์ต เดอะบรูซ ผู้นำชาวสกอตต่อสู้ มีชัยเหนืออังกฤษเมื่อ พ.ศ.1857 ใบหน้าถูกทำลาย ด้วยข้อกล่าวหาว่าพระองค์เป็นพวกเหยียดผิว
    กลายเป็นว่าขณะนี้อนุสาวรีย์ รูปปั้น ถนน อาคาร ที่ตั้งชื่อตามบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ยุคอาณานิคมของอังกฤษ กำลังตกเป็นเป้าทำลายของนักเคลื่อนไหวมากขึ้นทุกที ท่ามกลางเสียงเรียกร้องให้ทบทวนการยกย่องบุคคลในประวัติศาสตร์ตามที่สาธารณะ ส่งผลให้อนุสาวรีย์หลายที่ถูกผู้ประท้วงโค่นลงมา หรือย้ายไปเก็บในพิพิธภัณฑ์
    เริ่มต้นจากเมื่อวันที่ 7 มิ.ย. ฝูงชนในเมืองบริสตอล ทางตะวันตกเฉียงใต้ของอังกฤษ โค่นอนุสาวรีย์ "เอ็ดเวิร์ด โคลส์ตัน" พ่อค้าทาสและเศรษฐีใจบุญยุคศตวรรษที่ 17 ไปทิ้งลงน้ำ
    ความเคียดแค้นส่งผลไปถึง ความบันเทิง รายการโทรทัศน์หลายรายการ รวมทั้งละครซิทคอมยุค 70 "Fawlty Towers" ถูกระงับการเผยแพร่ แบบสตรีมมิง เพราะภาษาที่ใช้ถูกมองว่าน่ารังเกียจในปัจจุบัน
    จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น นายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน ของอังกฤษ กล่าวเมื่อวันศุกร์ (12 มิ.ย.) คลื่นประท้วงต่อต้านการเหยียดผิวทั่วประเทศ "ถูกกลุ่มสุดโต่งปล้น" ขณะที่สังคมหวาดหวั่นว่ากลุ่มนักเคลื่อนไหว จะปะทะกับกลุ่มขวาจัด ท่ามกลาง การทำลายล้างกระจายไปทั่ว
    จอห์นสันยอมรับว่า ความต้องการประท้วงการเลือกปฏิบัติเป็นเรื่อง ชอบธรรม "แต่เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือห้ามอดีตได้ คนรุ่นก่อนมีมุมมองแตกต่าง เข้าใจความถูกผิดแตกต่าง แต่อนุสาวรีย์เหล่านั้นก็สอนเราให้รู้อดีต และความผิดพลาดทั้งหมด การทำลายพวกเขาจึงเป็นการโกหกเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของเรา และทำลายการศึกษาของคนรุ่นต่อไป"
    สุดสัปดาห์ก่อนรูปปั้นเชอร์ชิลล์ถูกทำลายโดยนักรณรงค์ที่บอกว่า นโยบายเหยียดผิวของเขาทำให้ประชาชนหลายล้านคนต้องล้มตาย ในช่วงที่รัฐเบงกอลของอินเดียเกิดภาวะอดอยากเมื่อปี 2486
    จอห์นสัน ผู้เขียนประวัติอดีต นายกฯ เชอร์ชิลล์ ระบุว่า เป็นเรื่อง "ไร้สาระและน่าอับอาย" ที่อนุสาวรีย์เชอร์ชิลล์ตกเป็นเป้าถูกทำลาย เพราะเขาต่อสู้ต้านลัทธิฟาสซิสม์และทรราชย์
    "ใช่ บางครั้งเขาแสดงความเห็นที่รับไม่ได้ในวันนี้ แต่เขาก็เป็นวีรบุรุษ ผู้สมควรได้รับการระลึกถึงอย่าง เต็มเปี่ยม"
    นักกิจกรรมที่เชื่อมโยงกับแนวร่วมหยุดทรัมป์ สะสมบัญชีรายชื่อรูปปั้นและอนุสาวรีย์กว่า 60 แห่งทั่วอังกฤษ ที่พวกเขาบอกว่า เป็นพวกยกย่องการมี ทาสและเหยียดผิว สมควรถูกยกออกไป
    โรงพยาบาลกายส์แอนด์เซนต์โทมัส ในกรุงลอนดอนประกาศว่า พวกเขาจะ ย้ายรูปปั้น 2 รูป รวมทั้งโทมัส กาย ผู้บริจาคเงินออกไป เพราะพวกเขาเกี่ยวข้องกับระบบทาส
    ทั้งนี้ การที่จอร์จ ฟลอยด์ ชายอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันไร้อาวุธ เสียชีวิตระหว่างถูกตำรวจผิวขาวจับกุม จุดชนวนให้เกิดความไม่พอใจและประท้วงทั่วโลก จอห์นสันรับรู้ ถึงความโกรธของคนผิวดำ และ ชาติพันธุ์กลุ่มน้อยในอังกฤษ และว่ากระแสแก้ปัญหาการเลือกปฏิบัติ ในอังกฤษกำลังมาแรง แต่หลังจาก การประท้วงโดยสันติในกรุงลอนดอนถูกเบี่ยงเบนด้วยการปะทะกัน นายกฯ ระบุว่า การประท้วงกำลังถูกปล้น โดยพวกสุดโต่งที่ตั้งใจใช้ความรุนแรง การทำร้ายตำรวจและใช้ความรุนแรงไม่เลือกหน้านั้น "เหลืออดและ น่าขยะแขยง"
    จะว่าไปแล้วสังคมอังกฤษแตกแยกกันสูงมากตั้งแต่เรื่องเบร็กซิท ประกอบกับ ความเหลื่อมล้ำขยายวงหลังจากประเทศต้องเข้าสู่ภาวะรัดเข็มขัดหลายปี ยิ่งตอนนี้ ยิ่งกังวลกันมากว่าสังคมจะแตกแยกมากขึ้นไปอีก
    ตำรวจประกาศว่าจะ "เอาจริง" กับเหตุรุนแรงและทำลายสถานที่สาธารณะ โชคดีที่การประท้วงบางจุดถูกยกเลิกเพื่อไม่ต้องการปะทะกับกลุ่มขวาจัด และกลุ่มที่ประกาศตัวว่าเป็น "ผู้รักชาติ" ปกป้องอนุสาวรีย์
    การประท้วง "ชีวิตคนดำสำคัญ" (บีแอลเอ็ม) ที่ไฮด์ปาร์กลอนดอน เดิมทีวางแผนจัดในวันเสาร์ (13 มิ.ย.) ต้องเลื่อน ไปจัดวันศุกร์ (12 มิ.ย.) เพราะกลัวเหตุปะทะ
    ความขัดแย้งของคนสองกลุ่ม เห็นได้จาก สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า รูปปั้นอัลเฟรด เฟกอน กวี นักแสดง และนักเขียนบทละครชาวจาไมกา ในเมืองบริสตอล ถูกสาดด้วยสาร มีฤทธิ์กัดกร่อน
    ขณะที่กลุ่มบีแอลเอ็มลอนดอน ขึ้นบิลบอร์ดที่ริมฝั่งแม่น้ำเทมส์ แสดงรายชื่อเหยื่อกว่า 3,000 ราย ที่ถูกกระทำรุนแรงโดยรัฐและพวกเหยียดผิว รวมทั้งข้อความ "ผมหายใจไม่ออก" คำพูดสุดท้ายของฟลอยด์ ขณะถูกตำรวจ ใช้เข่ากดคอจนสิ้นลม
    ด้วยเหตุนี้ทั้งซาดิก ข่านนายกเทศมนตรี ลอนดอน และจอห์นสัน จึงพากันเรียกร้อง ให้ประชาชนอยู่บ้านช่วงสุดสัปดาห์นี้
    "กลุ่มขวาสุดโต่งผู้ตั้งใจสร้างความเกลียดชังและแบ่งแยก กำลังวางแผนตอบโต้การประท้วง เท่ากับว่าเสี่ยง เกิดความวุ่นวายสูงมาก" นายกเทศมนตรี ลอนดอนกล่าวเตือน
    Source: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
    เพิ่มเติม
    - IJohnson condemns 'thuggery' after far-right protests in London : https://www.reuters.com/article/us-minneapolis-police-protests-britain/johnson-condemns-thuggery-after-far-right-protests-in-london-idUSKBN23K0BT
     
