ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,069
    ค่าพลัง:
    +97,149
    จีน : ฮาร์บิน หิมะแรกของปี เริ่มตกในวันที่ 19 ❄️ ⛄️
    หลายพื้นที่ของจีนรวมทั้งพื้นที่ภาคเหนือหลายเมืองหิมะตกหนัก

     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,069
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ผู้บัญชาการกองทัพอากาศอังกฤษ: เราต้องเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ในอวกาศในอนาคต

    ผู้บัญชาการกองทัพอากาศอังกฤษเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการเตรียมกองทัพอังกฤษสำหรับการสู้รบในอวกาศในอนาคต

    ตามเว็บไซต์ ForceSent รายงาน "ในการประชุมสุดยอดด้านการป้องกันอวกาศปี 2020" ผู้บัญชาการกองทัพอากาศอังกฤษกล่าวเมื่อวันอังคารที่ 17 พฤศจิกายนว่า "ความขัดแย้งในอนาคตอาจไม่เริ่มต้นในอวกาศ แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาจะถูกถ่ายโอนไปยังอวกาศอย่างรวดเร็วและอาจมีผู้ชนะหรือผู้แพ้ในอวกาศด้วยซ้ำ ดังนั้นเราจึงต้องเตรียมพร้อมที่จะปกป้องผลประโยชน์ของชาติของเราหากจำเป็น “ ถ้าวันนี้เราไม่คิดและเตรียมตัวเราก็คงไม่พร้อมเมื่อถึงเวลา”

    พล. อ. เซอร์แพทริค แซนเดอร์ส ผู้บัญชาการกองกำลังยุทธศาสตร์ของอังกฤษกล่าวด้วยว่า การทำงานในอวกาศมีความสำคัญต่อการสังเกตการณ์ การรวบรวมข้อมูลการตรวจสอบและการลาดตระเวนจากอวกาศทำให้เราเห็นเป้าหมายและพื้นที่ที่น่าสนใจผ่านดาวเทียม"

    อย่างไรก็ตามหัวหน้ากองกำลังอวกาศของสหรัฐฯได้คุกคามรัสเซียและจีนเมื่อเร็ว ๆ นี้โดยกล่าวว่าขณะนี้แวดล้อมได้กลายเป็นเขตสงครามแล้ว

    ข่าวโลกที่3

    https://www.farsnews.ir/news/13990828001122/فرمانده-نیروی-هوایی-انگلیس-

     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,069
    ค่าพลัง:
    +97,149
    เนทันยาฮูคือไวรัส !

    ผู้ประท้วงต่อต้านนายกรัฐมนตรีอิสราเอลในระหว่างการเดินขบวนเมื่อคืนที่ผ่านมาในเทลอาวีฟ เปรียบว่าเขาเป็นไวรัสในปาเลสไตน์ที่ถูกยึดครองซึ่งต้องกำจัดให้สิ้นซาก

    ข่าวโลกที่3

     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,069
    ค่าพลัง:
    +97,149
    PSX_20201121_204237.jpg

    (Nov 21) ‘วัคซีน’ แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ของเศรษฐกิจไทย? ข่าววัคซีนของ Pfizer, BioNTech และ Moderna ที่มีประสิทธิผลในการป้องกันการติดโควิด-19 สูงกว่า 90% ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมาส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะหุ้นที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว เช่น สายการบิน บริษัทเดินเรือสำราญ และโรงแรม ในขณะที่ราคาหุ้นของบริษัทที่ได้ผลบวกจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เช่น Amazon, Zoom และ Peloton ปรับตัวลดลง ราคาหุ้นไทยก็ปรับขึ้นมากเช่นกันจากเงินลงทุนต่างชาติที่ไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทยเป็นบวกสุทธิเป็นเดือนแรกของปี จนหลายคนอาจสรุปว่าวัคซีนจะเป็นแสงสว่างสำหรับเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยให้สามารถกลับมาสู่ภาวะปกติในเวลาไม่นาน แต่ในความเป็นจริงยังมีความท้าทายสำคัญที่ต้องติดตามและบริหารจัดการก่อนที่เศรษฐกิจไทยจะได้ประโยชน์จากวัคซีนโควิด-19 อย่างเต็มที่

    ตลาดการเงินตอบสนองต่อผลการทดลองของ Pfizer และ Moderna อย่างรวดเร็ว เพราะมีนัยบวกต่อแนวโน้มความสำเร็จของการพัฒนาวัคซีนตัวอื่นๆ ด้วย

    1. แมสเซนเจอร์อาร์เอ็นเอ หรือ mRNA ที่ถือเป็นนวัตกรรมใหม่ ผลการทดลองของ Pfizer และ Moderna พิสูจน์แล้วว่าเทคโนโลยีนี้สามารถใช้งานได้จริง ทำให้โอกาสความสำเร็จของวัคซีนที่ใช้เทคโนโลยี mRNA ที่กำลังอยู่ระหว่างการทดลองสูงขึ้นเช่นกัน

    2. ประสิทธิภาพการป้องกันการติดเชื้อของ Pfizer และ Moderna สูงถึง 90% และ 94.5% ตามลำดับ เทียบกับวัคซีนไข้หวัดที่มีประสิทธิภาพราว 40-60%

    3. วัคซีนของทั้ง Pfizer และ Moderna ใช้ข้อมูลพันธุกรรมของ Spike Protein ซึ่งเป็นโครงสร้างชั้นนอกของไวรัสในการสั่งงานให้เซลล์ในร่ายกายของเราสร้างภูมิคุ้มกัน โดยวัคซีนตัวอื่นๆ ที่ใช้ Spike Protein ในการกระตุ้นให้ร่างการสร้างภูมิคุ้มกัน เช่น AstraZeneca, Johnson & Johnson และ Novavax ก็มีโอกาสสำเร็จมากขึ้นเช่นกัน การที่มีวัคซีนหลายตัวที่ประสบความสำเร็จก็จะช่วยให้การเข้าถึงของประชากรโลกเกิดขึ้นได้เร็วขึ้น

    อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางข่าวดีข้างต้นยังมีความท้าทายที่เป็นคำถามสำคัญอย่างน้อย 2 ข้อ ได้แก่ ความชัดเจนของคุณสมบัติด้านต่างๆ ของวัคซีนใหม่ และความเร็วที่วัคซีนจะถูกกระจายไปยังประเทศต่างๆ ในประเด็นแรก เนื่องจาก mRNA เป็นเทคโนโลยีใหม่และการทดลองในมนุษย์ที่ทำแค่ในระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือน แม้การทดลองทางคลินิกวัคซีนจะแสดงว่าวัคซีนได้ผลสูง แต่ก็เป็นการทดลองที่ใช้กับคนที่มีสุขภาพแข็งแรง ยังมีความกังวลต่อโอกาสที่จะเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงทั้งระยะสั้นและระยะยาวเมื่อใช้กับประชากรโดยทั่วไป ซึ่งรวมถึงกลุ่มคนที่มีความเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัว

    นอกจากนั้นยังไม่ชัดเจนว่าผู้ที่ได้รับวัคซีนซึ่งจะได้รับภูมิต้านทานต่อโควิด-19 จะยังสามารถแพร่เชื้อให้กับผู้อื่นได้หรือไม่ ประเด็นนี้จะมีนัยสำคัญต่อนโยบายสาธารณสุขและนโยบายการเปิดประเทศต่อนักท่องเที่ยวต่างประเทศ

    หากผู้ได้รับวัคซีนยังอาจเป็นพาหะแพร่เชื้อได้ การเปิดประเทศโดยไม่ต้องกักตัวนักท่องเที่ยวอาจต้องรอให้คนไทยได้รับวัคซีนในวงกว้างก่อนด้วย รวมทั้งยังไม่ชัดเจนว่าระยะเวลาของภูมิคุ้มกันจะยาวนานแค่ไหน ความไม่แน่นอนในคุณสมบัติด้านต่างๆ นี้อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นและความยินดีของผู้คนที่จะทดลองใช้วัคซีนในช่วงแรกด้วย

    ดังนั้นในประเด็นเหล่านี้คงต้องรอผลจากการใช้ในกรณีฉุกเฉิน (Emergency Use) ที่น่าจะเริ่มขึ้นได้ในช่วงเดือนธันวาคมนี้ และจากการติดตามประเมินผลอย่างใกล้ชิดในระยะต่อไปควบคู่กับการสื่อสารอย่างเหมาะสมของหน่วยงานของประเทศต่างๆ ด้วย

    สำหรับความเร็วของการกระจายวัคซีนนั้นจะขึ้นอยู่กับการจัดการกับความท้าทายด้านการผลิต ขนส่ง และแจกจ่ายวัคซีนที่มีอยู่พอสมควร เนื่องจากเทคโนโลยี mRNA เป็นนวัตกรรมใหม่ ความพร้อมในด้านเทคโนโลยีการผลิตวัคซีนชนิดนี้ในประเทศกำลังพัฒนายังต่ำเมื่อเทียบกับเทคโนโลยีการผลิตวัคซีนประเภทอื่น และ Technology Transfer อาจจะต้องใช้เวลา ในด้านการขนส่งวัคซีนของ Pfizer ต้องเก็บที่อุณหภูมิต่ำถึง -70 องศาเซลเซียส และอยู่ได้ที่อุณหภูมิแช่เย็น (2-8 องศาเซลเซียส) ได้เพียงไม่กี่วัน ส่งผลให้การขนส่งวัคซีนจะมีความท้าทายและมีค่าใช้จ่ายสูง ในขณะที่วัคซีนของ Moderna ต้องเก็บที่อุณหภูมิ -20 องศาเซลเซียส สามารถอยู่ได้ที่อุณหภูมิแช่เย็นได้ราว 30 วัน นอกจากนี้วัคซีนของ Pfizer และ Moderna ต้องฉีด 2 เข็มด้วยระยะเวลา 3 และ 4 สัปดาห์ ตามลำดับ ดังนั้นการบริหารจัดการให้คนมาฉีดให้ครบทั้ง 2 เข็มตามวันที่กำหนดก็จะเป็นความท้าทายเช่นกัน

    จำนวนวัคซีนที่จะผลิตให้เพียงพอกับประชากรของโลกก็เป็นอีกหนึ่งความท้าทายหลัก Pfizer ได้ประกาศว่าบริษัทสามารถผลิตวัคซีนได้ราว 1,300 ล้านโดสในปี 2021 ในขณะที่ Moderna สามารถผลิตได้ราว 500-1,000 ล้านโดสในปี 2021 ซึ่งจะเพียงพอสำหรับ 900-1,150 ล้านคนเท่านั้น ในขณะที่ประชากรโลกมีถึง 7,800 ล้านคน โดยประชากรของกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วและมีข้อตกลงการสั่งซื้อวัคซีนจาก Pfizer และ/หรือ Moderna ราว 1,230 ล้านคน

    นอกจากนี้วัคซีนตัวอื่นที่มีความคืบหน้าในการวิจัยหลายตัวก็ได้ถูกประเทศต่างๆ สั่งจองไปแล้ว โดยประเทศที่พัฒนาแล้วที่มีการสั่งจองวัคซีนล่วงหน้าก็มีโอกาสได้รับวัคซีนก่อน โดยประชากรในประเทศเหล่านั้นก็อาจจะมี Herd Immunity จากการฉีดวัคซีนภายในครึ่งแรกของปี 2021 (ตามรูป) ในส่วนของประเทศกำลังพัฒนา การได้รับวัคซีนในปริมาณที่เพียงพอที่จะสร้าง Herd Immunity ได้นั้นขึ้นอยู่กับ 3 แนวทาง ได้แก่

    1. การตกลงสั่งซื้อวัคซีนจากผู้ผลิตหรือการได้ไลเซนส์ในการผลิต เช่น สยามไบโอไซเอนซ์ เอสซีจี ทำข้อตกลงกับ AstraZeneca เพื่อผลิตวัคซีนสำหรับไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

    2. การประสานงานระหว่างประเทศ โดย COVAX (COVID-19 Vaccines Global Access Facility) คือโครงการความร่วมมือระหว่างประเทศ และมี 3 องค์กรหลักคือ องค์การอนามัยโลก พันธมิตรวัคซีนกาวี (Gavi, the Vaccine Alliance) และ Coalition for Epidemic Preparedness Innovations ที่มีเป้าหมายในการพัฒนาและแจกจ่ายวัคซีนโควิด-19 อย่างน้อย 2,000 ล้านโดสภายในปี 2021 ให้แก่ประเทศต่างๆ ทั่วโลกอย่างเท่าเทียม โดยประเทศไทยได้ไปเข้าร่วมใน COVAX แล้ว อย่างไรก็ตาม การแจกจ่ายวัคซีนของ COVAX แก่ประเทศต่างๆ นั้น ยังไม่มีความชัดเจนและขึ้นอยู่กับไกด์ไลน์ขององค์กรใน COVAX ทั้ง 3 องค์กร

