ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    พบดวงไฟลึกลับบนท้องฟ้าในสหรัฐ หวั่นซ้ำรอยอุกกาบาตตกที่รัสเซีย
    17 กุมภาพันธ์ 2556 เวลา 16:10 น. | อ่าน 1,602
    [​IMG]

    มีผู้พบเห็นดวงไฟเคลื่อนที่อยู่เหนือท้องฟ้า ที่สหรัฐ สร้างความตื่นตกใจ เพราะเกรงจะเกิดเหตุซ้ำรอยกับเหตุอุกกาบาตตกที่รัสเซีย
    ภาพที่เห็นอยู่นี้ ถ่ายไว้ได้โดยกล้องที่ติดอยู่ด้านหน้ารถในสหรัฐ ทำให้เห็นลูกไฟส่องสว่างค่อยๆ เคลื่อนที่ไปข้างหน้าเหนือท้องฟ้า อ่าวซานฟรานซิสโก ในยามค่ำคืน สร้างความตื่นตกใจให้แก่ผู้ที่พบเห็น เนื่องจากกลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์เหมือนกับเหตุอุกกาบาตตกในรัสเซียเมื่อ 2 วันก่อน ซึ่งทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บนับ 1,000 คน แต่ในท้ายที่สุดแล้วดวงไฟลึกลับก็หายไปในความมืด และไม่มีรายงานเกิดความเสียหายใดๆ เกิดขึ้น ซึ่งจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีรายละเอียดชัดเจนว่าดวงไฟดังกล่าวคือดาวตก หรือเป็นวัตถุอะไรกันแน่

    ผู้สื่อข่าว : จุฑารัตน์ เอี่ยมอำพันธ์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • image.jpg
      image.jpg
      ขนาดไฟล์:
      21.8 KB
      เปิดดู:
      2,291
  2. iamprateep

    iamprateep เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    448
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,685
    ผมตามอ่านโพสส์ คุณสุกิจSukit มาช่วงนึงแล้ว
    ข้อมูลเร็วฉับใวดีครับ ไม่ได้กดไลค์เพราะกดไม่ทัน งานการผมเยอะอยู่ แต่ก็ขอขอบคุณมากๆ
    สำหรับข้อมูลดีๆที่นำมาฝากกันด้วยเจตนาที่ดีๆนะครับ ...

    ขอกดไลค์ให้หลายๆไลค์เลยนะครับ กดผ่านโพสส์นี้นะ เป็นการกดให้ในใจครับ
    นั่นก็คือ"อนุโมทนาด้วย"นั่นเองล่ะคร๊าบ

    ^_^
    _/\_

    "รักกันใว้เถิด"
    ..............................................................................
     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ภูเขาไฟ ใต้ธารน้ำแข็ง..,รู้ได้อย่างไร ว่าภูเขาไฟจะระเบิด?

    (1/2) > >>

    มาดามเฟ:
    ธารน้ำแข็งละลาย!! จับตาอุทกภัย...ไทยเสี่ยง?

    ดูชัดๆ
    http://www.youtube.com/v/BicT13ecUbc&hl=en_US&fs=1

    ช่วงนี้ภัยธรรมชาติบนโลกมนุษย์เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นแผ่นดินไหวที่ประเทศจีน หรือล่าสุดเกิดเหตุภูเขาไฟใต้ธารน้ำแข็งไอย์ยาฟยัลลาโยกูล ทางตอนใต้ของเกาะไอซ์แลนด์ระเบิดปะทุเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ส่งผลให้เกิดกลุ่มควันและเถ้าละอองปลิวฟุ้งขึ้นเต็มท้องฟ้าก่อให้เกิดอันตรายกับเครื่องยนต์ไอพ่นของเครื่องบินโดยสารจนประเทศในแถบยุโรปประกาศปิดน่านฟ้า สร้างความเสียหายต่อธุรกิจการบินจำนวนมากจนเป็นข่าวโด่งดังไปทั่วโลก

    การปะทุของภูเขาไฟในไอซ์แลนด์ครั้งนี้ เกิดห่างจากเมืองเรคยาวิกไปทางตะวันออกราว 120 กม. ซึ่งนับเป็นครั้งที่ 2 ในรอบไม่ถึงหนึ่งเดือนจากการปะทุเมื่อวันที่ 20 มีนาคมที่ผ่านมา หลังเคยสงบเงียบมานานเกือบ 200 ปี โดยปรากฏการณ์ครั้งนี้นอกจากจะสร้างความเสียหายต่อการสัญจรทางอากาศครั้งใหญ่สุดนับตั้งแต่เหตุวินาศกรรมปี 2544 เป็นต้นมาแล้ว หลายคนยังกังวลว่าการเกิดเหตุดังกล่าวอาจเป็นสัญญาณเตือนถึงการเกิดอุทกภัยครั้งร้ายแรง อันเนื่องมาจากความร้อนของลาวาที่ปะทุจะส่งผลให้ธารน้ำแข็งละลาย!!

    สาเหตุหลักของการเกิดระเบิดของภูเขาไฟใต้ธารน้ำแข็งที่ไอซ์แลนด์บ่อยครั้งมี 2 สาเหตุ โดย รศ.ดร.วีระชัย สิริพันธ์วราภรณ์ ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และ ศูนย์ความเป็นเลิศทางด้าน ฟิสิกส์ ให้ความรู้ว่า สาเหตุที่หนึ่งเกิดจากการที่เกาะไอซ์แลนด์ตั้งอยู่บนจุดที่เรียก ว่า “จุดร้อน” (Hot Spot) ซึ่งเป็นบริเวณที่แมกมาจากที่ ลึกลงไปจากพื้นโลกมากกว่า 2,000 กิโลเมตร ผุดขึ้นมาที่พื้นผิวและผลักดันให้พื้นดินบริเวณนั้นสูงขึ้นเป็นภูเขาไฟ คล้ายคลึงกับการเกิดที่เกาะฮาวาย แต่มีความแตกต่างกันตรงที่เกาะไอซ์แลนด์ไม่มีร่องรอยของเกาะภูเขาไฟโบราณปรากฏหลงเหลือให้เห็น ในขณะที่แผ่นเปลือกโลกเคลื่อนที่ไป

    สาเหตุที่สองคือเกาะไอซ์แลนด์ตั้งอยู่บนขอบของแผ่นเปลือกโลกที่แยกออกจากกัน คือแผ่นเปลือกโลกยูเรเซีย และแผ่นเปลือกโลก อเมริกาเหนือ เมื่อทั้งสองแผ่นแยกออกจากกันจะทำให้แมกมาที่กักอยู่ใต้พื้นโลกลึกไม่เกิน 20 กิโลเมตร ผุดขึ้นมาปรากฏที่พื้นโลก ซึ่งโดยปกติแล้วการแยกออกจากกันของแผ่นเปลือกโลกจะทำให้เกิดเป็นแนวเทือกเขาภูเขาไฟใต้น้ำที่ไม่ค่อยโผล่พ้นผิวน้ำมากเท่าไหร่ การปะทุมักจะไม่รุนแรง

    ความสลับซับซ้อนทางธรณีของพื้นผิวบริเวณนี้ทำให้พื้นที่บริเวณเกาะไอซ์แลนด์มีภูเขาไฟมากถึง 130 ลูก และได้ปะทุไปแล้ว 18 ลูก การปะทุของภูเขาไฟบริเวณนี้เกิดขึ้นต่อเนื่องมีการประมาณกันว่าประมาณ 1 ใน 3 ของลาวาที่ออกมาที่ผิวโลกอยู่ในพื้นที่บริเวณนี้

    นอกจากบริเวณเกาะไอซ์แลนด์แล้วยังมีพื้นที่เสี่ยงที่มีความเป็นไปได้อีก เนื่องจากภูเขาไฟมีอยู่หลายแห่งทั่วโลก โดยที่บริเวณวงแหวนแห่งไฟ (Ring of Fire) อยู่ในมหาสมุทร แปซิฟิกก็เป็นพื้นที่หนึ่งที่มีการปะทุของภูเขาไฟบ่อยครั้ง และอยู่ทางภาคใต้ไม่ห่างจากประเทศไทยมากเท่าใด ซึ่งในปี ค.ศ.1991 การระเบิดของภูเขาไฟพินาทุโบ (Pinatubo) ในประเทศฟิลิปปินส์ ก็เป็นการระเบิดที่รุนแรงและส่งผลต่อสภาพอากาศในประเทศไทยด้วยเช่นกัน ซึ่งประเทศอินโดนีเซียก็เป็นอีกประเทศหนึ่งที่มีภูเขาไฟอยู่มาก

    อย่างไรก็ตามภูเขาไฟที่อยู่ใต้ธารน้ำแข็งมีความรุนแรงมากกว่าลักษณะอื่นหรือไม่ รศ.ดร.วีระชัย ให้ความเห็นว่า ความจริงแล้วการระเบิดของภูเขาไฟมีความรุนแรงด้วยกันทั้งนั้น การระเบิดของภูเขาไฟมีสองชนิดหลักด้วยกัน คือ การระเบิดที่รุนแรงที่พ่นเอาเถ้า ควัน ฝุ่นต่าง ๆ ขึ้นไปในอากาศ กับ อีกประเภทหนึ่งคือปล่อยเอาเฉพาะลาวาออกมา พวกนี้ จะไม่ส่งผลต่อชั้นบรรยากาศมากเท่ากับชนิดแรก อาจจะดูเป็นแสงไฟสวยงามในตอนกลางคืน

    สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับภูเขาไฟใต้ธาร น้ำแข็งไอย์ยาฟยัลลาโยกูลครั้งนี้ถือเป็นการระเบิดที่รุนแรงอยู่แล้ว และรุนแรงมากขึ้น เพราะมีธารน้ำแข็ง ขนาดใหญ่ไปอุดช่องปะทุ ของมัน ทำให้ความดันที่ สะสมมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงในเรื่องน้ำท่วม จากธารน้ำแข็งละลายอีกด้วย

    ดังนั้นจึงต้องรอลุ้นเหตุอุทกภัยครั้งร้ายแรงที่จะเกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้าว่าจะเป็นอย่างไร ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ต่างให้ความสำคัญและศึกษาค้นคว้ากันอย่างต่อเนื่อง ส่วนประเทศไทยเราจะมีความเสี่ยงมากน้อยแค่ไหนขอให้ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิดต่อไป.

    ผลกระทบจาก 'เถ้าภูเขาไฟ'

    วเรศ วีระสัย อาจารย์ประจำภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวถึงการระเบิดของภูเขาไฟใต้ธารน้ำแข็ง และการฟุ้งกระจายของเถ้าภูเขาไฟว่า เป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางเคมีฟิสิกส์ที่ซับซ้อนรุนแรง โดยเถ้าภูเขาไฟเกิดจากการที่ลาวาปลดปล่อยก๊าซออกมา เมื่อลาวาร้อนไปสัมผัสกับน้ำจึงทำให้น้ำกลายเป็นไอน้ำอย่างรวดเร็ว ก่อให้เกิดการระเบิดของภูเขาไฟปะทุพ่นฝุ่นควันภูเขาไฟออกมาเป็นจำนวนมาก ลาวาร้อนที่พ่นขึ้นมา เมื่อสัมผัสกับความเย็นจะกลายเป็นเศษหินและเศษแก้ว ส่วนฝุ่นควันที่พวยพุ่งขึ้นมาส่วนใหญ่จะเป็นขี้เถ้ากับไอน้ำ

    ลักษณะการฟุ้งกระจายและการคงอยู่ในชั้นบรรยากาศของเถ้าภูเขาไฟ จะขึ้นอยู่กับลักษณะการประทุ ทิศทางลมที่ชั้นความสูงต่าง ๆ สภาพทางอุตุนิยมวิทยา แรงโน้มถ่วงของโลก และที่สำคัญคือ ขนาดของมวลสารและความหนาแน่น ซึ่งถ้าเป็นเถ้าภูเขาไฟที่มีขนาดใหญ่ก็จะฟุ้งกระจายไม่นาน และจะตกลงสู่พื้นดินหรือมหาสมุทร แต่เหตุการณ์ครั้งนี้เถ้าภูเขาไฟมีขนาดเล็กประกอบกับอิทธิพลของลมที่เคลื่อนที่ไปทางทิศตะวันออกทำให้เถ้าภูเขาไฟถูกพัดฟุ้งกระจายไปทั่ว ส่งผลให้หลายประเทศในทวีปยุโรปได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก

    สำหรับสาเหตุที่เถ้าภูเขาไฟส่งผลกระทบต่อการบิน เนื่องมาจากเถ้าภูเขาไฟเหล่านี้สามารถลอยตัวสู่ชั้นบรรยากาศ ที่สูง ซึ่งเป็นชั้นที่การบินใช้เป็นเส้นทางจราจร เมื่อเครื่องบินบินผ่านเถ้าภูเขาไฟเหล่านี้ เครื่องบินจึงเปรียบเสมือนถูกทรายพ่นใส่ส่งผลให้ลำตัวเครื่องบินและเครื่องจักรเกิดความเสียหาย

    มาดามเฟ:

