-> ตีแผ่ --> สมเด็จวังหน้า + สมเด็จวัดพระแก้ว + สมเด็จพระธาตุพนม

ในห้อง 'วิธีดูพระเครื่อง-เครื่องรางของขลัง' ตั้งกระทู้โดย pmorn3339, 29 กันยายน 2011.

  1. กำธร นครปฐม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    2,756
    ค่าพลัง:
    +7,202
    ครับขอบคุณมากครับ ที่ใช้คำว่าสิ้นชีพิตักษัย นั้น ตามประวัติท่านเจ้าประคุณ ท่านเป็นเชื้อพระวงศ์ครับ ถึงได้ใช้คำนี้ เพราะถ้าใช้คำว่ามรณะภาพ จะสมกับฐานะท่านหรือไม่ และไม่รู้ว่าจะมีคนมาแย้งอีกหรือไม่ แต่อย่างไรก็ขอบคุณมากนะครับ

     
  2. Phaake เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,818
    ค่าพลัง:
    +319
    ตามประวัติหลายๆที่ จะออกไปทาง ลูกภรรยาน้อย ของเชื้อพระวงค์สายหนึ่ง ซึ่งก็ไม่ปรากฏว่าเป็นสายไหน

    แต่เพราะออกบวชแล้ว จึงใช้ได้แต่ มรณะภาพ ครับ
     
  3. pmorn3339 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,342
    ค่าพลัง:
    +2,467

    ใช้ตามบันทึกไว้ใน "จดหมายเหตุบัญชีน้ำฝน" ครับ

    ความปรากฏในจดหมายเหตุบัญีน้ำฝน ของสมเด้จพระมหาสมณะเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์เล่น ๓ หน้า ๔๔ ว่า
    "...วันเสาร์ แรม ๒ ค่ำ เดือน ๘ (ต้น) ปีวอก จุล. ๑๒๓๔ เวลา ๒ ยาม สมเด็จพระพุฒาจารย์ถึงชีพิตักษัย..... "


    h ttp://library.bsru.ac.th/rLocal/index.php?option=com_content&view=article&id=92:2011-08-29-08-39-18&catid=53:2011-07-05-12-11-28&Itemid=73


    จดหมายเหตุบันชีน้ำฝน หน้านี้ ข้อความนี้ผมเคยอ่านเจออยู่ แต่ไม่รู้ว่าเซฟไว้ในไฟล์ไหน
    เดี๋ยวจะค้นหามาแสดงให้ดูครับ
     
  4. Phaake เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,818
    ค่าพลัง:
    +319
    จดหมายเหตุดังกล่าว เป็นที่มาให้สงสัยว่า ท่านเป็นเชื้อพระวงค์ เพราะคำดังกล่าวครับ ประกอบกับประวัติสมัยยังเป็นสามเณร ท่านมีเส้นมีสายที่หนาและใหญ่มาก เลยได้ฝากตัวเป็นศิษย์กับเถระชั้นผู้ใหญ่หลายองค์

    โดยส่วนตัวคิดว่า สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ผู้เขียน ทราบว่าท่านเป็นพระโอรสของใคร แต่เพราะการให้ความเคารพเชื้อสายในสมเด็จโต ท่านเลยยังคงใช้คำราชาศัพท์ กับ สมเด็จโตครับ
     
  5. Phaake เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,818
    ค่าพลัง:
    +319
    แต่เพราะ กรมฯ ท่านเป็นเชื้อพระวงคืผู้ใหญ่เลยไม่ผิดนัก ถ้าท่านจะเรียกด้วยคำดังกล่าว

    แต่ผมพุดถึงปัจจุบันนะครับ ว่า คำต้นเรื่อง ไม่เหมาะจะเรียกสมณสงฆ์แล้วนะครับ
     
  6. pmorn3339 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,342
    ค่าพลัง:
    +2,467

    ส่วนตัวผมมองว่า
    พอสมเด็จพระมหาสมณะเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ท่านบันทึกเรียกไว้ว่ายังงี้
    ก็เลยไม่มีใครกล้าที่จะเปลี่ยนไปใช้คำอย่างอื่นมาเรียกแทน "ชีพิตักษัย" อะครับ
    นอกจากจะไม่รู้
     
  7. กำธร นครปฐม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    2,756
    ค่าพลัง:
    +7,202
    ครับ ผมเองก็เขียน ตามสมเด็จพระมหาสมณะเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ครับ เพราะถือคติเชื่อฟังผู้ใหญ่ และอีกอย่างไม่กล้าเรียกอย่างอื่นครับ เพราะถ้าสมเด็จพระมหาสมณะเจ้าฯ ท่านทรงบันทึกไว้อย่างนี้ ก็กลัวจะถูกว่า ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงครับ ขอบคุณทุก ๆ ความเห็นนะครับ มีเหตุผลทุกกระทู้ครับ ถือว่ามีประโยชน์มาก ๆ ครับ
     
  8. โอกระบี่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,477
    ค่าพลัง:
    +1,651
    อื่อ........มาเก็บเกี่ยวประโยชน์กับเค้ามั่งดีกว่า...ได้ความรู้ดีครับ ตามผู้ใหญ่ จะได้ไม่ถูกว่า
     
  9. มันตรัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    8,346
    ค่าพลัง:
    +8,189
    เข้ามาสนับสนุนพี่กำธร ครับ:cool::cool::cool: ส่วนตัวผมเองคิดว่าพี่ใช้ถูกต้องแล้ว และผมเองไม่ได้เอาใครเป็นบันไดด้วยครับ
     
  10. pmorn3339 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,342
    ค่าพลัง:
    +2,467
    พระของท่านไม่มี "สัญญาลักษณ์" อันใด เช่น ครุฑ หรือ พระรูป ร.5 ปรากฏอยู่บนองค์พระ
    ผมจึงไม่รู้จะหาอะไรมาอ้างอิง ต้องรอท่านผู้รู้ท่านอื่นมาตอบให้ครับ
     
  11. namitta เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    1,061
    ค่าพลัง:
    +3,517
    แหม แซวเล่นคร้าบบ
     