    3. การผลิตขึ้นมาเองด้วยเทคโนโลยีของตน เช่น ในกรณีของไทย ที่ภาครัฐสนับสนุนโครงการผลิตวัคซีนในประเทศอยู่หลายโครงการ เช่น โครงการวัคซีน mRNA ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในภาพรวม EIC คาดการณ์ในกรณีฐานว่าไทยจะได้รับวัคซีนในวงกว้าง (อย่างน้อย 50% ของประชากร) ก็คงเป็นในช่วงครึ่งหลังของปี 2021

    ข่าวของ Pfizer และ Moderna ถือเป็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ของสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจโลกยังต้องเผชิญกับความยากลำบากในระยะสั้น การระบาดของโรคที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในยุโรปและสหรัฐฯ ก็จะทำให้เศรษฐกิจเหล่านั้นมีแนวโน้มชะลอตัวลงในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทย

    ขณะที่การใช้วัคซีนจะเกิดขึ้นแพร่หลายในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วในช่วงครึ่งแรกของปีหน้า ก่อนที่จะกระจายตัวมายังประเทศกำลังพัฒนารวมถึงไทยได้มากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2021 ซึ่งน่าจะช่วยให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศปรับสูงขึ้นได้บ้างประมาณ 8-10 ล้านคนในปีหน้า โดยจะเป็นการกระจุกตัวในช่วงครึ่งหลังของปีเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ยังน้อยกว่าระดับเดิมก่อนเกิดโควิด-19 ที่ 40 ล้านคนอยู่มาก ซึ่งจะต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 1-2 ปี

    ดังนั้น แม้เศรษฐกิจไทยจะเริ่มเห็นแสงสว่างและได้รับประโยชน์จากราคาหุ้นและความเชื่อมั่นที่ปรับเพิ่มขึ้น แต่เรายังต้องบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจริงอย่างช้าๆ ในช่วงปีหน้า และแผลเป็นต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการว่างงาน การปิดกิจการ และหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่ยังมีแนวโน้มสูงขึ้น ควบคู่กับการได้มาและการกระจายวัคซีนอย่างเพียงพอและทั่วถึง เพื่อให้ไทยได้รับประโยชน์จากวัคซีนและฟื้นตัวจากวิกฤตรอบนี้ได้อย่างเข้มแข็งต่อไป

    โดย ดร.ยรรยง ไทยเจริญ

    Source: https://thestandard.co/covid-19-vaccine-with-thai-economy/
     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,069
    ค่าพลัง:
    +97,149
    1605966325322.jpg

    (Nov 21) อ่านเกณฑ์ใหม่ ธปท. ในการดูแลค่าเงินบาทและตลาดตราสารหนี้ : ในช่วงที่ผ่านมา ปัจจัยภายนอกทั้งผลของการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ และความคืบหน้าของการพัฒนาวัคซีนป้องกันโควิด 19 ทำให้นักลงทุนต่างชาติมีความเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจโลกมากขึ้น จึงกลับมาลงทุนในสินทรัพย์ของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่รวมทั้งไทย

    ส่งผลให้เงินบาทปรับแข็งค่าขึ้นเร็วซึ่งอาจกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ยังเปราะบาง ธปท. ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและเข้าดูแลตลาดอัตราแลกเปลี่ยนอย่างต่อเนื่องเพื่อลดความผันผวนของเงินบาท

    นอกจากนี้ เพื่อช่วยลดแรงกดดันต่อค่าเงินบาทและแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างให้กับตลาดอัตราแลกเปลี่ยนไทย ช่วยให้เงินทุนเคลื่อนย้ายมีความสมดุลมากขึ้น ธปท. จึงเห็นควรดำเนินมาตรการ 3 เรื่อง

    โดย ชุตินันท์ สงวนประสิทธิ์

    Source: The Standard และบางส่วนจาก แถลงข่าว ธปท.
    https://thestandard.co/new-rules-for-the-bot-to-look-after-the-baht-and-bond-market/

    เพิ่มเติม
    - ข่าว ธปท. ฉบับที่ 81/2563
    เรื่อง ธปท. เร่งผลักดันมาตรการเพื่อให้เกิดระบบนิเวศใหม่ของตลาดอัตราแลกเปลี่ยนไทย
    https://www.bot.or.th/Thai/PressandSpeeches/Press/2020/Pages/n8163.aspx
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,069
    ค่าพลัง:
    +97,149
    (Nov 21) สำนักข่าว Reuters วิเคราะห์ข้อมูลการเดินทางและการใช้เวลาที่บ้านของประชาชนในยุโรป ช่วงที่มีการประกาศ lockdown เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อ COVID-19 พบว่า ฝรั่งเศสและอิตาลีเป็น 2 ประเทศ ที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบจากวิกฤตโรคระบาดรุนแรงที่สุด

    National Institute of Statistics and Economic Studies (INSEE) ฝรั่งเศส พบว่า ข้อมูลการใช้เวลาที่บ้านของประชาชนซึ่งเก็บรวบรวมโดย Google มีความสัมพันธ์กับอัตราการชะลอตัวของเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ โดยภายใต้สถานการณ์โรคระบาดล่าสุดที่ผลกระทบมีแนวโน้มรุนแรงน้อยกว่าการแพร่ระบาดรอบแรก ข้อมูลต่างๆ สะท้อนว่า ประชาชน ฝรั่งเศส อิตาลี และสหราชอาณาจักร ใช้เวลาอยู่ที่บ้านเพิ่มขึ้นมากที่สุด โดยเฉพาะในปารีสและมิลานที่ความหนาแน่นของการเดินทางลดลงอย่างมาก ซึ่งข้อมูลการใช้บริการขนส่งสาธารณะบ่งชี้ว่า ประชาชนอิตาลีใช้บริการขนส่งสาธารณะลดลงมากที่สุด ตามมาด้วย เนเธอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร และฝรั่งเศส

    โดยรวมแล้ว ผลกระทบต่อเศรษฐกิจจากมาตรการ lockdown ในรอบที่ 2 มีแนวโน้มรุนแรงน้อยกว่าในรอบแรก หลังรัฐบาลประเทศต่างๆ ดำเนินมาตรการอย่างระมัดระวัง เพื่อจำกัดผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ซึ่งข้อมูลจาก “Apple mobility trend in public transport” บ่งชี้ว่า ฝรั่งเศสยังคงเป็นประเทศที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจมีแนวโน้มลดลงมากที่สุด หลังรัฐบาลฝรั่งเศสประกาศ lockdown เต็มรูปแบบ เมื่อวันที่ 30 ต.ค. ที่ผ่านมา แต่อาจไม่เลวร้ายเท่ากับวิกฤตในรอบแรกเมื่อเดือน มี.ค. – เม.ย. เนื่องจากมาตรการ lockdown ในครั้งนี้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยโรงเรียนและบริษัทยังสามารถเปิดทำการได้

    ด้านเยอรมนีซึ่งเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในยุโรปมีแนวโน้มที่กิจกกรมทางเศรษฐกิจจะฟื้นตัวเร็วกว่าประเทศอื่นๆ เนื่องจากมาตรการควบคุมโรคระบาดที่ประกาศใช้เมื่อวันที่ 2 พ.ย. ที่ผ่านมา มีความเข้มงวดน้อยกว่าประเทศอื่นที่ประกาศปิดร้านขายสินค้าไม่จำเป็นและปิดธุรกิจบริการบางประเภท ขณะที่ ตัวเลข “Truck toll mileage index” ของ Federal Statistical Office ของเยอรมนี ซึ่งบ่งชี้ถึงสถานการณ์ในภาคอุตสาหกรรมการผลิตของเยอรมนี ล่าสุดอยู่ในระดับใกล้เคียงกับช่วงก่อนวิกฤต

    Source: BOTSS

    1605966448273.jpg 1605966449838.jpg 1605966451352.jpg

    https://graphics.reuters.com/EUROPE-ECONOMY/nmopadyglva/chart.png
    https://graphics.reuters.com/EUROPE-ECONOMY/jznpnnjolpl/chart.png
     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,069
    ค่าพลัง:
    +97,149
    #คดีสยองของฮันนิบาลแห่งเยอรมัน
    #รักต้องบริโภค

    เมื่อเร็วๆนี้ ที่เยอรมันเกิดคดีใหญ่ เมื่อตำรวจเยอรมันได้จับกุมชายวัย 41 ปีคนหนึ่ง ชื่อราย สเตฟาน อาร์ ในข้อหาฆาตกรรมคู่ขาของเขา ที่ตอนนี้พบเป็นศพ เหลือเพียงโครงกระดูกทิ้งไว้ที่สวนสาธารณะ ในสภาพที่โดนเลาะเนื้อออกหมดจนเกลี้ยงเกลา จึงทำให้ตำรวจเชื่อว่า นี่คือคดี Cannibalism หรือ นักล่าเนื้อมนุษย์

    และสิ่งที่ทำให้ชาวเยอรมันตกใจยิ่งกว่านั้นคือ นายสเตฟาน อาร์ มีอาชีพเป็นครู

    ย้อนไปเมื่อวันที่ 5 กันยายนที่ผ่านมา มีการแจ้งเหตุคนหายกับทางตำรวจเยอรมันไว้คดีหนึ่ง

    บุคคลที่หายตัวไป ชื่อ นายสเตฟาน ทรอกิสช์ วัย 44 ปี เป็นวิศวกรไฟฟ้า ที่บริษัทแห่งหนึ่ง ด้วยความไม่สับสนกับชื่อผู้ต้องหาคนก่อนหน้า จึงขอเรียกว่านาย ที.

    คดีค้างเติ่ง เนิ่นนานเกือบ 2 เดือน ก็มีคนมาพบซากโครงกระดูกมนุษย์ถูกทิ้งไว้ที่สวนสาธารณะชานกรุงเบอร์ลิน แม้ว่าจากสภาพการเสียชีวิตไม่นานมาก แต่เนื้อถูกเลาะหายหมด ที่น่าจะเป็นการเลาะด้วยฝีมือมนุษย์ ไม่ใช่การกัดแทะของสัตว์

    หลังจากพิสูจน์ DNA ก็พบว่าเป็นศพของนาย ที. ที่หายตัวไปจริงๆ

    ตำรวจจึงใช้สุนัขตำรวจปูพรมติดตามร่องรอย ซึ่งสำนักข่าวเยอรมันระบุว่า ใช้สุนัขตัวรวจถึง 2 ตัว จากคนละด้านของเมือง และก็พาตำรวจมาถึงจุดหมายเดียวกัน คือบ้านของนายสเตฟาน อาร์

    และเมื่อตำรวจพิสูจน์หลักฐานมาตรวจบ้าน ก็พบรอยคราบเลือดที่ตรงกับ DNA ของนาย ที. จริงๆ และยังพบข้อมูลที่นายสเตฟาน อาร์ ค้นหาไว้ในอินเตอร์เนตเกี่ยวกับลัทธิบริโภคเนื้อมนุษย์อยู่เพียบ

    จึงกลายเป็นหลักฐานมัดตัวนายสเตฟาน อาร์ ซึ่งเป็นครูสอนคณิตศาสตร์ในโรงเรียนแห่งหนึ่งด้วย

    จากการสืบสวนพบว่า ทั้งคู่มาเจอกันได้ จากการคุยกันผ่านเว็บไซท์หาคู่ ของกลุ่มคนรักร่วมเพศ

    หลังจากที่แชทคุยกันได้ระยะหนึ่ง ก็ตัดสินใจมานัดเจอกัน

    รูมเมทของนายที. ที่เป็นคนไปแจ้งเหตุคนหาย ก็บอกว่า เขาเห็นนายที. ครั้งสุดท้ายคือออกจากบ้านไปช่วงเที่ยงคืนของวันที่ 4 กันยายน และหลังจากนั้นก็หายตัวไปเลย จนกระทั่งเหลือเพียงศพทิ้งไว้ในสวนสาธารณะ

    แล้วทำไมตำรวจเยอรมันจึงปักใจเชื่อทันทีว่า นี่เป็นคดีของนักล่าเนื้อมนุษย์?

    ก็เพราะเคยเกิดคดีลักษณะแบบนี้เป๊ะๆ ที่เยอรมันมาก่อน!

