ติดตามสถานะการณ์

"รู้จักกับหนึ่งในคนที่มี IQ สูงที่สุดในโลก"

เค้าผู้นี้พ่อบ้านเชื่อว่า เป็นไปไม่ได้เลยที่ ผู้ที่สนใจในภาษาในเยอรมันจะไม่รู้จัก

เพราะชื่อของเขาเป็นชื่อเดียวกับสถาบัน Goethe ที่ถือว่าเป็นสถาบันที่เผยแพร่วัฒนธรรมและภาษาเยอรมันไปทั่วโลก โดยชื่อเต็มก็คือ

"Johann Wolfgang von Goethe"
(โยฮันน์ วอล์ฟกัง ฟอน เกอเธ่)

และเชื่อมั้ยครับว่าเขาเป็นบุคคลที่สำคัญมากในประวัติศาสตร์ ของเยอรมัน และมีการคาดการณ์ว่า เขามี IQ สูงระหว่าง 210 - 225 เลยทีเดียว ซึ่งประวัติของเขานั้นได้รับการยอมรับในหลากหลายวงการ

ไม่ว่าจะเป็นด้านนักเขียน นักวิทยาศาสตร์ และนักปรัชญาชาวเยอรมัน ถึงขนาดว่า ไอนสไตน์ ที่เรารู้จักกันว่าฉลาดและเก่งแค่ไหนยังเคยเอ่ยถึงท่านว่า

“เกอเธ่คือมนุษย์คนสุดท้ายบนโลกที่รู้ทุกสิ่ง”

“The last man in the world to know everything.”

และนอกจากนี้เขายังมีความสามารถทางภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส ละติน และกรีก ซึ่งเป็นส่วนผลักดันให้งานเขียนของเขาได้ถูกเผยแพร่อย่างแพร่หลายจนทำให้ เกอเธ่เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของวรรณคดีเยอรมัน คลาสสิกใหม่ของยุโรปและโรมัน และโด่งดังมากในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 ถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19

***ซึ่งงานของเขาได้ส่งผลต่อแนวความคิดไปทั่วยุโรปและได้สร้างแรงบันดาลใจกับหลายๆ ท่านจนมาถึงปัจจุบัน***

*** เกร็ดความรู้เพิ่มเติม ***

ปัจจุบันบ้านของเกอเธ่ กลายเป็นอีกหนึ่งท่องเที่ยวที่สำคัญของคนที่มาเยือนเมือง Frankfurt

มี Quote คำคม ของเขามากมายแต่พ่อบ้านชอบประโยคที่ว่า

Without haste, but without rest. "ไม่รีบ, แต่ไม่หยุดพัก"

ในปีนี้สถาบันเกอเธ่ ก่อตั้งและดำเนินงานมาตั้งแต่ปีค.ศ. 1960 (พ.ศ. 2503) โดยองค์กรที่มีบทบาทสำคัญในการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมเยอรมัน - ไทย
โดยในปีค.ศ. 2020 (พ.ศ. 2563) นี้ เป็นวาระครบรอบ 60 ปีของการก่อตั้งสถาบันในประเทศไทย

#พ่อบ้านเยอรมัน #เยอรมัน #เยอรมนี #Germany #German #Goethe

ที่มาของข้อมูล: พ่อบ้านเยอรมัน, Business Insider, สถาบันเกอเธ่ และ Mthai

https://www.businessinsider.in/scie...-time/slidelist/46399922.cms#slideid=46399987

https://teen.mthai.com/variety/89222.html

https://phorbangerman.com/2017/05/27/รู้จักกับหนึ%E

 

เริ่มแล้ว “ทรัมป์” หัวเสียทวีตโจมตีเดโมแครตโกงเลือกตั้ง
หลัง “ไบเดน” คะแนนพลิกแซงหน้าในหลายรัฐ
.
ผลการนับคะแนนเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่กำลังขับเคี่ยวกันอย่างดุเดือดชนิดที่ว่าเฉือนเอาชนะกันในแต่ละรัฐแบบคะแนนสูสี และมีหลายรัฐที่คะแนนตอนแรกพรรคหนึ่งนำมา แต่พอใกล้จะนับคะแนนเสร็จกลับเป็นอีกพรรคที่แซงทางโค้งเข้าวินไปซะดื้อๆ
.
ซึ่งงานนี้ผู้ที่เคยออกมาประกาศว่าชนะการเลือกตั้งแน่ๆ เมื่อตอนบ่ายอย่าง โดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรคริพับลิกัน เริ่มเก้าอี้ร้อนนั่งไม่ติดที่แล้ว เพราะอุตส่าห์มั่นใจว่ายังไงก็ชนะ โจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครตแน่ๆ แต่ตอนนี้ดูเหมือนสถานการณ์เหมือนจะไม่เป็นใจ เพราะจู่ๆ รัฐที่เคยนับคะแนนนำมาก่อนอย่าง มิชิแกน วิสคอนซิน และมินิโซตา รวมทั้ง Swing States ที่สำคัญอย่าง เนวาดา กลับกลายเป็นไบเดนที่มาแซงในช่วงเวลาสุดท้ายก่อนนับคะแนนเสร็จ ทำให้ทรัมป์ถึงกับต้องลุกขึ้นมาทวีตอย่างเกรี้ยวกราดในเลยทีเดียว โดยมีข้อความระบุว่า
.
"เมื่อคืนที่ผ่านมาฉันกำลังเป็นผู้มีคะแนนนำในหลายรัฐที่สำคัญ ในเกือบทุกรัฐที่ทางพรรคเดโมแครตควบคุมอยู่ หลังจากนั้นคะแนนในรัฐต่างๆ ก็ของฉันก็เริ่มลดลงไปอย่างน่าอัศจรรย์ หลังจากที่พวกเขาได้เริ่มนำบัตรคะแนนกล่องใหม่ๆ ออกมา มันแปลกมาก และจากผลนับคะแนนทางไปรษณีย์ก่อนหน้านี้ มันผิดเพี้ยนไปจากการนับหน้าคูหาเลือกตั้งตลอด!"
.
อย่างที่รู้กันคือ คะแนนของไบเดนที่พุ่งขึ้นมานั้นเกิดจากผลการลงคะแนนเสียงทางไปรษณีย์ ซึ่งเป็นการเลือกตั้งล่วงหน้าท่ามกลางสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ระบาด และทรัมป์เองก็ไม่ยอมรับการลงคะแนนแบบนี้มาตั้งแต่แรก เพราะเกรงว่ามันคือช่องทางสำคัญในการโกงผลคะแนนเลือกตั้ง และรณรงค์ไม่ให้ประชาชนฐานเสียงของตัวเองไปเลือกตั้งทางไปรษณีย์อีกด้วย
.
ทั้งนี้หากว่าทรัมป์เกิดแพ้จริงๆ ก็คงจะไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง ซึ่งทรัมป์เคยพูดแต่แรกไว้แล้วว่าจะไม่ยอมรับผลแน่นอนหากว่าเขาต้องแพ้ และจะฟ้องร้องต่อศาลถึงความไม่โปร่งใสของการลงคะแนนทางไปรษณีย์แน่นอน
.
เรียกได้ว่าถึงเลือกตั้งจบแต่คนไม่จบ ถ้าทรัมป์ไม่ชนะนั่นเอง

 