  16. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Jun 16 , 2020 “อนุทิน ชาญวีรกูล”เผยยังไม่เสนอแผน Travel Bubble เข้าที่ประชุมครม.วันนี้ เพราะยังเตรียมข้อมูลได้ไม่มากพอ รวมถึงต้องเสนอให้นายกฯพิจารณาก่อน
    .
    นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงแนวทางการเปิดประเทศเพื่อการท่องเที่ยวอย่างจำกัด หรือ Travel Bubble
    ว่า ยังไม่มีการเสนอมา แต่กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้ทำการบ้านเรื่องข้อตกลงไว้ ตอนนี้มีสถานทูตต่างๆ ยื่นหนังสือเข้ามาว่าถ้าเป็นแบบ Fast Lane Green Lane ระหว่างสองประเทศจะมีขั้นตอนอย่างไร โดยอาจต้องกำหนดเป็นประเภท เช่น นักธุรกิจ ผู้เชี่ยวชาญดูแลเครื่องจักร ผู้ทรงคุณวุฒิ แต่ยังไม่รวมถึงนักท่องเที่ยวทั่วไป
    .
    โดยไทยจะไม่มองว่าไปประเทศไหน แต่จะดูว่าสถานการณ์ในประเทศเขาเป็นอย่างไร มีวิธีการป้องกันและตรวจสอบอย่างไร มีผู้ติดเชื้ออย่างไร สิ่งที่เราตรวจสอบป้องกันรักษาเขารับได้หรือไม่ การคัดกรองคนเป็นอย่างไร จะตรวจสอบประวัติคนนั้นได้อย่างไร จะต้องมีข้อมูลตกลงร่วมกันซึ่งเป็นขั้นตอนการเตรียมการ
    .
    ซึ่งเรื่องนี้ต้องเสนอ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการศบค.ซึ่งจะเตรียมข้อมูลให้ท่านมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และเตรียมการไปค่อนข้างมากแล้ว ต้องดูว่าทั้งสองฝ่ายรับกันได้หรือไม่ สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องดูความปลอดภัยของประชาชน หากเข้ามาแล้วเราจะหยุดปัญหาอย่างไร
    .
    #ไทย #TravelBubble #อนุทิน #ครม #Misterban
     