    เมื่อช่วงปี 2004 ตำรวจเยอรมันได้จับกุมตัวนายอาร์มิน มิวส์ วัย 44 ปีเช่นกัน ในข้อหาฆาตกรรม และกินเนื้อมนุษย์ ซึ่งนายอาร์มิน ได้สังหารนาย เบอร์นาร์ด เจอเก้น คู่ขาของเขา ซึ่งก็เป็นนักนิยมบริโภคเนื้อมนุษย์เช่นกัน และทั้งคู่ก็มานัดเจอกันผ่านทางเว็บใต้ดินของชาวล่าเนื้อมนุษย์ในเยอรมัน

    นายอาร์มิน รับสารภาพว่า ได้สังหารเพื่อร่วมลัทธิ และกินเนื้อเขาจริง เนื่องจากเป็นเจตจำนงค์ของทั้งคู่ และมีแรงกระตุ้นทางเพศเป็นเหตุจูงใจ นอกจากนี้นายและยังได้บันทึกภาพไว้ดูต่างหน้า ที่ถูกใช้เป็นหลักฐานมัดตัวในเวลาต่อมา

    และนายอาร์มินต้องจ่ายราคาความวิปริตครั้งนี้ ด้วยโทษจำคุกตลอดชีวิต และตัดสิทธิ์ขอทัณฑ์บน

    จากคดีนายอาร์มิน ถึง นาย สตีเฟน อาร์. มีความคล้ายคลึงกันมาก ทั้งรสนิยม การเลือกเหยื่อ และขั้นตอนการสังหาร จึงทำให้ตำรวจเยอรมันรู้ทันทีที่เห็นรูปคดีนั่นเอง

    ประเทศเยอรมัน เป็นประเทศหนึ่งที่เคยมีประวัติศาสตร์คดีสยอง เกี่ยงข้องกับลัทธิการกินเนื้อมนุษย์มานานแล้ว คดีที่สยองที่สุดเกิดช่วงราวๆปี 1903 -1924 เกิดคดีฆาตกรรมต่อเนื่องโดยชายชาวมันเทินสเบิร์กคนหนึ่งชื่อว่า นาย คาร์ล เดงค์

    นายคาร์ล ได้ลักพาตัวและฆาตกรรมผู้คนในเมืองนี้ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปี ไม่ต่ำกว่า 42 คน ภายในบ้านพักของเขา เพื่อนำเนื้อของเหยื่อมาบริโภค และยังแล่เนื้อมนุษย์ส่งขายในตลาดสด โดยอ้างว่าเป็นเนื้อหมู

    แต่ความมาแตกเอาเมื่อมีเหยื่อคนหนึ่งสามารถหลบหนีออกมาได้ แล้วไปแจ้งตำรวจ และเมื่อทางการค้นบ้านก็พบกับหลักฐานมากมาย รวมถึงเศษชิ้นเนื้อมนุษย์ โครงกระดูก ที่แล่แขวนไว้เตรียมนำไปขาย

    ส่วนนายคาร์ล เดงค์ แขวนคอตายหนีความผิด หลังจากถูกตำรวจจับตัวขังคุกได้เพียง 2 วัน เพื่อรอวันขึ้นศาล เป็นการปิดฉากคดีฆาตกรรมล่าเนื้อมนุษย์ที่สยดสยองที่สุดในเยอรมัน

    จากคดีนี้ทำให้เรารู้ว่า ลัทธินิยมบริโภคเนื้อมนุษย์เพื่อความรื่นรมย์ มีอยู่จริง และก็มีหน้าฉากเป็นมนุษย์ทั่วไปในสังคมเรานี่แหล่ะ ที่อาจมีเบื้องหลัง ความวิปลาศซ่อนอยู่ในจิตใจ

    เห็นแล้วชวนให้นึกถึงหนังฮอลลิวู้ดภาคต่อเรื่องดัง ของ Silence of the Lambs ที่มีคุณหมอฮันนิบาล เลคเตอร์ เป็นตัวละครหลัก ที่ทำให้หนังเป็นที่จดจำจนถึงทุกวันนี้

    แต่จะดีกว่าถ้าจะมีคนอย่าง ฮันนิบาล แค่เพียงตัวละครสมมติ ที่ไม่มีอยู่จริงนะคะ

    แหล่งข้อมูล

    https://m.dw.com/en/berlin-police-arrest-man-suspected-of-cannibalism-murder/a-55676025

    https://www.bbc.com/news/world-europe-55015477

    https://www.dailymail.co.uk/news/ar...l-German-teacher-murdered-ate-man-Berlin.html

    https://en.m.wikipedia.org/wiki/Karl_Denke

     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,069
    ค่าพลัง:
    +97,149
    #โจไบเดน เป็นหนึ่งในประธานาธิบดีสหรัฐที่รู้จักจีนดีที่สุด เขาติดต่อกับประเทศ #จีน นานกว่า 40 ปี ตั้งแต่แดนมังกรเพิ่งเปิดประเทศ และยังคุ้นเคยกับสีจิ้นผิง ถึงขนาดที่เคยพบกันถึง 8 ครั้งในเวลา 1 ปีครึ่ง แต่ความสนิทสนมนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะอ่อนข้อให้กับจีน

    โจ ไบเดน เดินทางเยือนจีนครั้งแรกเมื่อเดือนเมษายน ปี 1979 โดยติดตามคณะของวุฒิสมาชิกมาเยือนประเทศจีน ที่เพิ่งใช้นโยบายปฏิรูปและเปิดประเทศ เขาเป็นนักการเมืองสหรัฐคณะแรก ๆ ที่ได้พบกับเติ้งเสี่ยวผิง และรู้จักแดนมังกรตั้งแต่เริ่มต้นเปิดตัวสู่โลก
    .
    หลังจากนั้นในปี 2001 เขามาเยือนประเทศจีนอีกครั้ง ครั้งนี้เขามีฐานะเป็นประธานคณะกรรมาธิการต่างประเทศแห่งวุฒิสภาสหรัฐ มีรูปภาพที่เขาคุยกับสีจิ้นผิง ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้ว่ามณฑลฝูเจี้ยน
    .
    ไบเดนมีท่าทีสุขุมขณะที่สีจิ้นผิงยังเป็นมือใหม่ทางการเมือง สถานที่ถ่ายภาพคือ เรือนรับรองเป่ยไต้เหอ ซึ่งเป็นที่พักร้อนและที่ประชุมสำคัญของสมาชิกระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ในเวลานั้น จีนกำลังจะเข้าเป็นสมาชิกองค์กรการค้าโลก หรือ WTO ซึ่งไบเดนสนับสนุนเต็มที่ โดยหวังว่าเมื่อจีนอยู่ภายใตัระเบียบโลกแล้ว จะช่วยส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยด้วย
    .
    การเป็นสมาชิกของWTO ทำให้จีนขยายการค้ากับนานาชาติ จีนเป็นชาติคอมมิวนิสต์ที่เรียนรู้ระเบียบการค้าโลก และใช้ให้เป็นประโยชน์อย่างชำนาญยิ่งกว่าชาติทุนนิยมหลายประเทศ จนผงาดขึ้นเป็นมหาอำนาจอันดับ 2 ทางเศรษฐกิจ และกลายเป็นคู่แข่งของสหรัฐในทุกวันนี้
    .
    ปี 2011 ถือเป็นปีทองที่ #ไบเดน รู้จักจีนและ #สีจิ้นผิง เพราะไบเดนเป็นรองประธานาธิบดีสหรัฐ ขณะที่สีจิ้นผิงก็เป็นรองประธานาธิบดีจีน ตำแหน่งที่ทัดเทียมกันทำให้ทั้งคู่มีโอกาสพบกันมากกว่า 8 ครั้งในระยะเวลา 18 เดือน
    .
    ไบเดนเยือนจีนในปี 2011 โดยสีจิ้นผิงที่ขณะนั้นเป็นรองประธานาธิบดีรับหน้าที่ต้อนรับ ทั้งคู่ใช้เวลาร่วมกันถึง 5 วัน ได้ไปท่องเที่ยวยังมณฑลเสฉวน ทานอาหารด้วยกันส่วนต้ว ไปเล่นบาสเกตบอลกับนักเรียนมัธยม ไบเดนยังได้ไปทานอาหารที่ร้านบะหมี่ร่วมกับชาวบ้านในกรุงปักกิ่ง พร้อมกับประกาศว่า ตั้งแต่ปี 1979 เขาไม่เคยเปลี่ยนทัศนะที่มีต่อจีนว่า “การเติบใหญ่ของจีนไม่เพียงส่งผลดีต่อจีนเอง แต่ยังดีต่อสหรัฐและต่อโลกด้วย”
    .
    ปี 2013 ไบเดนและลูกชายมาเยือนจีนอีกครั้ง เขาได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่า หากความสัมพันธ์สหรัฐ-จีนราบรื่น จะก่อเกิดโอกาสที่ไร้ขอบเขต ถึงแม้ในทางการเมือง สหรัฐจะมีจุดยืนที่แตกต่างจากจีน แต่ก็สามารถร่วมมือกันได้ในหลายเรื่อง เช่น เรื่องสิ่งแวดล้อม
    .
    ปี 2015 สีจิ้นผิงในฐานะประธานาธิบดีจีน เดินทางเยือนสหรัฐอย่างเป็นทางการ โจไบเดนและภริยาไปต้อนรับที่สนามบิน ทั้งคู่ใช้เวลาร่วมกันนาน 5 วัน ไบเดนเคยกล่าวว่า เป็นความภาคภูมิใจที่เขาเคยอยู่ร่วมกับสีจิ้นผิงถึง 10 วันทั้งในจีนและสหรัฐ จนมี “ความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ดี”
    .
    แต่ “ความสัมพันธ์ส่วนตัว” นี้เองได้กลายเป็นดาบ 2 คมที่โดนัลด์ ทรัมป์ หยิบยกมาโจมตีไบเดนในระหว่างหาเสียง พร้อมข้อกล่าวว่าว่าลูกชายของไบเดนมีผลประโยชน์ทางธุรกิจในประเทศจีน ถ้าไบเดนได้เป็นประธานาธิบดี สหรัฐจะตกอยู่ใต้อำนาจของจีนอย่างสิ้นเชิง

    วันนี้ ไบเดนคือว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ ทรัมป์กำลังจะเป็นอดีต ถึงแม้แนวนโยบายของพรรคเดโมแครตจะกดดันจีนเรื่องสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย และจีนในวันนี้ก็ไม่ใช่จีนที่เคยต้องยอมอ่อนข้อให้สหรัฐ แต่ความสัมพันธ์ฉันมิตรที่เท่าเทียมย่อมดีกว่าสภาพตามอำเภอใจในยุคของทรัมป์.

     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,069
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ซิดนีย์ เพาแวลล์ ทนายทรัมป์บอกว่า คนตาย3ล้านคนโหวตให้ไบเดน ทรัมป์ถูกปล้นคะแนนเลือกตั้งไปอย่างน้อย7ล้านคะแนน คาดว่าสัปดาห์หน้าจะฟ้องต่อศาลเฟดเดอรัล เพื่อเปิดโปงการโกงการเลือกตั้ง และให้ศาลยับยั้งผลของการเลือกตั้งในรัฐสมรภูมิ
    ทรัมป์ได้คะแนนเลือกตั้งจากคนอเมริกัน73ล้านกว่าเสียง มากกว่าประธานาธิบดีใดๆในอดีต ถ้าถูกปล้นคะแนน7ล้านเสียงจริง ทรัมป์น่าจะได้คะแนนจากคนอเมริกันกว่า80ล้านคะแนน



     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,069
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ‘ซัมซุง’ ยึดเบอร์ 1 ตลาดสมาร์ทโฟนเวียดนาม ‘เสียวหมี่’ เบียดขึ้นที่ 3 ไร้เงาแอปเปิล
    .
    เวียดนาม 21 พ.ย. - บริษัทวิเคราะห์ตลาดเทคโนโลยีจากสิงคโปร์ ออกรายงานตลาดสมาร์ทโฟนในเวียดนาม พบว่า สมาร์ทโฟนแบรนด์เสียวหมี่ (Xiaomi) จากจีน สามารถครองส่วนแบ่งตลาดได้ถึง 12% ในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ เบียดวีโว่ (Vivo) เพื่อนร่วมชาติตกไปอยู่อันดับที่ 4
    .
    เสียวหมี่กลายเป็นแบรนด์สมาร์ทโฟนใหญ่เป็นอันดับ 3 ในเวียดนามด้วยอัตราการเติบโตของยอดจำหน่ายที่เพิ่มขึ้นถึง 114% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าแม้จะเผชิญต่อผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19
    .
    ส่วนซัมซุง (Samsung) จากเกาหลีใต้ ยังคงครองใจชาวเวียดนามเป็นอันดับ 1 โดยมีส่วนแบ่งตลาดถึง 33% รองลงมาเป็นสมาร์ทโฟนจากแบรนด์ออปโป้ (Oppo) ที่มีส่วนแบ่งตลาด 15% แต่ยอดจำหน่ายของทั้ง 2 แบรนด์นี้ตกลงอย่างหนักเมื่อเทียบปีต่อปีที่ 6% และ 21% ตามลำดับ
    .
    สำหรับแบรนด์ที่ผลิตขึ้นเองในประเทศอย่างวินสมาร์ท (VinSmart) กิจการในเครือกลุ่มบริษัทวินกรุ๊ป ครองอันดับ 4 ร่วมในตลาดสมาร์ทโฟนของประเทศ ด้วยส่วนแบ่งตลาด 9%
    .
    วินสมาร์ทเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นแรกของบริษัทในช่วงปลายปี 2561 และผลิตสมาร์ทโฟน 5G รุ่นแรกที่ร่วมมือกับบริษัทควอลคอมม์ (Qualcomm) ของสหรัฐฯ เมื่อเดือนก่อน วินสมาร์ทมุ่งเน้นกลุ่มสมาร์ทโฟนระดับล่างราคาประหยัด ที่มีราคาจำหน่ายต่ำกว่า 5 ล้านด่ง (ประมาณ 6,500 บาท)
    .
    วีโว่ แบรนด์มือถือสัญชาติจีนครองส่วนแบ่งตลาด 9% ในไตรมาสที่ 3 หลังโตขึ้น 75%
    .
    แบรนด์สมาร์ทโฟนเกือบ 10 แบรนด์ ต่างแย่งชิงอันดับ 3 ของตลาดในช่วงหลายปีมานี้ รวมทั้งแบรนด์ดังอย่างแอปเปิล แต่ไม่มีแบรนด์ใดครองตำแหน่งดังกล่าวได้นานกว่า 6 เดือน.