    เอ็กแซมเปิลดอทคอม - เป็นเวลามากกว่าหนึ่งสัปดาห์ ที่ภูเขาไฟไอยาฟยาพลาเยอร์คูดุล เผยโฉมถึงอำนาจอันทรงพลัง และวิดีโอชุดใหม่ถูกโพสต์บนเครือข่ายสังคมออนไลน์ แสดงถึงความความเคลื่อนไหวอันน่าตื่นตะลึงบริเวณปากป่องภูเขาไฟ ขณะที่มันปะทุพ่นเถ้าถ่าน และกลุ่มควันสู่อากาศจนก่อความวุ่นวายไปทั่วโลก

    ภูเขาไฟใต้ธารน้ำแข็งไอยาฟยาพลาเยอร์คูดุล ในไอซ์แลนด์ ตื่นจากหลับใหลอีกครั้งเมื่อเดือนที่แล้ว หลังจากอยู่ในความเงียบสงบมานานเกือบ 200 ปี มันเกิดปะทุรุนแรงในวันพุธที่ 14 เมษายน พร้อมพ่นเถ้าถ้าน กลุ่มควัน และไอขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ จากนั้นเถ้าถ่านก็เคลื่อนตัวปกคลุมทั่วยุโรป ก่อความโกลาหลแก่การจราจรทางอากาศที่ส่งผลให้มีผู้โดยสารตกค้างทั่วโลกหลายล้านคน

    วิดีโอชุดใหม่นี้ถ่ายลงมาจากเครื่องบินลำหนึ่งที่บินวนเหนือไอยาฟยาพลาเยอร์คูดุล และปรากฏให้เห็นกลุ่มควัน ไอ และเถ้าถ่าน กำลังลอยขึ้นสู่อากาศ ขณะเดียวกัน ก็เห็นลาวาสีแดงก็ถูกพ่นออกมาจากปากปล่องภูเขาไฟลูกนี้

    แต่ที่น่าตื่นตะลึงที่สุด คือ คลื่นสะท้อนของเสียงระเบิด ที่ปรากฏออกมาอย่างชัดเจน พร้อมกับการระเบิดของลาวาในแต่ละครั้ง ทั้งนี้ กลุ่มควัน ไอ และเถ้าถ่าน ส่งผลกระทบต่อทัศนวิสัย ขณะที่คลื่นสะท้อนของเสียงระเบิดก่อให้เกิดแรงกระเพื่อมโดยรอบ

    มาดามเฟ:

    รู้ได้อย่างไรเมื่อ “ภูเขาไฟ” จะระเบิด?

    แม้การประทุของภูเขาไฟในไอซ์แลนด์จะไม่คร่าชีวิตผู้คนโดยตรง แต่ได้สร้างความเดือดร้อนไปทั่วโลก โดยเฉพาะการสัญจรทางอากาศในยุโรปต้องหยุดชะงักลง เนื่องจากเถ้าถ่านที่พวยพุ่งออกมาอาจสร้างความเสียหายต่อเครื่องบินได้ หากแต่ภัยพิบัติทางธรรมชาตินี้ยังส่งสัญญาณเตือนให้คนเราเตรียมรับมือได้ทัน

    เราไม่อาจคาดการณ์แผ่นดินไหวได้ล่วงหน้า แต่สำหรับภูเขาไฟแล้ว ความคุกรุ่นที่ก่อตัวอยู่ภายในได้ส่งสัญญาณให้เรารู้ล่วงหน้า ว่าจะเกิดการระเบิดขึ้นหรือไม่ บางครั้งความเคลื่อนไหวและการเปลี่ยนแปลงได้เกิดขึ้นล่วงหน้านานเป็นปี ซึ่งเพียงพอที่จะอพยพผู้คนให้หลบออกมาอยู่ในสถานที่อันปลอดภัย โดยวิธีกว้างๆ ในการเฝ้าระวังการระทุของภูเขาไฟ คือการตรวจวัดการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยารอบๆ ภูเขาไฟ

    แรงสั่นสะเทือนสัญญาณเตือนภูเขาไฟระเบิด

    การสั่นสะเทือนรอบภูเขาไฟนั้น มักเกิดขึ้นเมื่อภูเขาไฟตื่นจากความสงบและเตรียมที่จะปะทุ ภูเขาไฟบางลูกมีการสั่นสะเทือนเล็กน้อยเป็นปกติ แต่การสั่นสะเทือนที่เพิ่มขึ้นนั้นอาจเป็นสัญญาณของการระเบิดที่รุนแรง อีกทั้งประเภทของแผ่นดินไหว จุดกำเนิดกับจุดสุดท้ายของแผ่นดินไหวยังเป็นสัญญาณบ่งบอกการประทุของภูเขาไฟเช่นกัน

    ทั้งนี้ การสั่นสะเทือนของภูเขาไฟนั้นมี 3 รูปแบบหลักๆ คือ 1. แผ่นดินไหวคาบสั้น (short-period earthquake) ซึ่งคล้ายกับแผ่นดินไหวทั่วไปที่เกิดการเคลื่อนตัวของเปลือกโลก โดยการสั่นสะเทือนนี้เกิดจากการแตกหักของหินเปราะเนื่องจากการเคลื่อนตัวสู่ด้านบนของหินหนืดแมกมา (magma) และยังเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงการขยายตัวของแมกมาใกล้ๆ พื้นผิวโลก

    2. แผ่นดินไหวคาบยาว (long-period earthquake) เชื่อว่าเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงแรงดันก๊าซที่เพิ่มขึ้นในปล่องภูเขาไฟ ซึ่งการสั่นนี้เทียบเท่ากับการสั่นไหวของเสียงในปล่องที่เต็มไปด้วยแมกมา และ 3.แผ่นดินไหวแบบสอดประสาน (harmonic tremor) ซึ่งมักเกิดจากแมกมาดันหินจำนวนมากที่อยู่ใต้พ้นผิวโลก และบางครั้งการสั่นสะเทือนนั้นรุนแรงพอที่คนและสัตว์จะได้ยินเสียงฮัมหรือเสียงหึ่งๆ

    แม้รูปแบบของการสั่นสะเทือนจะซับซ้อน และบางครั้งอธิบายได้ยาก แต่การสั่นสะเทือนที่มากขึ้นนั้นเป็นสัญญาณที่ดีในการบ่งชี้ถึงความเสี่ยงที่ภูเขาไฟจะระเบิดมากขึ้น โดยเฉพาะหากเกิดการสั่นสะเทือนแบบแผ่นไหวคาบยาว อย่างเด่นชัดและมีแผ่นดินไหวแบบสอดประสานร่วมด้วย

    วัดการปลดปล่อย “ซัลเฟอร์ไดออกไซด์”

    การปลดปล่อยของก๊าซบางชนิด ยังเป็นสัญญาณเตือนก่อนภูเขาไฟระเบิด เนื่องจากเมื่อแมกมาเข้าใกล้พื้นผิวโลกมากขึ้นจะมีก๊าซออกมา ซึ่งก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (sulphur dioxide) เป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญของก๊าซภูเขาไฟ และเป็นสัญญาณการเพิ่มขึ้นของแมกมาใกล้ๆ พื้นผิว

    ตัวอย่างเช่น ภูเขาไฟพินาตูโบ (Mount Pinatubo) ในฟิลิปปินส์ ได้เริ่มปลดปล่อยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์เพิ่มขึ้นเมื่อวันที่ 13 พ.ค.1991 จากนั้นอีกเพียง 2 สัปดาห์ปริมาณก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ที่ปล่อยออกมาได้เพิ่มขึ้นเป็น 5,000 ตัน หรือ 10 เท่าของปริมาณที่ปลดปล่อยออกมาในช่วงแรก และในวันที่ 12 มิ.ย.ปีเดียวกันภูเขาไฟจริงระเบิดออกมา

    อย่างไรก็ดี ยังมีหลักฐานหลายครั้งที่แสดงให้เห็นว่า ปริมาณซัลเฟอร์ไดออกไซด์ที่ลดลงนั้นป็นสัญญาณก่อนที่ภูเขาไฟจะระเบิด เช่น กรณีการระเบิดของภูเขาไฟกาเลรัส (Galeras) ในโคลัมเบีย เมื่อปี 1993 โดยนักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่าปริมาณก๊าซที่ลดลงนั้นมีสาเหตุจากแมกมาที่แข็งตัวกักเส้นทางออกของก๊าซไว้ และทำให้ความดันปล่องภูเขาไฟเพิ่มขึ้นจนนำไปสู่การระเบิดที่รุนแรง

    นอกจากการตรวจวัดแผ่นดินไหวและการเฝ้าสังเกตก๊าซที่ถูกพ่นออกมาแล้ว ยังมีการตรวจวัดอื่นๆ ที่นำไปสู่การพยากรณ์การระเบิดของภูเขาไฟ เช่น การศึกษาการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของภูเขาไฟ ทั้งการพองตัวขึ้นหรือการยุบตัวลง การศึกษาทางอุทกวิทยา โดยตรวจวัดการไหลของลาฮาร์ (lahar) ซึ่งเป็นของเหลวและโคลนที่ไหลมาตามความลาดชันของภูเขาไฟ เป็นต้น.

    มาดามเฟ:

    คำรามให้โลกรู้จักภูเขาไฟใต้ธารน้ำแข็ง “เอยาฟยาลาเยอคูล”

    หลายคนคิดว่า ภูเขาไฟต้องเป็นทรงกรวย เหมือนภูเขาไฟฟูจิของญี่ปุ่น แต่การระเบิดของภูเขาไฟในไอซ์แลนด์ ซึ่งส่งผลกระเทือนต่อการโดยสารทางอากาศของชาวยุโรปหลายหมื่นคนนั้น เสมือนเป็นเสียงคำรามที่ประกาศก้องให้โลกได้รู้จัก “ภูเขาไฟใต้ธารน้ำแข็ง”

    ขณะที่คนไทยกำลังสนุกสนานไปกับเทศกาลสงกรานต์พร้อมๆ กับความตึงเครียดทางการเมือง อีกซีกของโลกได้เกิดการระเบิดของภูเขาไฟใต้ธารน้ำแข็ง “เอยาฟยาลาเยอคูล” (Eyjafjallajoekull) ทางตะวันออกเฉียงใต้ของไอซ์แลนด์ ต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 14 เม.ย.53 และทำให้เกิดเถ้าภูเขาไฟพวยพุ่งขึ้นไปในอากาศสูงถึง 6 กิโลเมตร

    ส่วนประชาชนในพื้นที่โดยรอบต้องอพยพออกจากพื้นที่ซึ่งถูกเถ้าภูเขาไฟปกคลุม และเกิดน้ำท่วมฉับพลันเนื่องจากธารน้ำแข็งถูกละลาย โดยเอเอฟพีรายงานว่า ระดับน้ำในแม่น้ำเพิ่มสูงขึ้นถึง 2.5 เมตร และสูงขึ้นเรื่อยๆ

    ทั้งนี้ เถ้าภูเขาไฟต่างไปจากเถ้าถ่านที่เกิดจากการเผาไหม้ชีวมวล เนื่องจากประกอบไปด้วยอนุภาคหินและแร่ธาตุขนาดเล็กที่มีรูปร่างขรุขระ ซึ่งข้อมูลจากสำนักงานสำรวจธรณีวิทยาสหรัฐฯ (USGS) ระบุว่า อนุภาคหินจากเถ้าภูเขาไฟอาจเล็กได้ถึง 0.001 มิลลิเมตร ซึ่งเถ้าเหล่านี้ไม่ละลายน้ำ มีทั้งฤทธิ์กัดกร่อนรุนแรงและอ่อนๆ อีกทั้งนำไฟฟ้าได้เมื่อเปียกชื้น และยังทำอันตรายต่อเครื่องยนต์ของเครื่องบินได้ ดังนั้น จึงมีผู้คนในยุโรปมากกว่า 41,000 คนที่ไม่สามารถสัญจรทางอากาศได้ เนื่องจากสายการบินต่างหยุดบินเพื่อความปลอดภัย

    การระเบิดครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังการระเบิดของภูเขาไฟใต้ธารน้ำแข็ง “ฟิมม์วอร์ดูฮอลส์” (Fimmvorduhals) เมื่อ 21 มี.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นธารน้ำแข็งที่อยู่ใกล้ๆ กับการระเบิดครั้งล่าสุด โดยการระเบิดของภูเขาไฟเมื่อเดือนก่อนเป็นการระเบิดของภูเขาไฟในไอซ์แลนด์ครั้งแรกนับแต่ปี 2004 ส่วนภูเขาไฟใต้ธารน้ำแข็งเอยาฟยาลาเยอคูลเคยระเบิดเมื่อปี 1823

    ทั้งนี้ คนส่วนใหญ่มักคุ้นเคยกับภาพภูเขาไฟสลับชั้น (Stratovolcanoes) ซึ่งภูเขาไฟฟูจิ (Fuji) ในญี่ปุ่น และภูเขาไฟเมยอน (Mayon) ในฟิลิปปินส์ เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของภูเขาไฟประเภทนี้ และเรายังแบ่งประเภทหลังของภูเขาไฟ ตามสัณฐานทางธรณีวิทยาได้อีก 3 ประเภท ได้แก่ ภูเขาไฟกรวยตะกอน (Cinder cone) ภูเขาโดมลาวา (Lava dome) และภูเขารูปโล่ (Shield volcanoes) แต่สำหรับภูเขาไฟที่เพิ่งระเบิดในไอซ์แลนด์นั้นจัดเป็น “ภูเขาไฟใต้ธารน้ำแข็ง” (Subglacial volcano) ซึ่งยังพบบริเวณขั้วโลกใต้ด้วย