  12. atist เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,070
    ค่าพลัง:
    +293
    ประวัติสมเด็จวังหน้า

    การสร้างพระสมเด็จวังหน้า ๒๔๑๑



    วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๔๑๑ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต พระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ฝ่ายบรรพชิต มีกรมหมื่นบวรรังษีสุริยพันธ์ (กรมพระปวเรศน์วริยาลงกรณ์ในกาลต่อมา) ฝ่ายฆราวาสมีกรมพระเทเวศร์วัชรินทร์เป็นประธน และขุนนางระดับสูงมีเจ้าพระยามหาศรีสุริยวงศ์ เป็นประธาน ได้จัดประชุมกันในพระราชวังสวนดุสิต ในพระบรมมหาราชวัง ได้ตกลงยกเจ้าฟ้าจุลาลงกรณ์ กรมขุนพิชิตประชานารถ ซึ่งมีพระชนมายุ ๑๕ พรรษาขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ ถวายพระนามว่า “พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว”และจะจัดพิธีบรมราชาภิเษกขึ้นในวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๔๑๑ โดยยกเจ้าพระยามหาศรีสุริยวงศ์เป็นผู้สำเร็จราชการไปจนกว่าพระมหากษัตริย์จะมีพระชนมายุครบ ๒๐ พรรษา



    ขณะเดียวกันก็เลือกผู้ที่จะเป็นเจ้ากรมวังหน้า ที่ประชุมตกลงยกพระองค์เจ้ายอดยิ่งยศ กรมหมื่นบวรวิไชยชาญ (พระโอรสในสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว พระเจ้าแผ่นดินองค์ที่ ๒ ของรัชกาลที่ ๔) ขึ้นเป็นกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญสถานมงคล ตั้งแต่วันนั้น