ภัยพิบัติ และมหันตภัยต่อโลกต้องการไปต่อ “ภายหลังการสิ้นอำนาจของผู้ปกครอง ที่เป็นชนชั้นสูงที่มั่งคั่งและมีสีผมตามธรรมชาติออกเป็นสีแดงแล้วจะมีผู้ที่นำพาโลกก้าวเข้าสู่ยุคที่ปีศาจชั่วร้ายเรืองอำนาจ ซึ่งจะเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ความขัดแย้งที่มีต้นตอมาจากความโง่เขลาของมนุษย์”

ฮือฮา! ชาวนาเจ้าของฉายา “นอสตราดามุสแห่งเซอร์เบีย” ทำนายชัยชนะของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ไว้ล่วงหน้าตั้งแต่ศตวรรษที่ 19
เผยแพร่: 13 พ.ย. 2559 07:22 ปรับปรุง: 13 พ.ย. 2559 16:51 โดย: MGR Online


ภาพจากสำนักข่าวรอยเตอร์

เอเจนซีส์ / MGR online - สื่อดังแดนหมีขาว เสนอข่าวชาวนาผู้ไม่รู้หนังสือชาวเซิร์บ เจ้าของฉายา “นอสตราดามุสแห่งเซอร์เบีย” ที่เคยมีชีวิตอยู่เมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 19 เคยทำนายถึงชัยชนะของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เอาไว้ล่วงหน้าตั้งแต่เมื่อมากกว่า 117 ปีก่อน

สปุตนิกนิวส์ สื่อดังของรัสเซียออกรายงานในวันเสาร์ (12 พ.ย.) โดยระบุว่า ในความเป็นจริงแล้วชัยชนะของโดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนพรรครีพับลิกัน ในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2016 ต่อนางฮิลลารี คลินตัน ผู้สมัครเต็งจ๋าจากพรรคเดโมแครตนั้น มิใช่เรื่องที่อยู่นอกเหนือจากการคาดหมายแต่อย่างใด เพราะนักพยากรณ์เจ้าของฉายา “นอสตราดามุสแห่งเซอร์เบีย” ผู้มีนามว่า “มิตาร์ ตาราบิช” เคยทำนายเหตุการณ์นี้เอาไว้ล่วงหน้าแล้วตั้งแต่ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตลงเมื่อปี ค.ศ. 1899

รายงานข่าวระบุว่า ตาราบิชอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านเคร็มนาในเขตชนบทของเซอร์เบียตลอดช่วงชีวิตของเขาระหว่างปี ค.ศ.1822-1899 โดยเขามีอาชีพเป็นชาวนาและไม่รู้หนังสือ

ด้วยความที่ไม่สามารถอ่านออกเขียนได้ ตาราบิชซึ่งค้นพบว่าตนเองสามารถมองเห็นภาพเหตุการณ์ในอนาคตได้ จึงได้ขอให้บาทหลวงออร์โธดอกซ์ท้องถิ่นรายหนึ่งเป็นผู้บันทึกคำทำนายและรายละเอียดเกี่ยวกับภาพนิมิตที่เขาเห็นไว้เป็นลายลักษณ์อักษรลงในสมุดบันทึกเล่มหนึ่งซึ่งในเวลาต่อมาหลังจากที่ตาราบิชเสียชีวิตไปแล้วได้มีผู้ค้นพบว่า คำทำนายของตาราบิชถูกต้องเป็นจริงในหลายเหตุการณ์สำคัญ เช่น คำทำนายเกี่ยวกับการอุบัติขึ้นของมหาสงครามโลกครั้งที่ 1 ในคาบสมุทรบอลข่าน และการเรืองอำนาจของระบอบนาซีเยอรมัน ตลอดจนการก้าวขึ้นมีอำนาจของมหาบุรุษที่ชื่อโจเซฟ สตาลิน รวมถึงชัยชนะของกองทัพแดงโซเวียตเหนือทหารหาญของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์

สื่อดังของแดนหมีขาวรายงานว่า ในสมุดบันทึกคำทำนายของตาราบิชดังกล่าวที่เขียนขึ้นโดยบาทหลวงออร์โธดอกซ์ที่มีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาเดียวกับเขา ระบุว่า

“โลกจะมีผู้ปกครองที่เป็นชนชั้นสูงที่มั่งคั่งและมีสีของเส้นผมตามธรรมชาติออกเป็นสีแดง ที่จะได้ปกครองโลกอย่างผาสุกโดยปราศจากศึกสงครามตลอดช่วงที่เขาครองอำนาจ รวมถึงช่วงเวลาหลังจากนั้นอีกระยะหนึ่ง”

คำทำนายนี้ถูกสื่อท้องถิ่นในเซอร์เบียนำมาตีความว่า อาจหมายถึงการก้าวขึ้นมีอำนาจในฐานะประธานาธิบดีสหรัฐฯ ชาติมหาอำนาจหมายเลขหนึ่งของโลกของมหาเศรษฐีที่ชื่อว่า โดนัลด์ ทรัมป์

จนถึงขณะนี้คงไม่มีผู้ใดที่จะยืนยันได้ว่า “ผู้ปกครองที่เป็นชนชั้นสูงที่มั่งคั่งและมีสีของเส้นผมตามธรรมชาติออกเป็นสีแดง” ตามคำทำนายของตาราบิชนั้นจะหมายถึงโดนัลด์ ทรัมป์หรือไม่ แต่หากยึดตามคำทำนายของเขาก็จะเชื่อได้ว่าหลังจากที่ทรัมป์ก้าวขึ้นครองอำนาจแล้ว บรรดาความขัดแย้งและสงครามในสมรภูมิต่างๆ ก็อาจยุติลงได้ในเร็ววัน ทั้งสงครามในอิรักและซีเรีย ซึ่งจะส่งผลให้โลกก้าวเข้าสู่ยุคที่ไร้ซึ่งศึกสงคราม ตามคำทำนาย

อย่างไรก็ดี “คำทำนายในส่วนท้าย” ของตาราบิชที่ถูกบันทึกไว้ตั้งแต่ก่อนการเสียชีวิตของเขาในปี 1899 หรือเมื่อมากกว่า 117 ปีก่อน มีถ้อยคำอีกส่วนหนึ่งที่ระบุว่า

“ภายหลังการสิ้นอำนาจของผู้ปกครอง ที่เป็นชนชั้นสูงที่มั่งคั่งและมีสีผมตามธรรมชาติออกเป็นสีแดงแล้วจะมีผู้ที่นำพาโลกก้าวเข้าสู่ยุคที่ปีศาจชั่วร้ายเรืองอำนาจ ซึ่งจะเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ความขัดแย้งที่มีต้นตอมาจากความโง่เขลาของมนุษย์”



รูปถ่ายเก่าแก่ที่ยืนยันการมีตัวตนอยู่จริงของมิตาร์ ตาราบิช และบาทหลวงนิกายออร์โธดอกซ์ ผู้บันทึกคำทำนายของเขา



รูปสลักไม้ของตาราบิชและบาทหลวงถูกนำมาติดตั้งไว้ที่บ้านเก่าของชาวนาผู้นี้ในหมู่บ้านเคร็มนา ตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน โดยแรงสนับสนุนของเหล่าผู้ศรัทธาในคำทำนายของเขาที่เป็นความจริงในหลายเหตุการณ์

https://mgronline.com/around/detail/9590000113273

 

*** 4 ประเทศที่เจอ Covid19 น่าสนใจคนละแบบ แต่จะเก่งเล็ก หรือเก่งใหญ่แค่ไหน ก็ไม่มีทางรอด หรือกำจัด Covid19 ออกจากประเทศที่เคยระบาดพอควรได้แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