    มาดามเฟ:

    11 เรื่องน่ารู้ของ "ภูเขาไฟ"

    ภูเขาไฟในไอซ์แลนด์ที่กำลังปะทุอยู่ในตอนนี้ ได้สร้างความปั่นป่วนโกลาหลให้กับการคมนาคมทางอากาศของหลายประเทศในยุโรป แต่บนโลกของเรายังมีภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่นอยู่ไม่น้อยกว่า 1,500 ลูก และมีภูเขาไฟบางลูกกำลังปะทุอยู่อย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว จนถึงในตอนนี้ก็ยังปะทุอยู่ ทว่ายังมีความจริงอีกหลายเรื่องเกี่ยวกับภูเขาไฟที่ใครหลายคนยังไม่เคยรู้มาก่อน

    ไลฟ์ไซน์ด็อทคอมได้นำเสนอ 11 ข้อมูลน่ารู้เกี่ยวกับภูเขาไฟบนโลก ได้แก่

    1. หินพัมมิส (pumice) เป็นหินภูเขาไฟเพียงชนิดเดียว ที่สามารถลอยน้ำได้ ซึ่งมีลักษณะเป็นหินสีเทา และมีรูพรุนจำนวนมาก เกิดจากการที่ก๊าซร้อนไหลผ่านในขณะที่หินหลอมเหลวหรือลาวาภูเขาไฟกำลังเย็นตัวลง

    2. ภูเขาไฟที่ก่อให้เกิดมหันตภัยร้ายแรงมากที่สุดคือ ภูเขาไฟยักษ์ หรือ ซูเปอร์โวลแคโน (super volcanoes) ซึ่งการปะทุของภูเขาไฟยักษ์ สามารถทำให้เกิดฝนลูกไฟ ตกลงในบริเวณรอบภูเขาไฟได้ไกลหลายพันไมล์ และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศไปทั่วโลก เช่น ทำให้อุณหภูมิของโลกลดลง เนื่องจากอนุภาคของเถ้าถ่านปริมาณหลายตันที่ถูกพ่นออกจากปากปล่องภูเขาไฟลอยปะปนอยู่ในชั้นบรรยากาศ ซึ่งกรณีแบบนี้เป็นเวลาหลายแสนปีจึงจะเกิดขึ้นสักครั้งหนึ่ง

    อย่างไรก็ตามในอุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน (Yellowstone National Park) ในสหรัฐฯ มีภูเขาไฟยักษ์ลูกหนึ่งซ่อนตัวอยู่ และนักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่าอาจจะเกิดปะทุขึ้นมาได้ในอีกไม่ช้าไม่นานนี้

    3. ภูเขาไฟปะทุครั้งใหญ่ที่สุดที่ในประวัติศาสตร์ ที่ได้มีการบันทึกไว้เกิดขึ้นที่ภูเขาแทมโบรา (Mount Tambora) บนเกาะซัมบาวา (Sumbawa) ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อปี 1815 เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตประมาณ 100,000 คน ซึ่งตามรายงานของหน่วยสำรวจธรณีวิทยาสหรัฐฯ (U.S. Geological Survey) ระบุว่าอินโดนีเซียเป็นประเทศที่มีภูเขาไฟปะทุเกิดขึ้นมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ซึ่งเคยเกิดขึ้นมาแล้ว 76 ครั้ง

    4. ภูเขาไฟส่วนใหญ่เกิดขึ้นในบริเวณใกล้กับแนวรอยต่อของแผ่นทวีป แต่มีภูเขาไฟบางลูก เช่น ภูเขาไฟยักษ์ในอุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน ที่ไม่ได้อยู่ในบริเวณดังกล่าว แต่ตั้งอยู่ในจุดศูนย์รวมความร้อน (hot spot) บริเวณอื่น ที่มีแมกมาไหลอยู่ท่วมท้นลึกลงไปใต้พิภพ

    5. ไอซ์แลนด์ ได้ชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งไฟและน้ำแข็ง เพราะไอซ์แลนด์ตั้งอยู่บนส่วนยอดของแนวสันภูเขาไฟ ที่จมอยู่กลางมหาสมุทรแอตแลนติก และล่าสุดเพิ่งเกิดการปะทุของภูเขาไฟใต้ธารน้ำแข็งเอยาฟจาลาโยคูลล์ (Eyjafjallajokull) เมื่อกลางเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งมีความรุนแรงเทียบได้กับการปะทุของภูเขาไฟสแคปตาร์ (Mount Skaptar) เมื่อปี 1783 ซึ่งทำลายพื้นที่เกษตรกรรมและการทำประมงของไอซ์แลนด์ไปเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ประชากรไอซ์แลนด์ถึง 1 ใน 5 ของประเทศ ต้องเสียชีวิตเนื่องจากขาดแคลนอาหาร

    6. ภูเขาไฟปินาตูโบ (Mount Pinatubo) ในประเทศฟิลิปปินส์ที่ปะทุขึ้นในปี 1991 เป็นครั้งที่เลวร้ายที่สุด เนื่องจากภูเขาพ่นก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ออกมามากถึง 22 ล้านตัน สู่ชั้นบรรยากาศของโลก และทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกลดลงอย่างน้อย 0.5 องศาเซลเซียส ตามรายงานของหน่วยสำรวจธรณีวิทยาสหรัฐฯ

    7. ภูเขาไฟสามารถขยายใหญ่ขึ้นได้ เนื่องจากการสะสมของลาวาและเถ้าถ่านจากภูเขาไฟที่ทำให้ชั้นผิวของภูเขาไฟหนาและสูงขึ้น ซึ่งนี่คือการเกิดภูเขารูปแบบหนึ่งนั่นเอง

    8. ภูเขาไฟสามารถดับสูญได้ หากนักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ได้ว่าภูเขาไฟลูกนั้นจะไม่ปะทุขึ้นอีก และพิจารณาเห็นว่าภูเขาไฟลูกดังกล่าวดับแล้ว ส่วนภูเขาไฟที่ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ในตอนนี้แต่อาจจะปะทุขึ้นมาอีกได้ในอนาคต จะถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มของภูเขาไฟที่สงบนิ่งอยู่

    9. การปะทุของภูเขาไฟบางลูก ที่มีความรุนแรงมากสามารถทำให้ปากปล่องภูเขาไฟพังทลายลงได้ และเกิดเป็นหลุมรูปร่างคล้ายชามขนาดยักษ์ เรียกว่า แคลเดรา (caldera)

    10. ภูเขาไฟที่ใหญ่ที่สุดในโลกคือ ภูเขาไฟเมานาโลอา (Mauna Loa) บนเกาะฮาวาย สหรัฐฯ ซึ่งสูงจากระดับน้ำทะเลมากกว่า 13,000 ฟุต ทั้งนี้ ฮาวายถือเป็นเกาะที่เกิดจากภูเขาไฟรวมกัน 5 ลูก

    11. ภูเขาไฟทำให้ดวงอาทิตย์ส่องแสงหลายสีได้ เมื่อยามลับขอบฟ้า ดังเช่นเมื่อภูเขาไฟคาซาโตชิ (Kasatochi) ในอลาสกาปะทุขึ้นในปี 2008 ผู้คนทั่วโลกสามารถเห็นพระอาทิตย์ตกมีสีส้มปะการังสวยแปลกตา ซึ่งปรากฏการณ์ดังกล่าวเป็นผลจากเถ้าถ่านภูเขาไฟที่มีขนาดอนุภาคละเอียดลอยปะปนในชั้นบรรยากาศ และทำให้รังสีดวงอาทิตย์หักเหและสะท้อนแสงสีสวยออกมา

    มาดามเฟ:

    ภูเขาไฟทั่วโลกปะทุอยู่บ่อยๆ แต่ทำไมคราวนี้กระทบต่อการบิน

    สายการบินในยุโรป เริ่มเปิดให้บริการอีกครั้งหลังจากหยุดชะงักมากว่าครึ่งสัปดาห์ เพราะเถ้าถ่านจากภูเขาไฟเอยาฟในไอซ์แลนด์ปกคลุมน่านฟ้า แต่หมอกควันภูเขาไฟยังไม่จางหาย และบางคนก็ยังสงสัยว่า จะไปมีผลกระทบกับเส้นทางการบินในอเมริกาเหนือหรือไม่ และทั่วโลกก็มีภูเขาไฟปะทุขึ้นบ่อยครั้ง แต่ก็ไม่เห็นว่า จะเป็นปัญหากับการจราจรทางอากาศเหมือนคราวนี้ นักวิทยาศาสตร์จึงเผยข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเถ้าถ่านจากภูเขาไฟลูกนี้ให้รู้กัน

    สำนักข่าวเอพีเปิดเผยรายงานเรื่องของหมอกควันและเถ้าถ่าน ที่เกิดจากการปะทุของภูเขาไฟใต้ธารน้ำแข็งเอยาฟยาลาเยอคูล (Eyjafjallajokull) ในไอซ์แลนด์ ที่ได้รับคำตอบจากผู้เชี่ยวชาญและนักวิทยาศาสตร์จากหลายสถาบัน

    - เราควรจะกังวลหรือไม่ว่า ลมอาจพัดพาเอาเถ้าถ่านจากภูเขาไฟจากไอซ์แลนด์เข้าไปสู่อเมริกาเหนือ?

    ตอบ : ณ ตอนนี้เราคาดว่าจะไม่เป็นเช่นนั้น ซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจมีเถ้าถ่านบางส่วนถูกพัดไปถึงบริเวณห่างจากตะวันออกของแคนาดา แต่ไม่ใช่เวลานี้ คำตอบจาก เจฟฟ์ โอเซียนสกาย (Jeff Osiensky) ผู้จัดการโครงการเถ้าถ่านภูเขาไฟ ศูนย์บริการด้านสภาพอากาศแห่งชาติ (National Weather Service) องค์กรสมุทรศาสตร์และชั้นบรรยากาศแห่งสหรัฐฯ (NOAA)

    - ถ้าลมพัดจากตะวันตกไปตะวันออก ทำไมจึงไม่มีเถ้าถ่านจากภูเขาไฟลอยวนรอบโลก และส่งผลกระทบต่อเส้นทางการบินของอเมริกาเหนือด้วย?

    ตอบ : การที่เถ้าถ่านภูเขาไฟจะลอยวนไปทั่วโลกได้ ต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ โดยที่ภูเขาไฟจะต้องปะทุขนานใหญ่และมีกระแสลมแรงจัดด้วย ซึ่งจะไม่พัดให้เถ้าถ่านกระจัดกระจัดกระจายออกไป

    - เรารู้ได้อย่างไรว่า หมอกควันจากภูเขาไฟเหล่านั้น เป็นอันตรายต่ออากาศยาน?

    ตอบ : เนื่องจากเครื่องยนต์ของเครื่องบินรบ เอฟ-16 ลำหนึ่งขององค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต : NATO) ได้รับความเสียหาย หลังจากบินผ่านกลุ่มหมอกควันจากภูเขาไฟดังกล่าว ซึ่งเจ้าหน้าที่ด้านการทูตของนาโตเปิดเผยเมื่อวันที่ 19 เม.ย. ที่ผานมา

    - ถ้าอย่างนั้นเครื่องบินจะสามารถบินเหนือกลุ่มเถ้าถ่านภูเขาไฟเหล่านั้นได้หรือไม่?

    ตอบ : ด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบันนี้ นักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถระบุได้อย่างแม่นยำว่า กลุ่มเถ้าถ่านและหมอกควันพวกนั้นลอยสูงสุดได้ถึงจุดไหน ซึ่งเครื่องบินอาจบินขึ้นหรือลงผ่านหมอกควันดังกล่าวได้ทุกที่ และเครื่องบินก็ไม่สามารถบินต่ำกว่าหมอกควันนั้นได้ เพราะอนุภาคของเถ้าถ่านที่มีอยู่ในหมอกควันก็จะร่วงลงมาสู่งเบื้องล่างได้ทุกระดับ ดังนั้นจึงต้องระวังไว้ตั้งแต่ระดับสูงสุดจากการคำนวณเรื่อยลงมาจนถึงพื้นดิน

    - เถ้าถ่านภูเขาไฟสามารถอยู่ในอากาศ และส่งผลกระทบต่ออากาศยานได้นานแค่ไหน?

    ตอบ : เถ้าถ่านภูเขาไฟจากไอซ์แลนด์ถูกกระแสลมพัดไปทางตะวันออกเฉียงใต้ไปยังอังกฤษและยุโรป นักอุตุนิยมวิทยาของอังกฤษและดัตช์ระบุว่า การแพร่กระจายของเถ้าถ่านนั้น ขึ้นอยู่กับการที่ภูเขาไฟพ่นเถ้าถ่านออกมาอย่างต่อเนื่องแทนที่จะออกมาเป็นลาวา และขึ้นอยู่กับความแรงและทิศทางของลมในยุโรปด้วย

    - เถ้าถ่านจากภูเขาไฟ ทำให้เกิดมลพิษทางอากาศที่ระดับพื้นผิวโลกได้หรือไม่?