    ในงานนี้ เจ้าพระยาภาณุวงษ์มหาโกษาธิบดี เจ้ากรมท่า ว่าที่การคลังกับการต่างประเทศ ซึ่งเป็นน้องชายของเจ้าพระยามหาศรีสุริยวงศ์ ได้ขอพระบรมราชานุญาติสร้างพระพิมพ์ขึ้นจำนวน ๘๔,๐๐๐ องค์ โดยใช้พิมพ์สมเด็จวัดระฆัง ของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) เป็นแม่แบบ เพื่อเป็นศิริมหามงคลเนื่องในการเสด็จเถลิงถวัลย์ครองราชสมบัติ รัชกาลที่ ๕ เพื่อแจกจ่ายแก่เจ้านายและประชาชน ที่เหลือจะได้บรรจุลงกรุในพระเจดีย์วัดพระแก้วมรกต
    การสร้างพระพิมพ์ครั้งนี้ ได้นำพิมพ์ของวัดระฆังมาส่วนหนึ่ง และทำเพิ่มขึ้นอีกมากมายเพื่อเร่งให้ได้พระ ๘๔,๐๐๐ องค์ ทันวันงาน พวกช่างวังหน้า วังหลัง วังหลวง อันมีหลวงวิจารณ์เจียรนัย และหลวงนฤมลวิจิตร เป็นหัวหน้า จึงช่วยกันทำแม่พิมพ์พระขึ้นมากมาย ซึ่งผู้เขียนยังหาข้อสรุปไม่ได้ว่ามีกี่พิมพ์ เพราะหาได้ไม่ครบ พิมพ์พระเหล่านี้ส่วนมากคล้ายพิมพ์ทรงนิยมของวัดระฆัง เช่นพิมพ์พระประธาน พิมพ์เกศบัวตูม พิมพ์เศียรบาตร พิมพ์สังฆาฏิ พิมพ์ทรงเจดีย์ พิมพ์อกร่องหูยาน พิมพ์โบราณเช่น พระรอดลำพูน พระลีลาเม็ดขนุน พระซุ้มกอ พระนางพญา พระผงสุพรรณ พระปิดตา พระสังกัจจายน์ เป็นต้น
    ผงวิเศษนั้นได้จากหลวงปู่โต ปูนนั้นใช้ปูนกังไสจากประเทศจีน ซึ่งเจ้าพระยาภาณุวงศ์มหาโกษาธิบดี และกรมหมื่นวิไชยชาญเคยไปประเทศจีนแล้วนำมาพร้อมกับสีต่าง ๆ เพื่อสร้างเครื่องกังไสลายคราม โดยพระองค์สร้างเตาสังคโลกขึ้นในวังหน้า ดังนั้น การสร้างพระคราวนี้จึงมีการคิดใหม่ทำใหม่ นอกจากมีพิมพ์ใหม่เกิดขึ้นมากมายแล้ว ได้ทำเป็นพระหลากสี ซึ่งเรียกกันเดี๋ยวนี้ว่า”พระเบญจรงค์บ้าง พระปัญจศิริบ้าง พระสายรุ้งบ้าง
    ส่วนผสมอื่น ๆ ก็คงใช้แบบที่หลวงปู่โตท่านเคยสร้างพระสมเด็จ แต่มีวิธีทำที่ดีกว่าคือแทนที่จะใส่ครกตำ กลับใช้เครื่องรางบดยาสมุนไพรที่เป็นร่องแล้วใช้ลูกกลิ้งจานเหล็ก โยกกลับไปกลับมา จึงได้ผงที่ละเอียดมาก จากนั้นจึงนำมาผสมน้ำ และผสมสีลงไป ช่างแต่ละคนก็ผสมสีของตนเอง ดังนั้นพระแต่ละองค์จึงมีสีที่แตกต่าง ก่อนจะอัดมวลสารต่าง ๆ ลงไปก็หยิบผงตะไบทองที่เจ้าของร้านทองแถวสำเพ็งนำมาถวาย โปรยลงไปในแม่พิมพ์เล็กน้อย อัดเสร็จก็หยิบผงตะไบทองโรยทับหลังอีกนิดก็อัดอีกที จึงแกะพระจากพิมพ์วางเรียงไว้ เสร็จแล้วก็นำไปตากแดด ถ้าแดดดี พระแห้งเร็ว ก็จะเกิดรอยแตกลายงาขึ้น มากบ้างน้อยบ้าง ถ้าพระผึ่งไว้ในร่มจนแห้ง การแตกลายงาก็ไม่ปรากฏ องค์พระจะดูสวยงาม พระบางองค์ไม่มีผงตะไบทองก็เพราะผงตะไบมีจำนวนจำกัดไม่ครบจำนวนช่าง
    พระส่วนมากหลังเรียบ แต่บางองค์ก็มีประทับตราหลังคือตราครุฑบ้าง ธรรมจักรบ้าง ตราธงชาติ ตราเสมา ดอกบัว พระเกี้ยว จปร.เป็นต้น
    พระอีกส่วนหนึ่งไม่ได้ผสมหลายสี ทำแบบพระวัดระฆัง แต่มีสีขาว สีเหลือง สีเขียว สีดำ สีแดง สีฟ้าอ่อน เป็นชุด ๆ ไป พระสีเบญจรงค์มีจำนวนมากที่สุด แต่ละองค์ก็มีสีที่แตกต่างกัน ถ้าช่างพิมพ์พระเป็นคนเดียวกัน ก็ได้พระออกมาสีใกล้เคียงกัน แต่ไม่เหมือนกันสักองค์ แต่ละองค์มีความสวยงามที่แตกต่างกัน เมื่อนำมานั่งส่องนั่งดูก็เพลิดเพลินเจริญใจมิใช่น้อย สามารถสร้างจินตนาการได้หลากหลาย คุณตาประถม อาจสาคร ได้บรรยายภาพพระแต่ละองค์ของท่านไว้เข้าที แต่ผมไม่ได้จำ และไม่มีตำราพระสมเด็จปัญจสิริของท่านในมือ
    ในงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๔๑๑ นั้น พระคณาจารย์ที่มีชื่อเสียงได้ถูกนิมนต์มาร่วมพิธีที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน ก็ได้มาร่วมในงานครั้งนี้ด้วย
    ในพิธีมหาพุทธาภิเษกพระสมเด็จครั้งนั้น กรมพระยาปวเรศย์วริยาลงกรณ์(พระยศสมัยหลัง) ได้เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ สวดชยันโตและเบิกพระเนตร องค์ปลุกเสกมีสมเด็จพระพุฒาจารย์โต หลวงพ่อเงิน บางคลาน หลวงปู่คำ วัดอัมรินทร์ หลวงปู่จาด วัดภาณุรังสี ฯ ลฯ จะมีใครบ้างผู้เขียนไม่ทราบทั้งหมด งานมหาพุทธาภิเษกพระสมเด็จทำที่วัดบวรสถานสุทธาวาส มีกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญเป็นประธาน ทำพิธียิ่งใหญ่เป็นพิธีหลวง ดังนั้นพระชุดนี้จึงเป็นพระหลวง ทำพิธีถูกต้องทุกอย่าง พระคณาจารย์สุดยอดของประเทศในสมัยนั้นมาร่วมปลุกเสก จึงทำให้พระชุดนี้มีพลังอิทธิคุณล้ำเลิศ จะหาพระชุดไหนเสมอมิได้
    เมื่อเสร็จแล้วก็แจกจ่ายแก่พระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ ส่วนประชาชนทั่วไปจะได้รับหรือไม่มิปรากฏหลักฐาน เพราะผู้ที่ครอบครองพระชุดนี้ได้ปรากฏในสมัยต่อมามักเป็นเจ้านายระดับสูง ต่อมาทางลูกหลานของท่านก็นำมามอบให้ผู้ที่ตนรู้จักและนับถือ ซึ่งเล็ดลอดออกมาไม่มากนัก จึงหาคนรู้จักพระชุดนี้ได้น้อย เมื่อปรากฏขึ้นก็กลายเป็นพระเหนือตาเซียน คือเซียนไม่เคยพบเห็นมาก่อนจึงปฏิเสธว่าเป็นพระนอกพิมพ์ พระทำขึ้นทีหลัง
    พระที่เหลือจากการแจกจ่ายวันนั้นได้นำบรรจุในกรุเจดีย์ทอง ระเบียงวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ซึ่งผู้เขียนสันนิษฐานว่าน่าจะบรรจุช่วงบูรณะวัดพระแก้ว และพระบรมมหาราชวังเมื่อ พ.ศ.๒๔๒๓-๒๔ เพื่อฉลองพระนครครบ ๑๐๐ ปี ใน พ.ศ.๒๔๒๕ การบูรณะคราวนั้นได้มีการชะลอโยกย้ายพระเจดีย์ด้วย จึงน่าจะมีการบรรจุลงกรุคราวนั้น ก่อนหน้านั้นจะเก็บพระไว้ที่ไหนมิได้ระบุไว้ในเกร็ดประวัติศาสตร์ พระอีกส่วนหนึ่งเก็บไว้บนเพดานโบสถ์วัดบวรสุทธาวาส (พิพิธพัณฑสถานปัจจุบัน) และใต้ฐานพระ ซึ่งกรุนี้แตกเมื่อ พ.ศ.๒๕๒๓-๒๕๒๔ เช่นกัน แต่มีพระออกมาไม่มากนัก