ไม่ว่าจะเป็นจีนที่เป็นมหาอำนาจ และผู้รู้ตัวจริงเสียงจริง หรือไต้หวันที่มีมาตรการครบ (จนจดหมายข่าวของ Johns Hopkins เอามาชื่นชม) และที่สำคัญทั้ง 2 ประเทศได้ทำแบบเอาจริงเอาจังทั้งคู่

แต่ก็ไม่สามารถกำจัดเชื้อออกได้หมด 100% หรือแม้แต่ไต้หวันที่ว่าตรวจไม่เจอผู้ติดเชื้อในประเทศถึง 200 วัน แต่ก็มีผู้แย้งว่า อาจตรวจไม่พบ หรือตรวจน้อย เลยไม่เจอก็ได้

พอตามไปดูในเวบ Worldometer พบว่าไต้หวันตรวจ PCR ไปค่อนข้างน้อย ประมาณ 1 แสนกว่าเทสต์ต่อประชากร 23 ล้านคนในช่วงตั้งแต่ต้นปี แสดงว่าช่วงหลังเมษายนมา ก็ไม่ค่อยได้ตรวจ PCR ในโรงพยาบาลเหมือนไทย จึงแทบไม่ได้มีโอกาสได้วินิจฉัย Covid19 ในประเทศเลย เห็นมีรายงานเรื่องไข้เลือดออก Dengue เรื่อยๆ ในรายงาน แต่ไม่พบผู้ติดเชื้อ Covid19 ในประเทศเลย 200 กว่าวัน แต่เจอ

- เคสที่บินเข้าประเทศไต้หวันที่ตรวจ PCR ที่สนามบิน หรือที่กักตัวแล้วเจอผลติดเชื้อ

- เคสที่บินออกจากไต้หวันไปหลายประเทศ ก็ตรวจที่สนามบิน หรือที่กักตัวของประเทศอื่น ก็ PCR พบเชื้อเรื่อยๆ

2 ข้อด้านบนนั้นคล้ายๆ ไทย สิ่งที่แตกต่างจากไทย คือ

1. ต่างกันที่เขารับรายงานจากต่างประเทศ แล้วก็ประกาศให้ประชาชนรู้แทบทันที่

2. รีบตรวจสอบผู้สัมผัสใกล้ชิดทุกเคส

3. เขาตามตรวจ Antibody ด้วย ของไทยไม่ตรวจ Antibody

4. พอไปค้นดูในรายงานของรัฐบาลไต้หวัน เขาไม่ปฏิเสธเคสที่บินออกไปแล้วติดเชื้อที่ต่างประเทศแบบโดยสิ้นเชิง แต่ปฏิเสธเคสที่มีหลักฐานชัดเจนว่าไม่ได้ติดเชื้อในไต้หวัน

แต่ของไทยปฎิเสธ 100 % เหมือนว่าตั้งธงมาแล้วว่าต้อง 0 ต่อเนื่องนานๆ

5. เคสของวันที่ 2 กย. 63 น่าสนใจตรงที่ เขาคิดว่าผู้หญิงเวียดนามที่บินออกจากไต้หวันกลับไปกักตัวที่เวีดนามแล้วพบติดเชื้อในการตรวจครั้งที่ 3 หลัง 19 วันหลังบินโดยตรวจ 2 ครั้งแรก PCR ไม่เจอเชื้อ ทำให้นับตั้งแต่บินออกไปจน PCR เจอผลบวกนั้นเป็นเวลา 19 วัน เคสนี้ไต้หวันออกหนังสือแบบทางการว่า โอกาสติดจากไต้หวันน้อย

พอเทียบกับเคสนักบอลต่างชาติในไทยที่บังเอิญเข้ามาในไทยประมาณเดือนกว่าถึง 2 เดือน แล้วตรวจพบติดเชื้อจากการตรวจสกรีนก่อนแข่ง ซึ่ง PCR ก่อนหน้านั้นเป็นผลลบทั้งหมด ซึ่งจริงๆ ก็ต้องติดเชื้อจากในไทยมากกว่าติดที่ืตปท แถมมีคนในทีมเดียวกันก็ติดเชื้อไปก่อนหน้านั้นไปแล้ว

แต่เคสนี้ทางกระทรวงสาธารณสุขให้เป็นว่าติดเชื้อจาก ตปท เลยแปลกๆ ว่า เอาการฟักตัวช้ามาเป็นข้ออ้างว่าติดจากต่างประเทศ แต่เชื้อแอบอยู่ได้ในร่างกายคนได้นานเดือนครึ่ง โดยไม่มีอาการ และตรวจไม่เจอเลยสักครั้ง โอกาสต่ำมากๆ

...........

*** จีนตรวจ PCR ไปจำนวนมหาศาล หลังๆ ยังเจอบ้างไม่เจอบ้างเลย แสดงว่า

ประเทศที่ติดเชื้อน้อยๆ นั้น และถ้าไม่ตรวจ PCR ให้มากเพียงพอ ก็แทบจะไม่มีเคสรายงานวินิจฉัย Covid19 ได้ เช่นแบบในไต้หวัน 200 กว่าวัน ในไทยก็เป็น 100 วันแบบกระท่อนกระแท่น เรียกว่าในหลายเคสเปิดข้อมูลมาไม่หมด เพราะจะให้เป็น 0 ต่อเนื่องแบบลวงๆ อยู่นานจนคนไทยการ์ดตกไปค่อนประเทศแล้ว

ในไทย ถ้าบังเอิญได้ตรวจสุ่มแบบวิจัยตรวจ Antibody ในเมืองใหญ่ที่เคยระบาด หรือเพิ่มอัตราการตรวจ PCR ใน รพ. นั้น น่าจะพบมีติดเชื้อกันบ้างแล้ว คือง่ายๆ ตรวจเยอะขึ้น

..........

3. เมลเบิร์นเป็นเมืองที่ล็อกดาวน์นานที่สุด คือ 111 วันต่อเนื่อง กว่าจะคุมการระบาดพอได้

อันนี้ตรงข้ามกับในไทยเลย ของเราล็อกดาวน์แล้วตรวจน้อย ก็ไม่เจอเคส

ของเขาแม้ล็อกดาวน์ แต่ตรวจเยอะ ก็เจอเคสเยอะได้

.........

4. หมู่เกาะ MARSHAL เพิ่งเจอติดเชื้อเคสที่ 1 และ 2 เอง โดยเป็นเคสที่บินมาลงสนามบินของทหาร และตรวจพบว่ามีติดเชื้อที่นี่ให้กักตัว 21 วัน

สรุปว่า ทหารสหรัฐที่บินไปประเทศต่างๆ ก็สามารถเป็นตัวแพร่เชื้อโดยไม่รู้ตัวได้ เพราะเป็น Asymptomaticต้องระ

...........

อ้างอิงจาก

1. Updates on the COVID-19 pandemic from the Johns Hopkins Center for Health Security.

https://myemail.constantcontact.com...-2020.html?soid=1107826135286&aid=iDlCky3AQMw

.

2. Japan notified the detection of 3 positive cases of COVID-19 antigen imported from Taiwan, and the command center launched the domestic epidemic investigation

https://www.cdc.gov.tw/Bulletin/Detail/eJ4gVWNrR5xwYMTfqzX1tQ?typeid=9

.

3. Japan detects asymptomatic COVID-19 positive cases imported from Taiwan, and my country continues to investigate the epidemic

Release Date: 2020-10-14

https://www.cdc.gov.tw/Bulletin/Detail/h--vtQcFUnv7T82y7DsGEg?typeid=9

.