    ตอบ : เถ้าถ่านบางส่วนตกลงสู่ผิวดินในอังกฤษ จะมีเพียงปริมาณน้อยมาก ที่ทำให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพ ซึ่งจากการสังเกตการณ์สภาพอากาศไม่พบสิ่งที่แสดงว่ามีอนุภาคที่สูดหายใจเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นในอากาศ แม้ว่าจะมีฝุ่นหยาบๆ ที่ไม่มีพิษมีภัยจับตัวเกาะกันเป็นชั้นให้เห็นตามรถยนต์ของใครบางคนอยู่บ้าง คำตอบจาก ดร.ปีเตอร์ แบกซ์เตอร์ (Dr. Peter Baxter) มหาวิทยาลัยแคมบริดจ์ (Cambridge University) กล่าว

    - เถ้าถ่านจากภูเขาไฟในไอซ์แลนด์ จะทำให้เกิดเมฆหมอกบดบังแสงอาทิตย์ และส่งผลให้ทวีปยุโรปมีอากาศเย็นยาวนานขึ้นได้หรือไม่?

    ตอบ : ไม่มีผล หากภูเขาไฟลูกดังกล่าวดำเนินไปอย่างที่มันเป็น ซึ่งพ่นซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (sulfur dioxide) ออกมาในปริมาณน้อยมาก และแพร่กระจายไปในบรรยากาศในระดับต่ำ มากกว่าที่จะทำให้เกิดผลกระทบที่มีนัยสำคัญได้ และคาดว่าไม่น่าที่จะวัดผลกระทบที่เกิดขึ้นได้ เช่นเดียวกับพวกอนุภาคเถ้าถ่านที่ถูกพ่นออกมา โดย อลัน โรบ็อค (Alan Robock) มหาวิทยาลัยรัตเจอร์ส (Rutgers University) มลรัฐนิวเจอร์ซี สหรัฐฯ

    - ภูเขาไฟจะปะทุไปอีกนานแค่ไหน?

    ตอบ : ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า การทำนายพฤติกรรมของภูเขาไฟเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ แต่มันสามารถปะทุได้นานหลายสัปดาห์หรือเดือน ซึ่งครั้งสุดท้ายที่ภูเขาไฟลูกนี้มีความเคลื่อนไหวเกิดขึ้นได้เริ่มขึ้นในปี 1821 โดยปะทุขึ้นเป็นพักๆ ต่อเนื่องกันนานถึง 13 เดือน และในบางครั้งของการปะทุ ก็ไม่ก่อให้เกิดเถ้าถ่าน แต่มันจะพ่นเถ้าถ่านออกมาสู่อากาศภายหลังจากนั้น

    - การปะทุของภูเขาไฟเอยาฟยาลาเยอคูล จะมีผลทำให้ภูเขาไฟกัตลา (Katla) ที่เป็นภูเขาไฟอีกลูกหนึ่งในไอซ์แลนด์เกิดปะทุขึ้นได้หรือไม่?

    ตอบ : ในอดีต ภูเขาไฟกัตลาเคยปะทุขึ้นตามหลังภูเขาไฟเอยาฟยาลาเยอคูล การปะทุครั้งใหญ่ครั้งสุดท้ายของภูเขาไฟกัตลาเกิดขึ้นเมื่อปี 1918 และอีกครั้งคาดว่าเมื่อช่วงปี 1960 โดย เรย์เนียร์ โบดวาร์สสัน (Reynir Bodvarsson) นักธรณีวิทยาไอซ์แลนด์ มหาวิทยาลัยอัปป์ซาลา (Uppsala University) ในสวีเดน

    - ทั่วโลกมีภูเขาไฟปะทุเกิดขึ้นค่อนข้างถี่ แต่ทำไมจึงมีแค่ครั้งนี้ ที่ส่งผลกระทบต่อการจราจรทางอากาศ?

    ตอบ : มันเป็นเรื่องของสถานที่ ซึ่งเถ้าถ่านภูเขาไฟถูกพัดเขาไปในพื้นที่ที่มีเส้นทางการบินหนาแน่นมาก แต่โดยลำพังแค่การปะทุของภูเขาไฟนั้น ไม่ทำให้เกิดผลกระทบได้

    ภูเขาไฟ ใต้ธารน้ำแข็ง..,รู้ได้อย่างไร ว่าภูเขาไฟจะระเบิด?
     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    [​IMG]

    ข่าวเก่าน่ะครับ "พายุสุริยะถล่มโลกรุนแรงสุดในรอบ 6 ปี" โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 24 มกราคม 2555 15:35 น.

    เมื่อใกล้เที่ยงวันจันทร์ที่ผ่านมา ดวงอาทิตย์ซึ่งเป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะได้ยิงกระสุนอนุภาคมีประจุพุ่งตรงมายังโลก เหตุการณ์ดังกล่าวคือปรากฏการณ์พายุสุริยะที่รุนแรงที่สุดในรอบ 6 ปี ซึ่งสิ่งที่น่าห่วงที่สุดคือการทำงานของดาวเทียมในวงโคจรและมนุษย์อวกาศที่อยู่นอกโลก

    จากรายงานขององค์การมหาสมุทรและบรรยากาศสหรัฐฯ (National Oceanic and Atmospheric Administration) หรือโนอา (NOAA) นั้น เอพีระบุว่าเกิดการปะทุ (flare) บนดวงอาทิตย์ เมื่อเวลา 23.00 น.ของวันอาทิตย์ตามเวลามาตรฐานตะวันออก (หรือเวลา 11.00 น. ของวันที่ 23 ม.ค.2012 ตามเวลาประเทศไทย) ซึ่งจะทำให้เกิดผลกระทบต่อโลก 3 เรื่อง โดยประเด็นสำคัญสุดคือการแผ่รังสีจากอนุภาคมีประจุ

    ดัก บีเซคเกอร์ (Doug Biesecker) นักฟิสิกส์ประจำศูนย์สภาพอวกาศ (space weather center) ของโนอาระบุว่า การแผ่รังสีจากอนุภาคมีประจุนี้เป็นปัญหาใหญ่ในการรบกวนการทำงานของดาวเทียมและยังส่งผลกระทบต่อมนุษย์อวกาศที่อยู่ในวงโคจร โดยปราฏการณ์ดังกล่าวอาจเป็นสาเหตุของปัญหาในการสื่อสารแก่เครื่องบินที่สัญจรในแถบขั้วโลก

    การแผ่รังสีจากการปะทุครั้งนี้มาถึงโลกในอีกชั่วโมงถัดมาและยังคงมีรังสีแผ่มาอย่างต่อไปจนถึงวันพุธตามเวลามาตรฐานตะวันออก (ต่างจากไทย 12 ชั่วโมง) แม้ว่าระดับรังสีที่แผ่มานี้จะถือว่ารุนแรงแต่ก็เคยมีพายุอื่นๆ ที่รุนแรงกว่า ซึ่งบีเซคเกิอร์กล่าวว่าความรุนแรงของพายุสุริยะตามมาตรฐานโนอานั้นแบ่งเป็น 2 ระดับ คือ รุนแรง (severe) และ รุนแรงที่สุด (extreme) อย่างไรก็ดี พายุสุริยะครั้งนี้ก็ยังคงแผ่รังสีออกมารุนแรงที่สุดนับแต่เดือน พ.ค.2005

    การแผ่รังสีในรูปของอนุภาคโปรตอนจากดวงอาทิตย์นั้นพุ่งมาด้วยความเร็ว 150 ล้านกิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งบีเซคเกอร์กล่าวว่า อวกาศระหว่างโลกไปถึงดาวพฤหัสบดีนั้นเต็มไปด้วยโปรตอน และเราไม่อาจกำจัดอนุภาคเหล่านี้ไปด้วยความเร็วระดับพายุสุริยะได้ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมอนุภาคที่ดวงอาทิตย์ส่งมาจึงส่งผลกระทบต่อโลกอยู่หลายวัน

    ทางด้าน ร็อบ นาไวแอส (Rob Navias) โฆษกขององค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐฯ (นาซา) กล่าวว่า แพทย์ประจำเที่ยวบินอวกาศและและผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับปรากฏการณ์จากดวงอาทิตย์ของนาซาได้ประเมินผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการปะทุของดวงอาทิตย์ และตัดสินว่ามนุษย์อวกาศ 6 คนที่ประจำอยู่บนสถานีอวกาศนานาชาติ (International Space Station) ไม่จำเป็นต้องทำการใดเพื่อป้องกันตัวเองจากรังสี

    แอนต์ติ พัลก์กิเนน (Antti Pulkkinen) นักฟิสิกส์ของศูนย์การบินอวกาศก็อดดาร์ด (Goddard Space Flight Center) ในมหาวิทยาลัยแมรีแลนด์แอนด์คาธอลิก (Maryland and Catholic University) กล่าวว่าการปะทุของดวงอาทิตย์เกิดขึ้นเป็นจังหวะ 3 จังหวะต่อเนื่องกัน ครั้งแรกคือการแผ่รังสีของอนุภาคแม่เหล็กไฟฟ้า ตามมาด้วยการแผ่รังสีในรูปอนุภาคโปรตอน

    สุดท้ายเป็นการพ่นมวลโคโรนา (coronal mass ejection) หรือซีเอ็มอี (CME) ซึ่งเป็นพลาสมาจากดวงอาทิตย์เอง ซึ่งปกติความเร็วของการแผ่รังสีอยู่ที่ 1.6-3.2 ล้านกิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ครั้งนี้ความเร็วเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า และพลาสมานี้เองก็สร้างปัญหาบนโลกได้อย่างมาก เช่น ทำให้สายส่งไฟฟ้าไม่ทำงาน ซึ่งเมื่อปี 1989 พายุสุริยะได้เป็นสาเหตุให้เกิดไฟดับครั้งใหญ่ที่เมืองควิเบก (Quebec) ของแคนาดา และยังทำให้เกิดปรากฏการณ์แสงเหนือ (northern light) หรืออโรรา (aurora) ลงใต้มากกว่าปกติ

    บีเซคเกอร์กล่าวว่า การพ่นมวลโคโรนานี้เหมือนจะมีความรุนแรงระดับกลางๆ ที่มีโอกาสจะรุนแรง โดยความเสียหายเลวร้ายที่สุดของพายุสุริยะนี้จะเกิดขึ้นบริเวณตอนเหนือของโลก แต่ปรากฏการณืครั้งนี้ต่างไปจากเหตุการณ์เมื่อเดือน ต.ค.ปีที่ผ่านมา ซึ่งครั้งนั้นเกิดพายุสุริยะแปลกประหลาดที่ทำให้เกิดแสงออโรราลงใต้มาไกลถึงอลาบลามาของสหรัฐฯ แต่หนนี้เขากล่าวว่าจะไม่เกิดแสงเหนือลงใตมาไกลเช่นนั้นแล้ว โดยบางส่วนของรัฐนิวอิงแลนด์ ตอนเหนือของนิวยอร์ก ตอนเหนือของมิชิแกน มอนทานา และฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของมหาสมุทรแปซิฟิกจะเกิดปรากฏการณ์แสงออโรราให้เห็น

    ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ดวงอาทิตย์ของเราค่อนข้างเงียบสงบ และดูเหมือนจะเงียบสงบเกินไป ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะเหตุการ์ณปกติตามวัฏจักร 11 ปีของกิจกรรมบนดวงอาทิตย์ และเมื่อปีที่ผ่านมานักวิทยาศาสตร์ก็เริ่มครุ่นคิดว่าดวงอาทิตย์อาจจะเข้าสู่วัฏจักรสงบนิ่งอย่างผิดปกติซึ่งอาจจะเกิดประมาณศตวรรษละครั้ง แต่ตอนนี้บีเซคเกอร์กล่าวว่าไม่การเงียบผิดปกติเช่นนั้นแล้ว

    บีเซคเกอร์บอกด้วยว่าตอนนี้นักวิทยาศาสตร์กำลังจับตาดูดวงอาทิตย์ด้วยดาวเทียมดวงใหม่ของนาซาที่ถูกส่งขึ้นไปเมื่อปี 2010 ระหว่างที่ดวงอาทิตย์กำลังสงบ ซึ่งเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นยิ่ง เพราะเราไม่ได้เห็นเหตุการณ์ปะทุของดวงอาทิตย์มาหลายปีแล้ว ดังนั้น เหตุการณ์ล่าสุดที่เกิดขึ้นจึงเป็นเรื่องพิเศษ

    ภาพดวงอาทิตย์ที่บันทึกด้วยกล้องโทรทรรศน์อวกาศโซลาร์ไดนามิกส์ (Solar Dynamics Observatory) ของนาซา และมีการปรับแต่งสีตามหลักวิชาการ เมื่อวันที่ 23 ม.ค.2012 ตาเวลามาตรฐานตะวันออก (นาซา/เอพี)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • image.jpg
      image.jpg
      ขนาดไฟล์:
      68.3 KB
      เปิดดู:
      1,774
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    The Event ได้แชร์ลิงก์
    ประมาณ 1 ชั่วโมงที่แล้ว
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=4TWKTgyOkns]ILLUMINATI 2013 - END OF DAYS - YouTube[/ame]

    <iframe width="640" height="360" src="//www.youtube.com/embed/4TWKTgyOkns?feature=player_embedded" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    นักวิทยาศาสตร์ค้นพบหลุมดำบนโลก

    Scientists Find Black Holes On EARTH
    Posted on September 23, 2013 by Viral Post

    [​IMG]

    They are impossible to see, but astronomers are convinced they exist.

