ต้องการแค่นอนสมาธิ เพื่อให้หลับสงบ ไม่หวังอะไร ต้องระวังอะไรไหมคะ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย catsan, 27 มีนาคม 2018.

  1. catsan

    catsan Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +54
    คือต้องการเพียงแค่ นอนสมาธิอย่างเดียว ให้หลับสบายๆ
    นอนหลับตา ท่องพุทโธ หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ ท่องแค่นี้ ให้มันหลับไป
    กลับมาเริ่มทำได้ 3-4 วัน ก็มีแสงผุดบ้าง ขาวบ้าง ม่วงบ้าง เทาบ้าง วงเล็กบ้าง วงเท่าเหรียญ 10 บาทบ้าง

    ต้องระวังอะไรไหมคะ ไม่ได้หวังจะเอาอะไรคะ หมายถึงฤทธิ์อะไรแบบนี้ค่ะ

    นอกจากบางอารมณ์ หวังแค่ ไม่ต้องการเวียนว่ายตายเกิดค่ะ ไปสวรรค์อย่างเดียว ไม่ขอกลับมาเกิดอีก แค่ความคิดค่ะ คิดก่อนนอน แล้วก็นอนสมาธิ ท่องพุทโธ ให้หลับไปแค่นี้ค่ะ

    ถ้าหลับช้าก็นอนท่องไปเรื่อยๆ ค่ะ คราวก่อนเหมือนจะปวดหน้าผากเลย

    พออีกวันพยายามไม่คิดท่องเยอะ ก็หายปวดหน้าผาก

    เมื่อคืนง่วงนอนง่าย หลังจากดูทีวีในมือถือแล้วก็คิดว่าดึกแล้วควรนอน
    (ดูเพราะนอนไม่ค่อยหลับ ) ตี 1 ก็วางมือถือแล้วก็สวดมนต์แล้วก็นอนค่ะ ท่องได้นิดเดียวหลับค่ะ
     
  2. pinit417

    pinit417 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มีนาคม 2016
    โพสต์:
    189
    ค่าพลัง:
    +164
    ถ้าจะทำสมาธิเพื่อนอนอย่างเดียว ให้ตั้งสติไว้อ่อนๆที่คำภาวนา... อย่าตั้งใจมากแต่เพียงคงสติไว้อ่อนๆ เดี๋ยวจะเคลิ้มหลับเอง ก่อนหลับอาจจะเห็นแสงบ้าง หรือเข้าความฝันเลยก็มี ถ้าเห็นแสงก็ปล่อยความรู้สึกสบายๆ อย่าดึงสติกลับมา ไม่ต้องภาวนา อย่าคิดอะไร ปรุงแต่งอะไร เดี๋ยวจะหลับเอง

    แนะนำอีกนิดคือ ตามหลักวิทยาศาสตร์แล้ว เราไม่ควรดูโทรทัศน์หรือเล่นมือถือก่อนนอน เพราะเวลาเข้านอน คลื่นสมองเรายังทำงานอยู่ ทำให้นอนไม่หลับ... ควรเว้นดูทีวีอย่างน้อย 1 ชม...
     
  3. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ดีแล้วครับ การหวังเป็นการหลงอย่างหนึ่ง
    มีหลงนำฝึกอะไรก็ไม่ค่อยจะได้ผลอยู่แล้ว

    ถ้าไม่หวังอะไร ควรเข้าใจนัยยะนี้ไว้ครับ
    ''มายาจิต เป็นเพียงกลจิตประเภทหนึ่ง
    แม้เห็นได้ด้วยตาเปล่า ก็ยึดไม่ได้ ''

    ดังนั้นทุกกิริยาที่เห็นแบบหลับตา
    ถ้าไม่เข้าใจอะไรเลยตอนนั้น
    ให้ช่างออเจ้ามันไปก่อนครับ
    นึกเสียว่า มันไม่เคยเกิดในยุคสมัยพระนารายณ์เลยครับ
    อนาคตถ้ากำลังสติทางธรรมเรามีเพียงพอ
    เราจะสามารถย้อนรู้ทุกกิริยา ทางนามธรรม
    ที่เห็นแบบหลับตา หรือ ลืมตาเห็น
    ได้ด้วยตัวเราเอง โดยที่ไม่ต้องมาถามใคร
    เพราะมันเรื่องปกติของจิต ที่จะมีความสามารถตรงนี้ครับ

    ส่วนมากที่ช้ากัน ปฏิบัติกันไม่สำเร็จซักกรรมฐาน
    เพราะมัวแต่ไปยึด พวกนามธรรมต่างๆเหล่านี้
    มัวแต่สงสัย ค้นหาว่ามันคืออะไร เพราะอะไรถึงเห็นแบบนี้
    เห็นได้ไง เห็นแล้วเป็นไง 108 ความสงสัย ฯลฯ
    นั่นหละครับ.....
    ดังนั้นดีแล้ว ว่าอย่าไปหวังว่าจะได้อะไรจากการทำสมาธิ
    เพราะยิ่งทำ มันมีแต่จะเสียกับเสีย
    เช่น เริ่มสูญเสียความเห็นแก่ตัว
    เริ่มสูญเสียนิสัยที่ไม่ดีต่างๆ ฯลฯครับ...
     
  4. ชั่งเถอะ

    ชั่งเถอะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2017
    โพสต์:
    253
    ค่าพลัง:
    +339
    การนอนสมาธินี้ ยากนะครับ ควรระวังอย่างเดียวจริงๆ ในการนอนสมาธิ คือ มันจะหลับไปเลยแบบไม่รู้ตัว

    จะทำสมาธิแบบ นอนได้แล้วไม่หลับนี้คือ สมาธิดีมาก จิตแรงดีไม่มีตก


    ผมถ้าวันไหน เพลียๆ มา อยากนอนไวๆ นี้ สวดมนต์ เสร็จ นอนทำสมาธิเลยครับ 10 20 ลม คร๊อกฟิ้ว.......

    จริงๆ เอาแค่นั้งสมาธิ ไม่ต้องนอนสมาธิเลย นี้ก็จะหลับแล้ว ถ้าไม่เดินจงกลมนี้ อยู่ได้ไม่ถึง 20 นาทีด้วยซ้ำครับ มันเหนื่อย มาจากทำงานแล้ว มีนถะ มันก็ อาละวาด
     
  5. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ถ้าชอบท่านอนนะครับ
    ซึ่งสมาธิเราสามารถจะนั่งก็ได้
    ถ้านั่งขัดขา นั่งขัดเพชร แล้วปวด
    ก็นั่งห้อยขาก็ได้ จะใช้ท่าเดินก็ได้
    เพราะประเด็นมันคือ
    การฝึกกดข่มตัวจิต
    หรือการลดคลื่นความถี่ของจิต
    (คลื่นของจิตยิ่งต่ำระดับสมาธิยิ่งสูง)
    ยกเว้นว่าจะชอบฝึกเวทนา
    ก็แล้วแต่ครับ ดังนั้นท่าอะไรไม่สำคัญ
    เราถนัด ชอบแบบไหน เอาที่สดวกครับ
    แต่คงไม่ใช่ว่า จะไปใช้ท่านอน
    ตอนหลังจากสวดมนต์เป็นกลุ่ม มันจะดูแปลกๆ