     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,069
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ความคืบหน้าการผลิตวัคซีนโควิด-19
    .
    รายงานพิเศษ 21 พ.ย.- พาไปดูความคืบหน้าการผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19 จากทั่วโลก รวมทั้งในไทย ซึ่งวัคซีนของแต่ละประเทศมีข้อจำกัด และผลทดสอบแตกต่างกันไป
    .
    เริ่มที่วัคซีนของบริษัทไฟเซอร์ (Pfizer) และไบออนเทค (BioNTech) สหรัฐอเมริกา ถือเป็นข่าวดีที่แสดงให้เห็นว่ามีความเป็นไปได้ที่จะผลิตวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ได้ มีชื่อเรียกว่าวัคซีนอาร์เอ็นเอ
    -ชุดแรก เตรียมการฉีดก่อนเทศกาลคริสต์มาส ความท้าทายคือการขนส่งวัคซีนที่จะต้องจัดทำภายใต้อุณหภูมิลบ 80 องศาเซลเซียส
    -ยังไม่สามารถตอบได้ว่า ผู้รับวัคซีนจะมีภูมิคุ้มกันยาวนานแค่ไหน อาจจำเป็นต้องฉีดวัคซีนกระตุ้นทุกปี เช่นเดียวกับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่
    -ข้อจำกัดคือ ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอจะไม่สามารถรับวัคซีนนี้ได้ คาดว่าจะสามารถผลิตได้จำนวน 1.3 พันล้านโดสภายในสิ้นปีหน้า แต่บริษัททั้งสองสามารถร่วมมือกับผู้ผลิตวัคซีนรายอื่นๆ เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตให้มากขึ้นได้ เช่นร่วมมือกับประเทศไทย
    .
    นายแพทย์นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติเผย รัฐบาลไทยเตรียมประสานขอข้อมูลเชิงลึกกับบริษัทไฟเซอร์ (Pfizer) ผู้คิดค้นวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ในสัปดาห์ที่สามของเดือน พ.ย.นี้ ภายหลังมีการเปิดเผยผลวิเคราะห์ในขั้นแรกของวัคซีนจากบริษัทยารายใหญ่ในต่างประเทศ ว่าสามารถป้องกันไม่ให้คนติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ได้ถึง 90% ส่วนการผลิตวัคซีนที่รัฐบาลไทยสนับสนุน ยังเดินหน้าตามแผนเดิมเริ่มทดสอบในคน ต้นเดือนมกราคมปีหน้า ซึ่งวัคซีนที่ผลิตในไทย ไว้ใช้เองในประเทศ อยู่ระหว่างการพัฒนา 20 กว่าชนิด หลักๆ ที่มีความคืบหน้ามากที่สุด คือ วัคซีนชนิด mRNA และวัคซีนชนิด DNA
    1.วัคซีนชนิด mRNA พัฒนาโดยศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางวิจัยและพัฒนาวัคซีน จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย
    -ข้อจำกัดคือผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ไม่สามารถรับวัคซีนนี้ได้
    -ปัจจุบันอยู่ระหว่างทดสอบในสัตว์ทดลองเพื่อดูประสิทธิผลของวัคซีน ก่อนเริ่มทดสอบในคนราวเดือน ม.ค. ปีหน้า
    2.ส่วนวัคซีนชนิด DNA พัฒนาโดยบริษัทไบโอเน็ตเอเชีย ได้รับทุนจากรัฐบาลออสเตรเลีย ให้ทดสอบในคนระยะที่ 1 และจะมีการทดสอบระยะที่ 2 ในไทยประมาณต้นปีหน้า ซึ่งราวปลายเดือนมีนาคม 2564 ไทยน่าจะได้คำตอบว่าการกระตุ้นภูมิคุ้มกันของวัคซีนโควิดที่พัฒนาในประเทศอยู่ที่ระดับใด แต่หากประเทศไทยยังคงควบคุมโรคได้ดี จะไม่มีกลุ่มตัวอย่างเพียงพอสำหรับการทดลอง ซึ่งจำเป็นต้องไปขอความร่วมมือกับประเทศอื่นที่มีการระบาดของโรคต่อเนื่อง หรือใช้ผลที่ได้จากการทดสอบในประเทศไทยไปเทียบเคียงกับประเทศอื่นที่มีความก้าวหน้ามากกว่า เพื่อขอการรับรองจากองค์การอาหารและยาอนุมัติให้ขึ้นทะเบียน
    .
    วัคซีนของรัสเซีย
    -ขึ้นทะเบียนวัคซีนต้านโควิด ตัวที่ 2 แล้ว โดยใช้ชื่อว่า เอพิวัคโคโรนา (EpiVacCorona) มีอาสาสมัครเข้าร่วมการทดสอบทางคลินิกของวัคซีนตัวนี้ 100 คน
    -เป็นวัคซีนที่มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพด้านการกระตุ้นภูมิคุ้มกันสูง
    -ส่วนวัคซีนต้านโรคโควิด-19 ตัวแรก ที่ขึ้นทะเบียน เมื่อช่วงต้นเดือนส.ค.2563 ใช้ชื่อว่า สปุตนิกไฟว์ (Sputnik V) ตามดาวเทียมที่รัสเซียยิงขึ้นสู่อวกาศเมื่อปี 1957
    -ผลการทดสอบขั้นต้นที่สามารถกระตุ้นให้เกิดการสร้างภูมิคุ้มกันโรค
    -ผลข้างเคียงน้อย ถือเป็นวัคซีนโควิดที่ได้รับการอนุมัติเป็นชนิดแรกของโลก ตามรายงานของรอยเตอร์ อย่างไรก็ตาม ทีมวิจัยมองว่ายังต้องเดินหน้าทดสอบกับมนุษย์ในวงกว้างและในระยะยาว เพื่อดูเรื่องความปลอดภัยและประสิทธิภาพของวัคซีนต้านโควิด-19 ในระยะยาว
    -ตั้งเป้าผลิตวัคซีนโควิดให้ได้ราว 1.5-2 ล้านโดสต่อเดือนภายในสิ้นปีนี้ และจะเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 6 ล้านโดสต่อเดือนได้
    .
    ด้านเยอรมนีเผยความสำเร็จของการพัฒนาวัคซีนป้องกันโควิด-19 แซงหน้าคู่แข่งรายอื่นๆ โดยวัคซีน ที่มีชื่อว่า ซีวีเอ็นคอฟ (CVnCoV) สามารถอยู่ในสภาพอุณหภูมิห้องได้นาน ถึง 24 ชั่วโมง ไม่ต้องแช่แข็งในอุณหภูมิติดลบตลอดเวลา สามารถแช่เย็นด้วยอุณหภูมิมาตรฐานของตู้เย็นทั่วไป ทำให้ช่วยรักษาคุณภาพของวัคซีนได้ง่ายขึ้น ลดภาระในการจัดเก็บวัคซีน ถือเป็นความก้าวหน้าเหนือวัคซีนบีเอ็นที162บี2 (BNT162b2) ที่พัฒนาโดยไฟเซอร์ (Pfizer) บริษัทยายักษ์ใหญ่ของสหรัฐ ร่วมกับบริษัทไบโอเอ็นเท็ค(BioNTech) ของเยอรมนี ที่เพิ่งประกาศว่ามีประสิทธิภาพมากกว่า 90% แต่ต้องแช่แข็งไว้ที่อุณหภูมิลบ 70 องศาเซลเซียส และวัคซีนจะอยู่ได้เพียง 24 ชม.เมื่ออยู่ในตู้เย็นทั่วไป
    .
    ก่อนหน้านี้ เพจเฟซบุ๊ก “ไทยคู่ฟ้า” โพสต์เมื่อวันที่ 18 พ.ย. ว่ามีข่าวดีจากที่ประชุม ครม.มาบอก ล่าสุดประเทศไทยจะได้จองวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ล่วงหน้า จำนวน 26 ล้านโดส กับบริษัท AstraZeneca (Thailand) จำกัด และบริษัท AstraZeneca UK จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตวัคซีนที่กำลังทดสอบในคนระยะที่ 3 โดยใช้งบ 2,379,430,600 บาท ซึ่ง ครม.ได้อนุมัติแล้ว จากนั้นก็จะจัดซื้อวัคซีนที่ได้จากการจองล่วงหน้า วงเงิน 1,500 กว่าล้าน และมีค่าบริหารจัดการวัคซีน อีก 2,000 กว่าล้าน มีระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่เดือน พ.ย.63- ธ.ค.64
    .
    วัคซีนจำนวนนี้จะช่วยลดอัตราการป่วย เสียชีวิต และค่าใช้จ่ายภาครัฐในการดูแลผู้ป่วยโรคโควิด-19 ครอบคลุมคนไทย 13 ล้านคน โดยหากพัฒนาวัคซีนสำเร็จเราจะมีวัคซีนใช้ทันทีและจะเป็นประเทศแรกๆ ที่เข้าถึงวัคซีน เพราะเราได้จองซื้อล่วงหน้า ไม่เช่นนั้นอาจไม่ได้มาหรืออาจต้องจ่ายเงินซื้อในราคาสูง การจองซื้อนี้เราจะได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตมาด้วย เพื่อให้ผลิตได้เองภายในประเทศ ไม่ต้องกังวลเรื่องการขนส่งและความเสียหาย
    .
    อย่างไรก็ตาม ขณะนี้คนไทยเริ่มใส่หน้ากากป้องกันโรคลดลงจากกว่า 90% เหลือเพียง 50% จึงต้องสร้างความเข้าใจและกระตุ้นให้คนกลับมาสวมหน้ากาก ล้างมือ และเว้นระยะห่างให้ใกล้เคียงแบบเดิม เพราะไม่ว่าที่ไหนเรายังคงมีความเสี่ยงติดเชื้อโควิด-19 อยู่.

     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,069
    ค่าพลัง:
    +97,149
    กลุ่มสมาคมแพทย์เกาหลีใต้เรียกร้องใช้มาตรการคุมเข้มโควิด
    .
    โซล 21 พ.ย. – การระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกที่ 3 ในเกาหลีใต้ ยังคงดำเนินอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่กลุ่มสมาคมทางการแพทย์เรียกร้องให้ใช้มาตรการเว้นระยะห่างที่มีความเข้มงวดกว่าเดิมและรัฐบาลก็เตือนว่า อาจจะต้องมีการใช้มาตรการคุมเข้มหากยังไม่สามารถควบคุมการระบาดได้โดยไว
    .
    สมาคมโรคติดเชื้อเกาหลีและสมาคมทางการแพทย์ของเกาหลีใต้อีก 8 แห่ง กล่าววันนี้เตือนว่า หากไม่มีมาตรการที่มีประสิทธิภาพ เช่น การเว้นระยะห่างระหว่างกันที่เข้มงวด ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายวันอาจจะพุ่งไปถึง 1,000 คน ในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า
    .
    ทางกลุ่มกล่าวในแถลงการณ์ด้วยว่า ฤดูหนาวที่จะมาถืงจะเป็นความท้าทายสำคัญที่สุดในการรับมือกับโควิด-19 พร้อมกันนั้น ยังเรียกร้องให้ประชาชนร่วมสมัครใจที่จะใช้มาตรการเว้นระยะห่างเพื่อช่วยควบคุมการระบาด ในขณะเดียวกัน แม้ว่าจะมีข่าวดีเกี่ยวกับความสำเร็จในการพัฒนาวัคซีนป้องกันโควิด-19 แต่ในฤดูหนาวปีนี้ เกาหลีใต้จะต้องหยุดยั้งเชื้อไวรัสโดยที่ยังใม่มีวัคซีน
    .
    สำนักงานควบคุมและป้องกันโรคเกาหลี รายงานว่าในรอบ 24 ชั่วโมงจนถึงเที่ยงคืนวันศุกร์ พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 386 ราย ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 30,403 ราย และเสียชีวิต 503 ราย ยอดผู้ติดเชื้อทะลุเกิน 300 รายเป็นวันที่ 4 ติดต่อกัน.

