-
(ต่อสู้มาร)
"เพราะฉะนั้นผู้ที่จะมาทำสมาธิหรือผู้ที่จะมาบำเพ็ญความดี จึงจำเป็นต้องต่อสู้มานับตั้งแต่เราคิด เราคิดว่าจะมาทำสมาธิอยู่ทีบ้านก็ต้องต่อสู้แล้ว ว่าเราจะมาดีหรือไม่มาดี ในที่สุดเมื่อเราแพ้ก็ไม่มา แต่ถ้าเราชนะก็มา ก็หมายความว่าชนะไปขั้นหนึ่ง
เมื่อชนะแล้ว มาถึงกลางทาง ก็ยังต้องลังเลและสงสัยว่า เราจะไปดีหรือไม่ไปดี กลับบ้านซะดีกว่าหรือไง อย่างนี้ก็เรียกว่าต่อสู้กันใหม่อีก
เช่นเดียวกันกับพระพุทธเจ้าของเรา ในครั้งที่พระองค์เป็นสิทธัตถะ
เมื่อเสด็จออกจากมหาราชวังถึงกลางทาง ก็มีพญามารมาดัก บอกว่า อย่าไปเลยสิทธัตถะ ท่านกลับไปอีก ๗ วันเท่านั้น ท่านก็จะได้เป็นเจ้าจักรพรรดิแล้ว ท่านจะออกไปบวชทำอะไร
พระพุทธ…พระสิทธัตถะในขณะนั้นจึงได้กล่าวกับพญามารบอกว่า
ดูก่อน พญามาร น้ำลายที่เราบ้วนออกไปแล้ว เราจะไม่เอามันกลับคืนมาอีก พระองค์ก็ชนะไป
พวกเราก็เช่นเดียวกัน ในเมื่อเราชนะกลางทางแล้วก็มาถึงสถานที่
เมื่อมาถึงสถานที่ก็ยังคิดว่า เราจะเอาอย่างไร เมื่อเราเอาได้ก็ได้ เอาไม่ได้ เรากลับซะเรอะอย่างนี้ มันก็เกิดขึ้นในจิต แต่ในขณะนั้นเราก็ได้ต่อสู้ ในที่สุด มัน…เราก็สามารถนั่งสมาธิได้ ก็ถือว่าชนะ เป็นขั้นที่ ๓
จากนั้นก็เกิดความกระวนกระวายในจิตใจ อยากจะคุยบ้าง อยากจะพูดบ้าง อยากจะทำอย่างนั้นบ้าง อยากจะเคลื่อนไหวร่างกายบ้าง อะไรๆ ต่างๆ เหล่านี้ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นขันธมาร ที่จะมากระทำเรานี้ให้เกิดความเปลี่ยนแปลงเรียกว่าเป็นเรื่องที่ต่อสู้ นี่หมายถึงพวกกิเลส เมื่อเป็นเช่นนั้นมาจนกระทั่งถึงอารมณ์ ที่เราจะทำให้จิตของเรานี้สงบ มันก็เอาทางไหนไม่ได้แล้ว มันก็เอาทาง "อารมณ์"
อารมณ์เหล่านั้น ก็เข้ามากวนใจของเรา บอกว่าเวลานี้งานนั้นยังมี เวลานี้งานนี้ยังมี ทำไมไม่ทำงานนั้น มามัวนั่งอยู่ทำไม นี่ มันก็ทำให้อารมณ์ต่างๆ เกิดขึ้น เมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็ต้องต่อสู้กันใหม่ ต่อสู้ไปต่อสู้มา พวกมันก็แพ้ เหลือแต่จิตดวงเดียว เมื่อเหลือแต่จิตดวงเดียวได้ ทีนี้ความชนะอยู่แค่เอื้อม ที่เราจะเหยียบศีรษะของพญามารได้แล้ว ก็คือความเป็นหนึ่งของจิต"
#หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินธโร
#วัดธรรมมงคล
# กทม
-