    กรุพระสมเด็จวัดพระแก้วแตก
    พ.ศ.๒๕๒๓ ก่อนครบรอบ ๒๐๐ ปีรัตนโกสินทร์ พระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ทรงเป็นประธานในการบูรณะพระบรมมหาราชวัง และวัดพระศรีรัตนศาสดาราม และพิพิธภัณฑ์ เพื่อจัดฉลองให้ยิ่งใหญ่ ปี ๒๕๒๕ จึงระดมช่างสิบหมู่จากจังหวัดนครศรีอยุธยา อ่างทอง สุพรรณ กาญจนบุรี ราชบุรี และเพชรบุรี มาทำการรื้อและบูรณะสิ่งก่อสร้างที่ทรุดโทรมให้สวยงามเหมือนเดิม
    การจะบูรณะก็ต้องมีการรื้อถอนบางส่วนที่เสียทรวดทรง ซึ่งเจดีย์สร้างมานานอาจจะเอนเอียงไป ก็ต้องปรับให้ตรง ก็ต้องรื้อเกือบทั้งหมด แล้วทำให้เหมือนเดิม เมื่อรื้อเจดีย์ทอง ก็พบเป็นโพรงลงไป ข้างในโพรงนั้นเต็มไปด้วยพระเครื่องมากมาย พวกนายช่างและคนงานจึงแอบหยิบใส่ย่ามบ้าง ปิ่นโตบ้าง นำออกมา จนข่าวเรื่องพบกรุพระในเจดีย์ทองรั่วไปถึงหูเจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมการก่อสร้าง จึงนำเรื่องทูลเกล้าแจ้งให้สมเด็จพระเทพทรงทราบ พระองค์จึงกำชับให้กวดขันนายช่างและคนงานทุกคนเวลาเลิกงาน อย่าให้นำพระออกไป นายช่างและคนงานจึงหาวิธีใหม่ คือเอาพระใส่ถุงเศษอิฐหินปูนทรายซึ่งเป็นขยะที่ต้องทิ้ง เอาไปกอง ๆ ไว้ตามปกติที่เคยทำ แล้วลักลอบนำออก คราวนี้สามารถนำออกได้คราวละมาก ๆ
    คนงานส่วนมากเป็นคนอีสาน ฐานะยากจน เมื่อพบของดีก็อยากเปลี่ยนเป็นเงินทอง จึงนำไปเร่ขายแถวตลาดพระท่าพระจันทร์บ้าง ตลาดพระวัดราชนัดดาบ้าง เจ้าของแผงพระบางร้านก็รับซื้อไว้มากบ้างน้อยบ้าง เพราะราคาหลักสิบ ร้านไหนมีทุนเยอะก็อาจซื้อเหมาเก็บไว้หมด เพราะวาดฝันไว้ว่าถ้าพระชุดนี้ดังแล้วรวยระเบิดแน่ ๆ บางทีไปเจอคนนอกที่ไปเที่ยวเตร่แถวนั้น เขาพบเข้าและมีเงินติดตัวมากก็อาจซื้อเหมาไว้หมด
    เหตุการณ์เช่นนี้จะดำเนินไปกี่วันไม่ปรากฏ เมื่อความทราบถึงสมเด็จพระเทพ ฯ ท่านก็สั่งให้เจ้าหน้าที่ไปตรวจตามแผงพระต่าง ๆ แล้วยึดคืนกลับมาให้หมด เพื่อบรรจุลงเจดีย์เหมือนเดิม ร้านไหนเก็บซ่อนทัน พ้นหูพ้นตาก็รอดไป ร้านที่ไม่ได้ซุกซ่อนไว้ แถมยังเอามาวางจำหน่ายก็ถูกยึดคืนจนหมด
    ตั้งแต่นั้นมา พระกรุวัดพระแก้วจึงเป็นพระต้องห้าม ใครมีครอบครองก็ไม่กระโตกกระตากให้ใครรู้ แม้ศูนย์พระเครื่องพันทิพย์พลาซ่ายังต้องใส่ตู้เซฟซ่อนไว้ เพาะกลัวถูกยึดคืน พระเครื่องชุดนี้จึงลับ ๆ ล่อ ๆ ไม่สามารถปรากฏองค์ให้โด่งดังได้ ประจวบกับบรรดาเซียนพระต่าง ๆ พากันกดไว้ ใครนำมาพูดนำมาเสนอถามก็บอกว่าเป็นของปลอม ของทำเทียม คนจึงหมดความสนใจกันไป
    ต่อมา เมื่อเรื่องซาลงแล้ว คนที่รู้เรื่องราวก็แอบไปกระซิบถามเจ้าของแผงพระต่าง ๆ ก็สามารถทยอยซื้อเก็บไว้มากบ้างน้อยบ้าง ตามกำลังทรัพย์ของตน บางคนใช้เวลาเก็บอยู่หลายปี ได้พระสมเด็จกรุวัดพระแก้วหลายร้อยองค์ ซึ่งมีแบบพิมพ์ต่าง ๆ แต่พิมพ์พิเศษซึ่งมีอักษรจารึกหลังนั้นมีไม่มาก