     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,069
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ทุนกาสิโนจีน “ดอกงิ้วคำ” สยายปีกในลาว เล็งสร้างเพิ่มที่หัวพัน-ทุ่งไหหิน
    .
    สปป.ลาว 21 พ.ย. - “กาสิโน”สามเหลี่ยมทองคำเล็งข้ามฟากไปชายแดนเวียดนาม เตรียมสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษเพิ่มในแขวงหัวพัน และแขวงเชียงขวาง ใช้ถ้ำเวียงไซและทุ่งไหหินที่มีจุดเด่นทางประวัติศาสตร์มาใช้ดึงดูดนักท่องเที่ยว
    .
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเร็วๆนี้ นายเจ้า เหว่ย ประธานกรรมการบริหารเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ ได้เดินทางไปยังเมืองเวียงไซ แขวงหัวพัน โดยมีวันไซ แพงทุมมา เจ้าแขวงหัวพัน ให้การต้อนรับ
    .
    เจ้าแขวงหัวพันได้นำคณะของนายเจ้า เหว่ยเดินทางไปสำรวจพื้นที่สำหรับสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษขึ้น บริเวณใกล้กับสนามบินแห่งใหม่ที่กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง จากนั้นคณะของ นายเจ้า เหว่ย และเจ้าแขวงหัวพัน ได้ไปเยี่ยมชมถ้ำเวียงไซ สถานที่ประวัติศาสตร์ ซึ่งเคยถูกใช้เป็นฐานบัญชาการเพื่อการปฏิวัติลาวในอดีต
    .
    วันต่อมา นายเจ้า ได้เดินทางต่อไปยังเมืองโพนสะหวัน แขวงเชียงขวาง มีบุนต้น จันทะพอน เจ้าแขวงเชียงขวาง นำคณะมาต้อนรับ และพานายเจ้า ไปสำรวจพื้นที่บริเวณริมแม่น้ำอู และทุ่งไหหิน แหล่งมรดกโลกที่มีชื่อเสียงของเชียงขวาง
    .
    นายเจ้า เดินทางมาเชียงขวางครั้งนี้เป็นรอบที่ 2 ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 12-13 สิงหาคม นายเจ้า ได้มาพบกับเจ้าเมืองเชียงขวาง และแผนกแผนการและการลงทุน เแขวงเชียงขวาง เพื่อนำเสนอแผนลงทุนสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษขึ้นที่นี่ และได้รับการอำนวยความสะดวกจากเจ้าแขวงในการนำชมพื้นที่หลายแห่ง เช่น เขตเศรษฐกิจพิเศษคังหนองหลวง และทุ่งไหหิน
    .
    เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ ดำเนินการโดยบริษัทดอกงิ้วคำ ในเครือคิงส์ โรมัน กรุ๊ป กลุ่มธุรกิจกาสิโนที่จดทะเบียนอยู่ในฮ่องกง
    .
    บ.ดอกงิ้วคำ ได้รับสัมปทานจากรัฐบาลลาวเมื่อ พ.ศ.2550 ให้สร้างเมืองใหม่ขึ้นบนเนื้อที่ 2,173 เฮกตาร์ หรือ 13,581 ไร่ (1 เฮกตาร์ = 6.25 ไร่) ริมแม่น้ำโขง ในเขตเมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว ตรงข้ามกับอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ใช้เงินลงทุนมากกว่า 3,000 ล้านดอลลาร์ ภายในประกอบด้วย แหล่งบันเทิงครบวงจร โดยเฉพาะกาสิโน โดยมีบรรดานักเสี่ยงโชคชาวจีนจากแผ่นดินใหญ่เป็นกลุ่มลูกค้าหลัก
    .
    นอกจากนี้ ยังมีโรงแรม สนามกอล์ฟ ศูนย์การค้า อาคารพาณิชย์ โรงพยาบาล โรงเรียน วัด รวมถึงมีแผนจะสร้างสนามบินพาณิชย์ขึ้นเองในพื้นที่ เพื่อใช้รองรับลูกค้าที่บินตรงมาจากจีนเพื่อมายังที่นี่โดยเฉพาะ
    .
    เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำจัดงานเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2552 แต่สถานบันเทิงภายในเริ่มเปิดให้บริการในปี 2555
    .
    ปี 2561 มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไปในเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำรวม 452,571 คน กลางปี 2562 มีโรงแรมเปิดให้บริการในเขตนี้แล้ว 13 แห่ง ห้องพักรวม 1,303 ห้อง และเปิดเพิ่มในตอนสิ้นปีอีก 3 แห่ง
    .
    นับแต่เริ่มเปิดให้บริการในปี 2555 จนถึงกลางปี 2562 เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำได้จ่ายพันธะอากรให้แก่รัฐบาลลาวไปแล้ว 458 ล้านดอลลาร์ โดย ณ สิ้นเดือนกันยายน 2562 เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำมีรายรับรวม 150 ล้านดอลลาร์ คาดว่าปี 2568 จะเพิ่มเป็น 370 ล้านดอลลาร์ หรือเพิ่มขึ้น 150%
    .
    แผนขยายการลงทุนของบริษัทดอกงิ้วคำไปยังแขวงเชียงขวาง และหัวพันครั้งนี้ เป็นการข้ามฟากไปยังอีกด้านหนึ่งของลาว เพราะทั้ง 2 แขวง เป็นชายแดนทางทิศตะวันออกติดกับประเทศเวียดนาม ขณะที่บ่อแก้วอยู่ทิศตะวันตก
    .
    เป็นที่น่าสังเกตว่ารูปแบบการลงทุนของดอกงิ้วคำ ทั้งในบ่อแก้ว และที่จะสร้างใหม่ในเชียงขวางและหัวพัน มีความคล้ายคลึงกัน แต่ละจุดมีสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ซึ่งสามารถใช้เป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ นอกเหนือจากกาสิโน นอกจากนี้ ยังเป็นพื้นที่ซึ่งกำลังมีแผนปรับปรุงหรือสร้างสนามบินขึ้นใหม่
    .
    แขวงเชียงขวางมีทุ่งไหหินที่เพิ่งได้รับการขึ้นทะเบียนจากยูเนสโกเมื่อปลายปีที่แล้ว ขณะที่ในหัวพัน ก็ถ้ำเวียงไซ
    .
    ส่วนที่บ่อแก้ว ดอกงิ้วคำเป็นผู้สนับสนุนเงินทุนหลักในการปรับปรุงพื้นที่เมืองสุวรรณโคมคำ ซึ่งเชื่อว่าเป็นที่ตั้งของอาณาจักรโบราณอายุกว่า 1,000 ปี ก่อนยุคโยนกนาคนคร และเงินยางเชียงแสน ที่ต้องล่มสลายลงไปเนื่องจากแม่น้ำโขงเปลี่ยนทิศทาง โดยการปรับปรุงขณะนี้อยู่ระหว่างก่อสร้างวิหารครอบองค์พระเก่าแก่ที่พบในพื้นที่
    .
    หลังทุ่งไหหินได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก แขวงเชียงขวางมีแผนจะปรับปรุงสนามบินใหม่ เช่นเดียวกับในหัวพันที่กำลังอยู่ระหว่างการสร้างสนามบิน
    .
    ส่วนในเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ แผนสร้างสนามบินพาณิชย์ของดอกงิ้วคำ ได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลลาวแล้ว ขั้นตอนขณะนี้อยู่ระหว่างเตรียมการก่อสร้าง
    .
    นายเจ้า เหว่ย เป็นนักธุรกิจชาวจีนที่มีความสนิทสนมกับสมสะหวาด เล่งสะหวัด อดีตรองนายกรัฐมนตรี ซึ่งเคยมีบทบาทสูงมากในลาว
    .
    นอกจากในเมืองต้นผึ้ง นายเจ้า เหว่ย เคยเข้าไปลงทุนทำกาสิโนในเขตพิเศษหมายเลข 4 เมืองลา เมืองชายแดนรัฐฉาน-จีนมาก่อน
    .
    ปลายเดือนมกราคม 2561 กระทรวงการคลังสหรัฐอเมริกา ได้ขึ้นบัญชีดำนายเจ้า เหว่ยและภรรยา รวมถึงกลุ่มบริษัทคิงส์ โรมัน โดยให้เหตุผลว่า สามเหลี่ยมทองคำเป็นแหล่งรวมสิ่งผิดกฎหมายหลายอย่าง เช่น การค้ายาเสพติด การค้ามนุษย์.

     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,069
    ค่าพลัง:
    +97,149
    เขื่อนสามผา ไม่แตก ตระหง่านสร้างสถิติโลกฯ -

    ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา สื่อทั่วโลกต่างพาดหัวคาดการณ์จุดจบของเขื่อนสามผา เขื่อนที่ใหญ่ที่สุดในโลกตกอยู่ภายใต้แรงกดดันจากปริมาณน้ำแยงซีมหาศาล สื่อทั้งญี่ปุ่นและฝั่งตะวันตกชี้ว่าสถานการณ์ดังกล่าวเป็นสัญลักษณ์ของวิกฤตที่กำลังจะเกิดขึ้นสำหรับปักกิ่ง เมื่อระดับน้ำที่เขื่อนสามผาขึ้นสูงเป็นสถิติใหม่ทุกวัน หลายแหล่งได้ทำภาพจำลองสถานการณ์วิกฤตที่มีความเป็นไปได้ที่เขื่อนใหญ่ที่สุดในโลกจะแตก

    ล่าสุด นอกจากเขื่อนฯ ไม่แตก เมื่อวันพุธ (18 พ.ย.) ซินหัว ยังได้รายงานอ้าง ไชน่า ธรี กอร์เจส คอร์เปอเรชัน (China Three Gorges Corporation) บริษัทผู้บริหารเขื่อนสามผา ประกาศว่าเขื่อนสามผาในแม่น้ำแยงซีของจีน ได้สร้างสถิติใหม่อีกครั้ง แต่เป็นสถิติในการผลิตกระแสไฟฟ้าต่อปี

    บริษัทฯ ระบุว่าเขื่อนสามผาผลิตไฟฟ้าสูงแตะ 1.031 แสนล้านกิโลวัตต์ชั่วโมง เมื่อเวลา 08.20 น. ของวันอาทิตย์ (15 พ.ย.) ซึ่งสูงกว่าสถิติ 1.030 แสนล้านกิโลวัตต์ชั่วโมงที่บันทึกได้ที่เขื่อนอิไตปู (Itaipu Dam) ในอเมริกาใต้เมื่อปี 2016

    รายงานของบริษัทฯ ระบุว่า ไฟฟ้าพลังงานสะอาดที่ผลิตจากเขื่อนยักษ์แห่งนี้ เทียบได้กับการผลิตด้วยการเผาถ่านหินมาตรฐาน 31.71 ล้านตัน ได้ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลง 86.71 ล้านตัน ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ 20,600 ตัน และก๊าซไนโตรเจนออกไซด์ 19,600 ตัน

    ขณะเดียวกัน โครงการเขื่อนสามผาซึ่งมีการใช้ทรัพยากรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ ยังสามารถช่วยควบคุมและป้องกันน้ำท่วมตามลุ่มแม่น้ำแยงซีและผลิตกระแสไฟฟ้าอีกด้วย

    ทั้งนี้ โครงการดังกล่าว ซึ่งเริ่มเปิดใช้งานตั้งแต่ปี 2003 ประกอบด้วยเขื่อนยาว 2,309 เมตร สูง 185 เมตร พร้อมด้วยประตูเรือสัญจร 5 ระดับทางทิศเหนือและทิศใต้ และเครื่องกำเนิดไฟฟ้าพลังน้ำ 34 ตัวที่มีกำลังการผลิตรวม 22.5 ล้านกิโลวัตต์

    ..
    ข่าว - https://www.xinhuathai.com/china/15...Ij4mT7-YYFpRojKEYkqUcguPiBQfWjA1BfXEKNeECiKC0