4. In response to positive cases imported from Taiwan in other countries, the command center continues to contact relevant countries for tracking

Release Date: 2020-10-07

https://www.cdc.gov.tw/Bulletin/Detail/cqS4RWzSTq_ckfO3SmCiMw?typeid=9

.

5. A positive case of COVID-19 imported from Taiwan was detected in another country, and our country is under continuous investigation

Release Date: 2020-09-23

https://www.cdc.gov.tw/Bulletin/Detail/aCBMVqNdV5LZdSfczPuVtw?typeid=9

The Central Epidemic Command Center stated today (23) that it has recently received reports from the Philippines and Japan through the IHR National Focal Point and the public’s initiative. A total of 18 Filipinos and 1 Japanese have been notified. When returning from my country to his home country, he was tested positive for COVID-19 (Wuhan pneumonia

.

6. Vietnam and Japan have detected positive asymptomatic cases of COVID-19 imported from Taiwan, and the investigation of the epidemic situation in my country is ongoing

Release Date: 2020-09-02

https://www.cdc.gov.tw/Bulletin/Detail/jLLsiF0fKhx_PzfjV9P-dQ?typeid=9

The command center pointed out that the Vietnamese case was a Vietnamese female migrant worker in her 30s working in the northern region. She left Taiwan and returned to Vietnam on August 7, 2020, and entered Vietnam on August 7 and August 14 respectively. During the quarantine period, the samples were all negative, and the third test was carried out on August 26, and the results were positive; the cases have been asymptomatic so far. Since the time interval between the case’s departure from Taiwan and the third positive test was 19 days, and the first two tests were all negative, the chance of initial diagnosis of the case in Taiwan is low. The health unit has known a total of 4 contacts of the case while in Taiwan, and the nucleic acid tests and serum antibodies are all negative

.

.

 

#ในบ่อย่ำองุ่นก็ยังมีความรอด

เมื่อวันที่ 3 พ.ย.2563
เกิดแผ่นดินไหวระดับ 7
ใน #อิชเมียร์ ประเทศ...ตุรกี

เด็กหญิงตัวน้อยคนนี้
เธอชื่อ Ayda อายุ 3 ขวบ
ถูกฝังอยู่ในทรากปรักหักพัง
อันเกิดจากแผ่นดินไหวนานถึง 91 ชั่วโมง
แต่เธอรอดชีวิตมาได้อย่างน่าอัศจรรย์

อนึ่ง
แผ่นดินไหวในตุรกีครั้งนี้
มีผู้เสียชีวิต 102 คน บาดเจ็บนับพันคน

 

9 เดือนแรกของปี 2020 GDP ทิเบตเติบโต 6.3% ครองอันดับ 1 ของประเทศจีน
.
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ไช่ หมิน (Cai Min) รองผู้อำนวยการสำนักงานสถิติประจำเขตปกครองตนเองทิเบต เปิดเผยที่เมืองลาซ่าว่า ในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2020 เศรษฐกิจทิเบตฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัด บรรลุยอดผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) 130,832 ล้านหยวน (ราว 608,814 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 6.3% จากระยะเดียวกันของปีที่แล้ว สูงกว่าค่าเฉลี่ยของทั่วประเทศ 5.6% อัตราเติบโตยังคงครองอันดับ 1 ในประเทศจีนต่อไป
.
อนึ่ง ในช่วง 3 ไตรมาสแรก ชาวเมืองในทิเบตมีรายได้เฉลี่ยต่อหัวอยู่ที่ 31,100 หยวน (ราว 144,700 บาท) เพิ่มขึ้น 9.8% จากระยะเดียวกันของปีที่แล้ว สูงกว่าค่าเฉลี่ยของทั่วประเทศ 7% เกษตรกรมีรายได้เฉลี่ยต่อหัวอยู่ที่ 9,039 หยวน (ราว 42,100 บาท) เพิ่มขึ้น 12.2% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของทั่วประเทศ 6.4%
.
#GDP #ทิเบต #เศรษฐกิจจีน #ChinaStory #เรื่องจีนจีน

 

#ข่าวสั้น คาดว่าทั่วโลกตอนนี้นั่งมองเนวาด้า (6 เสียง) ถ้าได้คือไบเดนจะได้ 270 เสียงชนะไป

#กิ๊ฟจังนั่งเล่า #เลือกตั้งสหรัฐ2020

ภาพ: https://www.foxnews.com/elections/2020/general-results

 

แบ่งปันจาก นพดล มากทอง

#เตือนต่อ #ไม่รอแล้วนะ(5พย.63)
หากยังจำกันได้ เราท่านทั้งหลายได้ เคยทักท้วงไหว้วอนไปยังกระทรวงมหาดไทยให้ประสานกระทรวงการคลัง แก้ไขหลักเกณฑ์ว่าด้วยเงินทดรองจ่ายภัยหนาว ที่ระบุเอาไว้ว่า จะต้องมีอุณหภูมิต่ำกว่า 8 องศาฯ ต่อเนื่อง 3 วัน เพราะนั้นจะทำให้คนหนาวตายก่อนได้รับการช่วยเหลือ!!!
หนาวเมื่อปีกลาย 2562 หากจำกันได้เราเคยขอบคุณกระทรวงมหาดไทย ที่แก้ไขหลักเกณฑ์กระทรวงการคลัง จากอุณหภูมิ 8 องศา มาเป็น 15 องศา ต่อเนื่อง 3 วัน !!!
สิ่งอยากกระตุ้นเตือนในขณะนี้ กระทรวงมหาดไทยต้องแจ้งหน่วยงานในพื้นที่ ผู้ว่าฯ นายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ต้องมีข้อมูลกลุ่มเปราะบาง ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง !!!
ยังจำได้ไหม หนาวนี้เมื่อปีกลายมีคนหนาวตายมิใช่น้อย ที่บึงกาฬเศร้าใจที่สุด พ่อนอนหนาวตายเสียสละผ้าให้ลูกตนเอง หน่วยงานในพื้นที่ปล่อยให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ได้อย่างไร (ยังโกรธอยู่นะบอกให้รู้) !!!
8-10 พย. นี้หนาวค่อนข้างแรงลงมา อุณหภูมิลด 2-4 องศา!!!
พายุ"โคนี" 6-7 พย. ฝนเล็กน้อยถึงปานกลางบริเวณอีสานล่าง ภาคกลาง ภาคตะวันออก กทม.ปริมณฑล ภาคใต้เฝ้าระวังฝนหนัก!!!
อยู่ที่ไหน ฝนตกแดดออก บอกต่อข้อมูลกันได้นะครับ ขอบคุณที่ติดตาม...สวัสดี ขอรับ กระผ้ม!!!