  17. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ช่วงนี้เชื้อโรคเยอะ แถมรองเท้าที่ใส่ก็อาจมีเชื้อติดอยู่ ดังนั้นเมื่อกลับถึงบ้านก็รีบล้างมือ พร้อมถอดรองเท้าวางแยกไว้จากส่วนอื่นนะคะ
    .
    #รองเท้า #ล้างมือ #โควิด19 #Covid19 #Miste

     
  18. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    MisterBan

    June 15, 2020 ฟิตเนสล้มละลายพุ่ง สั่งปิดกว่า 100 สาขาในสหรัฐ ไปต่อไม่ไหวกับโรคโควิด-19
    ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือซีอีโอ นายโทนี อูเบอร์ แห่ง 24 อาวเวอร์ ฟิตเนส ซึ่งเป็นเครือข่ายธุรกิจฟิตเนสชื่อดังในสหรัฐ ประกาศล้มละลาย และขออำนาจศาลในสหรัฐสั่งคุ้มครองทรัพย์สินทั้งหมดตามกฎหมายมาตรา 11 หลังจากบริษัทไม่สามารถระดมเงินทุนมาเสริมสภาพคล่องมูลค่า 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 8,250 ล้านบาทได้ทันตามกำหนดเวลา นอกจากนี้ ต้องปิดสาขาจำนวน 130 แห่งอย่างถาวรที่กระจายใน 14 รัฐ
    สาเหตุการล้มละลายในครั้งนี้ ซีอีโอ 24 อาวเวอร์ ฟิตเนส กล่าวว่าเป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นจากภาวะโรคระบาดโควิด-19 ในสหรัฐ หากไม่เกิดโรคระบาดดังกล่าว รวมถึงผลกระทบที่รุนแรงของโรคโควิด-19 ธุรกิจ 24 อาวเวอร์ ฟิตเนส จะไม่เผชิญกับภาวะล้มละลาย
    ทั้งนี้ 24 อาวเวอร์ ฟิตเนส เป็นเครือข่ายธุรกิจยิมและฟิตเนสที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1985 หรือมีอายุมาถึง 35 ปี ในขณะที่เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โกลด์ยิม ซึ่งเป็นเครือข่ายฟิตเนสอีกยี่ห้อหนึ่ง โดยมีลักษณะธุรกิจเดียวกันกับ 24 อาวเวอร์ ฟิตเนส ประกาศล้มละลาย ส่งผลให้ต้องปิดสาขาจำนวนหนึ่งอย่างชั่วคราวจากทั้งหมด 700 แห่งทั่วโลก และมีการปิด 30 สาขาอย่างถาวรในสหรัฐเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาด้วย
    #ปิดสาขา #ล้มละลาย #ฟิตเนส #สหรัฐ #โควิด19 #misterban #covid19 #bankruptcy