    Black holes are tears in the fabric of space-time that pull in everything that comes too close to them.

    Nothing that gets sucked in can escape, not even light.

    Now, scientists believe they have found features of these black holes here on Earth, in the southern Atlantic Ocean.

    Some of the largest ocean eddies in this region are mathematically equivalent to the mysterious black holes of space, according to researchers from ETH Zurich and the University of Miami.

    This means that they do the same thing with water, that black holes do with light.

    These huge ocean whirlpools are so tightly surrounded by circular water paths that nothing caught up in them escapes.

    Their numbers are reportedly on the rise in the Southern Ocean, increasing the northward transport of warm and salty water.

    Scientists believe these ocean eddies could moderate the negative impact of melting sea ice in a warming climate.

    But up until now they’ve been unable to quantify this impact because the exact boundaries of these swirling water bodies have remained a mystery.

    George Haller, professor of Nonlinear Dynamics at ETH Zurich, and Francisco Beron-Vera, research Professor of Oceanography at the University of Miami, believe they have now solved this puzzle.

    [​IMG]


    h2 Using mathematical models, they isolated water-transporting eddies from a sequence of satellite observations.

    They did this by detecting their rotating edges, which the scientists found were indicators of the whirlpool within.

    To their surprise, these eddies turned out to be mathematically equivalent to black holes.At a critical distance, a light beam no longer spirals into the black hole.

    Instead, it dramatically bends and comes back to its original position, forming a circular orbit.

    A barrier surface formed by closed light orbits is called a ‘photon sphere’ in Einstein’s theory of relativity.

    The researchers discovered similar closed barriers around select ocean eddies.

    In these barriers, fluid particles move around in closed loops – similar to the path of light in a photon sphere.

    And as in a black hole, nothing can escape from the inside of these loops, not even water.

    The researchers identified seven Agulhas Rings of the black-hole type, which transported the same body of water without leaking for almost a year.

    ‘Mathematicians have been trying to understand such peculiarly coherent vortices in turbulent flows for a very long time’, explained Haller.Their results are expected to help in resolving a number of oceanic puzzles, ranging from climate-related questions to the spread of environmental pollution patterns.

    <iframe width="640" height="360" src="//www.youtube.com/embed/CCmTY0PKGDs?feature=player_embedded" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 2.jpg
      2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      24.2 KB
      เปิดดู:
      1,688
    • 3.jpg
      3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      23.2 KB
      เปิดดู:
      1,764
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กันยายน 2013
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    <iframe frameborder="0" width="480" height="270" src="http://www.dailymotion.com/embed/video/x14ynuz"></iframe><br /><a href="http://www.dailymotion.com/video/x14ynuz_%E0%B8%9E-%E0%B8%A8%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A1-%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%95-%E0%B8%94-%E0%B8%99-%E0%B9%80%E0%B8%A2%E0%B8%A3-%E0%B8%8B%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%A5-%E0%B8%A1-20sep13_travel" target="_blank">พิศวงเมืองใต้ดิน - เยรูซาเล็ม 20Sep13</a> <i>by <a href="http://www.dailymotion.com/LadyBimbette" target="_blank">LadyBimbette</a></i>
     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    มิติโลกหลังเที่ยงคืน (พิศวงเมืองใต้ดิน - เปิดอาณาจักรไวกิ้ง) 18 กันยายน 2556

    <iframe frameborder="0" width="480" height="270" src="http://www.dailymotion.com/embed/video/x14tvfb"></iframe><br /><a href="http://www.dailymotion.com/video/x14tvfb_%E0%B8%9E-%E0%B8%A8%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A1-%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%95-%E0%B8%94-%E0%B8%99-%E0%B9%80%E0%B8%9B-%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%B2%E0%B8%88-%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B9%84%E0%B8%A7%E0%B8%81-%E0%B8%87-18sep13_travel" target="_blank">พิศวงเมืองใต้ดิน - เปิดอาณาจักรไวกิ้ง 18Sep13</a> <i>by <a href="http://www.dailymotion.com/LadyBimbette" target="_blank">LadyBimbette</a></i>
     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    [​IMG]

    Kaokala Fc
    "เคยฟัง ดร.อาจอง บรรยาย ในทางทฤษฎี ตอนนี้เริ่มมีภาพประกอบแล้ว"

    25 ก.ย. ตะลึง!!แผ่นดินไหวรุนแรงปากีฯดันเกาะโผล่ขึ้นกลางทะเล ยอดตายพุ่ง45ศพ

    (ชมภาพและคลิปhttp://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9560000120756)

    เอเจนซี/เอเอฟพี - เผยแผ่นดินไหวรุนแรงที่เขย่าพื้นที่ห่างไกลทางตะวันตกของปากีสถาน นอกจากคร่าชีวิตชาวบ้านไปอย่างน้อย 45 ศพเมื่อวันอังคาร(24)แล้ว ยังจุดชนวนให้เกิดเกาะแห่งใหม่ผุดขึ้นมาจากทะเล บริเวณนอกชายฝั่งทางใต้ของประเทศอีกด้วย

    สำนักงานธรณีวิทยาสหรัฐฯระบุว่าแผ่นดินไหวครั้งนี้มีระดับความรุนแรง 7.8 มีศูนย์กลางในเขตอะวาราน จังหวัดบาลูจิสถาน ลึกลงไปใต้ดิน 15 กิโลเมตร และสามารถสัมผัสแรงสั่นสะเทือนได้ไกลถึงกรุงนิวเดลี ของอินเดียและดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ขณะเดียวกันมันยังทำอาคารสูงในเมืองการาจีของปากีสถาน สั่นไหว

    แผ่นดินไหวครั้งนี้มีความรุนแรงมากถึงขั้นทำให้พื้นดินใต้ทะเลยกตัวขึ้นและก่อให้เกาะเล็กๆรูปร่างเหมือนภูเขาโผล่ขึ้นมากลางทะเลอาระเบียน ห่างจากชายฝั่งกวาดาร์ของปากีสถาน ราว 600 เมตร ขณะที่รายงานข่าวของสถานีโทรทัศน์ก็เผยให้เห็นภาพภูมิประเทศที่เป็นไหล่หินเหยียดยาวโผล่ขึ้นมาเหนือระดับน้ำทะเล โดยฝูงชนพากันมารวมตัวบริเวณชายฝั่งเพื่อมาดูปรากฎการณ์ที่ไม่สามารถพบเห็นได้บ่อยนัก
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • image.jpg
      image.jpg
      ขนาดไฟล์:
      28 KB
      เปิดดู:
      1,300
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กันยายน 2013
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    [​IMG]

    ศูนย์เตือนภัย พิบัติโลก
    เมื่อวานนี้ เวลา 19:43 น. ·
    ขนาด Mw 7.7
    ภูมิภาค ปากีสถาน
    เวลาวันที่ 2013/09/24 UTC 11:29:49.0
    สถานที่ 27.07; 65.56 E
    ความลึก 20 กม.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • image.jpg
      image.jpg
      ขนาดไฟล์:
      20.5 KB
      เปิดดู:
      2,318
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    [​IMG] [​IMG]

    Kaokala Fc
    ประมาณ 1 ชั่วโมงที่แล้ว
    25 ก.ย. ยอดตาย “แผ่นดินไหวปากีฯ 7.8 ริกเตอร์” พุ่ง 208 ศพ-เจ็บร่วม 400 ชาวบ้านแตกตื่น “เกาะใหม่” ผุดกลางทะเล

    เอเจนซีส์ – กองทัพปากีสถานส่งทหารหลายร้อยนายเข้าไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยในภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ วันนี้(25) หลังเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 208 ราย โดยอานุภาพของแผ่นดินไหวถึงกับก่อให้เกิด “เกาะใหม่” ผุดขึ้นกลางทะเล

    เมื่อบ่ายวานนี้(24) ได้เกิดแผ่นดินไหวขนาด 7.8 ในจังหวัดบาลูจิสถานของปากีสถาน โดยแรงสั่นสะเทือนสามารถรับรู้ได้ทั่วภูมิภาคเอเชียใต้ และส่งผลให้บ้านเรือนส่วนใหญ่ในเขตอาวาราน (Awaran) ซึ่งสร้างจากดินเหนียวพังถล่มลงมา

    อับดุลรอชีด บาลุช เจ้าหน้าที่ระดับสูงของเขตอาวาราน เปิดเผยว่า หน่วยกู้ภัยต้องทำงานตลอดทั้งคืนเพื่อช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ และคาดว่าตลอดทั้งวันนี้จะพบร่างผู้เสียชีวิตเพิ่มเติมอีก

    “บ้านเรือนร้อยละ 90 ในเขตนี้ได้รับความเสียหาย โดยเฉพาะบ้านดินที่พังถล่มลงมาเกือบทั้งหมด” เขากล่าว

    เขตอาวารานมีพื้นที่กว่า 21,000 ตารางกิโลเมตร และมีประชากรอยู่ราว 300,000 คน

    หน่วยงานด้านภัยพิบัติของสหประชาชาติ แถลงว่า ชาวบ้านเกินกว่า 60,000 คนอาศัยอยู่ในรัศมี 50 กิโลเมตรจากศูนย์กลางแผ่นดินไหว และส่วนใหญ่ปลูกสร้างบ้านเรือนจากดินเหนียว ซึ่งไม่แข็งแรงพอที่จะต้านทานแรงสั่นสะเทือนระดับนี้ได้ Around the World - Manager Online - <b><font color=blue>In Pics & Clips : </font></b>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 7.jpg
      7.jpg
      ขนาดไฟล์:
      32.4 KB
      เปิดดู:
      1,104
    • 6.jpg
      6.jpg
      ขนาดไฟล์:
      42.9 KB
      เปิดดู:
      1,114
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    รายงาน “UN” ชี้ภาวะโลกร้อน “หยุดพัก” อุณหภูมิเพิ่มขึ้นเชื่องช้ากว่าที่นักวิทยาศาสตร์คาด