    เทคนิคถ้าจะไม่ให้หลับคือ
    ต้องมีจุดให้ลมหายใจมากระทบ
    ที่กายครับ เช่น ยกมือวางไว้
    ในต่ำแหน่งที่ลมหายใจจะกระทบได้ครับ
    แล้วย้ายจุดระลึกลมไปที่นิ้วแทน

    ถ้านอนหงายถ้าปกติ ร้อยละ ๙๙%
    จะเป็นฌานสมาหลับครับ
    หรือไปก็ฌานสมาน้ำลายไหล
    หรือไม่ก็ฌานสมาคร๊อกฟี่ๆครับ

    คลื่นระดับอุปจารสมาธิ หรือคลื่นที่จิต
    จะมองเห็นนามธรรมต่างๆได้ หรือคลื่นฝัน
    หรือคลื่นพวกจิตใต้สำนึกต่างๆ
    รวมทั้งการฝันแบบพิศดาร รวมกันเป็นเรื่อง
    เดียวจากธาตุพร่อง
    (การทดลองทางวิทยศาสตร์ จะพบเส้นคลื่น
    ขึ้นลงๆมีการเปลี่ยนแปลงได้สูง)มันจะอยู่ประมาณ
    ๔ ถึง ๘ mHz และคลื่นที่เราจะนอกกร๊นฟี่ๆ
    จะอยู่ในช่วงประมาณ ๑ ถึง ๓ mHz
    พูดง่ายๆระดับ ๑ mHz คือปฐมฌานนั่นหละครับ
    ต่ำกว่า ๑ ลงมาก็ระดับฌานสูงขึ้นเรื่อยๆ จนถึง
    ฌาน ๔ คือ เข้าใกล้ ๐ mHz นั่นหละครับ

    ดังนั้นถ้าใครเป็นคนนอนหลับได้เร็ว
    แต่ในชีวิตประจำวัน มักจะทำงานอะไร
    ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ความคิด

    ก็มีโอกาสที่ในระหว่างการนอน
    ที่คลื่นจะสูงขึ้นมาได้ แล้วเห็นโน้นนี่นั้น
    ซึ่งถ้าสังเกตุมันจะเกิดหลังจากที่เราหลับไปแล้ว
    เพราะการเก็บเอาความคิดในระหว่างวัน
    มาเก็บไว้ในตัวจิตนั่นเอง ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา

    ส่วนถ้าใครเป็นคนที่ เฉยๆ ไม่ค่อยเก็บเรื่องอะไรมาคิด
    เป็นคนง่ายๆ ทำงานแล้วจบ ไปวันๆ
    ไปค่อยคิดอดีต อนาคตอะไร
    ก็มักจะหลับไปเลย และคลื่นไปค่อยจะสูงขึ้นมา
    เพราะจิตไม่ได้เก็บสัญญาอะไรไว้ในระหว่างวันนั่นเองครับ

    และที่สำคัญ ควรเข้าใจว่า คลื่นระดับประมาณ ๔ ถึง ๘
    มันจะตัดระบบประสาทร่างกายเราได้แล้วบางส่วน
    พูดง่ายๆ ใจไปแต่กายไม่ไปตามใจนั้นหละครับ

    ดังนั้นใครที่เห็นอะไรช่วงนี้ แล้วพยายามที่จะขยับร่างกาย
    จึงเหมือนกับจะขยับไม่ได้นั่นเอง
    เค้าถึงให้แก้ด้วยวิธีการระลึกรู้ตัว
    หรือระลึกรู้ตัวเพื่อให้ระบบประสาทกลับมาปกติ
    เพื่อให้ร่างกายขยับได้ พอร่างกายขยับได้
    ก็จะไม่เห็นพวกนั้นอีก เนื่องจากคลื่นความถี่จะสูงขึ้นมา
    สู่ในระดับใช้ชีวิตปกติ

    ซึ่งนี่ก็เป็นเหตุผลว่า เวลาทำสมาธิ แล้วคล้ายๆหลับ
    หรือครึ่งหลับครึ่งตื่น หรือเราสัปหงก
    ถึงมีทริคว่าห้ามลืมตานั่นหละครับ เพราะลืมตาเมื่อไร
    คลื่นก็จะสูงไประดับใช้ชีวิตปกติทันที
    แล้วก็อาจจะรู้สึกเหนื่อย หายใจเร็วขึ้น เพราะการขึ้นพรวด
    พลาดของคลื่นจิตเราเอง
    พอจะลดคลื่นลงมาปฐมฌาน
    มันก็เลยจะยากกว่าเดิมนั่นหละครับ

    เพียงแต่ใครที่ชำนาญในช่วงคลื่นประมาณ ๔ ถึง ๘
    ก็มาจากฝึกจากการนอนได้ส่วนหนึ่งง่ายๆคือ
    พอ เห็นแล้ว คล้ายฝันแล้ว ก็ให้เลิกสนใจสิ่งที่เห็น
    จิตก็จะลดระดับลงมาหลับ พอจิตขึ้นไปอีก
    ก็เลิกสนใจ ละภาพ จิตก็หลับอีก
    พอทำบ่อยๆ จนชำนาน
    ก็เลยสามารถอยู่ในคลื่นนี้ได้นาน
    คือเห็นนามธรรมต่างๆได้นานขึ้นนั่นเองครับ
    เพราะเหมือนกระตุ้นมันอยากอยู่ในช่วงนี้

    พอละภาพและเข้าออกบ่อยๆได้นานขึ้น
    สิ่งที่จะได้ก็คือ สมาธิสะสมจากการเข้าออกบ่อยๆตรงนี้
    ซึ่งถ้ามากพอ เวลาที่ละภาพแล้ว
    มันจะสามารถทำให้ ลดคลื่นความถี่งให้ต่ำ
    กว่า ๑ mHz ได้อย่างคาดไม่ถึงด้วยครับ

    ที่พลาดกัน สมาธิไปพัฒนาขึ้น
    เพราะ พยายามไปรักษาการเห็นให้นาน
    หรือมัวไปสนใจ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เห็น
    หรือตกใจ ก็เลยมักจะติดในสภาวะนี้
    อย่างคาดไม่ถึง แล้วยิ่งกลัวแต่พยายาม
    จะไม่ให้เห็น (ซึ่งมันไม่มีกำลังสมาธิสะสม
    จากการฝึกละ) แต่ไม่เคยฝึกละภาพ ไม่เคย
    ฝึกเข้าออกอะไร ก็อาจเป็นมูลเหตุให้เข้าใจ
    ตนเองโดนอะไรที่ เป็นสิ่งที่ไม่ใช่ธรรมดา
    หรือเรามีอะไรพิเศษ มีเวรกรรม

    คือถ้าเราเข้าใจ มันลักษณะของคลื่นความถี่
    จะเข้าใจว่า พวกนี้มันเป็นแค่ธรรมชาติ
    อย่างหนึ่งของจิต ที่เกิดได้ปกติเท่านั้นเองครับ
    อาจจะง่ายๆกว่า การไปอ่านตำรามา
    แล้วจำว่า กิริยาระหว่างทางมีอะไรบ้าง
    ทำให้เป็นสัญญา ขาดการสร้างกำลังสมาธิ
    สะสมเพื่อไต่ระดับได้อย่างคาดไม่ถึงครับ

    ปล. มายาจิตเป็นเพียงกลจิตประเภทหนึ่ง
    แม้เห็นได้ด้วยตาเปล่าก็ยึดอะไรไม่ได้
    ดังนั้นหลับตาเห็น ก็อย่าไปยึดนะครับ
    ไม่งั้นเราจะขาดความเข้าใจในวิถี
    ปกติของจิตเราได้อย่างคาดไม่ถึงครับ