 

รัฐบาลตุรกีสั่งปรับบริษัทโซเชียลมีเดียรายใหญ่ของโลก

หลายคนอาจจะงงกับพาดหัว แล้วคงอยากให้แอ๊ดลงไปเลยว่าบริษัทไหนคำตอบคือหลายบริษัทครับอาทิเช่น Facebook, Instagram, Twitter, Periscope, YouTube และ TikTok โดยได้ยื่นหนังสือเรียกร้องค่าปรับจำนวน10 ล้าน lira (40 ล้านบาท) เนื่องจากละเมิดกฎหมายใหม่ของตุรกี
ตรุกีได้ออกกฎหมายใหม่และบังคับใช้เมื่อ 1 ตุลาคมที่ผ่านมาโดยมีกฎหมายระบุว่า platform Social Media ใดก็ตามที่มีสมาชิกเกิน 1 ล้านคนจำเป็นจะต้องตั้งสำนักงานในตุรกี มิฉะนั้นจะถูกสั่งปรับหรือระงับการ เปิดรับโฆษณาในตุรกี
โดยปัจจุบันมีเพียง VK ของรัสเซียเท่านั้นที่ปฏิบัติตามคำสั่งนี้ หากิน 30 วันบริษัทเหล่านี้ยังไม่ปฏิบัติตามพวกเขาจะถูกปรับอีก 3.6ล้าน$(100 ล้านบาท)และเผยแพร่โฆษณาในตุรกี
หลายฝ่ายมองตรงกันว่ารัฐบาลอยู่ดีกำลังบีบโซเชียลมีเดียให้ตั้งสำนักงานในประเทศตัวเพื่อว่าหากมีการเผยแพร่ข้อมูลที่มีปัญหาสามารถเข้าถึงบริษัทได้โดยตรง

https://www.arabnews.com/node/17584...lhYGrmRHQrBJugyfqmdFSOyqtDF5-4FTr2U5oi5TphJy0

 

#มอร์มูฟเป็นข่าว ภัยแล้งกำลังจะกลืนโลก!!!! คณะนักวิทยาศาสตร์ของออสเตรเลีย กล่าวเตือนประชาคมโลก-เตรียมรับมือกับภัยแล้งครั้งใหญ่ยิ่งกว่าในอดีต ซึ่งอาจกินระยะเวลานานถึง 2 ทศวรรษหรือนานกว่านั้น หลังจากอุณหภูมิโลกเพิ่มสูงต่อเนื่องพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรง

มหาวิทยาลัยควีนส์แลนด์ (UQ) ของออสเตรเลียเผยแพร่รายงานฉบับใหม่ ซึ่งอ้างอิงบันทึกทางธรณีวิทยาจากยุคอีเมียน (Eemian Period) หรือราว 129,000-116,000 ปีก่อน เพื่อสร้างแบบจำลองสภาพแวดล้อมที่โลกอาจต้องเผชิญในช่วง 20-50 ปีข้างหน้านี้ โดยเมื่อพิจารณาสภาพภูมิอากาศในยุคดังกล่าวผ่านขั้นตอนทางภูมิอากาศบรรพกาลวิทยา (paleoclimatology) คณะนักวิทยาศาสตร์ลงความเห็นว่า โลกอาจจะเผชิญภาวะขาดน้ำรุนแรงยิ่งขึ้น มีหิมะปกคลุมช่วงฤดูหนาวน้อยลง รวมถึงเกิดไฟป่าและการกัดเซาะจากลมบ่อยครั้งขึ้นในช่วง 20-50 ปีข้างหน้า
--------------------------------------
อ่านต่อ : https://www.thaiquote.org/content/242037...

 

อัพเดทยอดผู้ติดเชื้อโควิด 5 พฤศจิกายน 2020 [เวลา 00:00 น.]

 

Update 07:30 น. ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2020
.
โจ ไบเดน : 264
โดนัลด์ ทรัมป์ : 214
.
ใกล้จะถึงเส้นชัยแล้วสำหรับโจ ไบเดน เพราะตำแหน่งผู้นำสหรัฐคนใหม่อยู่ใกล้แค่เอื้อมเท่านั้น ล่าสุดช่วงเช้าที่ผ่านมา ผลการนับคะแนนอย่างไม่เป็นทางการในรัฐมิชิแกน และวิสคอนซิน ไบเดนเป็นฝ่ายชนะทรัมป์ไปเรียบร้อย โดยเป็นผลมาจากการลงคะแนนเสียงทางไปรษณีย์ล่วงหน้าที่เริ่มนับคะแนนกันตั้งแต่ช่วงบ่ายๆ ของเมื่อวานนี้ตามเวลาในประเทศไทย ทำให้หลายรัฐโดยเฉพาะ Swing States คะแนนไบเดนพลิกกลับมานำทรัปม์ในช่วงสุดท้ายและเข้าวินไปในที่สุด
.
ตอนนี้ไบเดนเหลือการนับคะแนนในรัฐเนวาดาอีกเพียงรัฐเดียวเท่านั้น หากชนะในรัฐนี้ได้ซึ่งปัจจุบันยังมีคะแนนนำต่อเนื่องแต่ก็ยังถือว่าสูสี ก็จะมีคะแนนเกิน 270 เสียง และคว้าชัยในการเลือกตั้งประธานาธิบดีอย่างไม่เป็นทางการไปในที่สุด
.
แต่ทรัมป์ก็ใช่ว่าจะยอมง่ายๆ เพราะได้มีการไปฟ้องศาลและขอเรียกร้องให้มีการนับคะแนนเลือกตั้งใหม่ในรัฐวิสคอนซิน ที่คะแนนชนะเฉือนกันแค่หลักจุดทศนิยม และไบเดนได้รับชับชนะไป รวมทั้งขอให้มีการหยุดนับคะแนนจากไปรษณีย์ในรัฐมิชิแกน ที่ยังไม่ได้ทำการนับแม้ว่าจดหมายจะเข้ามาถึงคูหาแล้วก็ตาม เพราะเชื่อว่าพรรคเดโมแครตทุจริตการเลือกตั้ง
.
ต้องมาติดตามดูกันต่อไปว่าผลสุดท้ายของการเลือกตั้งที่แสนเข้มข้นครั้งนี้จะออกมาเป็นอย่างไร

 

เมื่อพระประมุขมาเลเซียถูกตั้งคำถาม
.
พระประมุขมาเลเซียหรือYang di-Pertuan Agong (ของเรียก อากง)กำลังถูกสังคมบางส่วนของเซียตั้งคำถามถึงบทบาทของอากงในช่วงเวลาวิกฤตทางการเมือง
ก่อนอื่นต้องบอกว่าอากงได้รับคำชมค่อนข้างมากที่สามารถรับมือการเมืองที่ปั่นป่วนช่วงนี้ โดยชาวมาเลเซียส่วนใหญ่แสดงความคิดเห็นค่อนข้างบวกกับท่าทีของพระองค์และการสยบความวุ่นวายทางการเมือง
อย่างไรก็ดีมีคนอีกบางส่วนที่ตั้งคำถามตอบบทบาทองค์
ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่ามาเลเซียไม่เคยมีความวุ่นวายทางการเมืองและสบายมีลักษณะที่มั่นคงและไม่เคยเป็นรัฐบาลผสมที่มีลักษณะความอ่อนแอ ดังนั้น ที่ผ่านมาอากงทำหน้าที่ทางพิธีการมาตลอดไม่มีบทบาททางการเมืองที่ชัดเจนหน้าที่หลักของพระองค์คือ รับสาบานตน เปิดสภาและงานพิธีการอื่นๆ
มาเลเซียเองก็เหมือนประเทศไทยที่มีกฎหมายรัฐธรรมนูญระบุให้อำนาจแก่พระประมุขในการที่จะดำเนินการทางการเมืองในกรณีที่เกิดความวุ่นวายทางการเมือง
อย่างไรก็ดีความวุ่นวายทางการเมืองของมาเลเซียไม่เคยมาถึงจุดที่พระประมุขต้องลงมา ดังนั้นเมื่อเกิดกรณีวุ่นวายทางการเมืองปัจจุบันอากงต้องมาแสดงบทบาทนั้นสร้างความยินดีแก่ชาวมาเลเซียส่วนใหญ่แต่ ขณะเดียวกันก็ถูกตั้งคำถามจากหลายฝ่ายไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง นักวิชาการ ซึ่งขณะนี้หลายคนและหลายกลุ่มกำลังถูกดำเนินคดี(เทียบเท่า ม 112 ไทย)
ซึ่งการดำเนินคดี หมิ่นพระบรมเดชานุภาพแบบมาเลเซียนั้นไม่เหมือนแบบของไทย เนื่องจากของไทยนั้นประมุขของไทยมีเพียงพระองค์เดียวแต่มาเลเซียเป็นระบบผลัดกันขึ้นมา ดังนั้นความผิดจึงเป็นความผิดต่อตำแหน่งพระประมุขของชาติไม่ใช่ความผิดต่อองค์สุลต่านที่ดำรงตำแหน่ง เมื่อเป็นเช่นนี้สุลต่านท่านที่ดำรงตำแหน่งก็ไม่สามารถอภัยโทษได้ พระองค์ใหม่ที่ขึ้นมาก็อาจจะไม่อภัยโทษ และท่านใหม่ที่ขึ้นมาก็อภัยโทษไม่ได้เพราะองค์เก่าอาจจะไม่อภัยโทษ นี่จึงเป็นความผิดในแง่สถาบันต่อตัวบุคคล
จากการสังเกตและติดตามของแอต แอตพบว่า องค์พระประมุขของมาเลเซียหรืออากงนั้นค่อนข้างจะดำเนินการอย่างระมัดระวังโดยทรงปรึกษาทางกฎหมายทุกครั้งและในการตัดสินใจหลายๆครั้งก็เป็นการตัดสินใจโดยประชุมร่วมสุลต่านไม่ตัดสินใจด้วยพระองค์เอง แต่อย่างที่บอกมาเลเซียไม่เคยตกอยู่ในภาวะเช่นนี้นี่จึงถือเป็นครั้งแรกๆและคงต้องมีคำถามตามมา เรื่องที่เกิดในวันนี้คงถูกบันทึกในประวัติศาสตร์มาเลเซียต่อไปเพื่อเป็นแบบอย่างในการดำเนินการในอนาคตกรณีที่การเมืองมีปัญหาและบทบาทที่อากง พระประมุขแห่งชาติจะสามารถทำอะไรได้บ้าง