    เอเอฟพี – อุณหภูมิโลกที่กำลังขยับขึ้นช้าลงกว่าที่คาดหมาย จนทำให้บรรดาผู้ที่ไม่เชื่อว่าโลกกำลังร้อนขึ้นสามารถหยิบฉวยไปใช้ประโยชน์ คือประเด็นที่ซับซ้อนที่สุดประเด็นหนึ่งของรายงาน ที่คณะผู้เชี่ยวชาญขององค์การสหประชาชาติจะนำมาเผยแพร่ในวันศุกร์นี้ (27 ก.ย.)
    ในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา อุณหภูมิเฉลี่ยที่พื้นผิวโลกเพิ่มสูงขึ้นช้ากว่าที่แบบจำลองสภาพภูมิอากาศของหลายๆ แหล่งเคยทำนายเอาไว้มาก
    ตามข้อมูลจากที่เคยคาดการณ์กัน อุณหภูมิโลกควรจะเพิ่มขึ้นไปในทิศทางเดียวกับ อัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นตัวดักจับความร้อน เมื่อมนุษย์ในโลกกำลังปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์พุ่งสูงขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน โลกก็ควรจะร้อนมากขึ้นเช่นกัน
    ทว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อุณหภูมิกลับเพิ่มขึ้นช้าลง ดังนั้นจึงเกิดคำถามขึ้นมา
    สำหรับผู้ไม่เชื่อถือในทฤษฎีโลกร้อน คำตอบนั้นเป็นที่ชัดเจนอยู่แล้วว่า หากไม่เป็นเพราะความบกพร่องของโปรแกรมสร้างแบบจำลองสภาพภูมิอากาศ ก็ต้องเป็นเพราะว่า ที่จริงแล้วทฤษฎีที่ชี้ว่ามนุษย์เป็นผู้ทำให้โลกร้อนนั้นเป็นเพียงกลอุบายของพวกนักอนุรักษ์ธรรมชาติเท่านั้น
    รายงานของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (ไอพีซีซี) ที่กำหนดนำออกเผยแพร่วันศุกร์นี้ (27) จะระบุยืนยันว่า อุณหภูมิพื้นผิวโลกเพิ่มขึ้นช้าลงในช่วงไม่กี่ปีมานี้
    เอกสารฉบับนี้ ซึ่งจะถูกนำมาถกเถียงกันแบบบรรทัดต่อบรรทัดในกรุงสตอกโฮล์ม ถือเป็นรายงานเล่มแรกจากทั้งหมดสามเล่มยักษ์ ซึ่งองค์กรที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพแห่งนี้ มีกำหนดทยอยนำมาเผยแพร่ทั้งหมดภายในเวลาไม่กี่เดือนข้างหน้า
    ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา ค่าเฉลี่ยของอุณหภูมิโลกที่เพิ่มขึ้นต่อ 1 ทศวรรษ คือ 0.12 องศาเซลเซียส แต่ในช่วง 15 ปีที่ผ่านมากลับเพิ่มขึ้นช้าลงในอัตรา 0.05 องศาเซลเซียสต่อ 1 ทศวรรษ
    ทั้งนี้ บทคัดย่อของรายงานฉบับที่กำลังจะนำออกเปิดตัวระบุว่า สาเหตุประการแรกที่อาจทำให้อุณหภูมิเพิ่มขึ้นช้า คือ การปะทุของภูเขาไฟ โดยเถ้าของภูเขาไฟได้สะท้อนแสงแดดออกไป นอกจากนี้ วงจรการเปลี่ยนแปลงของกิจกรรมของดวงอาทิตย์ ก็ทำให้ความร้อนลดลงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้
    สาเหตุอีกประการหนึ่งก็คือ “ความแปรปรวนภายในมีส่วนทำให้อุณหภูมิเย็นตัวลง”
    โลรองต์ แตร์เรย์ และสำนักงานผลิตโปรแกรมสร้างแบบจำลองสภาพภูมิอากาศ “แซร์ฟาคส์” ในฝรั่งเศสกล่าวว่า คำเรียกดังกล่าว มุ่งอธิบายการเปลี่ยนแปลง แบบที่ความร้อนจะถูกกระจายไปตามแผ่นดิน ทะเล และอากาศ ภายในโลกของเรา
    อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ยังไม่ทราบชัดเจนก็คืออะไรคือสาเหตุที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลง หรืออะไรคือปัจจัยกำหนดช่วงระยะเวลาของการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้
    นักวิทยาศาสตร์ทราบว่า มีบางช่วงเวลาที่อาจจะยาวนานราว 1 ทศวรรษ ซึ่งอุณหภูมิผิวโลกจะไม่เพิ่มขึ้นตามอัตราเฉลี่ยอย่างที่ควรจะเป็น โดยที่ใน 1 ศตวรรษ อาจจะมีช่วงดังกล่าวเกิดขึ้น 1-2 ครั้ง
    เขาระบุว่าต้องรอว่า “ถ้า (สภาวการณ์ในปัจจุบัน) ดำเนินต่อไปแบบนี้อีก 2 ทศวรรษหรือนานกว่า เราอาจจะต้องเริ่มคิดได้แล้วว่า โปรแกรมสร้างแบบจำลองสภาพภูมิอากาศกำลังคำนวณค่าความแปรปรวนภายในต่ำกว่าความเป็นจริง”
    ทางด้านงานวิจัยฉบับใหม่ของ “Britain’s Met Office” ให้คำอธิบายว่า ความร้อน “ที่หายไป” นั้นคือการที่อุณหภูมิของพื้นผิวโลกกำลัง “หยุดพัก” โดยอาจเป็นเพราะความร้อนบางส่วนนั้นกำลังถูกส่งต่อจากระดับผิวน้ำลงไปกักเก็บไว้ในก้นบึ้งของมหาสมุทร
    ทั้งนี้ อุณหภูมิที่ก้นบึ้งของมหาสมุทรลึก 3,000 เมตร ได้เพิ่มสูงขึ้นนับตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1990 ซึ่งสิ่งนี้กำลังบอกเป็นนัยว่า ความร้อนที่ถูกกักเก็บไว้ในวันนี้ อาจส่งผลต่ออุณหภูมิของวันพรุ่งนี้จนได้ในที่สุด
    รัฐบาลที่เป็นสมาชิกของไอพีซีซี ซึ่งมีสิทธิตรวจสอบและแก้ไขบทคัดย่อฉบับนี้ แต่ไม่มีสิทธิในตัวรายงานจริง กำลังให้ความสำคัญกับส่วนของบทคัดย่อที่ระบุว่า “อุณหภูมิของโลกหยุดนิ่ง” อย่างรู้สึกกังวลใจ
    สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความว้าวุ่นใจ หลังจากที่รายงานเล่มใหญ่ฉบับสุดท้ายของไอพีซีซี ในปี 2007 นั้นให้ข้อมูลที่ผิดพลาดหลายแห่ง จนทำลายความน่าเชื่อถือของไอพีซีซีไประดับหนึ่ง
    ถึงแม้บทคัดย่อส่วนหลักๆ ของไอพีซีซีไม่ได้รับผลกระทบ แต่ข้อผิดพลาดที่ปรากฏเหล่านั้นก็เปิดโอกาสให้ผู้ที่สงสัยไม่เชื่อว่าโลกร้อนนำมาใช้โจมตีได้ง่ายๆ

    ผู้จัดการ

    <iframe width="640" height="360" src="//www.youtube.com/embed/j1FxNDw50mc?feature=player_embedded" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ตะลึง!! ยอดตาย “แผ่นดินไหวปากีฯ” พุ่ง 208 ศพ-เจ็บร่วม 400 ชาวบ้านแตกตื่น “เกาะใหม่” ผุดกลางทะเล

    เอเจนซีส์ – กองทัพปากีสถานส่งทหารหลายร้อยนายเข้าไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยในภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ วันนี้(25) หลังเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 208 ราย โดยอานุภาพของแผ่นดินไหวถึงกับก่อให้เกิด “เกาะใหม่” ผุดขึ้นกลางทะเล

    เมื่อบ่ายวานนี้(24) ได้เกิดแผ่นดินไหวขนาด 7.8 ในจังหวัดบาลูจิสถานของปากีสถาน โดยแรงสั่นสะเทือนสามารถรับรู้ได้ทั่วภูมิภาคเอเชียใต้ และส่งผลให้บ้านเรือนส่วนใหญ่ในเขตอาวาราน (Awaran) ซึ่งสร้างจากดินเหนียวพังถล่มลงมา

    แผ่นดินไหวครั้งนี้มีความรุนแรงมาก ถึงขั้นทำให้พื้นดินใต้ทะเลยกตัวขึ้นและก่อให้เกิดเกาะเล็กๆ รูปร่างเหมือนภูเขาโผล่ขึ้นมากลางทะเลอาระเบียน ห่างจากชายฝั่งกวาดาร์ของปากีสถาน ประมาณ 600 เมตร ขณะที่รายงานข่าวของสถานีโทรทัศน์ก็เผยให้เห็นภาพภูมิประเทศที่เป็นไหล่หินเหยียดยาวโผล่ขึ้นมาเหนือระดับน้ำทะเล โดยฝูงชนพากันมารวมตัวบริเวณชายฝั่งเพื่อดูปรากฏการณ์ที่ไม่สามารถพบเห็นได้บ่อยนัก

    “ยอดผู้เสียชีวิตขณะนี้เพิ่มเป็น 208 รายแล้ว ส่วนผู้บาดเจ็บอยู่ที่ 382 คน” อาซาด กิลานี เจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารอาวุโสของจังหวัดบาลูจิสถาน ให้สัมภาษณ์เอเอฟพี
    ด้าน แจน มูฮัมหมัด บูเลดี โฆษกฝ่ายบริหารจังหวัด ยืนยันตัวเลขผู้เสียชีวิตล่าสุดพร้อมระบุว่า “เราขาดอุปกรณ์การแพทย์ และโรงพยาบาลในท้องถิ่นก็ไม่สามารถรองรับคนเจ็บได้ทั้งหมด… เรากำลังเคลื่อนย้ายผู้ที่บาดเจ็บสาหัสขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปรักษาที่เมืองการาจี ส่วนคนอื่นๆก็คงต้องส่งไปรักษาในเขตใกล้เคียงด้วย”

    ด้าน อับดุลรอชีด บาลุช เจ้าหน้าที่ระดับสูงของเขตอาวาราน เปิดเผยว่า หน่วยกู้ภัยต้องทำงานตลอดทั้งคืนเพื่อช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ และคาดว่าตลอดทั้งวันนี้จะพบร่างผู้เสียชีวิตเพิ่มเติมอีก

    “บ้านเรือนร้อยละ 90 ในเขตนี้ได้รับความเสียหาย โดยเฉพาะบ้านดินที่พังถล่มลงมาเกือบทั้งหมด” เขากล่าว

    เขตอาวารานมีพื้นที่กว่า 21,000 ตารางกิโลเมตร และมีประชากรอยู่ราว 300,000 คน
    หน่วยงานด้านภัยพิบัติของสหประชาชาติ แถลงว่า ชาวบ้านเกินกว่า 60,000 คนอาศัยอยู่ในรัศมี 50 กิโลเมตรจากศูนย์กลางแผ่นดินไหว และส่วนใหญ่ปลูกสร้างบ้านเรือนจากดินเหนียว ซึ่งไม่แข็งแรงพอที่จะต้านทานแรงสั่นสะเทือนระดับนี้ได้
    แผ่นดินไหวที่ปากีสถานเมื่อวานนี้(24) สามารถรับรู้ได้ไกลถึงกรุงนิวเดลีของอินเดีย และดูไบในสาธารณรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ขณะที่ประชาชนในเมืองอาห์เมดาบัดของอินเดียซึ่งมีพรมแดนติดกับปากีสถาน ต่างวิ่งหนีออกจากอาคารสูงด้วยความตื่นตระหนก เช่นเดียวกับพนักงานออฟฟิศในเมืองการาจี

    เจ้าหน้าที่ปากีสถานยืนยันว่า ความรุนแรงของแผ่นดินไหวทำให้พื้นทะเลยกตัว จนเกิดเป็น “เกาะใหม่” ผุดขึ้นที่นอกชายฝั่งกวาดาร์

    “เกาะซึ่งสูงประมาณ 100 เมตร และกว้างราว 200 เมตร ผุดขึ้นกลางทะเลหลังเกิดแผ่นดินไหวที่บาลูจิสถาน” ทูเฟล บาลุช เจ้าหน้าที่บริหารอาวุโสของจังหวัด ให้สัมภาษณ์กับเอเอฟพี พร้อมเล่าว่า เมื่อ 60 ปีที่แล้วก็เคยมีเกาะผุดขึ้นกลางทะเลในบริเวณเดียวกันนี้ และค่อยๆ จมหายไปตามกาลเวลา

    <iframe width="640" height="360" src="//www.youtube.com/embed/QoeCCRaT38s?feature=player_embedded" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

    <iframe width="640" height="360" src="//www.youtube.com/embed/f_Hk4UUQAvE?feature=player_embedded" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

    <iframe width="640" height="360" src="//www.youtube.com/embed/qiKFzDT99jM?feature=player_embedded" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

    <iframe width="640" height="360" src="//www.youtube.com/embed/Ccy_CrNIfII?feature=player_embedded" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

    <iframe width="640" height="360" src="//www.youtube.com/embed/DKsywVAqSlY?feature=player_embedded" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
     
  14. iamprateep

    iamprateep เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    448
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,685
    ด้านบนบ้านเราก็น่าห่วงนะ ไหวถี่เหลือเกินช่วงนี้ แถมยังซ้ำไปซ้ำมาที่จุดเดิมๆ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Capture.PNG
      Capture.PNG
      ขนาดไฟล์:
      590.9 KB
      เปิดดู:
      98
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    มะกันนับถอยหลังก่อนปิดหน่วยงานรัฐ หากสภาไม่ผ่านงบชั่วคราวก่อนสิ้น ก.ย.นี้ โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์25 กันยายน 2556 02:05 น.

    [​IMG]

    สภาคองเกรสยังคงตกลงกันไม่ได้ในเรื่องงบประมาณรายจ่าย

    เอเจนซีส์ - คณะรัฐบาลประธานาธิบดีบารัค โอบามา ของสหรัฐฯ เตือนบรรดาหน่วยงานรัฐบาลกลางเตรียมพร้อมรับมือกับการต้องหยุดทำงานเพราะหมดงบประมาณรายจ่ายตั้งแต่วันอังคารหน้า (1 ต.ค.) ขณะที่รัฐสภายังคงตกลงกันไม่ได้ทั้งที่ใกล้เส้นตายเข้ามาทุกขณะ โดยวุฒิสมาชิกรุ่นใหม่ในกลุ่ม “ที ปาร์ตี้” ของพรรครีพับลิกัน ประกาศขัดขวางการออกกฎหมายงบประมาณใช้จ่ายฉุกเฉิน เว้นแต่ทำเนียบขาวยอมให้ตัดรายจ่ายด้าน “โอบามาแคร์” ภายหลังจากสภาผู้แทนราษฎรซึ่งรีพับลิกันควบคุมอยู่ ได้ผ่านร่างกฎหมายลักษณะเช่นนี้ออกมาตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว

    แม้ปีงบประมาณปัจจุบันกำลังจะสิ้นสุดลงในวันที่ 30 ก.ย.นี้ แต่รัฐสภาสหรัฐฯ ยังคงวิวาทะกันดุเดือดเรื่องงบประมาณรายจ่าย โดยเฉพาะรายการรายจ่ายเพื่อสนับสนุนกฎหมายปฏิรูประบบสาธารณสุข ที่ประธานาธิบดีโอบามา ผลักดันสุดแรง กระทั่งมีคนเรียกขานกฎหมายฉบับนี้ว่า “โอบามาแคร์”

    สัปดาห์ที่แล้ว สภาผู้แทนราษฎรที่พรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมาก ลงคะแนน 230 ต่อ 189 ผ่านร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราว ซึ่งจะป้องกันไม่ให้หน่วยงานของรัฐบาลกลางต้องหยุดทำการ ที่อาจเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 เดือนหน้า แต่ต้องแลกเปลี่ยนกับการตัดลดงบสนับสนุนโอบามาแคร์ ซึ่งมีจุดมุ่งหมายสำคัญในการให้การคุ้มครองด้านสุขภาพแก่ชาวอเมริกันหลายล้านคนที่ยังไม่มีประกันสุขภาพ