     
  6. catsan

    catsan Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +54
    ขอบคุณทุกท่านมากๆ ค่ะ วันนี้เหมือนจะเห็นแสงเงาเป็นรูปทรงพระพุทธรูปยืนสีม่วงขึ้นมาค่ะ ดับๆ มาๆ เหมือนจะถือร่มด้วย มาแว๊บเดียวก็ไปค่ะ ไม่ได้ไปเพ่งต่อ

    ตอนนี้ขอให้เป็นสมาธิคร่อกฟรี๊ก่อนค่ะ ได้หลับได้สงบ
    ปกติหลับชอบฝัน ฝันแฟนตาซี พิสดาร ต่อสู้ เหาะเหิร เดินอากาศ โลกอนาคต ตื่นมาต้องบันทึกฝันที่มันดูจะแฟนตาซีมากๆ ไว้ด้วยความสนุกสนานค่ะ คือฝันเยอะแยะไปหมด
    คิดว่านอนแล้วฝันเลอะเทอะเยอะแยะ ร่างกายไม่น่าจะได้พักเต็มที่ค่ะ

    แต่ก็แปลกที่สามารถหลับได้ แม้มีเสียงกรนสนั่น เสียงห้องอื่นดังก็หลับได้ ไม่หงุดหงิด ไม่ใส่ใจ
    แค่หลับยากเท่านั้นเอง แต่ถ้าพร้อมหลับก็หลับได้

    ขอค่อยๆ อ่านที่เพื่อนๆ แนะนำไว้ก่อนนะคะ ตั้งใจตอบกันมากๆ ค่ะ
    ขอบคุณอีกครั้งค่ะ
     
  7. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    บางทีบางคนภาวนาหนักๆเข้า จิตสงบสว่าง
    เวลานอนแล้วจิตมันก็สงบสว่าง
    บางทีเข้าใจว่าตัวเองนอนไม่หลับก็มี
    แต่แท้ที่จริง จิตมันเป็นสมาธิ จิตสมาธินี่ถ้าเราฝึกให้มันคล่องชำนิชำนาญแล้ว
    การนอนไม่มีหรอก นอนก็นอนแต่กาย แต่ว่าจิตมันไม่ยอมนอน
    พอนอนหลับปุ๊บลงไป มันก็สว่างรู้อยู่ในจิตตลอดคืน นั่นจิตมันอยู่ในสมาธิ

    บางที่นักภาวนารู้เท่าไม่ถึงการณ์ ก็ว่าตัวเองนอนไม่หลับ
    สงสัยตัวเองอยู่เรื่อย ถ้าใครสงสัยคล่องใจก็ให้ทดลองพิจารณาดู
    ถ้านอนลงไปแล้ว มันไม่หลับตลอดคืน ตื่นขึ้นมาแล้วมันง่วงมั๊ย
    มันเพลียมั๊ยมันอ่อนมั๊ย นี่ให้กำหนดหมายรู้อย่างนี้

    ถ้าหากว่ามันไม่ง่วงไม่อ่อนเพลีย กายเบาจิตเบา กายสงบจิตสงบ
    แล้วไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
    นั่นแสดงว่า
    จิตมันอยู่ในสมาธิ กายมันได้นอนหลับอย่างเต็มที่
    แล้วเมื่อจิตเป็นสมาธิแล้ว ทำให้กายเบา ทำให้จิตเบา ทำให้กายสงบ ทำให้จิตสงบ

    เมื่อกายเบาจิตเบา กายสงบจิตสงบ เราก็ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่
    สิ่งแปลกๆทั้งหลายเหล่านี้ มันจะบังเกิดขึ้น
    บางทีเรานอนลงไปแล้ว กำหนดจิต จิตมันหลับแล้วมันก็สงบสว่าง
    บางทีมีคนมาปลุก เรานอนไม่รู้สึกตัว ทีนี่เมื่อเรารู้สึกตัวตื่นขึ้นมา
    แล้วเพื่อนถามว่านอนหลับหรือเปล่า .. ไม่ได้นอนหลับ
    อ้าว ..ไม่ได้นอนหลับทำไมปลุกไม่ตื่น แล้วเราก็จะสงสัยตัวเอง
    ถ้าจิตอยู่ในสมาธิขั้น อัปนาสมาธินี่ ใครจะทุบอย่างไรมันก็ไม่ตื่น
    เอาไฟมาจี้มันก็ไม่รู้จักเจ็บ
    ถ้าคนภาวนาเค้าไม่อธิฐานจิตเอาไว้ว่า ถึงเวลานั้นเค้าจะออกจากสมาธิ
    ในช่วงที่ไม่ถึงเวลาที่เค้ากำหนดไว้นี่ ใครจะมาทำอะไรมันไม่รู้สึกตัว
    เพราะอย่างนั่นนี่ อันหนึ่งแล้ว ที่ทำให้นักปฏิบัติจะต้องสงสัย

    ข้อ หนึ่ง เมื่อจิต สงบบ่อยๆ บ่อยๆบ่อยๆเข้า
    ที่หลังมา มันสงบลงนิดหน่อย
    ความคิดมันก็ ฟุ้ง ฟุ้ง ฟุ้ง ฟุ้ง ฟุ้งฟุ้งขึ้นมา
    เราก็จะว่าจิตของเรามันฟุ้งซ่าน ให้สังเกตุดูให้ดี
    เมื่อจิตมีความคิดเรากำหนดดู ถ้ามันรู้สึกว่าเออ..ความคิดมันช่วยให้เราสะบาย
    ก็ปล่อยให้มันคิดไป

    และอีกอย่างหนึ่งเมื่อทำสมาธิเก่งแล้วมันนอนไม่หลับ
    เลยสงสัยตัวเองเป็นโรคประสาทหรือเปล่า ประเดี๋ยววิ่งไปหาหมอ
    หมอก็จะหาว่าอ้าวเราเป็นโรคประสาท ฉีดยาระงับโรคประสาทเข้าให้
    ประเดี๋ยวมันก็จะสะลึมสะลือ เป็นเดือนเป็นปี
    อันนี่หลวงพ่อเคยเจอมาแล้ว เพราะฉะนั้นจึงเตือนท่านทั้งหลายเอาไว้


    ฝากเจ้าของกระทู้ไปศึกษาดูครับ ฟังไฟล์เต็มๆที่นี่ครับ หลวงปู่พุธ ฐานิโย

     
  8. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ส่วนนี้เล่าให้ฟังเล่นๆ บอกไว้ก่อนว่า
    มันไม่ใช่หนทางที่จะทำให้จิตหลุดพ้นได้
    แต่เล่าให้พอรู้ว่า มันเกิดจากอะไรครับ
    และย้ำว่า พุทธฯเราเน้น เรื่องปัญญาเป็นหลักครับ
    และนัยยะสำคัญ " มายาจิตเป็นเพียงกลจิตชนิดหนึ่ง
    แม้เห็นได้ด้วยตาเปล่าก็ยึดไม่ได้ครับ ''