https://www.freemalaysiatoday.com/c...vmp6tkoNrZ1-aOU9_l2UaQnEftzVW9VWpjUjGB36PPhwU

 

ภูเขาน้ำแข็งยักษ์ที่แตกตัวออกจากแอนตาร์กติกา จ่อชนเกาะเซาท์จอร์เจีย! หวั่นส่งผลกระทบหนักต่อสัตว์ และระบบนิเวศในพื้นที่
•
ภูเขาน้ำแข็ง A68a ที่แตกตัวออกจากทวีปแอนตาร์กติกากำลังเข้าใกล้เกาะเซาท์จอร์เจียและหมู่ดินแดนโพ้นทะเลของสหราชอาณาจักรในมหาสมุทรแอตแลนติกตอนใต้
•
น้ำแข็งแอนตาร์กติก A68a เป็นที่รู้จักกันในวงการว่าเป็นภูเขาน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในโลก มันมีขนาดใหญ่เทียบเท่ากับเกาะเซาท์แอตแลนด์ติก โดยมันแยกตัวออกมาจากจากหิ้งน้ำแข็ง Larsen C ในแอนตาร์กติกาเมื่อปี 2017
•
ภูเขาน้ำแข็งดังกล่าวมีขนาด 4,200 ตารางกิโลเมตร และมีน้ำหนักหลายแสนตัน และอาจมีส่วนที่จมอยู่ใต้น้ำอีก 200 เมตรเลยทีเดียว ซึ่งนั่นอาจเป็นสิ่งที่ทำให้มันลอยไปไกลถึงชายฝั่งเกาะเซาท์จอร์เจียก่อนที่จะปักหลัก
•
มีความเป็นไปได้ที่ A68a อาจปักหลักอยู่นอกชายฝั่งนั้นซึ่งถ้าหากมันเกิดขึ้นจริงมันจะผลกระทบต่อเพนกวิ้น และแมวน้ำท้องถิ่น
•
เส้นทางการหาอาหารของสัตว์ท้องถิ่นดังกล่าวอาจถูกปิดลง ทำให้พวกมันไม่สามารถเลี้ยงลูกได้อย่างดีเท่าที่ควร ไม่เพียงเท่านั้น A68a อาจส่งผลให้สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่บริเวณพื้นทะเลได้รับความเสียหาย
•
Prof Geraint Tarling จาก the British Antarctic Survey (BAS) กล่าวว่า การมาเยือนของภูเขาน้ำแข็งไม่เพียงแต่จะส่งผลกระทบให้ระบบนิเวศในพื้นที่ แต่มันยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของเซาท์จอร์เจียด้วยเช่นกัน โดยหากภูเขาน้ำแข็งยักษ์นี้หยุดอยู่ที่นั่น มันจะติดอยู่ที่นั่นเป็น 10 ปี
•
อย่างไรก็ตาม A68a ไม่ได้ส่งผลกระทบในทางลบเพียงอย่างเดียวเท่านั้น มันอาจส่งผลในด้านดีด้วยเช่นกัน เช่น พวกมันนำพาฝุ่นจำนวนมหาศาลออกมา ซึ่งนั่นจะเป็นเหมือนปุ๋ยให้แก่แพลงก์ตอนในมหาสมุทรในบริเวณนั้น เป็นผลประโยชน์แก่ห่วงโซ่อาหาร
•
https://www.bbc.com/news/science-environment-54798031

https://modis.gsfc.nasa.gov/gallery/individual.php...

https://www.bbc.com/thai/international-48965970
ดูน้อยลง

 

ละอองพัดทำพิษ วิจัยชี้ฝุ่นทำให้น้ำแข็งหิมะในหิมาลัยละลายเร็วขึ้น! ทำให้หิมะคล้ำดำ สะท้อนแสงไม่ดี ซ้ำเติมปัญหาจากโลกร้อน กระทบแหล่งน้ำจืดคนเอเชียหนัก
•
หิมะ และน้ำแข็งในหิมาลัยกำลังละลายเร็วขึ้น ซึ่งส่วนสำคัญเกิดจากอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้น แต่งานวิจัยชิ้นใหม่ใน Nature Climate Change เผยว่า ฝุ่นละอองที่ถูกพัดลอยมาทำให้สถานการณ์การละลายแย่ลงไปอีก
•
หิมะในฤดูหนาว และการละลายในฤดูใบไม้ผลินั้นทำให้แต่ละปีมีแหล่งน้ำจืดที่หล่อเลี้ยงคนเอเชียได้กว่า 700 ล้านคน แต่อย่างไรก็ตามเมื่อ 30 ปีมานี้ ปริมาณหิมะในเทือกเขาเอเชียอย่างหิมาลัย Hindu Kush และ Karakoram น้อยลงอย่างมาก
•
Yun Qian จาก Pacific Northwest National Laboratory ผู้ทำการศึกษาพบว่าฝุ่นที่ลอยมาจากแอฟริกา และเอเชีย ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ และฤดูร้อนทำให้หิมะเกิดการคล้ำ ลดประสิทธิภาพการสะท้อนกลับของหิมะ ทำให้มันละลายเร็วขึ้น
•
ฝุ่นเหล่านี้แม้จะเป็นสิ่งจากธรรมชาติ แต่กิจกรรมของมนุษย์ก็ทำให้ฝุ่นเหล่านี้เกิดมากขึ้น อาทิการเปลี่ยนแปลงการใช้พื้นที่ทำให้ฝุ่นเกิดขึ้น
•
นักวิจัยกังวลกับผลกระทบของฝุ่นต่อหิมะและน้ำแข็งอย่างมาก และคาดการณ์ว่าฝุ่นก็จะส่งผลกระทบต่อเทือกเขาในพื้นที่อื่นเช่นกัน
•
ที่มา

https://www.nature.com/articles/s41558-020-00909-3

https://www.theguardian.com/.../terrawatch-dust-is...