    ทว่า โอบามาเตือนว่านี่ไม่ใช่การเริ่มต้นมุ่งแก้ไขปัญหาที่ดีแต่อย่างใด และเวลานี้สภาล่างและสภาสูงเหลือเวลาอีกเพียงสัปดาห์เดียวในการหาทางประนีประนอมกัน

    หากพวกเขายังคงประสบความล้มเหลว หน่วยงานรัฐบาลกลางของสหรัฐฯ อาจต้องปิดทำการตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม และให้ลูกจ้างพนักงานซึ่งไม่มีหน้าที่จำเป็นต้องหยุดงานไปก่อนโดยไม่ได้รับเงินเดือน รวมเป็นจำนวนหลายแสนคน

    หน่วยงานทั้งหลายก็กำลังปรับปรุงทบทวนแผนฉุกเฉินรับมือในขั้นสุดท้าย

    ตัวอย่างเช่น กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ (เพนตากอน) เผยว่า อาจสั่งให้เจ้าหน้าที่พลเรือนบางส่วนอยู่กับบ้าน ส่วนเจ้าหน้าที่ซึ่งยังจำเป็นต้องทำหน้าที่ตามปกติ รัฐสภาก็จะต้องรับรองว่าจะจ่ายเงินเดือนย้อนหลังให้ ขณะที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารคงจะไม่ได้รับเงินเดือนตรงเวลา

    กระทรวงการต่างประเทศก็ส่งอีเมลเตือนลูกจ้างพนักงานว่า เจ้าหน้าที่บางส่วนอาจต้องพักงานชั่วคราว

    ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับสถานการณ์แบบเดียวกันซึ่งเคยเกิดขึ้นในปี 2011 คณะรัฐบาลโอบามาเตือนว่า พนักงานรัฐ 800,000 คนจากราว 2.1 ล้านคนอาจได้รับผลกระทบ

    แดน ไฟเฟอร์ ที่ปรึกษาอาวุโสของทำเนียบขาว ออกมากล่าวหาสมาชิกรีพับลิกันบางคนว่า สนใจทำคะแนนทางการเมืองจากการโจมตีโอบามาแคร์ มากกว่าเรื่องการทำให้รัฐบาลสามารถปฏิบัติภารกิจตามปกติและทำให้เศรษฐกิจขับเคลื่อนไปข้างหน้า

    คาดหมายกันว่า วุฒิสภาที่พรรคเดโมแครตมีเสียงเกินกึ่งหนึ่งเล็กน้อย จะแก้ไขร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวฉบับของสภาล่าง ด้วยการตัดส่วนการยกเลิกการสนับสนุนเงินแก่โอบามาแคร์ออก เพื่อให้รัฐบาลยังคงมีงบประมาณใช้จ่ายในระดับเดียวกับปัจจุบัน ไปจนกระทั่งถึงวันที่ 15 ธันวาคม

    แฮร์รี รีด ผู้นำเสียงข้างมากของเดโมแครตในสภาสูงเผยว่า จะจัดให้มีการโหวตทดสอบในวันพุธ (25) และยืนยันว่า จะไม่ยอมให้สมาชิกรีพับลิกันที่ “บ้าคลั่ง” จับรัฐบาลเป็นตัวประกันเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ

    พวกวุฒิสมาชิกรีพับลิกันกลุ่มที่สนับสนุนโดยพวกอนุรักษนิยมขวาจัด “ที ปาร์ตี้” นำโดย ส.ว.เท็ด ครูซ ออกมาประกาศว่าจะเดินเกมขัดขวาง รีด ทว่า วันจันทร์ที่ผ่านมา มิตช์ แมคคอนเนลล์ ผู้นำเสียงข้างน้อยของรีพับลิกันในวุฒิสภา รวมทั้งจอห์น คอร์นิน ผู้นำอันดับ 2 ออกคำแถลงจะไม่สนับสนุนแนวทางของครูซ บ่งชี้ว่า เกิดความแตกแยกในรีพับลิกัน กล่าวคือผู้นำบางส่วนกลัวว่า พรรคจะถูกโทษว่าเป็นสาเหตุให้หน่วยงานรัฐต้องหยุดการให้บริการ ขณะที่สมาชิกอื่นๆ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ซึ่งเป็นพวกที ปาร์ตี้ ดึงดันให้คว่ำโอบามาแคร์

    ทั้งนี้ หากร่างกฎหมายของรีดผ่านสภาล่าง ซึ่งแนวโน้มอยู่มากว่าน่าจะเป็นเช่นนั้น วุฒิสภาก็จะส่งร่างกฎหมายฉบับนี้กลับไปให้สภาผู้แทนราษฎร โหวตยอมรับใหม่ โดยคาดว่าน่าจะเป็นในวันอาทิตย์ (29 ก.ย.) ทำให้สภาล่างมีเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมงในการอภิปรายและลงมติ

    อย่างไรก็ตาม กระทั่งว่ารัฐสภาสามารถประนีประนอมกันผ่านงบประมาณชั่วคราวก่อนเส้นตาย ไม่ต้องให้เจ้าหน้าที่ภาครัฐหยุดงานตั้งแต่ 1 ตุลาคม ในอีกไม่กี่วันถัดไป รัฐบาลกับรัฐสภา เดโมแครตกับรีพับลิกัน ก็ยังมีหวังจะต้องเผชิญหน้ากันอีก โดยคราวนี้เป็นเรื่องที่ภาระหนี้สินจะครบเต็มเพดานการกู้ยืมของประเทศ ดังนั้นจึงต้องขอให้รัฐสภาอนุมัติการขยายเพดาน

    เรื่องนี้ พวกสมาชิกรีพับลิกันในสภาล่าง ก็วางแผนกันที่จะนำเอาประเด็นนี้ แลกเปลี่ยนกับการที่โอบามาและเดโมแครตต้องยอมชะลอการใช้กฎหมายปฏิรูประบบสาธารณสุขไป 1 ปี

    ไฟเฟอร์ตั้งความหวังว่า พวกสมาชิกรีพับลิกันที่มีเหตุมีผล จะช่วยป้องกันไม่ให้รัฐบาลต้องหยุดดำเนินงาน หรือที่ร้ายกว่านั้นคือ อเมริกาผิดนัดชำระหนี้ เพราะรัฐสภาไม่อนุมัติการขยายเพดานการก่อหนี้

    โอบามาและเดโมแครตนั้น มีหมัดเด็ดขาดกว่าอยู่ตรงที่ว่า หากให้เลือกระหว่างการให้หน่วยงานปิดทำการเพราะไม่มีงบประมาณ กับการให้เงินสนับสนุนโอบามาแคร์ซึ่งยังมีชาวอเมริกันจำนวนไม่น้อยคัดค้านแล้ว ปรากฏว่า ผลสำรวจจากซีเอ็นบีซีระบุชัดเจนว่า ชาวอเมริกัน 59% คัดค้านการให้หน่วยงานรัฐปิดทำการ แม้จะเป็นการแลกเปลี่ยนกับการบีบรัฐบาลเลิกโอบามาแคร์ก็ตามที ขณะที่มีเพียง 19% สนับสนุนให้ปิดทำการหน่วยงานรัฐบาล หากสามารถทำให้มีการยุติการจัดสรรงบประมาณแก่โอบามาแคร์ได้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • image.jpg
      image.jpg
      ขนาดไฟล์:
      29.6 KB
      เปิดดู:
      1,687
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Adepto Perfectus = dutchsinse ได้แชร์ลิงก์
    6 ชั่วโมงที่แล้ว
    ขณะนี้ได้มรการพูดกันเป็นอย่างมากเกี่ยวกับ สนามแม่เหล็กโลกกลับขั้ว (อีกครั้ง)
    I've heard a LOT of talk recently about a "pole shift" (again)..

    Remember 2011 ? Watch this. This should settle some of the more outrageous claims, however it will raise questions for many of you who think that "nothing out of the ordinary" is going on.

    เพื่อให้แน่ใจว่าบางสิ่งกำลังมา แต่ทำไม อะไรเป็นสาเหตุให้เกิดการเร่ง อะไรเป็นคำถามที่แท้จริง
    For sure, something is going on.. but what? Whats causing the acceleration.. thats the real question.

    Classic video from my channel during 2011...

    euronews talks about accelerating POLE-SHIFT!
    The pole is currently at about 80º north latitude and 104º west


    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=8CFdBPrC4f0]euronews talks about accelerating POLE-SHIFT! - YouTube[/ame]

    <iframe width="640" height="360" src="//www.youtube.com/embed/8CFdBPrC4f0?feature=player_embedded" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    [​IMG]

    ความจริงหลังกึ่งพุทธกาล
    12 ชั่วโมงที่แล้ว
    ALERT: เพนตากอนเตรียมการสำหรับ "ถล่มขนาดใหญ่ทางเศรษฐกิจ" ...

    ALERT: Pentagon Prepping For ‘Large Scale Economic Breakdown’…
    The Last Great Stand » ALERT: Pentagon Prepping For ‘Large Scale Economic Breakdown’…

    - สอดคล้องกับการเตรียมการต่างๆที่เราได้รับรู้มา
    - เป็นไปตามคาด (แต่หวยที่ซื้อห่างกันลิบลับ!)

    วิดีโอสำหรับการเตรียมเพื่อสิ่งนี้
    WAKE UP HUNDREDS OF TANKS AND ARMOR MOVING IN CALIFORNIA COMING THROUGH BURBANK
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=VkYfSXy7XGo]WAKE UP HUNDREDS OF TANKS AND ARMOR MOVING IN CALIFORNIA COMING THROUGH BURBANK - YouTube[/ame]

    ที่ทำหลายคนแตกตื่นกับขบวนรถถัง!
    Scary! Filmed today 1/20/2012 in Watsonville, CA South of Santa Cruz going South.mp4 - YouTube

    รถหุ้มเกราะ
    Military Tanks,Trucks on Train
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=xb2eH5MR_-A]Military Tanks,Trucks on Train - YouTube[/ame]

    Trains Carrying Military Combat Vehicles
    Trains Carrying Military Combat Vehicles - YouTube


    เตรียมรับผลกระทบสำหรับประเทศไทย!!!
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 8.jpg
      8.jpg
      ขนาดไฟล์:
      28.2 KB
      เปิดดู:
      1,471
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ก้องภพ อยู่เย็น ได้แชร์ลิงก์
    13 ชั่วโมงที่แล้ว บริเวณ Arlington, VA, United States
    วันที่ 25 กันยายน เวลา 0:40 UT เกิดปฏิกริยาดวงอาทิตย์เป็นมุมกว้าง โดยมีทิศทางหลักไปทางทิศตะวันออก -ด้านเดียวกับโลก- และพบการขยายตัวของจุดดับเบอร์ 1850 ในช่วงเดียวกัน จากโมเดลพบว่าคลื่นพลังงานจะเดินทางมาถึงในแนววงโคจรของโลกในวันที่ 28 กันยายน เวลา 6 UT +/- 7 ชั่วโมง

    ในระหว่างวันที่ 28-29 กันยายน ยังเป็นวันสำคัญทางดาราศาสตร์ คือมีการเรียงตัวระหว่าง ดวงอาทิตย์ โลก และดาวพฤหัส ในแนวตั้งฉาก

    ท่านที่สนใจสามารถติดตามการเปลี่ยนแปลงบนโลกที่สัมพันธ์กับเหตุการณ์นี้ได้ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 29 กันยายนครับ

    ส่วนรายละเอียดเพิ่มเติมมีดังนี้
    - ภาพถ่ายที่ิผิวดวงอาทิตย์จากเหตุการณ์ครั้งนี้ http://www.solarham.net/pictures/archive/sep24_2013_prom.jpg
    - วิดิโอถ่ายมุมกว้างของปฏิกริยาดวงอาทิตย์ โดยโลกอยู่ทางด้านขวามือของภาพ http://stereo.gsfc.nasa.gov/browse/2013/09/24/behind_20130924_cor2_512.mpg
    - โมเดลจำลองการแพร่กระจายของคลื่นพลังงานจากดวงอาทิตย์ http://iswa.ccmc.gsfc.nasa.gov:8080/IswaSystemWebApp/StreamByDataIdServlet?allDataId=576888625

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    [​IMG]

    Kaokala Fc
    3 ชั่วโมงที่แล้ว
    25 ก.ย. เกิดแผ่นดินไหว 7.0 ริกเตอร์ นอกชายฝั่งเปรู ยังไม่มีรายงานความเสียหาย

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 25 ก.ย. อ้างรายงานจากสำนักสำรวจทางธรณีวิทยาแห่งชาติสหรัฐฯ (ยูเอสจีเอส) ว่า เมื่อเวลา 23:42น. วันพุธ ตามเวลาประเทศไทย เกิดแผ่นดินไหวขนาด 7.0 ริกเตอร์ ในทะเลใกล้ชายฝั่งทางใต้ของประเทศเปรู จุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่ห่างจากเมืองอาการี ในจังหวัดอาเรกีปา ไปทางใต้ราว 46 กม.ที่ความลึก 45.8 กม.