    พระสมเด็จวัดพระแก้วมี 2 กรุ
    จากการสืบสาวค้นหาเรื่องราวทราบว่า พระสมเด็จที่ออกมาจากวัดพระแก้วนั้น มี 2 แห่งด้วยกัน คือจากกรุเจดีย์ทอง พระกรุนี้สร้าง ๒๔๑๑ แล้วบรรจุในเจดีย์ทองทั้งหมด ช่วงบูรณะเพื่อฉลอง ๑๐๐ ปี และมีความเป็นไปได้ที่เจ้านายบางองค์ที่มีสมเด็จวัดระฆังจำวนมากพอ อาจใส่ลงไปในกรุนี้ด้วย เมื่อผมท่องเที่ยวอยู่ตามภาคอีสานจึงพบพระสมเด็จพิมพ์วัดระฆังที่หลวงปู่โตปลุกเสกอยู่ประปราย สันนิษฐานว่าน่าจะมาจากคนงานอีสานซึ่งได้มาจากวัดพระแก้ว ต่อมานำออกมาขายให้ศูนย์พระเครื่องในราคาถูก ๆ ถ้าใครตาถึงก็สามารถแสวงหาได้ตามแผงพระทางอีสาน
    พระสมเด็จอีกส่วนหนึ่งมาจากหลังคาโบสถ์พระแก้วมรกต พระชุดนี้สร้างเป็นศิริมหามงคลฉลองครบรอบ ๑๐๐ ปี พ.ศ. ๒๔๒๕ เป็นพิธีใหญ่โตในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระที่มาปลุกเสกล้วนเยี่ยมวิทยาคมทั้งสิ้น เพียงแต่หลวงปู่โตได้จากไปตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๑๕ จึงไม่มีส่วนร่วม พระชุดนี้ไม่สามารถลงกรุเจดีย์ได้ เพาะปิดไปก่อนแล้ว จึงบรรจุลงในหีบไม้อย่างดี นำขึ้นไปวางเรียงรายบนเพดานโบสถ์พระแก้วมรกตทั้งสิ้น
    พอมาถึง พ.ศ. ๒๔๕๑-๕๒ (ร.ศ.๑๒๗) ก็มีการสร้างพระอีกชุดหนึ่ง นอกจากใช้แม่พิมพ์เดิมแล้วยังมีการแกะพิมพ์ใหม่เพิ่มขึ้นอีกหลายพิมพ์ จัดพิธีมหาพุทธาภิเษกยิ่งใหญ่ในวัดพระศรีรัตนศาสดารามเช่นกัน เพื่อเฉลิมฉลองงานพระบรมรูปทรงม้า เมื่อแจกจ่ายแก่ประชาชน ที่เหลือก็นำใส่หีบอย่างดี ขึ้นไปวางเรียงกันบนเพดานโบสถ์พระแก้วมรกต รวมกับพระชุด ๒๔๒๕
    ดังนั้นพระบนเพดานโบสถ์จะมีจำนวนกี่แสนองค์ก็ไม่ทราบได้ พระชุดนี้ได้ทะลักออกมาเป็นจำนวนมาก จะกี่หมื่นองค์ก็ไม่ทราบได้ เพราะใช้รถทหารขนออกมาทีเดียว หลังจากกรุเจดีย์ทองไม่นานนัก ตามลำดับของการรื้อสิ่งก่อสร้างเพื่อบูรณะนั่นเอง แต่ผู้นำออกมาไม่ใช่พวกช่างและคนงาน เพราะเป็นช่วงที่ถูกกวดขันมากที่สุด
    ดังนั้น พระที่หลวงปู่โตปลุกเสกจึงมาจากกรุเจดีย์ทอง ซึ่งมีจำนวนไม่มากนัก เพราะถูกเจ้าหน้าที่ตามยึดกลับคืนสู่กรุตามเดิม เล็ดลอดหูตาตามร้านค้าพระเครื่องต่าง ๆ นั้นมีจำนวนไม่น่าเกินพันองค์ และกระจัดกระจายไปสู่คนหลายคนที่ตามเก็บภายหลัง
    ต่อมา เมื่อมีคนเสาะแสวงหา คนทำพระปลอมซึ่งคลุกคลีกับร้านค้าต่าง ๆ อยู่แล้ว จึงนำแม่แบบไปทำขึ้นมาใหม่ และคิดค้นสร้างพิมพ์ขึ้นใหม่ก็มี จึง เกิดพระอีกชุดหนึ่งที่เป็นพระสี มีผงโรยทอง พิมพ์องค์ทรงชัดสวยงาม ถ้าคนไม่เคยศึกษาพระเก่าแก่มาก่อนก็ต้องเชื่อว่าของจริง
    เดี๋ยวนี้พระชุดนี้กระจายไปทั่วประเทศที่มีแผงพระ เมื่อผมเขียนเรื่องลงนิตยสาร พระวังหน้าเริ่มเป็นที่รู้จัก ของปลอมที่เขาทำไว้ขายไม่ออกจึงถูกนำออกวางตลาดสวมรอยคราวนี้ จึงมีคนเข้าใจผิดซื้อไว้หลายองค์ ซึ่งก่อนหน้านี้ผมก็ดูไม่ออก ก็เกิดอาการตื่นเต้นมากเช่นกัน ต่อภายหลังได้นำพระชุดนี้ไปให้ผู้ชำนาญทางจิตดู พบว่ามีพลังแผ่วเบาจนแทบจับไม่ได้ เจ้าของคงนำเข้าพิธีวัดใดวัดหนึ่งที่มีการปลุกเสกพระเครื่อง และคนที่ดูของเก่าเป็นก็ฟันธงว่า เป็นพระที่ทำขึ้นราว ๒๐ ปีที่ผ่านมานี่เอง ทุกวันนี้ผมยังพบวางเป็นกอง ๆ ตามแผงพระต่างจังหวัด ใครอยากได้พระราคาถูกองค์ละร้อยสองร้อยก็สามารถไปเช่าซื้อได้ครับ