    คือ กิริยาทุกอย่าง ที่เกิดกับเราแบบหลับตา
    สามารถที่จะเกิด ขึ้น และเห็นได้ แม้ว่าเราลืมตาครับ
    แต่แม้เห็นได้ ด้วยตาเปล่า มันก็ยังยึดไม่ได้
    เพราะมันเป็นนามธรรม คือ มันไม่สามารถ
    ที่จะรักษา ให้ปรากฏได้ตลอดเวลา
    และไม่เป็นสากลทั่วไป ที่คนทั่วไปจะเข้าถึงได้ครับ
    แต่ถ้า มาเดินปัญญา เรื่องธรรมะคำสอนต่างๆ
    อย่างนี้มันเห็นผลได้
    ว่าคุณภาพจิตเรามันดีขึ้น ซึ่งคนส่วนมากสามารถ
    ที่จะเข้าถึงได้ ดังนั้นเราควรสนใจประเด็นนี้มากกว่า


    การที่จิตจะทำงานได้ ประกอบด้วยองค์ประกอบหลัก
    ๒ อย่างคือ ๑.มีแสงน้ำ(การเห็นแสง สี ต่างๆ เป็นวงกลม
    เป็นอะไรก็ได้ ที่เรียกชื่อได้. พวกวงกลมที่เห็น
    ระยะเวลาในการเห็น บอกได้ว่า สมาธิเราอยู่ระดับไหน
    ถ้ามองแล้วหาย ขนิกฯ มองแล้วแว๊ปหน่อย อุปจารฯ
    ส่วนเห็นได้นาน ก็คือ เกือบปฐมฌาน เท่านั้นเองครับ
    แล้ววงกลม ขนาดก็ขึ้นอยู่กับการสะสมมา
    ส่วนสีก็แค่บอก สิ่งที่จิตสะสมมา หรือสิ่งที่จิตยัง
    ยึดติดอยู่ เพราะตราบใดที่จิตยังเป็นวงกลม
    ก็แสดงว่า ยังอยู่ใน ไตรภพนี้ครับ คือยังไม่พ้น
    ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี
    ส่วนสีแต่ละตัวก็มีความหมาย เช่นแดงมีฤิทธิ์
    เขียวรักษาคนได้ ม่วงกำลังจิต น้ำเงินสมาธิ ฯลฯ
    แล้วก็ยังมีขาวหนักทางธรรม และก็ยังมีการผสมสีอยู่ในตัว
    ซึ่งความหมายๆต่างๆเหล่านี้ ไม่ต้องไปค้นหาที่ไหนหรอกครับ
    กำลังสติทางธรรม มันจะบอกเราได้เองครับ
    ว่าหมายถึงอะไร พอเข้าใจหรือยังว่า
    ทำไมกำลังสติทางธรรม มันถึงมีความสำคัญอย่างมาก
    ในการเข้าใจนามธรรมต่างๆ ที่เราได้พบเจอครับ
    อย่างที่บอก ที่พลาดกัน คือ พอไม่รู้คำตอบ ณ เวลานั้น
    แล้วเก็บมาคิด มาค้นหาคำตอบ ไม่ทิ้ง ไม่เลิกสนใจมัน
    ก็เลยเป็นการขวางอย่างที่คาดไม่ถึงนั่นเอง
    กับ ๒.จิตทำงานได้แบบมีเส้นสายนำ(เห็นเป็นควัน คลื่นอากาศ
    เห็นคล้ายๆอากาศไหลได้)
    และก็แบบเห็นทั้ง แบบที่ ๑ และ ๒ ก็จะรวมกันกลายเป็นรูปร่าง
    และมีสีให้เราเห็น ให้เราเรียกได้ง่าย ระลึกสัญญารู้ได้ง่ายขึ้น
    นั้นเองครับ.
    แต่ตราบใดที่เรายังเห็นเป็นรูปเป็นร่างได้ นั่นแสดงว่า
    จิตจะนังต้องอาศัยสัญญาอยู่ เพื่อที่จะให้เรียกได้ถูก เพื่อความ
    เข้าใจนะครับ ทั่วไปถ้าจะไม่ปรุงแต่งเลย คือจะต้องไม่มีสีครับ

    ยกเว้นกรณีที่เห็น แบบไร้รูปร่าง มีประกาย สว่างสไหว
    เป็นดวงจิตที่ไม่ติดในโลก และมีบารมีมาทางด้านนั้นๆ
    ตามสีที่แสดงให้เห็นครับ


    และในการฝัน ถ้าติ่งต่างว่า ปัจจุบันเป็นมิติที่ ๓ ในฝันเป็น
    มิติที่ ๔ บางคนเรียกว่า ระบบภาคทิพย์ แท้แล้วถ้านอกจาก
    การปรุงแต่งเพราะธาตุพร่อง จากอาหารหรือกิจกรรมที่ทำ
    หรือจากความเครียด การสะสมแล้ว มันก็เป็นอาการหนึ่ง
    ของตัวจิตเราเองนั่นหละครับ สิ่งที่มันทำได้ ไม่ว่าจะเหาะเหิน
    เดินอากาศ (ปกติถ้าโปรจะค่อยๆลอยเฉียงๆขึ้นนะครับ
    หรือเหาะได้เร็วแบบตรงๆ)แบบอื่นๆยังถือว่าไม่โปร หรือเห็น
    ทำอะไรในฝันนั้น มันก็มาจากตัวสัญญาในจิตของเราทั้งนั้น
    นั่นหละครับ สัญญาในที่นี้ ก็คือ สิ่งที่จิตมันเก็บมาไว้ในจิต
    ไม่ว่า มันเคยไปมีกายแบบไหนมาก่อนนั่นหละครับ
    พวกนี้มันก็ถือว่า เป็นเหตุที่ทำให้เราเวียนว่ายตายเกิดอยู่นั้นเอง

    และในระบบนี้ ปกติดวงจิตที่เข้าใจ จะมีพื้นฐานการใช้งาน
    ทางจิตด้านสัมผัสภายในเป็นปกติครับ คือเค้าจะรู้ว่าเค้าเป็นใคร
    ทำอะไร มีหน้าที่อะไร ที่มีว่ามีพื้นฐานภายงานภายในเพราะว่า
    มันจะไม่เกี่ยวกับกายเนื้อนั่นเองครับ มันก็เรียกว่าเป็นตัวเรา
    เป็นสภาวะธรรมของจิตดวงนั้นจริงๆนั่นหละครับ
    ถ้าเห็นเป็นคน ก็แสดงว่าพอมีศีลห้า แล้วแต่จะเห็นเป็นอะไร
    เพราะมันจะใช้ สัญญาในจิตบวกกับตัววิญญานของจิต
    อุปโลกน์เป็นกายอีกกายหนึ่ง(กายที่เอาไว้อะเหอะๆในฝันนั่นหละครับ). ในบรรดาระดับโปรซีรีย์ทั้งหลาย ที่ท่านเคารพนับถือกัน
    ท่านก็มักจะดู กายในฝันที่เป็นเกณฑ์ครับ เพราะเนื่องด้วยเป็น
    สภาวะที่มันจะมาจากการปฏิบัตินั่นเอง เช่น ทำไมบางองค์ถูกเรียกว่าพระทองคำ ทั้งๆที่ภายนอกดูเป็นคนมีอายุธรรมดา
    ทำไมบางองค์ ภพภูมิยอมรับ เพราะท่านมีปัญญาญานมาก
    สอนธรรมได้นั่นหละครับ.....
    แต่ท้ายแล้ว แม้ว่าจะเข้าใจในระบบภาคทิพย์นี้ได้
    ถ้าต้องการหลุดพ้น ไม่เวียนว่ายตายเกิด ก็จะต้องทิ้ง
    เรื่องพวกนี้เช่นกันครับ เพราะมันยังมีการเกิดของตัว
    วิญญานที่อุปโลกน์เป็นอีกกายหนึ่งได้อยู่นั่นเองครับ

    ปล.แค่เพียงแต่เล่าให้ฟังครับ......
     