ร่มธรรม ขำนุรักษ์

 

อุทยานฯหมู่เกาะลันตาขอ รับบริจาคเปลือกหอย! แบบฝาเดียวเพื่อนำไป คืนบ้านให้ปูเสฉวน เปลือกหอยน้อยลง ปูใช้ขยะแทนมากขึ้น อันเป็นเหตุให้มันตายมากขึ้น
•
ปกติแล้วปูเสฉวนจะใช้เปลือกหอยเป็นบ้านเพื่อป้องกันตัวส่วนตัวที่บอบบาง โดยจะเปลี่ยนขนาดไปเรื่อยๆเมื่อมันโตขึ้น แต่เมื่อมีขยะทะเลมากขึ้นเข้าปูเลือกที่จะใช้พลาสติก หรือขยะต่างๆของมนุษย์มาเป็นบ้านของมันเป็นเหตุให้มันตายเนื่องจากออกมาไม่ได้
•
ก่อนหน้านี้มีงานวิจัยเปิดเผยว่าปูเสฉวนต้องตายอย่างมหาศาลเพราะติดกับขยะพลาสติกมากขึ้น เหตุใช้แทนเปลือกหอยตามธรรมชาติ
•
ประกอบกับความจริงที่เกิดขึ้นในไทย ที่มีการแชร์ภาพปูเสฉวนใช้ขวดเครื่องดื่มชูกำลังแทนบ้านของมันอย่างเปลือกหอย ซึ่งเกิดขึ้นที่เกาะรอก หมู่เกาะลันตา จ.กระบี่
•
ล่าสุดทางอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตาได้ขอเชิญ
ทุกๆท่านมีส่วนร่วมในโครงการคืนบ้านให้ปูเสฉวน
ขอรับบริจาคเปลือกหอยฝาเดียวเพื่อคืนบ้านให้ปูเสฉวน
•
โดยส่งมาได้ที่
59 ม.5 อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา
ต.เกาะลันตาใหญ่ อ.เกาะลันตา กระบี่
81150 โทร.075-656576
•
นอกจากนี้เรายังช่วยกันได้โดยไม่ทิ้งขยะริมชายหาด หรือไม่นำซากเปลือกหอยกลับบ้าน เพื่อให้เป็นที่อยู่อาศัยของเหล่าสัตว์อย่างปูเสฉวนต่อไป
•
ที่มา


https://www.facebook.com/1523107561151019/posts/2370134289781671/?d=n

https://news.ch7.com/detail/447411...

https://mobile.facebook.com/187660214778028/posts/1496672067210163/?d=n&_rdc=1&_rdr

ร่มธรรม ขำนุรักษ์

 

#ประเทศแรกในโลกที่ถอนตัว สหรัฐฯถอนตัวออกจากความตกลงปารีสอย่างเป็นทางการแล้วภายใต้ทรัมป์ สร้างความกังวลโลกในการลดโลกร้อน ไบเดนสัญญาจะกลับเข้าร่วมถ้าได้รับเลือก

ประธานาธิบดีประกาศในปี 2017 ว่าขอถอนตัวจากความตกลงปารีส แต่เพิ่งมีผลเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ถือเป็นประเทศแรกในโลกที่ถอนตัวออกจากความตกลงดังกล่าว

Paris Agreement มีขึ้นเพื่อให้ทั่วโลกร่วมกันควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อที่จะไม่ให้อุณหภูมิโลกสูงเกิน 1.5-2 องศา และเพื่อป้องกันภัยคุกคามสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง โดยมีกว่า 189 ชาติร่วมความตกลงนี้

ขณะนี้สหรัฐฯมีส่วนสร้างก๊าซเรือนกระจกโลกถึง 15% ซึ่งเป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุดอันดับ 2 ของโลก (รองจากจีน) ทรัมป์มองว่าข้อตกลงปารีสไม่ยุติธรรมต่อสหรัฐฯและเป็นสิ่งขัดขวางต่อเศรษฐกิจ

การถอนตัวเรื่องนึ้สร้างความกังวลให้กับชาวอเมริกันและทั่วโลกอย่างมากในการบรรลุเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกโลก

ทางด้านนายโจ ไบเด็น ผู้ท้าชิงศึกเลืองตั้งประธานาธิบดี ปี 2020 ได้ประกาศว่าจะกลับเข้าร่วมโดยเร็วที่สุดหากเขาได้รับเลือกตั้ง

ที่มา

https://www.bbc.com/news/science-environment-54797743

https://www.theguardian.com/.../us-paris-climate...

https://www.nbcnews.com/.../u-s-formally-exits-paris...

https://www.abc.net.au/.../us-formally-exits.../12849940

https://edition.cnn.com/.../amanpour-christiane-figueres...

https://www.dailymail.co.uk/.../US-nation-formally...

ร่มธรรม ขำนุรักษ์

 