    - https://www.globaltimes.cn/content/1205278.shtml

    https://www.japantimes.co.jp/opinion/2020/09/01/commentary/world-commentary/big-china-disaster/



     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,069
    ค่าพลัง:
    +97,149
    มังกรดำกลืนชาติ

    "จงกั๋วถงเหมิงฮุ่ย" สมาคมลับที่ผลักดันการปฏิวัติโค่นราชวงศ์ชิง ก่อตั้งโดยซุนยัตเซ็น สถานที่ก่อตั้งอยู่ในกรุงโตเกียวประเทศญี่ปุ่น เจ้าของบ้านคือ "อุชิดะ เรียวเฮ" ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้ง "สมาคมมังกรดำ" อันเป็นสมาคมชาตินิยมสุดโต่งของญี่ปุ่น ส่งเสริมความยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิญี่ปุ่น และเป็นมือไม้ให้กับกองทัพญี่ปุ่นในการรุกรานจีนและเอเชีย

    ชื่อของสมาคมมังกรดำตั้งชื่อตาม "แม่น้ำมังกรดำ" หรือเฮยหลงเจียงอันเป็นภาคอีสานของจีนหรือแมนจูเรียและเป็นแผ่นดินเดิมของชาวแมนจูที่ซุนยัตเซ็นต้องการจะโค่นล้ม การตั้งชื่อตามแม่น้ำมังกรดำแสดงให้เห็นเจตนาที่สมาคมนี้และรัฐบาลญี่ปุ่นต้องการจะทำ นั่นคือครอบครองแผ่นดินแมนจูเรีย

    ในหนังสือ "ตำนานประวัติศาสตร์แห่งจักรวรรดิ เอเชียของญี่ปุ่น" ของอุชิดะ เรียวเฮกล่าวว่าตั้งแต่ปี 1906 ซุนยัตเซ็นได้ล็อบบี้ให้รัฐบาลญี่ปุ่นและฝ่ายค้านในญี่ปุ่นเพื่อขอให้ช่วยเขาทำการปฏิวัติและหากสำเร็จเขาจะก่อตั้งประเทศในพื้นที่ทางตอนใต้ของกำแพงเมืองจีนลงมา ส่วนทางเหนือกำแพงคือแมนจูเรียจะมอบให้ญี่ปุ่นปกครองเป็นการตอบแทนความช่วยเหลือ

    นักวิชาการชาวญี่ปุ่นบางคนก็เชื่อว่าการเจรจาแบ่งเค้กประเทศจีนบรรลุข้อตกลงสำเร็จในต้นเดือนกุมภาพันธ์ 1912 ซุนยัตเซ็นและหวงซิงได้เจรจากับนักการเมืองอาวุโสของญี่ปุ่นคือ อิโนะอุเอะ คาโอรุ และยามางาตะ อะริโทโมะ โดยผ่านโมริ คะกุ ผู้ที่ต่อมาจะมีบทบาทสำคัญในการรุกรานจีนโดยญี่ปุ่นมอบเงิน 10 - 20 ล้านหยวนให้กับคณะปฏิวัติเพื่อแลกกับการที่จีนจะโอนสามมณฑลทางตอนเหนือให้ญี่ปุ่นปกครอง

    ไม่ใช่แค่ซุนยัตเซ็น แต่ผู้นำปฏิบัติ/ปฏิรูปสายอื่นๆ เช่น คังโหย่วเหวยและเหลียงฉี่เชาก็ได้รับความช่วยเหลือจากญี่ปุ่น คังโหย่วเหวยนั้นได้พบนายกรัฐนตรีญี่ปุ่นเลยด้วยซ้ำและได้รับการช่วยเหลือจากรัฐบาลญี่ปุ่นเป็นเวลานานถึง 16 ปี แต่ทั้งสองคนยังไม่เท่ากับซุนยัตเซ็นที่ติดต่อกับขบวนการนอกระบบอย่างสมาคมมังกรดำ ซึ่งในแง่หนึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเพราะซุนยัตเซ็นก็เป็นสมาชิกขบวนการนอกรีตอย่างพวกอั้งยี่เหมือนกัน

    ทำไมแกนนำปฏิวัติจีนถึงไปขอให้ญี่ปุ่นช่วยแล้วทำไมถึงทำยอมยกแผ่นดินให้ญี่ปุ่นเพื่อแลกกับความช่วยเหลือไม่กี่ล้าน? เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ขบวนปฏิวัติจีนไม่ได้แค่ "ล้มเจ้า" แต่ยังต้องการไล่คนต่างชาติ ด้วยราชวงศ์ชิงนั้นปกครองโดยชาวแมนจูซึ่งคนจีนส่วนใหญ่คือชาวฮั่นถือว่าเป็นพวกต่างด้าวท้าวต่างแดน ขบวนปฏิวัติจึงชูธงว่า "โค่นล้มต๋าลู่" ซึ่งหมายถึงการขับไล่แมนจู (ต๋า) และชาวมองโกล (ลู่) ที่ร่วมกันปกครองชาวฮั่นมานานกวาสองร้อยปี

    ในขณะเดียวกันราชวงศ์ชิงที่อ่อนแอลงก็ถูกญี่ปุ่นเช่นงานหนักจนแพ้สงครามจีน-ญี่ปุ่น ราชวงศ์ชิงจึงหันไปคบหารัสเซียแล้วทำข้อตกลงลับเพื่อต้านทานอิทธิพลญี่ปุ่น ซึ่งรัสเซียก็ตกลงด้วยเพราะญี่ปุ่นยึดเกาหลีไปจากจีนแล้วกำลังจ้องเขมือบแมนจูเรียที่รัสเซียก็ช่วงชิงไปจากจีนนั่นเอง ฝ่ายขบวนปฏิวัติเห็นรัฐบาลชิงไปคบรัสเซียจึงไม่พอใจที่ไปสมยอมฝรั่ง จึงหันไปขอพึ่งญี่ปุ่นด้วยเห็นว่าญี่ปุ่นอย่างน้อยก็เป็นคนเอเชียเหมือนกัน

    แม้ว่าญี่ปุ่นจะชนะจีนแบบราบคาบในสงครามจีน-ญี่ปุ่น แต่หลังจากนั้นญี่ปุ่นหยอดยาหอมคนจีนว่า "ที่แล้วมาเป็นความเข้าใจผิด" แล้วหันมาส่งเสริมขบวนปฏิวัติเพราะรู้ดีว่าจะหลอกใช้จากพวกนี้ได้เพื่อประโยชน์ของญี่ปุ่นเอง ด้วยการกล่อมให้เชื่อว่า "เราเอเชียเหมือนกัน" พวกปฏิวัติจีนอย่างซุนยัตเซ็นจึงไม่เห็นภัยญี่ปุ่นและยังเคยกล่าวไว้ว่า "จีนกับญี่ปุ่นเป็นประเทศเหล่าก่อเดียวกันมีวัฒนธรรมเดียวกัน เป็นพี่น้องกัน"

    เหตุที่ซุนยัตเซ็นถึงกับยอมยกสามมณฑลตอนเหนือให้ คาดว่าเพราะแถบนั้นเป็นถิ่นฐานเดิมของพวกแมนจู ในเมื่อขบวนปฏิวัติจะไล่พวกแมนจูกลับบ้านเก่าอยู่แล้ว การยอมเสียแมนจูเรียให้ญี่ปุ่นปกครองเพื่อแลกกับจงยวนกลับคืนมาเป็นของคนจีนจึงเป็นการแลกเปลี่ยนที่พอกล้อมแกล้มกันได้

    แต่ชาวต่างชาตินั้นแม้ปากจะบอกว่า "เรามีอุดมการณ์เดียวกัน" แต่แท้จริงแล้วเบื้องหลังมองคนจีนเป็นเบี้ยเป็นหมากช่วยเดินเข้าไปสู่การรุกฆาต ขณะที่ญี่ปุ่นช่วยเหลือขบวนปฏิวัติจีนสำเร็จแล้ว ญี่ปุ่นก็หันมาช่วยพวกแมนจูที่ถูกโค่นล้มไป ทั้งรัฐบาลญี่ปุ่นและสมาคมมังกรดำที่เคยช่วยซุนยัตเซ็นก็หันมามาอุ้มชูผู่อี๋ (ปูยี) อดีตจักรพรรดิที่ถูกขับออกมาจากปักกิ่ง แล้วเชิดเป็นจักรพรรดิเจว็ดที่ปกครองแมนจูเรีย

    ซุนยัตเซ็นกับผู่อี๋แม้นจะเป็นคู่กรณีกัน แต่อาจจะมีความเหมือนกันอย่างหนึ่งคือคิดว่าต่างชาติจะช่วยด้วยความบริสุทธิ์ใจ สุดท้ายแล้วทั้งสองคนเป็นแค่หมากตัวหนึ่งในแผนการอันใหญ่โตของญี่ปุ่นที่จะยึดครองเอเชียเท่านั้น และการชักศึกเข้าบ้านของทั้งขบวนปฏิวัติและราชวงศ์ชิงจะทำให้จีนตกอยู่ในภาวะพังพินาศยาวนานถึงครึ่งศตวรรษ

    อนึ่ง สหายสนิทของซุนซัตเซ็นคือมิยาซากิ โทเท็น ซึ่งเป็นสมาชิกสมาคมมังกรดำ เขาผู้นี้สนิทกับซุนยัตเซ็นมากและช่ววยตั้งชื่อญี่ปุ่นให้ คือ นากายามะ (中山) ซึ่งในภาษาจีนออกเสียงว่า จงซาน

    โทเท็นคนนี้คือผู้ริเริ่มโครงการสร้างวงไพบูลย์แห่งเอเชียในประเทศสยามโดยอพยพคนญี่ปุ่นมาทำมาหากินในสยาม (รายละเอียดในหนังสือ "สูญแผ่นดิน สิ้นอำนาจ : วาระสุดท้ายของแมนจูจากภาพถ่ายที่พบในสยาม") ส่วน ดร.ซุนก็เดินทางมายังสยามถึงสองครั้งเพื่อปลุกระดมคนจีนหัวเฉียวให้ช่วยโค่นล้มราชวงศ์ชิง จนรัฐบาลสยามต้องผลักดันออกไป แต่คนจีนในสยามนี่เองที่บริจาคเงินช่วยเหลือการปฏิวัติมากที่สุด

    มีคำกล่าวว่า "คนจีนโพ้นทะเลคือมารดาแห่งการปฏิวัติ" เพราะพวกเขาออกเงินออกแรงช่วยผลักดันให้จีนเปลี่ยนแปลงการปกครองได้สำเร็จ ในบรรดาคนจีนโพ้นทะเลที่ช่วยมากที่คือจีนในสยาม และซุนยัตเซ็นมาที่สยามถึงสองครั้ง

    เป็นเรื่องที่ยอกย้อนไม่น้อยที่ "ซุนจงซาน" ได้เงินจากคนจีนโพ้นทะเลไปทำการปฏิวัติ แต่ขณะเดียวกันก็ขอรับความช่วยเหลือจากญี่ปุ่นทั้งที่ลับที่ที่แจ้งและได้เงินจากกลุ่มองค์กรลับที่มีจุดยืนอันตราย ในกาลต่อมาญี่ปุ่นก็เผยเจตนาที่ชัดเจนที่จะเขมือบจีนและเอเชียทั้งมวล แน่นอนว่าสยามคือหนึ่งในเป้าหมายด้วย และสยามก็ระแคะระคายมานานแล้วด้วย

    แต่ซุนยัตเซ็นรู้หรือไม่? มีบางคนบอกว่าน่าจะรู้และที่ยิ่งไปกว่านั้น "ยามาโมโตะ คุมะอิจิ" ทูตญี่ปุ่นประจำประเทศสยามยังอ้างว่าซุนยัตเซ็นนั่นแหละที่เป็นเจ้าของความคิดเรื่องวงศ์ไพบูลย์แห่งเอเชีย ส่วนญี่ปุ่นเป็นคนสนองเท่านั้น

    ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม คนจีนโพ้นทะเลที่เคยออกเงินช่วยซุนยัตเซ็นก็เลยต้องหันมาออกเงินออกแรงอีกครั้ง คราวนี้มิใช่เพื่อการปฏิวัติแต่เพื่อต่อสู้กับพวกญี่ปุ่นที่คุกคามเอกราชของชาติจีน เช่นเดียวกันคนจีนในประเทศที่เพิ่งจะได้ลิ้มรสอิสระจากระบอบ "ศักดินาจักรพรรดิ" ก็ต้องมาสู้กับ "จักรพรรดินิยมญี่ปุ่น" อย่างยืดเยื้อยาวนานหลายสิบปี

    แม้แต่สวี่เหวินเฉียงตัวละครใน "เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้" ยังต้องสู้กับจักรพรรดินิยมญี่ปุ่นกับสมาคมมังกรดำกับเขาด้วยเหมือนกัน!