  9. อาโลโอทา

    อาโลโอทา วรยธก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2018
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +7
    สาธุๆๆ อนุโมธนาบุญด้วยครับ
     
  10. catsan

    catsan Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +54
    ก่อนหน้านี้สัก 2 ปี
    เคยทำสมาธินอนแล้วเห็นแสงสีขาวสว่าง แล้วมันเคลื่อนที่เร็วมากค่ะ เห็นที่พื้นดินเป็นหญ้าเขียว แสงสีขาววิ่งเร็วไปเรื่อยๆ เรี่ยไปกับดินก็จะเห็นแต่หญ้าเขียว แล้วมันก็พุ่งขึ้นที่สูงประมาณ มองขึ้นไปเห็นต้นไม้ใหญ่สีเขียว โดยที่มีแสงสีขาวสว่างให้เห็นชัดว่านี่ต้นไม้ใหญ่ มีใบไม้ และก็เห็นหลังคาใต้ต้นไม้ แบบนี้ แสงพุ่งเร็วมากค่ะ พอมองบนก็เห็นตนไม้แบบนี้ละค่ะ มองล่างเห็นหญ้า มองบนเห็นต้นไม้ สลับกันไป เห็นอยู่หลายหน
    ตอนนั้นก็ได้แต่สงสัยว่า ที่เห็นใช่ต้นไม้หรือเปล่า ใช่หลังคาหรือไม่ ใช่ต้นหญ้าหรือไม่ แล้วมันจะพุ่งไปไหน และทำไม หลับตาทำสมาธิกลายเป็นแบบนี้

    ไม่ได้ตั้งเป้าแบบเอาเป็นเอาตายจริงๆ ว่าจะต้องได้อะไร เคยคิดตามประสาบ้างว่า เวลาดูหนังพลังจิตเอย มีฤทธิ์เอย ก็อยากฝึกบ้าง อยากได้อยากมี ลองฝึกดูบ้างไหม ก็ลองทำนิดนึง แต่ไม่ได้ว่าจะต้องเอาให้ได้จริงๆ ไม่มีครู ไม่ได้คิดฝึกค่ะ
    เอาแค่นอนสมาธิหลังสวดมนต์ นั่งไม่ค่อยได้ สัปหงก จะตกเก้าอี้ค่ะ 5555
    ต่อให้นั่งพื้นหรือนั่งเตียงก็จะเอน จะหงาย เลยนอนดีกว่า ไม่ต้องตกสะดุ้ง

    ช่วงฝึก เคยมีรับสายมือถือเพื่อนในเนต แล้วเหมือนเห็นความคิดเขา ออกมาเป็นภาพ เหมือนสิ่งที่เขาคิดในใจ มันเป็นภาพให้เรารู้ค่ะ หรือว่าอย่างไร ไม่แน่ใจ มันแปลกๆ ค่อนข้างตกใจ ตกใจเห็นภาพ ตกใจเพราะเขาก็ฝึกสมาธิมานาน เหมือนจะมีอะไรๆ ก็กลัวๆ ค่ะ ไม่แน่ใจว่าที่เห็น
    คืออย่างไร
    - อดีตที่เขาทำมาตะกี้ หรือก่อนหน้า
    - เขาคิดจะทำกับเราอย่างที่เราเห็น
    - ความคิดของเขาที่ออกมาเป็นภาพ

    ช่วงกินเจกินมังฯ แทบทุกวัน สวดมนต์ ทำสมาธิ วิญญาณมาหาในฝันบ้าง มาดีค่ะ มาปกติ เพราะเคยบอกไว้ ถ้าจะมาขอส่วนบุญ มาหาให้มาปกติ มาสวยๆ ก็มีมาบ้าง

    ที่เจอแรงๆ ตกใจเบาๆ ในฝัน ก็คือวิญญาณเด็กโดนทำแท้ง มาหาที่ห้อง คุยด้วยในฝัน พอถามเด็กว่าเป็นใครมาจากไหน มาห้องเราได้ไง เด็กบอกเลย พ่อแม่ทำแท้งหนู ที่ห้องไหน
    เช้ารีบใส่บาตร หวยออกเป๊ะเลขห้องเลยค่ะ 55555 แต่ไม่ได้ซื้อ พาเพื่อนมาด้วยเป็นคนอ้วนอวบดำใส่สูทน้ำเงินนอนนิ่งกลางห้อง 555

    หลังจากนั้นก็มีเด็กๆ มาแกล้งบ้าง หรือวิญญาณผู้หญิงหลายคน มาเล่นที่ห้อง มากินมาหัวเราะกันสนุกสนาน อาบน้ำอาบท่า ไม่ได้รบกวนอะไรเรา เขาคุยกันเอง พอเราถามมาห้องเราได้ไง มันล็อคหมด ก็ตอบมาว่า ได้ข่าวเราใจดีเลยชวนมากัน แล้วก็คุยเล่นกันต่อ เหอเหอ

    เรื่องเหาะเหิรเดินอากาศ ฝันแต่เด็ก ถ้าตามหลักวิทยาศาสตร์ ก็ว่าคงอึดอัดอยากไปไหนเลยเหาะเลยบินเอา

    เหาะได้ตั้งแต่สูงประมาณ 30 ซม. ไปจนบินสูงกว่าตึก 5 ชั้น ในฝันถ้าอยากไปไหน บางครั้งก็แค่กระโดดเบาๆ ก็ลอยไปเลย บางครั้งก็สูง 2 -3 เมตร หรือเท่าตึก 2 ชั้น แบบจะเหาะเมื่อใด ก็แค่เอาเบาะวางรองก้น ก็เหาะไปได้แล้ว แฟนตาซี สนุกค่ะ

    บางทีก็คิดว่า ดูหนัง ละคร ฟังข่าว แล้วก็เก็บเอามาฝันค่ะ
     
  11. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    สนุกไปอีกแบบ....
    คือ นำมาเล่าให้ฟังเฉยๆเนาะ
    ไม่ได้ต้องการรู้เหตุที่เกิดใช่ไหม
    เพราะเห็นว่า ไม่ได้สนใจเรื่องฤิทธิ์อะไร
    ความจริงเรื่องแบบที่เล่าให้ฟังมานะ
    มันไม่ได้แปลกอะไรนะครับ..
    และมันสามารถรู้ได้ด้วยกำลังสติทางธรรม
    ของตัวเองได้อยู่แล้วครับ
    ว่ามันคืออะไร ทำไมถึงเกิดแบบนี้ อะไรทำนองนี้ครับ

    กรณีรับสายเพื่อนแล้วรู้ เรียกว่า แบบภายใน
    แต่ตอนเหาะในฝันแล้วเอาเบาะรอง
    สงสัยอดีตคงเคยอยู่อียิปต์มาก่อน(ล้อเล่น)
    ปกติ การเหาะจะไม่เหาะเฉพาะในโลกมนุษย์(พอนึกออกเนาะ)

    ก็ถ้าคนเคยมีเชื้อ ยิ่งไม่ยากให้มันเกิด
    มันจะยิ่งขึ้นมาของมันเรื่อยๆนั่นหละครับ
    เรื่องความสามารถรับรู้อะไรพวกนี้

    เพราะฉนั้น เราก็ปฏิบัติของเราไป
    มันจะมี จะเกิดอะไร ก็ช่างมัน ปล่อยมันไป
    ไม่ต้องไปยึดอะไร...