    หลังเกิดแผ่นดินไหว มีการประกาศเตือนคลื่นยักษ์สึนามิขนาดไม่เกิน 1.2 ม. แต่ประกาศนี้ถูกยกเลิกในเวลาต่อมา ขณะที่มีรายงานจากเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นของเปรูว่า เกิดความวุ่นวายเล็กน้อยในเมือง กามานา, กาสติญา และ อาเรกีปา (เมืองเอกของจังหวัดอาเรกีปา) โดยสัมผัสได้ถึงสั่นสะเทือนนานราว 20 วินาที แต่เชื่อว่าจะไม่มีความเสียหายรุนแรง

    ขณะเดียวกัน ระบบประสานงานและเตือนภัยพิบัติของโลก (GDACS) ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง สำนักงานเพื่อการประสานงานด้านมนุษยธรรมแห่งสหประชาชาติ (OCHA) และคณะกรรมาธิการยุโรป คำนวณได้ว่า ไม่มีมนุษย์อาศัยอยู่ในพื้นที่รัศมี 10 กม.จากจุดเกิดแผ่นดินไหว รวมถึงมีประชาชนไม่ถึงร้อยคนอาศัยในพื้นที่รัศมีตั้งแต่ 10-20 กม.จากจุดเกิดแผ่นดินไหว ดินไหว 70 นอกชายฝั่งเปรู ยังไม่มีรายงานความเสียหาย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 9.jpg
      9.jpg
      ขนาดไฟล์:
      23 KB
      เปิดดู:
      1,504
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    10 เรื่องไม่นิยายของดวงจันทร์ โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 25 กันยายน 2556 14:42 น.

    แม้ดวงจันทร์จะเป็นเพื่อนบ้านในอวกาศของโลกที่อยู่ใกล้เราที่สุด แต่มีหลายเรื่องของบริวารดวงนี้ที่เราอาจไม่เคยรู้ และสเปซด็อทคอมได้รวบรวมไว้ 10 เรื่อง ดังนี้

    [​IMG]

    1.กำเนิดจากการชน
    ตามทฤษฎีที่ยอมรับกันส่วนใหญ่ ดวงจันทร์เกิดจากหินอวกาศขนาดเท่าดาวอังคารพุ่งชนโลก หลังระบบสุริยะก่อตัวได้ไม่นาน เมื่อประมาณ 4.5 ล้านปีก่อน

    [​IMG]

    2.ล็อคด้านเดียวเข้าหาโลก
    การที่ดวงจันทร์ทั้งหมุนรอบตัวเองและโคจรรอบโลกที่หมุนรอบตัวเองแล้วโคจรไปรอบดวงอาทิตย์ โดยที่หันด้านเดียวเข้าหาโลกนั้นเป็นเรื่องอัศจรรย์ โดยข้อมูลจากสเปซด็อทคอมระบุว่า แรงโน้มถ่วงโลกทำให้การหมุนรอบแกนหมุนของดวงจันทร์ช้าลง และการหมุนของดวงจันทร์ก็ช้าจนพอดีกับการโคจรรอบโลกและคงที่อยู่เช่นนั้น ซึ่งดวงจันทร์ของดาวเคราะห์อื่นๆ ก็มีรูปแบบคล้ายๆ กัน

    เมื่อดวงจันทร์หมุนรอบโลกจะมีช่วงที่รับแสงสว่างจากดวงอาทิตย์มองไม่เห็นจากบนโลก เรียกระยะดังกล่าวว่า “เดือนมืด” (new moon) ดังนั้น จึงไม่มี “ด้านมืดของดวงจันทร์” แต่มีเพียงด้านที่เราไม่เคยได้เห็นเท่านั้น และเมื่อดวงจันทร์หมุนไปตามวงโคจรเราจะได้เห็นเสี้ยวของด้านที่สะท้อนแสงอาทิตย์ด้วยหรือที่เรียกว่า “จันทร์เสี้ยว” และเมื่อดวงจันทร์อยู่ตรงข้ามกับดวงอาทิตย์เราก็จะได้เห็นดวงจันทร์สะท้อนแสงอาทิตย์เต็มๆ หรือที่เรียกว่า “พระจันทร์เต็มดวง”

    [​IMG]

    3.ต้นไม้จากดวงจันทร์
    มีต้นไม้กว่า 400 ต้นที่เคยไปไกลถึงดวงจันทร์ก่อนหยั่งรากบนโลก โดยเมื่อปี 1971 สจ็วต รูสา (Stuart Roosa) มนุษย์อวกาศประจำปฏิบัติการอพอลโล 14 (Apollo 14) ขององค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐฯ (นาซา) ได้นำเมล็ดพันธุ์ติดต่อขึ้นไปด้วย ระหว่างที่ อลัน เชพเพิร์ด (Alan Shepard) และ เอ็ดการ์ มิทเชลล์ (Edgar Mitchell) กับยุ่งอยู่กับการสำรวจไปบนพื้นผิวดวงจันทร์นั้น รูสาก็ทำหน้าที่ปกป้องเมล็ดพันธุ์อยู่ในวงโคจรรอบดวงจันทร์

    หลังจากกลับมายังโลกเมล็ดพันธุ์เหล่านั้นก็ถูกปลูกไปทั่วสหรัฐฯ และเจริญงอกงามดี ซึ่งส่วนใหญ่ยังเติบโตดีและถูกเรียกว่า “ต้นดวงจันทร์”

    [​IMG]

    4.ดวงจันทร์อาจมีน้องสาว
    ดวงจันทร์อาจไม่ใช่บริวารเพียงดวงเดียวของโลก โดยเมื่อปี 1999 นักวิทยาศาสตร์ได้พบอุกกาบาตขนาด 5 กิโลเมตร ที่ถูกจับไว้ด้วยแรงโน้มถ่วงโลก เมื่อเป็นเช่นนั้นอุกกาบาตดังกล่าวซึ่งถูกเรียกว่า “ครูธเน” (Cruithne) จึงกลายเป็นบริวารของโลกไปโดยปริยาย น้องสาวของดวงจันทร์ดวงนี้ใช้เวลา 770 ปีโคจรรอบโลกเป็นรูปเกือกม้า ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ระบุว่าอุกกาบาตลูกนี้จะอยู่ในอิทธิพลของแรงโน้มถ่วงโลกไปอย่างน้อย 5,000 ปี

    [​IMG]

    5.ผ่านไปหลายล้านปีพื้นผิวก็ไม่เปลี่ยนแปลง
    มีหลุมอุกกาบาตลึกขนาดใหญ่บนดวงจันทร์ ซึ่งเป็นผลจากการถูกหินอุกกาบาตพุ่งชนอย่างรุนแรงเมื่อระหว่าง 4.1-3.8 พันล้านปีก่อนหน้านี้ ซึ่งร่องรอยความรุนแรงดังกล่าวไม่สึกกร่อนเป็นเพราะ 2 เหตุผลหลัก คือ ดวงจันทร์ไม่มีความเคลื่อนไหวทางธรณีวิทยามากเหมือนโลก ไม่ว่าภูเขาไฟหรือภูเขาก็ไม่ทำลายภูมิทัศน์เหมือนอย่างบนโลก และอีกเหตุผลคือดวงจันทร์แทบจะไม่มีชั้นบรรยากาศ ดังนั้น การสึกกร่อนจึงเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อย

    [​IMG]

    6.ดวงจันทร์ไม่กลม
    รูปร่างของดวงจันทร์คล้ายรูปร่างของไข่มากกว่า และศูนย์กลางมวลของดวงจันทร์ไม่ได้อยู่ตรงศูนย์กลางตามรูปทรงเรขาคณิต แต่อยู่ห่างจากศูนย์กลางรูปทรงเรขาคณิตดังกล่าวออกมา 2 กิโลเมตร

    [​IMG]

    7.“มูนเควก” ดวงจันทร์ไหว
    มนุษย์อวกาศในโครงการอพอลโลได้ใช้เครื่องมือวัดการสั่นสะเทือนบนดวงจันทร์ และพบว่าดวงจันทร์เทาๆ นี้ยังไม่ได้ตายด้าน แต่ยังยังมีการสั่นสะเทือนเบาๆ ที่มีต้นกำเนิดแรงสั่นสะเทือนอยู่ลึกใต้พื้นผิวลงไปหลายกิโลเมตร ซึ่งเชื่อว่าการสั่นสะเทือนนั้นเป็นผลพวงจากแรงดึงของแรงโน้มถ่วงโลก บางครั้งมีรอยแยกบนพื้นผิวและมีก๊าซเล็ดลอดออกมา

    นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าบางทีดวงจันทร์อาจจะมีแกนกลางที่ร้อนจัดหรืออาจจะหลอมเหลวด้วยบางส่วน เหมือนแกนกลางของโลก แต่ข้อมูลจากยานอวกาศลูนาร์โพรสเปคเตอร์ (Lunar Prospector) ของนาซาได้เผยให้เห็นตั้งแต่ปี 1999 ว่า แกนกลางของดวงจันทร์นั้นเล็กมาก อาจมีมวลอยุ่เพียง 2-4% ของมวลทั้งหมด ซึ่งเล็กมากเมื่อเทียบกับโลกที่มีแกนเป็นเหล็กและมีมวลถึง 30% ของมวลทั้งหมด

    [​IMG]

    8.ดวงจันทร์อาจจะเป็นดาวเคราะห์?
    ดวงจันทร์ของเราใหญ่กว่าพลูโต และมีเส้นผ่านศูนย์กลางยาวๆ 1 ใน 4 ของเส้นผ่านศูนย์กลางโลก นักวิทยาศาสตร์บางส่วนเชื่อว่า ดวงจันทร์น่าจะเป็นดาวเคราะห์มากกว่า และเรียกระบบโลกกับดวงจันทร์ว่า “ดาวเคราะห์คู่” (double planet) ซึ่งพลูโตและชารอน (Charon) ซึ่งเป็นดวงจันทร์ก็ถูกเรียนกว่า “ระบบดาวเคราะห์คู่” จากนักวิทยาศาสตร์บางส่วนด้วย

    [​IMG]

    9.กระตุกน้ำขึ้น-น้ำลง
    เป็นที่ทราบดีว่าปรากฏการณ์น้ำขึ้น-น้ำลงบนโลกนั้นได้รับอิทธิพลส่วนใหญ่จากดวงจันทร์ ขณะที่ดวงอาทิตย์มีอิทธิพลต่อน้ำขึ้นน้ำลงเพียงเล็กน้อย โดยแรงดึงดูดของดวงจันทร์จะดึงน้ำในมหาสมุทร โดยน้ำขึ้นจะเกิดขึ้นเมื่อโลกเรียงอยู่ในระดับใต้ดวงจันทร์ และอีกกรณีคือด้านของโลกที่ไปไม่ได้หันเข้าหาดวงจันทร์จะเกิดน้ำขึ้น เพราะแรงดึงดูดดึงโลกเข้าหาดวงจันทร์มากกว่าดึงน้ำ และเมื่อพระจันทร์เต็มดวงกับคืนเดือนมืด ดวงอาทิตย์ โลกและดวงจันทร์จะเรียงเป็นแวเดียวกัน ทำให้เกิดน้ำขึ้นสูงกว่าปกติ

    นอกจากนี้แรงดึงจากดวงจันทร์ยังทำให้โลกหมุนช้าลง เนื่องจากพลังงานการหมุนของโลกถูกดวงจันทร์ดึงไป ทำให้โลกของเราช้าลงประมาณ 1.5 มิลลิวินาทีทุกๆ 100 ปี

    [​IMG]

    10.เตรียมบอกลาดวงจันทร์
    ดวงจันทร์กำลังเคลื่อนออกห่างจากโลกไปเรื่อยๆ ในทุกปีดวงจันทร์ขโมยพลังงานจากโลก และใช้ในการขับดันตัวเองให้วงโคจรถ่างออกไป 3.8 เซ็นติเมตร ซึ่งนักวิจัยเผยว่า เมื่อดวงจันทร์เริ่มก่อกำเนิดนั้นอยู่ห่างจากโลกเพียง 22,530 กิโลเมตร แต่ตอนนี้ดวงจันทร์อยู่ห่างออกไป 450,000 แล้ว
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1.JPEG
      1.JPEG
      ขนาดไฟล์:
      52.7 KB
      เปิดดู:
      1,536
    • 2.JPEG
      2.JPEG
      ขนาดไฟล์:
      44.6 KB
      เปิดดู:
      1,500
    • 3.JPEG
      3.JPEG
      ขนาดไฟล์:
      91 KB
      เปิดดู:
      1,472
    • 4.JPEG
      4.JPEG
      ขนาดไฟล์:
      77.7 KB
      เปิดดู:
      1,504
    • 5.JPEG
      5.JPEG
      ขนาดไฟล์:
      92.2 KB
      เปิดดู:
      1,531
    • 6.JPEG
      6.JPEG
      ขนาดไฟล์:
      107.5 KB
      เปิดดู:
      1,471
    • 7.JPEG
      7.JPEG
      ขนาดไฟล์:
      115.6 KB
      เปิดดู:
      1,510
    • 8.JPEG
      8.JPEG
      ขนาดไฟล์:
      23.8 KB
      เปิดดู:
      1,473
    • 9.JPEG
      9.JPEG
      ขนาดไฟล์:
      94.5 KB
      เปิดดู:
      1,482
    • 10.JPEG
      10.JPEG
      ขนาดไฟล์:
      46.8 KB
      เปิดดู:
      1,543

แชร์หน้านี้

Loading...