    (ภาพประกอบคือซุนยัตเซ็นกับหูฮั่นหมิน สองนักปฏิวัติจีนกับขบวนส่งก่อนขึ้นรถไฟไปหนานจิง ทั้งซุนยัตเซ็นและหูฮั่นหมินเคยเดินทางมาเคลื่อนไหวในสยาม แต่หูฮั่นหมินนั้นมีท่าทีต่อสยามที่แข็งกร้าวกว่า ดร. ซุนมาก)

     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,069
    ค่าพลัง:
    +97,149
    นายเซียวฮุดเสง ผู้เป็นต้นตระกูลสีบุญเรือง ท่านเคยช่วย ดร. ซุน ยัตเซ็น บิดาแห่งชาติจีน ยุคสร้างชาติ จนนายเซียวฮุดเสงเคยได้รับตำแหน่งประธานกรมการเมืองผู้ปกครองมณฑลกวางตุ้ง กว่างซี ฮกเกี้ยน ดูแลประชาชนจีนกว่า 58 ล้านคน

    นายเซียวฮุดเสง หัวก้าวหน้าเคยทำหนังสือพิมพ์แล้วมีครั้งหนึ่งได้เขียนบทความแสดงความคิดเห็นแย้งการที่รัชกาลที่ 6 เรียกคนจีนว่าเป็น ยิวแห่งบูรพาทิศ ซึ่งหลังจากนั้นก็มีคดีฟ้องร้องหมิ่นประมาทกับเจ้านายอีกท่าน แต่รัชกาลที่ 6 ท่านเมตตา หลังจำคุกหนึ่งเดือน ท่านก็อภัยโทษให้

     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,069
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ชาวประมงมากกว่า 500 คนในเมืองดาการ์ ประเทศเซเนกัล “ติดโรคผิวหนังลึกลับ” หลังกลับจากการทำประมงในทะเล
    .
    Ousmane Gueye ผู้อำนวยการด้านข้อมูลสุขภาพและการศึกษาแห่งชาติของเซเนกัลกล่าวว่า “บุคคลที่มาจากเมืองทำประมงหลายแห่งรอบๆเมืองหลวงดาการ์กำลังถูกกักกันเพื่อรับการรักษาโรคดังกล่าว”
    .
    “มันเป็นโรคผิวหนังที่เกี่ยวข้องกับการติดเชื้อ” Gueye กล่าวกับรอยเตอร์ “เรากำลังตรวจสอบเพิ่มเติมและหวังว่าจะพบในไม่ช้าว่ามันคืออะไร”
    .
    รายงานของกระทรวงสาธารณสุขกล่าวว่า กลุ่มบุคคลดังกล่าว “จะมีรอยของโรคบนใบหน้า แขน ขาและอวัยวะเพศของพวกเขา” นอกจากนี้ยังมีอาการปวดหัวและมีไข้ขึ้นเล็กน้อย
    .
    จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่ามีรายงานผู้ป่วยรายแรกเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยเป็นเด็กอายุ 20 ปี ที่มีอาการ “ผิวหนังเป็นผื่น เป็นตุ่ม” แบบที่ไม่พบบ่อย และยังมีอาการบวมที่ใบหน้า อาการริมฝีปากแห้ง รวมไปถึงอาการตาแดง
    .
    ล่าสุดทางรัฐบาลเซเนกัลได้สั่งกองทัพเรือไปเก็บตัวอย่างน้ำทะเลจากบริเวณจุดเสี่ยงต่างๆเพื่อนำมาวิเคราะห์แล้ว
    .
    เพื่อให้ท่านไม่พลาดทุกสิ่งที่น่าสนใจจากเพจ Thailand State กด Like เพจและตั้งค่า See First ⭐️ เพื่อติดตามข้อมูลดีๆได้เลยครับ
    .
    Source : https://www.reuters.com/article/us-senegal-fishermen-health-idUSKBN27Z2KK
    .
    #ThailandState #ThailandStateUpdate

     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,069
    ค่าพลัง:
    +97,149
    เมื่อวันที่ 17 พ.ย.2563 พลอากาศโทภักดี แสงชูโต ผู้ช่วยราชเลขานุการในพระองค์ฯ ปฏิบัติราชการแทน ราชเลขานุการในพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทำหนังสือถึง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม แจ้งว่า ด้วย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะเสด็จออกพร้อมด้วย สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ ท่าน พร้อมด้วยปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเข้าร่วมในพิธีพระราชทานโฉนดที่ดินในพระปรมาภิไธย ในวันอาทิตย์ ที่ 22 พฤศจิกายน 2563 เวลา 18.00 น. ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน โดยมีผู้เข้ารับพระราชทานโฉนดที่ดินในสังกัด กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม ดังนี้
    .
    - อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา เข้าเฝ้าฯ รับพระราชทานโฉนดที่ดินฯ เนื้อที่ 60 ไร่ 1 งาน 80 ตารางวา
    .
    - อธิการบดีมหาวิทยาลัยสวนดุสิต เข้าเฝ้าฯ รับพระราชทานโฉนดที่ดินฯ เนื้อที่ 37 ไร่ 1 งาน 10 ตารางวา (ดูหนังสือประกอบ)
    .
    ราคาประเมินตารางวาละ 250,000 บาท
    มูลค่าที่ดินของมหาวิทยาลัยสวนดุสิตจะอยู่ที่ราว 3,727,500,000 บาท และมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทาจะอยู่ที่ราว 6,045,000,000 บาท
    .
    มูลค่ารวมเกือบหนึ่งหมื่นล้านบาท
    .
    ทรงมีพระราชประสงค์พระราชทานเพื่อการศึกษา
    จึงเป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้
    .
    ประวัติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
    ----------------------------
    การก่อตั้งเดิมที่มหาวิทยาลัยเป็นส่วนหนึ่งของวังสวนสุนันทา ซึ่งถือเป็น เขตพระราชฐานและเป็นสถานที่ประทับ พักผ่อนพระอริยาบถของพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโดยมี พระราชประสงค์โปรดเกล้าให้มีการจัดหาดอกไม้นานาพรรณ และจัดตั้งเป็น “สวนสุนันทาอุทยาน” อันมีชื่อมาจากสวนของพระอินทร์บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์และพระนามของ สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์พระบรมราชเทวี ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีการสร้างพระตําหนักเพิ่มเติม เพื่อไว้สําหรับเป็นที่ประทับให้แก่เจ้านายฝ่ายใน รวมทั้งเป็นอาคารที่พัก สําหรับข้าราชบริพาร จํานวน 32 ตําหนักโดยพระวิมาดาเธอกรมพระสุทธาสินีนาฏปิยมหาราชปดิวรัดดา ได้ทรงโปรดให้จัดตั้ง “โรงเรียนนิภาคาร” ขึ้นภายในสวนสุนันทาเพื่อเป็นโรงเรียนสําหรับกุลสตรี ให้การศึกษา แก่บุตรีของขุนนาง ข้าราชการผู้มีบรรดาศักดิ์ และข้าหลวงจากตําหนักต่างๆ
    .
    กระทั้งในปี พ.ศ. 2475 เกิดการ เปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองที่ส่งผลกระทบต่อระบบเจ้านายเป็นอย่างมากทําให้บรรดาพระบรมวงศานุวงศ์ ในสวนสุนันทาหวั่นเกรงต่อภัยทางการเมืองจึงต่างพากันทยอยออกจากสวนสุนันทาจนหมดสิ้น ส่งผลให้วังสวน สุนันทาที่เคยงดงามถูกปล่อยให้รกร้างขาดการดูแลและทําให้โรงเรียนนิภาคารถูกยกเลิกดําเนินการไปโดย ปริยาย ครั้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล วังสวนสุนันทาที่ทรุดโทรมได้รับการฟื้นฟู กลับมาสวยงามอีกครั้ง โดยคณะรัฐมนตรีมีมติให้ใช้พื้นที่ของวังสวนสุนันทาให้เกิดประโยชน์โดยแปรจาก ราชสํานักฝ่ายในเป็นสถานศึกษาและได้จัดตั้งเป็นสถานศึกษาของชาติ อันก่อเกิดพัฒนาการของมหาวิทยาลัย ราชภัฏสวนสุนันทามาเป็นลําดับ
    .
    ประวัติ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต
    ----------------------------
    มหาวิทยาลัยสวนดุสิตจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นโรงเรียนการเรือนแห่งแรกของประเทศไทย ชื่อ“โรงเรียนมัธยมวิสามัญการเรือน” สังกัดกองอาชีวศึกษา กรมวิชาการ กระทรวงธรรมการ (กระทรวงศึกษาธิการ) เปิดดำเนินการเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ.2477 ที่วังกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ (ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัย-เทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตพณิชยการพระนคร) มีจุดมุ่งหมายเพื่ฝึกอบรมการบ้านการเรือนสำหรับสตรีหลักสูตร 4 ปี และได้เริ่มเปิดสอนหลักสูตรอบรมครูการเรือนขึ้นเป็นครั้งแรกมีความมุ่งหมายเพื่อเตรียมผู้ที่จะออกไปมีอาชีพครูในแขนงนี้ ต่อมาในปี พ.ศ.2480 ได้ย้ายมาอยู่ที่วังจันทรเกษม(กระทรวงศึกษาธิการในปัจจุบัน) และเปลี่ยนชื่อจากโรงเรียนมัธยมวิสามัญการเรือนมาเป็น “โรงเรียนการเรือนวังจันทรเกษม” สังกัดกองและกรมเดิม โดยเปิดสอนหลักสูตรมัธยมการเรือน (หลักสูตร 3 ปี) และหลักสูตรการเรือนชั้นสูง (หลักสูตร 3 ปี) เพิ่มเติมในปี พ.ศ. 2484 ได้ย้ายจากวังจันทรเกษมมาตั้งอยู่ในบริเวณสวนสุนันทา บนพื้นที่ประมาณ 37 ไร่ ซึ่งเป็นบริเวณที่ตั้งมหาวิทยาลัยในปัจจุบันและเปลี่ยนชื่อเป็น “โรงเรียนการเรือนพระนคร” ย้ายสังกัดจากกองอาชีว-ศึกษาไปสังกัดกองฝึกหัดครูกรมสามัญศึกษา ในขณะเดียวกันกระทรวงศึกษาธิการก็ได้จัดตั้ง “โรงเรียนอนุบาลละอออุทิศ” ขึ้น ในบริเวณพื้นที่เดียวกันกับโรงเรียนการเรือนพระนคร สังกัดกองฝึกหัดครู กรมสามัญศึกษา แต่แยกส่วนการบริหารจัดการออกจากกันเมื่อกระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศตั้งกรมการฝึกหัดครูขึ้นตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม ฉบับ พ.ศ. 2497 เพื่อรวมการฝึกหัดครูที่จัดขึ้นในกรมต่างๆ เข้าด้วยกัน เพื่อเป็นการประหยัดและเพิ่มพูน ประสิทธิภาพในการปรับปรุงการผลิตครูทั้งด้านปริมาณและคุณภาพ โรงเรียนการเรือนพระนครจึงย้ายมาสังกัดกรมการฝึกหัดครู ในปี พ.ศ. 2498 และได้โอนแผนกฝึกหัดครูอนุบาลจากโรงเรียนอนุบาลละอออุทิศ มาสังกัด โรงเรียนการเรือนพระนคร
    .
    พุทธศักราช 2558 มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิตตามพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยราชภัฏ พ.ศ. 2547 เป็นมหาวิทยาลัยสวนดุสิต ตามพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยสวนดุสิต พ.ศ. 2558 ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษาในวันที่ 17 กรกฏาคม พ.ศ. 2558 และมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 18 กรกฏาคม พ.ศ. 2558 มีฐานะเป็นหน่วยงานในกำกับของรัฐ ภายในการกำกับดูแลของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
    .
    โดยที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้ทรงลงพระปรมาภิไธยในวันที่ 16 กรกฏาคม พ.ศ. 2558 อันถือเป็นสิริมงคลยิ่งแก่มหาวิทยาลัย สภามหาวิทยาลัยในการประชุมครั้งที่ 1/2558 เมื่อวันที่ 24 กรกฏาคม 2558 จึงกำหนดให้วันดังกล่าว คือวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 เป็นวันเกิดของมหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำหรับการเปลี่ยนแปลงสถานะในครั้งนี้ มหาวิทยาลัยสวนดุสิตไม่ถือเป็นส่วนราชการ และไม่เป็นรัฐวิสาหกิจ แต่เป็นหน่วยงานของรัฐ ที่อยู่ภายใต้การกำกับของรัฐ ทำให้มหาวิทยาลัยสามารถกำหนดหรือออกรูปแบบการบริหารจัดการด้วยตนเองได้อย่างมีอิสระและความคล่องตัวในการบริหารจัดการมากยิ่งขึ้น ทั้งการบริหารงานทั่วไป การบริหารจัดการงบประมาณ การบริหารงานบุคคล และการบริหารงานวิชาการ โดยมหาวิทยาลัยยังคงมีภารกิจของสถาบันอุดมศึกษาตามเดิม
    -------------------------------
    แหล่งข่าว
    - https://ssru.ac.th/about_history-of-ssru.php
    - http://www.dusit.ac.th/history-university
    -------------------------------
    ติดตามข้อมูลข่าวสาร รู้ไทย รู้โลก กับ Thailand Vision ได้ที่
    Website : http://www.thailandvision.co
    Facebook : https://www.facebook.com/thvi5ion
    Twitter : https://twitter.com/Thailand_vision
    Youtube : https://www.youtube.com/c/Thailandvision