    ปล.แต่เจอผีแล้วยังรู้สึกตกใจ
    ไม่ว่าในมาในสภาพใดๆเนี่ย
    ยังถือว่าไม่ควร และไม่ควร
    ไปขอว่าจะต้องมาสภาพแบบดีๆ
    เพราะจะตัดโอกาสในการสร้างบุญบารมี
    ให้ภาคส่วนภพภูมิของตัวเอง
    ได้อย่างคาดไม่ถึง....
    เพราะตรงนี้มันเป็นพื้นฐานที่ควรมีเป็นปกติ
    ของดวงจิตที่มาแนวๆนี้ควรมีเป็นทุน
    ด้วยที่ไม่ต้องบอกให้ใครฟังครับ
     
  12. catsan

    catsan Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +54
    คืออยากได้ แบบไม่คาดหวังค่ะ ไม่ได้คิดฝึกเพื่อเอาให้ได้ค่ะ
    การจะฝึกก็ควรมีครูบาอาจารย์ค่ะ ไม่อยากฝึกเองในเรื่องแบบนี้
    เลยปฏิบัติเบาๆ แบบไม่เอาอะไรดีกว่า

    - ถ้าแบบนี้ก็คือฝึกปฏิบัติไป ถ้าเห็นอะไรก็ให้วางนะคะ แล้วไม่ต้องไปอยากรู้อะไรมัน

    - ที่ตกใจตอนเจอวิญญาเด็กในฝัน คือไม่ได้ตกใจมาก ตกใจในใจ ตอนในฝันว่า เฮ้ย ก็ผีสิแบบนี้ แล้วก็ไม่ได้ตกใจแบบวิ่งหนี ไม่ได้เสียสติอะไร ก็ยังเดินจูงวิญญาณเด็กเดินมาด้วยกันค่ะ อันนี้คือที่อพาตเม้นท์

    - ก่อนหน้าเคยฝันที่บ้าน ในห้องตัวเอง หลังจากมีอาจารย์ (เพื่อนของเพื่อนพี่ชายพามา )มาดูบ้าน แล้วบอกว่าที่บ้านมีกุมาร ตกดึกก็ฝันว่ามีเด็กเข้ามาในห้อง มาเปิดตู้เก็บของที่ใข้วางทีวี
    เราก็ตกใจเบาๆ แบบนี้ละค่ะ ก็ถามเด็กมาจากไหน เด็กก็ว่า หิว เราก็จูงมือเด็กเดินลงชั้นล่างไปเปิดตู้เย็นหาอะไรให้เด็กกิน

    ไม่ได้ตกใจใหญ่ เสียสติวิ่งหนี เหงื่อแตก แบบนี้ไม่เป็นค่ะ ตกใจเบาๆ ประมาณ ผีนี่แบบนี้

    - แต่ถ้าจะให้วิญญาณมาในรูปน่าตกใจ ยังทำใจไม่ได้ค่ะ ปกติไม่เคยเห็นผีเลยค่ะ เจอแต่ในฝัน

    - ช่วงปฏิบัติ มันเหมือนจะมาเรื่อยๆ ค่ะ เคยจะไปกด atm แล้วต้องการกดแค่ 400 บาท แล้วก่อนถึงตู้ 10 ก้าว ภาพหน้าจอที่บอกว่าไม่มีแบงค์ 100 บาท มันก็ออกมาให้เห็น คือเราจะกดเงินไม่ได้ โผล่ภาพหน้าจอมาอย่างชัดเจนค่ะ เห็นค้างสัก 3-4 วิได้ เราก็ เอ๊ย มีภาพโผล่มาได้ไง เราก็ไม่เชื่อ เราก็เดินไปตู้ที่จะไปนี่ แล้วกดเงิน ก็กดไม่ได้ ขึ้นภาพที่เราเห็นนี่ละค่ะ เราก็ต้องย้ายไปกดที่ตู้อื่นแทน

    - ช่วงปฏิบัติ มันจะรู้ว่า สายเรียกเข้าเป็นลูกค้า หรือเป็นเพื่อน บางรอบแรงกระทั่งรู้ว่า เพื่อนชื่ออะไรโทร เคยแยกได้ด้วยว่า สายจากต่างประเทศ โทรเข้าเบอร์บ้าน นี่คือคนที่เคยคุยกันหลายปีก่อนโทรเข้ามาหาเรา ก็เคยค่ะ ซึ่งเคยคุยทางโทรไม่กี่ครั้ง มันรู้ในหัวค่ะ

    - รู้เหตุการณ์ล่วงหน้าเบาๆ ประมาณ 3-5 วินาทีค่ะ นานๆ จะเป็นที เช่น เดินผ่านนอกรั้วม.ราม ในนั้นเขามีวงเตะฟุตบอล พอเดินผ่านหัวก็แว๊บมาว่า พวกนี้จะเตะบอลข้ามรั้วออกมาใส่เรา แล้วจะให้เราเก็บให้ด้วย มันก็เป้นแบบนั้น พอรู้เสร็จบอลมาเลยอย่างเร็ว ข้ามหัวไป เราก้มหลบทัน แล้วคนวิ่งมาเก็บบอลให้เราช่วยโยนบอลกลับไปให้ในรั้วหน่อย

    - ถ้าทำสมาธิแล้วไม่หวังฤทธิ์ ก็ไม่ต้องสนใจว่าจะเห็นอะไร เห็นแล้ววางไปแค่นั้นก็พอใช่ไหมคะ ถ้าตอนทำสมาธิแล้วปล่อยไม่สนใจ ก็ทำได้ แต่ถ้าไม่ได้ทำ ช่วงชีวิตปกติ มีอะไรแปลกๆ ให้ได้เจออย่างการเห็นภาพเอย การรู้ล่วงหน้าต้องละด้วยไหม และมันจะมีอะไรเพิ่มกว่านี้อีกไหมคะ ต้องมีอาจารย์ไหมคะ
     
  13. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    แยกดีๆเรื่องการมีครูบาร์อาจารย์
    กับประเด็นเรื่องความสามารถภายใน
    มันคนละส่วนกัน เอาประเด็นเรื่อง

    การจะมีครูบาร์อาจารย์ทางภพภูมิมาสอน
    ทุกคนสามารถมีได้หมดหละครับ
    ไม่ว่าทั้งที่มองเห็นได้ และมองเห็นไม่ได้
    เพียงแต่ว่าในระดับฆารวาส เราจะได้เจอ
    คนที่จะสามารถแนะนำเราได้จริงๆหรือไม่เป็นอีกประเด็น


    ปกติในเวลาทำสมาธิถ้าทางภพภูมิเราจะได้พบเจอ
    ทุกท่านที่เคยสัมพันธ์เรามาอยู่แล้วปกติครับ
    เพียงแต่ในการเจอแรกๆไม่ควรไปยึดอะไร
    แม้ว่าจะเห็นได้ด้วยตาเปล่า(พอเข้าใจที่สื่อนะครับ)

    และประกอบด้วยว่า จริตเรานั้นมาทางด้านไหน
    และจริตด้านที่เราจะไปไหน ขึ้นอยู่กับว่า
    ปลายทางที่สำเร็จนั้น เราตั้งเป้าไว้ในเชิง
    ที่จะใช้งานมันเพื่อประโยชน์ทางธรรม
    เพื่อประโยชน์ผู้อื่นหรือไม่