     
  19. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150

    ไหวไหม สหรัฐถกงบเยียวยาศก.เฟส4 เล็งใช้อีก 62 ล้านล้าน
    16 Jun 2020 06:13 น.

    การแพร่ระบาดรอบสองของโควิด-19 กำลังเริ่มขึ้นในสหรัฐอเมริกา ที่ปรึกษาทำเนียบขาวยันรัฐบาลกำลังพิจารณากำหนดงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจเฟสที่ 4 ซึ่งจะเน้นที่การเยียวยาภาคการผลิตในประเทศ โดยอาจมีวงเงินสูงถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์ หรือกว่า 62.3 ล้านล้านบาท



    ปีเตอร์ นาวาร์โร ที่ปรึกษาทำเนียบขาว

    นายปีเตอร์ นาวาร์โร ที่ปรึกษาทำเนียบขาวให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นว่า หนทางเดียวที่จะฟื้นเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงโควิด-19นั้น คือต้องขยายและเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับภาคการผลิตอันเป็นรากฐานสำคัญ หลังจากที่ธุรกิจภาคบริการ อาทิ ธุรกิจบันเทิง โรงแรม และการขนส่ง ได้รับผลกระทบบอบช้ำอย่างหนัก

    ทั้งนี้ นายนาวาร์โรกล่าวว่า นางแนนซี เปโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคเดโมแครต ต้องการงบประมาณ 3 ล้านล้านดอลลาร์ ส่วนนายมิทช์ แมคคอนเนลล์ ผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภาสหรัฐจากพรรครีพับลิกัน ต้องการงบประมาณราว 1 ล้านล้านดอลลาร์ ขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ต้องการงบประมาณอย่างน้อย 2 ล้านล้านดอลลาร์ ภายใต้แคมเปญ "Buy American, Hire American" (ซื้อสินค้าอเมริกัน จ้างคนอเมริกัน)


    อัตราการว่างงานในสหรัฐ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 9.3% ในปีนี้

    ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ออกมาแถลงคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะหดตัวลง 6.5% ในปีนี้ ก่อนที่จะมีการขยายตัว 5% ในปี 2564 และ 3.5% ในปี 2565 ขณะที่อัตราการว่างงาน คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 9.3% ในปีนี้ จากนั้นจึงจะลดลงแตะระดับ 6.5% และ 5.5% ในปี 2564 และ 2565 ตามลำดับ ด้วยเหตุนี้ เฟดจึงส่งสัญญาณว่าจะตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 0.00-0.25% ไปจนถึงปี 2565 นอกจากนี้ จะยังคงเพิ่มการถือครองพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) โดยเฟดจะซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐวงเงิน 8 หมื่นล้านดอลลาร์/เดือน และซื้อตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกันการจำนอง (MBS) ในวงเงิน 4 หมื่นล้านดอลลาร์