    พระจริงหรือปลอมพิสูจน์ได้ด้วยการตรวจหาพลัง
    แปลกแต่จริง พ่อค้าขายพระเครื่อง แต่ไม่เชื่อเรื่องการจับพลังอิทธิคุณในพระเครื่องว่ามีจริงหรือไม่ เขาว่าเป็นอุปาทาน แหกตา เล่นปาหี่ เขาเชื่อกล้องขยาย เชื่อพิมพ์ว่าถูกต้องตรงกันหรือไม่ เชื่อความเก่าแก่ แต่พลังอิทธิคุณเขาไม่เชื่อเลยว่าสามารถตรวจได้
    ก็พระเครื่องจะขลัง ดีวิเศษ ก็ต้องเกิดจากพลังจิตของผู้ปลุกเสก เมื่อมีพลังจิตก็ต้องใช้พลังจิตตรวจดูจึงจะรู้แจ้ง แว่นขยายก็รู้เพียงถูกพิมพ์ผิดพิมพ์ เก่าหรือใหม่ แม้ผงวิเศษที่ผสมยังไม่สามารถเอาเป็นข้อกำหนดตายตัวได้ ถ้ามีใครใช้แม่แบบของหลวงปู่ ใช้ผงวิเศษของหลวงปู่ พิมพ์พระขึ้นมาในยุคเดียวกัน แต่ไม่ได้ให้หลวงปู่โตปลุกเสก พระนั้นจะมีอิทธิเดชอิทธิคุณหรือ ถ้าหากเอาไปให้หลวงปู่อาจารย์อื่นปลุกเสก อิทธิคุณก็จะเกิดอีกอย่างหนึ่ง
    ยกตัวอย่างพระสมเด็จของยายขำ เขาเล่ากันว่ายายขำทำพระสมเด็จปลอมแล้วบรรจุกรุไว้ คนไหนรู้ว่ามาจากรุยายขำก็ไม่เลื่อมใสศรัทธา แต่ความจริงยายขำใช้แม่พิมพ์ของสมเด็จ และผงวิเศษของสมเด็จ เมื่อพิมพ์พระแล้วก็นำไปให้หลวงปู่องค์ใดองค์หนึ่งปลุกเสก แล้วนำออกจำหน่ายช่วงนั้น ซึ่งคนกำลังตื่นแสวงหาพระสมเด็จวัดระฆังเพื่อเอาไปอธิษฐานทำน้ำมนต์รักษาโรคห่า แต่พระสมเด็จที่เก็บไว้ในวิหารน้อยวัดระฆังหมด ยายขำจึงรีบทำขึ้นมาจำหน่าย ได้เงินมหาศาลอยู่ แต่พระสมเด็จของยายขำกลับเด่นด้านมหาอุจ ปืนยิงไม่ออก คนที่รู้ก็แสวงหาสมเด็จยายขำ แต่จะหาอย่างไร เอาอะไรเป็นข้อสังเกต เพราะพิมพ์ก็ของวัดระฆัง ผงวิเศษก็ของหลวงปู่ทำไว้ กล้องส่องจะให้คำตอบอย่างไร ถ้าไม่ใช้พลังจิตตรวจจับ
    ยายขำเป็นแม่ครัวของวังหลัง ซึ่งสมัยนั้นอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราชเดี๋ยวนี้ ท่านมีหน้าที่นำภัตตาหารมาถวายหลวงปู่ที่วัดระฆังทุกวัน ตามรับสั่งของเจ้ากรมวังหลัง เมื่อถวายแล้วก็ช่วยเขาพิมพ์พระ หรือโขลกตำผงพระ จึงสามารถรอบรู้ส่วนผสมทุกอย่างตลอดวิธีทำพระสมเด็จ และเมื่อเป็นต้นเครื่องของเจ้ากรม ไปวัดทุกวัน ก็ต้องสนิทสนมกับพระวัดระฆัง ตั้งแต่เจ้าอาวาสยันสามเณรน้อย ใคร ๆ ก็เคารพนับถือยายขำ เมื่อหลวงปู่จากไปแล้วไม่กี่ปี เกิดโรคห่า คนตายเป็นเบือ ไปจนถึงอยุธยา-ไชยนาท
    วันหนึ่งมีคนแถวอยุธยาหรือชัยนาทก็จำได้ไม่ถนัด ป่วยเป็นอหิวาต์ จะตายมิตายแหล่ กลางคืนนั้นหลวงปู่โตไปเข้าฝัน บอกว่ามึงยังไม่ถึงที่ตาย ให้รีบไปวัดระฆัง ไปเอาพระสมเด็จที่กูเก็บไว้ในวิหารน้อย เอามาอธิษฐานทำน้ำมนต์กินก็จักหาย คนป่วยก็เล่าให้ญาติฟัง เขาจึงรีบพายเรือไปวัดระฆัง จะใช้เวลากี่วันก็ไม่ทราบ แต่ได้พระสมเด็จไปทำน้ำมนต์ให้คนป่วยกินจนหายป่วย เรื่องก็ดังเป็นพลุ จากหูหนึ่งถึงหูที่สองหูที่สิบที่ร้อย ชาวอยุธยา อุทัย ไชยนาท พากันนั่งเรือมุ่งหน้าสู่วัดระฆัง หยิบเอาพระสมเด็จติดไม้ติดมือคนละองค์สององค์ จนเกลี้ยง ถามเจ้าอาวาสก็หมด ไม่รู้จะเอาที่ไหนให้อีก วัน ๆ คนมาออกันอยู่ที่ท่าน้ำวัดระฆังราวกับคนตื่นผู้วิเศษบอกหวยสมัยปัจจุบันนี่แหละ
    ยายขำทราบดังนั้นจึงไปขอแม่พิมพ์และผงวิเศษของหลวงปู่จากเจ้าอาวาส แล้วทำพระสมเด็จขึ้นมาแจก บอกว่านี่ก็เป็นสมเด็จของหลวงปู่เช่นกัน เพราะเอาผงวิเศษของหลวงปู่มาทำ และให้ครูบาอาจารย์ปลุกเสกแล้ว มีอิทธิคุณเหมือนสมเด็จที่หลวงปู่ทำ คนที่ผิดหวังจากพระของหลวงปู่โตก็ดีใจที่ยังได้สมเด็จยายขำติดมือกลับไป แต่ยายขำให้บูชาองค์ละเท่าไรไม่ทราบ เห็นมีเล่าว่ายายขำร่ำรวยขึ้นมาทันตาเห็น กลายเป็นเศรษฐินีคนหนึ่ง
    เมื่อยายขำเสียชีวิต พระที่ยายขำทำเหลืออีกหลายร้อยองค์ ลูกหลานจึงทำเจดีย์องค์เล็กตั้งริมฝั่งกำแพงติดแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อบรรจุอัฐิของยาย แล้วนำพระที่ยายสร้างบรรจุไว้ เวลาผ่านไปเกือบร้อยปี น้ำเซาะตลิ่งจนเจดีย์เอียง จึงพบพระในเจดีย์มากมาย คนจึงแตกตื่นพระกรุยายขำ แต่เจ้าอาวาสบอกว่า “เอาไปทำไมพระของยายขำ ไม่ใช่ของหลวงปู่โต” แต่คนที่แสวงหาก็มีมาก เพราะพระยายขำสุดยอดมหาอุด ทดลองกันได้ให้เห็นกับตา
    ถ้าเจอแบบพระสมเด็จยายขำก็ถือว่าโชคดี แต่ถ้าเป็นพระที่ทำยุคเดียวกัน นำวัตถุที่คล้าย ๆ กันมาป่นผงผสมปูนเปลือกหอย ปูนขาว เศษอิฐเก่า ๆ ผสมน้ำมันตั้งอิ้ว แล้วกดพิมพ์ออกมาแจกจ่ายจำหน่าย โดยมิได้ปลุกเสก คนถือแว่นสิบแรง ยี่สิบแรงสามสิบแรง จะมิดูเป็นสมเด็จวัดระฆังไปหมดหรือ
    ติ๊ต่างว่า คนเก่งทางดูพิมพ์พระเนื้อพระ ไปพบพระสมเด็จที่ท่านสร้างกับมือ ซึ่งท่านสร้างไว้ถึงร้อยหกสิบสามพิมพ์ หลายสิบพิมพ์(หรือเป็นร้อยพิมพ์)พวกเราไม่เคยพบเห็น แต่เกิดไปพบเข้า จะรู้หรือว่าเป็นพระที่สมเด็จสร้างขึ้นมา เมื่อไม่เหมือนที่ตนเห็นก็จะตัดสินว่า “ผิดพิมพ์ ของปลอมแต่โบราณ” หรือคนมีฝีมือทำขึ้น
    แว่นขยายตัดสินพระไม่ได้หรอกครับ ตานอกตัดสินความศักดิ์สิทธิ์ของพระไม่ได้ ต้องใช้ตาใน ถ้าคนตาบอดมีญาณสัมผัสพิเศษ แม้ไม่เห็นลักษณะของพระก็สามารถบอกได้ว่าลักษณะพลังที่สัมผัสได้นั้นเป็นอย่างไร คนส่องพระสมเด็จตระกูลวัดระฆัง วัดอินทร์ วัดใหม่ วัดไชโย เมื่อมาเจอพระสมเด็จพิมพ์วังหน้า ดูความเก่าความแก่ก็เท่ากัน แต่เอ๊ะ ทำไมเนื้อผงพุทธคุณต่าง ๆ มองไม่ค่อยพบ เอ๊ะ ทำไมพิมพ์เป็นอย่างนี้ เอ๊ะ ทำไมเนื้อพระเป็นอย่างนี้ ดูอายุใช่นะ แต่เนื้อไม่ใช่ ส่วนผสมไม่ใช่ เป็นพระผิดพิมพ์ คงมีอาจารย์องค์ใดองค์หนึ่งทำขึ้นมาในสมัยเดียวกัน เห็นมั้ย เขาบอกไม่ได้ว่าหลวงปู่โตปลุกเสก หรือใครปลุกเสก หรือยังไม่ได้ปลุกเสก