อินเดียทรุดหนักเหตุ บ่อน้ำมันระเบิดไฟท่วม! รุนแรงหนักยังดับไม่ได้ เกิดเหตุมิถุนา กินเวลา 5 เดือนแล้ว เสียหายหนัก ผู้คน-สัตว์ตายสลด เกิดเหตุมิถุนา กินเวลา 5 เดือนแล้ว เสียหายหนัก ผู้คน-สัตว์ตายสลด
•
เหตุเพลิงไหม้และระเบิดที่เกิดจากบ่อก๊าซน้ำมันรั่วเมื่อวันที่ 9 มิถุยายน ในรัฐอัสสัม ประเทศอินเดีย ส่งผลกระทบต่อสภาพความเป็นอยู่และสภาพจิตใจของผู้คน ส่วนเพลิงไฟยังคงลุกไหม้จนถึงทุกวันนี้เป็นเวลารวมทั้งหมด 150 วัน ซึ่งถือว่ายาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์อินเดียเลยก็ว่าได้
•
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นใน บากฮ์จาน (Baghjan) เขต ตินซูเกีย (Tinsukia) บ่อน้ำมันของบริษัท Oil India Limited (OIL) ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดีย รั่วจนเกิดไฟไหม้ และระเบิดที่รุนแรงในเวลาต่อมา
•
มีนักดับเพลิงเสียชีวิตในวันแรกที่เกิดเหตุ 2 ราย และวิศวกรของบริษัท OIL เสียชีวิต 1 รายในขณะที่พวกเขากำลังพยายามดับไฟ
•
ผู้คนกว่า 3,000 ต้องถูกบังคับให้อพยพไปที่ศูนย์หลบภัย เพราะบ้านเรือนถูกไฟเผาไหม้ไปหมด
•
ซึ่งหลังจากเกิดเหตุ ทางบริษัท OIL กล่าวว่าพวกเขาได้มอบเงินกว่า 2.5 ล้านรูปี หรือประมาณ 1 ล้านกว่าบาท ชดเชยให้ครอบครัวผู้ได้รับความเสียหายที่ต้องเสียบาท และยังคงมอบเงินค่ากินอยู่ให้อีก 50,000 รูปีหรือประมาณ 20,000 กว่าบาทต่อเดือนแก่ครอบครัวที่ต้องย้ายไปอยู่ศูนย์หลบภัย
•
แต่ชาวบ้านยังคงประท้วง และต้องการให้แก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างเร่งด่วน
•
Dandeshwar Borah ชาวนาวัย 40 ปี ที่อยู่ในศูนย์หลบภัยกล่าวว่า “พวกเราได้รับเงินชดเชยจากบริษัทค่ากินอยู่ แต่ยังไม่ได้เงินชดเชยสำหรับผลผลิตที่หายไปกับกองเพลิง”
•
ตอนนี้ผู้คนเริ่มกลับมาอยู่ที่บ้านในละแวกเดิมแล้ว แต่สำหรับครอบครัวที่บ้านอยู่ใกล้จุดเกิดเหตุยังคงอยู่ศูนย์หลบภัยชั่วคราว เพราะเจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถดับไฟได้สนิท
•
นักข่าวท้องถิ่น Nawantil Urang อธิบายถึงสภาพแวดล้อมของที่เกิดเหตุว่า “ความร้อน ควัน และเสียงไฟปะทุทำให้พื้นที่นี้เป็นพื้นที่อันตราย ชาวบ้านหลายคนร้องเรียนว่าพวกเขาอยู่ลำบาก บางคนมีโรควิตกกังวล มีอาการไมเกรน ไม่อยากอาหาร และรู้สึกแสบตา”
•
Bijit Bordoloi ผู้จัดการบริษัทเกี่ยวกับไฟฟ้า พ่อของวิศวกรผู้เสียชีวิตก็ไม่พอใจกับ OIL เขากล่าวว่า “เรายังมีคำถามมากมายเกี่ยวกับการตายของลูกชายผม OIL ยังไม่เคยออกมาชี้แจ้ง สิ่งหนึ่งที่สงสัยคือประเด็นของ Arnab (ผู้ตาย) ที่เป็นบุคคลากรใหม่ในองค์กร และยังไม่ได้ถูกรับรองให้แก้ไขปัญหาหรือจัดการปัญหาดังกล่าว”
•
ทาง OIL กล่าวว่าเหตุการณ์ครั้งไฟไหม้และระเบิดแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนสำหรับบ่อน้ำมันทั่วโลก ถึงกระนั้น พวกเขาทราบดีว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมแน่ๆ แต่ระบุว่ามันจะไม่เกิดขึ้นนานนัก
•
“เพราะว่าด้วยธรรมชาติของก๊าซ และการควบแน่น มันจะระเหยและถูกฝนชะล้างไป ดังนั้นก๊าซพวกนี้จะไม่ส่งผลระยะยาวไม่ว่าจะต่ออากาศหรือดิน” Tridiv ผู้จัดการอาวุโสผ่ายประชาสัมพันธ์ของ OIL กล่าว
•
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านการประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของรัฐบาลอัสสัมเผยกับสำนักข่าว BBC ว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นภัยคุกคามแก่ระบบนิเวศในท้องถิ่น
•
“การประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมอยู่ระหว่างการดำเนินการ ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวก่อให้เกิดความเสียหายซึ่งต้องใช้เวลาซ่อมแซมหรือรักษาเป็นเวลาหลายปี ประมาณ 3 กิโลเมตรจากจุดเกิดเหตุมีแหล่งระบบนิเวศสำคัญๆ อยู่บ้าง” ผู้เชี่ยวชาญคนดังกล่าวที่ไม่ได้เปิดเผยชื่อชี้
•
ขณะนี้ทาง OIL กำลังใช้วิธี Snubbing ที่นำบ่อน้ำมันหนักมาใช้ ซึ่งหวังว่าจะดับไฟทั้งหมดได้ภายในกลางเดือนพฤศจิกายนหรือเดือนนี้ ถึงแม้ว่าในช่วงเดือนที่ผ่านมาจะไม่สามารถทำตามเป้าหมายได้เท่าไหร่
•
สำหรับบ่อน้ำมันที่เกิดเหตุ มันตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติ “Dibru-Saikhowa” กับหนองน้ำ “Maguri Motapung” ซึ่งเป็นที่อยู่ของสัตว์ป่าใกล้สูญพันธ์ุหลายชนิด ทั้งเสือ โลมา และช้าง
•
นักสิ่งแวดล้อมได้ออกมาเตือนหลังจากเกิดเหตุว่า สัตว์ป่ากำลังได้รับผลกระทบจากการปนเปื้อน มีสารปนเปื้อนลงไปสู่แหล่งน้ำทั้งในหนองน้ำและในอุทยาน
•
https://www.bbc.com/news/world-asia-india-54719286

https://www.thairath.co.th/news/foreign/1866912
•
ณิชากร บัวทรัพย์
Environman

 

เล็งเปิดอ่าวมาหยาปี 64 หลังปิดฟื้นฟูกว่า 2 ปีชี้ธรรมชาติฟื้นตัวสมบูรณ์!สร้างท่าเทียบเรือ ห้ามเรือเข้าหน้าอ่าว จำกัดนทท. 350 คน/วัน เร่งหารือ
•
เมื่อกลางปี 2561 หลังกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ประกาศปิดอ่าว เพื่อฟื้นฟูธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เสื่อมโทรมจากการท่องเที่ยว โดยหลังปิดอ่าวกว่า 2 ปี พบว่าสภาพอ่าวมาหยามีการฟื้นตัวเห็นได้ชัด หาดทรายกลับมีสีขาวนวล มีพันธุ์ไม้ประจำถิ่นเจริญเติบโต มีปูลม ปูไก่ และสัตว์ทะเลที่หายไปนานกลับมาหากินในอ่าวเพิ่มขึ้น อย่างฉลามครีบดำ
•
โดยนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเผยถึงเรื่องนี่ว่าได้เตรียมเปิดแหล่งท่องเที่ยวอ่าวมาหยา หมู่เกาะพีพี ให้นักท่องเที่ยวเข้าเที่ยว เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 หลังปิดอ่าวมานาน
•
แต่จะหารือกับคณะกรรมการ ทั้งนักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญ พิจารณาความเหมาะสมว่าสามารถเปิดให้มีการท่องเที่ยวได้หรือไม่ รวมทั้งการควบคุมนักท่องเที่ยวด้วยว่าไม่เกินวันละ 350 คน และการห้ามเรือเข้า ออก บริเวณหน้าอ่าว หากกรรมการเห็นชอบ คาดว่าว่าอุทยานฯ จะเปิดท่องเที่ยวได้ราวต้นปี 2564
•
ตอนนี้กำลังสร้างท่าเทียบเรือลอยน้ำ แต่เมื่อเปิดแล้วจะเปิดให้เข้าได้ 350 คนต่อวันเท่านั้น และในบริเวณอ่าว จะไม่อนุญาตให้เรือเข้ามา และมีการท่องเที่ยวแบบใหม่เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม
•
ที่มา

https://www.facebook.com/330743535084/posts/10164827041710085/?d=n

https://news.thaipbs.or.th/content/297999
•
ร่มธรรม ขำนุรักษ์

 

ด่วน!!
สำนักข่าวเทเลกราฟของสหราชอาณาจักรประกาศว่า นายโจ ไบเดน ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครต ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา2020 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยขณะนี้มีคะแนนอยู่ที่271เสียง
โดยเทเลกราฟยังรายงานด้วยว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้พ่ายแพ้ เตรียมดำเนินการฟ้องศาลรัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐอเมริกา ในข้อกล่าวหาที่ว่า การเลือกตั้งในครั้งนี้ดำเนินไปอย่างไม่บริสุทธิ์ยุติธรรม.!!!!
ข่าวโลกที่3
https://www.telegraph.co.uk/news/20...DhbXQbrWqRa6F3GZC5VZNhS15kGnXZV2aXwW1EzmFMduQ