    ส่วนเรื่องเมตตา เรื่องพรหมวิหาร เรื่องความต่อเนื่องศีล
    การละอายต่อบาป พวกนี้ถือว่าเป็นเรื่องปกติ
    ที่ควรมีเป็นทุนโดยไม่ต้องบอกใคร พวกทีชอบเอามาโม้
    เอามาอ้างว่าต้องมี ตัวเองมี พวกนี้มันประเภทกระโหลก
    กะลา มีปมด้อย ตอนเด็กๆไม่มีใครอุ้ม
    เลยชอบเอามาอวดโม้มาอวดกันครับ

    แต่การรู้จักทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ภาคส่วนภพภูมิ
    เป็นประจำไม่ว่าระดับไหน และการทำบุญทำอะไร
    โดยไม่หวังผลตอบแทนนั้น ตรงนี้ทำให้มีโอกาส
    จะเจอครูบาร์อาจารย์ทางภพภูมิได้ทุกคนครับ

    ข้อดีถ้าได้เจอ จะลดระยะเวลาในการฝึก
    เพื่อให้สำเร็จระดับใช้งานได้สั้นลงมากๆนั่นเองครับ
    เพราะมันจะไปได้ เชิงเทคนิคคอลเทอม
    ที่จะทำให้ผ่านสภาวะนั้น แบบที่
    มันไม่มีปรากฏเป็นอักษรไว้บนโลกนั่นเอง


    เรียกว่า จากหลักหลายปีลงมาเหลือไม่กี่เดือนได้
    ตรงนี้ ต้องไปพิจารณาเอาเอง เพราะเราไม่ได้เป็น
    ผู้ที่จะอยู่ในส่วนที่มีสิทธิว่าจะเลือกใครมาสอนได้

    (พวกที่จะเลือกว่า จะต้องเป็นอาจารย์ระดับโน้นนี่นั่น
    มาสอนตนเอง หรือ ต้องเป็นท่านนี้ถึงเหมาะกับจริตตน
    ตรงนี้ เป็นส่วนความระยำของจิตเราเอง
    ไม่ควรให้มันเกิดมีครับ)

    หากว่า มีจริตอะไร มีอะไรตรงๆใจท่านซักอย่าง
    ไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหนหรอกครับ เด่วท่านจะมา
    หาเองครับ. เอาศรีษะประกันต่อดอกไปเรื่อยๆได้เลย...
    (ไม่ขายขาด ๕๕)


    ส่วนที่จะเล่านี้เป็นเฉพาะบุคคลนะ...
    ใครอยากอ่านก็แล้วแต่ ถือว่าอ่านเล่นๆขำๆไป
    ส่วนกิริยาที่เราเป็นเค้าเรียกปัจจุบันสญาน(ภาษาสมมุติ)

    ด้วยเหตุที่มีฐานสัมผัสจากภายในมาก่อน(อยู่ตรงท้อง)
    มันก็เลยจะสร้างเป็นภาพขึ้นมาคล้ายๆในหัว
    (คือไม่ต้องไปฝึกเปิดตาสามเหมือนชาวบ้านเด็กสกอยซ์ทั่วไป
    เพราะมันมีเชื้อว่าใช้งานได้มาก่อนในอดีต และมีการควบคุม
    มาแล้วทั้งในระบบพลังงานจากส่วนครูบาร์อาจารย์ต่างๆ
    ที่ตอนนี้ไม่อยากบอกว่าท่านเป็นใครและห้ามมาถาม
    ควรจะรู้ได้ด้วยตัวเองในอนาคต มันควบคู่อยู่)

    ข้อดี แม้เราจะรู้ แต่เราก็ไม่ใช่ประเภทหลงตัวเอง
    เอาไปพูดเชิงอวด
    ไม่เอาไปโชว์หนุ่มรูปงาม
    หรือ ใช้มันในทางที่ผิดนั่นหละ
    หรือเอาไปเพื่อใช้แสวงหา ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ
    นี่คือ ผลของการมีการควบคุมนั่นหละ (อนาคตจะรู้เอง)

    มันก็จะให้เรารับรู้ ให้เราเห็นเป็น
    ให้เราเห็นอย่างนั้นหละ มันเป็นวิถีการใช้
    งานทางจิตแนวๆนี้ปกติครับ.....(คือ เรื่องปกติ)

    และถ้าเราจะเริ่มเปลี่ยนมาเป็นภายนอกได้
    ก็ต่อเมื่อเราผลักภาพพวกนั้น ให้มันออกมา
    บนอากาศ ในมุมเหนือศรีษะ เหมือนเรายืนมอง
    อยู่ตรงบรรไดเลื่อนขั้นแรกแล้วมอง
    ดูกระโปรงสาวที่นุ่งสั้นๆอยู่ชั้นปลายๆบรรไดเลื่อนนั่นหละ
    จ๊ากกกก !!!(ล้อเล่น)

    คือเหมือนมุมที่เรายืนบนถนนแล้วมองระเบียงชั้นบน
    เคยสังเกตุพระจิตไวหลายๆท่านไหม
    ทำไมถึงชอบมองข้ามศรีษะเรา...
    ก่อนที่จะพูดเรื่องอะไรที่มัน
    เกินว่ามนุษย์ปกติจะรู้ได้
    นั่นหละเค้าเรียกว่า รูปแบบการใช้งานทางตาปกติทั่วไป
    ต้องเริ่มจากตรงนี้ก่อน
    ต่อไปการเห็นนามธรรม
    มันก็จะเริ่มผลิกจากเห็นแบบในฝัน
    ให้ขึ้นมาปรากฏบนโลกใบนี้
    ในสภาพแวดล้อมใบนี้ได้
    และถึงแม้ว่า จะเกิดได้
    ก็ควรเฉยๆซะ ถือว่าเรื่องปกติ
    เช่น เห็นผีตาเปล่าๆ คิดเสียว่า สิวๆ
    ดีกว่าไม่เห็นวะ อะไรประมาณนี้
    แต่อย่าไปยึดพอ



    การใช้งาน เราจะไม่ไปดูตอนนั่งสมาธิอะไร
    เราจะวัดกันในเวลาลืมตาปกตินี่หละ....
    ที่นี้ ถ้าเรารู้จักช่างมัน คือ ในเวลาปกติมันจะรู้ก็ช่างมัน
    มันไม่รู้ก็ช่างมัน และถ้าไม่รู้ก็ไม่ต้องไปพยายามรู้
    พวกนี้แท้จริงแล้ว มันเป็นแค่อุบายให้จิต
    มันทิ้งพวกความสามารถในการรู้ตรงนั้น(ทิ้งแล้วไม่เสื่อมไม่ต้องกลัวว่ามันจะหายไปไหน ที่ยังกลัวหาย คือ การฝึกสมาธิอยู่ใน
    ระช่วงกลาง ยังไม่ได้ใช้งาน และมีเจตนาที่ทำเพื่อตนเอง)
    เพื่อไม่ให้จิตไปยึดติดได้ อย่างคาดไม่ถึง งงไหม ยึดติดยังไง

    ก็คือ ถ้าเราไม่ทิ้งมันนะ จิตมันจะจ้องใช้งานอยู่ตลอดเวลา
    ซึ่งถือว่าไม่ดีในทางปฏิบัติ มันจะกลายเป็นเตลิดนั้นหละ
    คือพัฒนาเกิ๊น...แต่ไม่พัฒนาต่อ