    พระเครื่องมิใช่วัตถุโบราณ คนเราแสวงหาพระเครื่องเพื่อคุ้มครองตนเอง มิได้แสวงหาความเก่าแก่ของพระเครื่อง แต่แสวงหาอิทธิคุณของพระเครื่อง ดังนั้นอย่าใส่ใจกับกล้องขยายให้มากนัก ให้ใช้พอเป็นแนวทางเท่านั้น
    มีใครทราบบ้างไหมว่า ในงานประกวดพระที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่ง พระสมเด็จที่ได้รับรางวัลที่ ๑ เป็นพระฝีมือที่ เขาทำขึ้น เมื่อได้รับรางวัลแล้ว มหาเศรษฐีคนหนึ่งบูชาไปครอบครององค์ละไม่ต่ำกว่าสิบล้านบาท เป็นเรื่องตลกในวงการที่เจ้าของพระนำมาเปิดเผยในหมู่มวลมิตรชิดใกล้ จึงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกที่เจ้าพ่อในวงการหลายคนมีพระดี ๆ ดัง ๆ บูชามาจากงานประกวดพระหรือจากเซียนพระระดับชาติ แต่แล้วก็ถึงจุดจบด้วยลูกปืน
    หรือจะเป็นว่า เมื่อคนเราทำชั่วมาก ๆ แม้เทวดาที่ประดิษฐานในองค์พระก็เผ่นไปก่อนแล้ว คงเหลือแต่เศษอิฐหินปูนทรายให้เขาห้อยคออยู่
    ความจริงแล้ว ถ้าคนถึงศีลถึงธรรมจริง ๆ ไม่จำเป็นต้องหาวัตถุมงคลแขวนคอก็ได้ ทำบุญให้ทาน รักษาศีล ภาวนา คราใดให้รีบส่งบุญให้เทวดาที่รักษาตัวเองทุกวี่วัน เทวดาก็จะกลายเป็นผู้มีฤทธิ์อำนาจคุ้มครองท่านได้ แต่ถ้าจะหา ก็อย่าลืม พระสมเด็จวังหน้า กรุวัดพระศรีรัตนศาสดาราม สุดยอดพระเครื่องในแดนดินถิ่นสยาม.
    ต่อไปพระชุดนี้จะมีราคาพุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ เพราะคนเริ่มรู้จักกันมากแล้ว แต่การไปหาตามแผงพระจะได้ของปลอมซึ่งกำลังระบาด แต่คนดูเป็นก็แยกได้ว่าองค์ไหนเก่าจริง หรือทำขึ้นมาภายหลังเมื่อ 20 ปีที่แล้ว พึงทราบว่าพระเก่าแก่อายุ 100 ปี ต้องมีร่องรอยเหี่ยวย่น หรือแตกลายงาคล้ายแผ่นดินแตกระแหง แต่พระที่ทำจากปูนกังไสจะไม่มีร่องรอยเหี่ยวย่นมากเหมือนพระสมเด็จวัดระฆังซึ่งทำจากปูนขาวหรือปูนเปลือกหอย ถ้าดูไม่เป็นอย่าเสี่ยงเลยครับ
    ต้องขออนุญาตเจ้าของข้อความ Copy ข้อความจากเวป เพื่อให้ศึกษากันครับ
     
  13. Phaake เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,818
    ค่าพลัง:
    +319
    ผมตั้งข้อสังเกตุว่า ..... พระด้วยกัน จะคุยกันเอง (พระ - กับ - พระ) ว่า ผม ท่าน ครับผมเหมือนคนทั่วไป