    "เส้นทางการฟื้นฟูเศรษฐกิจให้กลับสู่ภาวะปกตินั้นจำเป็นต้องใช้เวลา เราจะใช้เครื่องมือทั้งหมดที่มีอยู่เพื่อกระตุ้นตลาดแรงงานและเศรษฐกิจ และเราจะใช้เครื่องมือเหล่านี้ในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจให้กลับคืนสู่สภาพดี" ประธานเฟดกล่าวหลังการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC)เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา

    https://www.thansettakij.com/conten...MlMdV4u5N0kJiBB-whT8Q32ulzKE0SXCbW9EVUu5YNOYE
     
  20. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    นักโทษคดีฆาตกรรมเรียนไม่จบมัธยมปลาย แก้ปัญหาคณิตศาสตร์ขั้นสูงได้ในเรือนจำ 14 มิถุนายน 2020

    ในช่วงเวลาที่ชีวิตตกต่ำประสบเคราะห์กรรมและความยากลำบาก มีผู้คนจำนวนไม่มากนักที่สามารถค้นพบสิ่งดีงามซึ่งยังหลงเหลืออยู่ในตนเอง และนำมาใช้พลิกฟื้นแก้ไขอดีตที่ผ่านมาได้

    ตัวอย่างเช่นนายคริสโตเฟอร์ เฮเวนส์ ชาวอเมริกัน ซึ่งปัจจุบันต้องโทษจำคุก 25 ปีที่เรือนจำรัฐวอชิงตันในคดีฆาตกรรม แต่เขาได้ใช้ช่วงเวลาที่หมดอิสรภาพนี้ สร้างเส้นทางอาชีพนักคณิตศาสตร์ระดับโลกขึ้นมาได้สำเร็จ

    เรื่องราวที่เหลือเชื่อนี้ได้รับการเปิดเผยทางเว็บไซต์ The Conversation หลังจากที่เฮเวนส์ตีพิมพ์ผลงานการค้นพบใหม่ว่าด้วยทฤษฎีจำนวน ลงในวารสารวิชาการด้านคณิตศาสตร์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก Research in Number Theory ไปเมื่อช่วงปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา

    เฮเวนส์บอกว่าศาลพิพากษาให้เขามีความผิดฐานก่อเหตุฆาตกรรมเมื่อปี 2011 และปัจจุบันเขาได้รับโทษจำคุกมาเกือบสิบปีแล้ว แต่เมื่อย้อนไปในช่วงที่เพิ่งเข้าเรือนจำมาได้ไม่กี่เดือน เขาเคยถูกนำตัวไปขังเดี่ยวหลายครั้งเพราะพฤติกรรมก้าวร้าว ซึ่งการขังเดี่ยวนี้เองทำให้เขาหันมาทบทวนวิชาคณิตศาสตร์และศึกษาเพิ่มเติมด้วยตนเอง จนค้นพบว่าเขามีใจรักในการคำนวณอย่างแท้จริง

    ในช่วงต้นปี 2013 เฮเวนส์ซึ่งเคยติดยาเสพติดและเรียนไม่จบชั้นมัธยมปลาย ได้เขียนจดหมายไปหาบรรณาธิการของวารสารวิชาการด้านคณิตศาสตร์ฉบับหนึ่ง เพื่อขอรายละเอียดการสมัครเป็นสมาชิก และขอความช่วยเหลือให้ได้ติดต่อพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญที่จะสอนคณิตศาสตร์ชั้นสูงให้เขาได้ เฮเวนส์เขียนในจดหมายฉบับนั้นว่า

    "ผมตัดสินใจจะใช้เวลาที่ต้องโทษจำคุกพัฒนาตนเอง และตอนนี้กำลังศึกษาเรื่องแคลคูลัสกับทฤษฎีจำนวนอยู่ การที่ผมเรียนด้วยตนเองทำให้ต้องติดขัดบ่อย ๆ แก้ปัญหาหลายข้อไม่ได้อยู่นาน มีใครที่พอจะเขียนจดหมายโต้ตอบกับผมในเรื่องพวกนี้ได้บ้างไหม ? ผมจะส่งซองจดหมายติดแสตมป์ไปให้ด้วยเลย ต่อไปผมจะได้ไม่ต้องเสียเงินหลายร้อยดอลลาร์ สุ่มซื้อหนังสือที่อาจช่วยหรือไม่ช่วยให้ผมเข้าใจมากขึ้นเลยก็ได้"