     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,069
    ค่าพลัง:
    +97,149
    “ขนส่ง” ย้ำอีกรอบประกาศคมนาคมเรื่องค่าขนของบนแท็กซี่ ราคา 20-100 บาท จะเก็บเฉพาะกรณีเดินทางไป “สุวรรณภูมิ-ดอนเมือง” เท่านั้น “วีลแชร์-ของติดตัวเป้-กระเป๋าถือ” ไม่รวมคิดเป็นค่าขนของ เข้มโชเฟอร์ห้ามฉวยโอกาสเอาเปรียบ
    .
    นายธานี สืบฤกษ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก และโฆษกกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า ตามประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดอัตราค่าบริการอื่น กรณีการจ้างโดยมีบริการพิเศษสำหรับรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกินเจ็ดคน (TAXI-METER) ที่จดทะเบียนในเขตกรุงเทพมหานคร 2563 นั้น
    .
    มีผลแล้ว 17 พ.ย.
    .
    ได้มีการกำหนดอัตราค่าบรรทุกสัมภาระไว้ โดยจำกัดเฉพาะการใช้บริการรถแท็กซี่จากท่าอากาศยานดอนเมือง หรือท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ หรือการจ้างจากสถานที่อื่นไปยังท่าอากาศยานดอนเมืองหรือท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเท่านั้น และมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 17 พ.ย. 2563 เป็นต้นไป
    .
    ส่วนการใช้บริการรถแท็กซี่เส้นทางในเมืองทั่วไปที่ไม่ได้มีต้นทางหรือปลายทางไปยังท่าอากาศยานทั้งสองแห่ง จะมีเพียงค่าโดยสารตามมาตรค่าโดยสารที่ปรากฏตามปกติเท่านั้น ไม่มีการเก็บค่าสัมภาระเพิ่มแต่อย่างใด
    .
    มีผลแล้ว! จ้าง “แท็กซี่” บรรทุกสัมภาระคิดค่าบริการเริ่มต้น 20 บาท/ชิ้น
    เก็บเงินได้เฉพาะไป “สุวรรณภูมิ-ดอนเมือง” เท่านั้น
    .
    ทั้งนี้ สัมภาระตามประกาศกระทรวง ดังกล่าว หมายถึง สินค้า สิ่งของ อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ ที่มีการบรรจุกล่อง กระเป๋า มัดรวม หรือบรรจุหีบห่อ และที่ไม่มีการบรรจุแต่มีขนาด ปริมาณ ความกว้าง ความสูงเกินกว่าจะเป็นสัมภาระติดตัว โดยมีรายละเอียดกำหนดอัตราค่าบริการ ซึ่งคนขับต้องแจ้งอัตราค่าบริการเพื่อให้ผู้โดยสารทราบล่วงหน้าก่อนทำการรับจ้างทุกครั้ง ดังนี้
    .
    1.สัมภาระขนาดใหญ่หรือกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ ที่มีขนาดความกว้าง ความยาว หรือความสูงด้านใดด้านหนึ่ง เกินกว่า 26 นิ้วขึ้นไป ให้เรียกเก็บค่าบริการในอัตราชิ้นละไม่เกิน 20 บาท

    2.สัมภาระขนาดเล็กหรือกระเป๋าเดินทางขนาดเล็ก ที่มีขนาดความกว้าง ความยาว หรือความสูงด้านใดด้านหนึ่ง ไม่เกิน 26 นิ้ว แต่มีจำนวนหลายชิ้น ให้เรียกเก็บค่าบริการตั้งแต่ชิ้นที่ 3 ขึ้นไป ในอัตราชิ้นละไม่เกิน 20 บาท

    3.อุปกรณ์การกีฬาจำพวก ถุงกอล์ฟ รถจักรยาน วินด์เซิร์ฟ หรือเครื่องดนตรี ซึ่งมีขนาดตั้งแต่ 50 นิ้วขึ้นไป ให้เรียกเก็บค่าบริการในอัตราชิ้นละไม่เกิน 100 บาท

    4.กรณีสัมภาระเป็นสินค้า สิ่งของ อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ ที่บรรจุกล่อง และที่มิได้มีการบรรจุกล่อง แต่มีการมัดรวมหรือหีบห่อรวมกันไว้ ซึ่งมีขนาดตั้งแต่ 50 นิ้วขึ้นไป ให้เรียกเก็บค่าบริการในอัตราที่บรรจุกล่อง มัดรวมหรือหีบห่อชิ้นละไม่เกิน 100 บาท
    .
    โดยในการวัดขนาดของสัมภาระ จะไม่วัดรวมล้อหรืออุปกรณ์ที่ช่วยในการเคลื่อนที่ เช่น กระเป๋าเดินทางที่มีล้อเลื่อนจะวัดขนาดแค่เพียงส่วนที่เป็นตัวกระเป๋านั้นโดยไม่รวมล้อ
    .
    วีลแชร์-ของติดตัว ไม่คิดเป็นค่าสัมภาระ
    .
    นอกจากนี้ จะไม่มีการจัดเก็บค่าบริการเพิ่มเติมในกรณีสัมภาระนั้นเป็น รถเข็น หรืออุปกรณ์สำหรับคนพิการ ผู้สูงอายุ หรือผู้ป่วย เช่น วีลแชร์ ไม้เท้า รวมถึงสัมภาระติดตัว ที่อยู่ในความดูแลของผู้โดยสารระหว่างการเดินทาง เช่น กระเป๋าถือ กระเป๋าคอมพิวเตอร์ เป้สะพายหลัง โดยกรมการขนส่งทางบกได้ประสาน บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ประชาสัมพันธ์รายละเอียดการใช้บริการรถแท็กซี่และอัตราค่าบริการสัมภาระให้ผู้โดยสารที่ต้องการใช้บริการรถแท็กซี่ทราบก่อนใช้บริการ
    ..
    ฮึ่มโชเฟอร์อย่าฉวยโอกาส
    .
    รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวทิ้งท้ายว่า ขอให้ผู้ขับรถแท็กซี่ปฏิบัติตามประกาศกระทรวงฯ และข้อกำหนดเพื่อความปลอดภัยในการให้บริการอย่างเคร่งครัด และตระหนักถึงความสำคัญของการให้บริการที่ดี ห้ามฉวยโอกาสเอาเปรียบผู้โดยสารโดยเด็ดขาด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชน
    -------------------------------
    แหล่งข่าว
    - https://www.prachachat.net/property/news-559917
    -------------------------------
    ติดตามข้อมูลข่าวสาร รู้ไทย รู้โลก กับ Thailand Vision ได้ที่
    Website : http://www.thailandvision.co
    Facebook : https://www.facebook.com/thvi5ion
    Twitter : https://twitter.com/Thailand_vision
    Youtube : https://www.youtube.com/c/Thailandvision

     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,069
    ค่าพลัง:
    +97,149
    21.11.20

    ถ้ายังจำเรื่องราวของ เจ้าหน้าที่ดับเพลิง Øst 110-sentral สั่งซื้อ แอลกอฮอล์ ความเข้มข้น 70% จาก บริษัทผลิตสุรา เนื่องจากไม่สามารถหาซื้อได้ เพราะของขาดตลาด กลายเป็นว่า ถูกคิดภาษีสุรา ราคาสูงเกือบ 3 หมื่น Kr วันนี้ แอด มีบทสรุปของเรื่องราวนี้มาฝากกันค่ะ

    อ่านความเดิมตอนที่แล้วได้ที่
    พนักงานดับเพลิงอึ้ง! สั่งซื้อ แอลกอฮอล์ ราคา 2,500 แต่โดนภาษี เกือบ 3 หมื่น Kr!


    1.เจ้าหน้าที่ดับเพลิงฯ ต้องช็อคกับบิลที่มีราคา + ภาษี + MVA แพงหูฉีก จากราคา แอลกอฮอล์ ความเข้มข้น 70% ราคา 50 ลิตร คือ 2,500 Kr แต่หลังจากภาษี ทำให้บิลเรียกเก็บเงินสูงถึง 37,425Kr กันเลยทีเดียว

    2.บริษัท Arcus ได้จัดส่ง ส่ง แอลกอฮอล์ เพื่อฆ่าเชื้อ 28,000 ลิตร ไปยังโรงพยาบาล สำนักงานแพทย์ บริการฉุกเฉิน ต่างๆ ในช่วงเริ่มแรกของการระบาด เนื่องจากของขาดแคลน แต่กลายเป็นว่า หลายหน่วยงาน ถูกเรียกเก็บภาษีในภายหลังในราคาที่แพงหูฉีก

    3.หลังจากนั้น บริษัทผู้ผลิตสุรา Arcus ได้พยายามร้องเรียนไปที่ Skatteetaten หลายครั้งเพื่อขอยกเว้นภาษีให้ เจ้าหน้าที่ดับเพลิง รวมไปถึง หน่วยงานราชการอื่นๆด้วย เนื่องเพราะนำ แอลกอฮอล์ มาใช้ในการควบคุมการระบาด หรือ ใช้ฆ่าเชื้อทำความสะอาด ไม่ได้นำมาบริโภค เองคำร้องของ บริษัท Arcus เรื่องการยกเว้นภาษี ถูกปฏิเสธในตอนแรก แต่ บริษัท ได้ยื่นอุธรณ์ต่อ เนื่องจากมันไม่มีเหตุผลเลย ที่จะเรียกเก็บภาษีแพงหูฉีก ขนาดนี้กับหน่วยงานที่พยายามช่วยชีวิตผู้คน

    4.ขณะนี้ Skatteetaten ได้ตัดสินใจ ยกเว้น และ ยกเลิกการเรียกเก็บภาษีแอลกอฮอล์ทั้งหมด จาก ทุกหน่วยงานที่โดนเรียกเก็บ เป็นที่เรียบร้อย โดยให้เหตุผลว่า "กรณีนี้ถือเป็นเหตุฉุกเฉินระดับชาติ" Skatteetaten ได้ประเมินความจำเป็นจากข้อมูลที่มีทั้งหมด เกี่ยวกับการระบาดของ โคโรน่าไวรัส

    5.ทางด้าน Erik Bern รองประธานบริหารของ Arcus ดีใจที่ Skatteetaten กลับคำตัดสิน ในวิกฤตระดับชาติ ก็ควจจะต้องมีข้อยกเว้นและนี่เป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาด..บริษัท จะแจ้งให้ลูกค้าทุกคนทราบเกี่ยวกับการตัดสินจาก Skatteetaten นาย Bern ยังกล่าวต่อว่า ลูกค้าต้องดีใจมากแน่ๆ

    เพิ่มเติม : ขอแสดงความยินดีกับ เจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงาน ที่ได้รับการยกเว้นภาษีนะคะ เรื่องนี้ขอชื่นชม บริษัท Arcus ที่ไม่ยอมแพ้
    .
    อ่านรวมข่าว และ มาตรการโคโรน่าต่างๆของ ประเทศนอร์เวย์
    http://norgetiltak.blogspot.com

    อ่าน นอร์เวย์สไตล์วาไรตี้
    https://www.blockdit.com/norwaystyle

    #นอร์เวย์ #ข่าวนอร์เวย์ #norway #รายงานข่าวประจำวัน
    .
    แปลภาษาไทยโดย Facebook เรื่องแปล - ข่าวนอร์เวย์
    https://www.facebook.com/whatisgoingoninnorway

    ผู้ทำข่าวต้นฉบับ :
    Mette Finborud Børresen : Journalist

    ข่าวต้นฉบับ NRK :
    https://www.nrk.no/innlandet/skatteetaten-snur-_-ingen-alkoholavgift-pa-nodsprit-1.15251935

     

แชร์หน้านี้

Loading...