    ที่นี้เชื้อพระวงค์ที่เป็นพระด้วยกัน อาจติดธรรมเนียม เดิมมาเลยไม่ได้แก้ไข - เคยได้ยินพระที่เป็นเชื้อเจ้าคุยกันเอง ก็เรียกกันหม่อมๆนะครับ แต่พอเราไปพูดคุยกับท่าน ท่านก็พุดอย่างคนทั่วไปนะครับ

    ที่นี้บันทึกดังกล่าว ก็เป็นเหมือน ไดอารี่ ที่ใช้เป็นการภายใน

    เราเองคนนอก ผมก็คิดว่าเราใช้อย่างหลักที่ตรากันไว้เรียบร้อยแล้ว ให้เข้าใจและไม่ทำให้เกิด ความสับสน โดยยังคงมีความเคารพอยู่เหมือนเดิมก็ไม่ผิดนักหรอกครับ สมัยก่อนภาษาไทยเราก็ไม่ได้มีการจัดระเบียบชัดเจนอย่างปัจจุบันด้วย

    คือจะเรียกกันแบบไหนก็ตามแต่สะดวกใจดีกว่าครับ เราต่างก้เคารพเหมือนๆกัน

    ปล. ไม่ได้ชวนทะเลาะหรือ โชว์อีโก้สูงนะครับ แค่ปาภกกันแบบมิตรๆเฉยๆครับ
     
  14. สวนพลู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    6,596
    ค่าพลัง:
    +18,651
    ประวัติการสร้างแบบนี้ ผมก็เขียนเองได้ครับ.......หากเชื่ออย่างนั้นจริงๆ ก็ช่วยกันหาเวลาว่างไปเดินท่าพระจันทร์หน่อยครับ เดินให้ทั่ว ก็จะเห็นกรรมวิธีการทำอยู่ในซอยที่ข้างหน้าขายพวกกรอบพระ ผอบ ต่างๆ เข้าไปในนั้น จะเห็นว่า พระสมเด็จวังหน้ากดพิมพ์และเสกกันตรงนั้นเลย ผมไปเจอมาแล้ววว หากเก่งแต่ในเน็ต ก็โดนหลอกอยู่วันยันค่ำแหละครับ

    ลงพื้นที่ไปดูบ้าง จะได้ตาสว่าง ขายกันองละห้าบาทสิบบาท แค่การทำออกมาก็แปลกแล้ว พระเครื่องในยุคนั้นทำแบบนี้ได้อยู่หรือ.......
     
  15. pmorn3339 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,342
    ค่าพลัง:
    +2,467
    ----------------------------------------------------------------------​

    แปลว่า ท่านไม่ได้อ่านกระทู้นี้ตั้งแต่ต้น
    มารวบรัดอ่านและเอาข้อมูลจากเวบขายพระปลอมมาบอกต่อ
    ท่านกลับไปอ่านกระทู้ผมตั้งแต่ต้นใหม่นะครับ

    จุดกำเนิดของกระทู้นี้ ก็มาจากที่ผมได้อ่าน "นิยายขายพระปลอม" จากเวบขายพระปลอมที่ท่านนำมาอ้างอิง นั่นแหละ ครับ

    ผมจึงตามหาประวัติศาสตร์ ตามที่ "นิยายขายพระปลอม" และตาม "หลักฐานที่ปรากฏบนองค์พระ" เล่าถึง

    เวบที่ท่านนำมาอ้างอิง คือ เวบหนึ่งในหลายๆ เวบ ที่ขายพระปลอม ครับ

    กลับไปอ่านกระทู้ตั้งแต่ต้น นะครับ

    -----------------------------------------------------​

    ด้วยความเคารพนะครับ
    ท่านกำลังสะสมพระแบบหลงทางอยู่นะครับ
    เพราะเห็นท่านเปิดไว้ 2 กระทู้ ล้วนแต่เป็นพระที่มีอยู่ในเวบขายพระปลอมทั้ง 2 องค์
    แต่พระองค์ดังกล่าว(ทั้ง 2 องค์) ผมก็ตีว่า แท้ หรือ ปลอม ไม่ได้ เพราะว่าไม่ปรากฏสัญญลักษณ์ใดๆบนองค์พระ ทำให้ผมติดตามหาประวัติไม่ได้​

    -------------------------------------------------------​
     
  16. กำธร นครปฐม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    2,756
    ค่าพลัง:
    +7,202
    ครับ กลับไปอ่านกระทู้นี้ ตั้งแต่หน้าแรกเลยครับ แล้วท่านจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร แต่ถ้าดูแล้ว ไม่รู้ ยังมีความคิดแบบเดิม ๆ หรือแกล้งไม่รู้ ก็ไม่รู้ว่าจะร้องเพลงอะไรแล้วล่ะครับ
     
  17. Phaake เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,818
    ค่าพลัง:
    +319

    รอคนพูดตรงๆแบบพี่อยู่เลยครับ

    อีกเสียง
     
  18. pmorn3339 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,342
    ค่าพลัง:
    +2,467
    ใจชื้นขึ้นเยอะเลย เปิดกระทู้ทีแรกนึกว่าจะโดนถล่มซะแล้ว
    เพราะดูพระไม่เป็น แต่(เฉือก)ไปบอกว่า
    พระเครื่องที่เขาขายกันองค์ละเป็น ล้านบาท เป็น พระปลอม

    ขอบคุณทุกกำลังใจจริงๆ ขอรับ​
     
  19. joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,440
    ต้องลงพื้นที่ถึงจะรู้ครับ อีกทั้งพวกเพชรพญานาค เหล็กไหล เอย ลองไปเถอะครับท่านจะตาสว่าง เพชรพญานาคที่ขายในเว็บนี้ส่วนใหญ่สั่งตรงมาจากท่าพระจันทร์ ท่านจะเห้นกรรมวิธีทำเพชรพญานาคกันเลยครับ
     
  20. punpraya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2006
    โพสต์:
    1,256
    ค่าพลัง:
    +2,228


    ครับเป็นกำลังใจให้ ผมรอคนแบบคุณมานานแล้ว พิสูจน์กันแบบนี้ เจ๋งดี และใจกว้างพอที่จะรับหลักฐานใหม่ๆ
     

แชร์หน้านี้