    บรรณาธิการผู้นั้นได้แนะนำให้เฮเวนส์รู้จักกับพ่อตาของเขาเอง ซึ่งก็คือศาสตราจารย์อุมแบร์โต แชร์รูติ นักทฤษฎีจำนวนจากมหาวิทยาลัยตูรินของอิตาลี ซึ่งยินดีจะติดต่อกับเฮเวนส์ด้วยการเขียนจดหมายที่ส่งทางไปรษณีย์เท่านั้น เพราะในเรือนจำของเขาไม่มีอินเทอร์เน็ตให้ใช้

    ในตอนแรก ศ. แชร์รูติคิดว่าเฮเวนส์อาจเป็นเพียงพวกสติเฟื่องร้อนวิชา ที่ชอบเสนอทฤษฎีหรือวิธีแก้ปัญหาขั้นสูงแบบผิด ๆ แต่เมื่อเขาลองทดสอบให้เฮเวนส์แก้ปัญหาคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อนอย่างมาก เขาต้องตกตะลึงเมื่อพบว่าเฮเวนส์ทำได้ถูกต้อง

    หลังจากนั้นศ. แชร์รูติจึงแนะนำให้เฮเวนส์รู้จักกับงานวิจัยเรื่องปัญหาเศษส่วนต่อเนื่อง (continued fraction) ที่เขากำลังทำอยู่ ซึ่งในที่สุดเฮเวนส์ได้ช่วยให้ค้นพบแบบแผนบางอย่างในการประมาณค่าจำนวนซึ่งอยู่ในรูปเศษส่วนต่อเนื่องนี้ได้ โดยไม่ได้ใช้คอมพิวเตอร์เข้าช่วยในการคำนวณแก้ปัญหาดังกล่าวเลย

    เศษส่วนต่อเนื่องถูกค้นพบโดยยูคลิด (Euclid) นักคณิตศาสตร์ชาวกรีกที่มีชีวิตอยู่เมื่อ 300 ปีก่อนคริสตกาล เป็นวิธีเขียนแสดงจำนวนอีกรูปแบบหนึ่งโดยใช้ลำดับ (sequence) ของจำนวนเต็ม เช่นค่าพาย (π) ที่เขียนในรูปทศนิยม จะเท่ากับ 3.14159… แต่จำนวนที่เป็นทศนิยมไม่รู้จบนี้ สามารถเขียนให้อยู่ในรูปที่เรียบง่ายชัดเจนกว่าได้ด้วยเศษส่วนต่อเนื่อง


    Image copyrightWIKIMEDIA COMMONS
    คำบรรยายภาพค่าพาย (π) ที่เขียนในรูปของเศษส่วนต่อเนื่อง
    การค้นพบใหม่ว่าด้วยแบบแผนในเศษส่วนต่อเนื่องของเฮเวนส์และทีมวิจัยที่เกี่ยวข้อง จะทำให้ความรู้ด้านทฤษฎีจำนวนก้าวหน้าไปมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันทฤษฎีนี้ถูกนำไปใช้งานด้านวิทยาการเข้ารหัสลับ (cryptography) ในแวดวงการเงินการธนาคารและการทหารอย่างแพร่หลาย

    ปัจจุบันเฮเวนส์กำลังเรียนทางไปรษณีย์กับมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในสหรัฐฯ ในหลักสูตรขั้นประกาศนียบัตรทางวิทยาศาสตร์ (Associate of Science) และมีแผนจะเรียนต่อในระดับปริญญาตรีและบัณฑิตศึกษาหลังพ้นโทษ เขาหวังว่าจะเป็นนักคณิตศาสตร์อาชีพ และยกระดับโครงการสอนวิชาเลขในเรือนจำที่เขาทำอยู่ให้เป็นองค์กรไม่แสวงผลกำไร ซึ่งส่งเสริมนักโทษผู้มีความสามารถทางคณิตศาสตร์เป็นพิเศษในอนาคต

    https://www.bbc.com/thai/features-5...WkxwBEp4wmo-G23mBdo-PB8jhnc7g6wZ1Un4BNl6IR_B8
     

แชร์หน้านี้