    พอเราเริ่มทิ้งมัน คิดซะว่า มันเป็นเรื่องปกติธรรมดามากแล้วนะ
    ต่อไป จิตก็จะไม่มีตัวความสามารถแบบนี้ มาคอยจ้องคอยเกาะ
    ให้จิตเกิด ตัวจิตมันถึงจะค่อยๆกลับคืนสู่เนื้อหาเดิมแท้ของจิต
    ได้ของมันเอง

    เนื้อหาเดิมแท้ คือ อะไรก็ตามที่มันเคยฝึก เคยทำได้ ในระหว่าง
    ก่อนที่จิตจะกลับคืนสู่ธรรมชาติเดิมแท้ของมัน มันก็จะค่อยๆขึ้น
    มาได้ของมันเอง

    ยกตัวอย่างกรณีแบบความสามารถ ปัจจุบันสญานของเราก็ได้
    ง่ายๆดี.....ปกติคนทั่วไป เค้าจะเริ่มมีเชื้อจากหลักปี แล้วค่อย
    ถอยมาเดือน มาสัปดาห์ มาวัน และถึงค่อยมาปัจจุบัน

    แต่ตัวจิตเราอาจจะได้เปรียบชาวโลกเค้าตรงนี้หน่อย
    เพราะถ้ายังอยู่ในหลักถอยหลังมา มันมักจะเปลี่ยนแปลง
    ไม่ได้ เพราะว่าการเผลอไปยึด ไม่ยอมวาง
    มันแต่ประทับใจกับความรู้สึก อเมซิ่งไทยแลนด์
    ว่าฉันเคยนึกอย่างนี้จริงๆ ตรงนี้ฉันเคยมาแล้ว
    ตรงนี้ฉันเคยเห็นแล้ว และก็จะมาบ่นว่า
    ทำอย่างไรจะเปลี่ยนแปลงได้
    มันจะเปลี่ยนได้อย่างไรหละ เพราะไม่รู้จักวางนึกออกไหม

    แต่สำหรับเรา มันผ่านตรงย้อนจากมากมาน้อยแล้ว
    ถ้าเราไม่ทิ้งๆจริงๆ หรือไม่รู้จัก เราก็จะแป๊กอยู่ตรงนั้น
    คือแป๊กยังไง มันมีอะไรอีก หรือ พี่ขุนจร้า.....๕๕๕๕

    พี่หมื่น(เมื่อกี้เป็นพี่ขุน เรื่องเดียวกันเปล่าวะ )
    ก็จะบอกออเจ้าแว๊(เล่าให้ฟังล่วงหน้าเล่นๆ ถ้าทิ้งได้จริงๆนะ
    สามารถไปพิสูจน์ได้ด้วยตัวเอง ถ้าไม่ใช้
    พี่หมื่นจะปล่อยให้ไปเที่ยวพระนครตามสบายโดยไม่ตาม ๕๕๕
    แทรกหนังหน่อย แก้เครียดๆ

    มันก็จะค่อยขยับจากน้อยไปมากแทน
    คือการรู้ มันก็จะเริ่มไปสู่หลักวัน
    ตามด้วยสัปดาห์ ตามด้วยหลักเดือน
    ตามด้วยหลักปี และหลายๆปี จนกระทั้งเห้อ
    หาไมเจอแล้วเว้ย !!! ก็จะกลายเป็นชาติ๑ เอ้ย ชาติหน้า(ชาติเดียวกัน) ชาติ ๒ ชาติ ๓ ชาติ๔ โอ้ยไปหลายชาติจนเบื่อ

    ที่นี้พอเราเหมือนไม่มีอะไรทำ
    เกิดสนุกอยากจะย้อนรู้อดีตชาติอีก
    มันก็จะค่อยๆถอยมาอดีตชาติ๑ ชาติ ๒ (ปกติ
    ทั่วๆไป ถ้านั่งสมาธิมันจะย้อนได้ ๕ ชาติปกติอยู่แล้ว
    พูดถึงทั่วไปนะ) แล้วก็ถอยไปได้จนยุคไดโนเสาร์
    ถอยได้อีก จนเบื่อ พอแระ รู้ไปก็ไม่มีประโยชน์

    ที่นี้พอรู้ตัวเองได้แระ การไปรู้คนอื่นก็จะสิวๆแระ
    เอ่อทำไม นางคนนี้ ถึงชอบใส่ร้ายป้ายสี
    พูดจากระแนะกระแหนเราจัง ย้อนไปดูเหตุเล่นๆหน่อย
    เราก็ค้นพบคำตอบด้วยตัวเอง (ไม่ใช่พาลซื่อไปพูด
    บอกให้ใครฟังหละ)ซึ่งมันก็จะทำ
    ให้ปัจจุบัน เราเกิดการยอมรับได้ง่ายขึ้นไง นี่คือประโยชน์
    แต่ถ้าย้อนตัวเอง ให้เราจับให้ได้ว่า
    เพราะอะไรเราถึงยังต้องมาเกิดอีก คือพลาดเรื่องอะไร
    ปัจจุบันจะได้ระวังไม่ให้เกิดไง พอมองเห็นประโยชน์ไหม
    ปล.มีอะไรสงสัยอีกไหม....( ^_^ )
     
  14. catsan

    catsan Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +54
    nopphakan ขอบคุณมากๆ ค่ะ
    - เรื่องอาจารย์ ต้องการแค่ได้แนวทางที่ถูกค่ะ
    - เรื่องเห็น เรื่องรู้ ไม่ได้โอ้อวดอะไรค่ะ ออกแนวเล่าสู่กันฟังบ้างว่าเป็นแบบนี้ในช่วงปฏิบัติ
    - บางทีก็แอบคิดว่า เราน่าจะมองหน้าคนแล้วเห็นอนาคตเขาว่าจะเจอเคราะห์กรรมอะไรแรงๆ แล้วเราเตือนเบาๆ ให้ไม่หนักหนาสาหัสได้บ้างนะ แต่ก็อยากเตือนได้เฉพาะคนที่เตือนได้ก็พอ
    - ดูหนัง พวกพลังจิต X-men ก็อยากได้แบบนี้ค่ะ 5555 ชอบแนวๆ นี้ อยากได้หมดเลยทุกอย่าง
    หูทิพย์ ตาทิพย์ หายตัว สะกดจิต ไม่ได้เอาไปทำอะไรใครนะคะ
    ถ้ามันฝึกได้จริงก็คงปิดมิดค่ะ เอาไว้ช่วยเหลือตัวเอง หรือช่วยคนอื่นแบบแอบช่วยไม่ให้รู้ก็ได้นะ

    แล้วเป็นคนช่างฝัน ดูหนัง ฟังอะไร อ่านอะไร เอาไปฝันเหมือนเรามีฤทธิ์ มันก็สนุกดีในฝัน
    แต่ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วเรามีมันฤทธิ์อะไรไหม บางทีก็ฝันบอกเหตุล่วงหน้า แต่เราต้องมาตีความต่อไม่ได้รู้จังๆ
    เช่นฝันว่า งูกัดง่ามมือ แล้วพิษแล่นเข้าเส้นเลือดเป็นสีดำลามขึ้นแขน เราเอาผ้ามัดทัน ไม่เกินเดือนก็เจอเหตุ ก่อนหลับได้กลิ่นเหมือนอะไรไหม้แต่หาแล้วไม่เจอ เช็คทีวี พัดลม คอมฯ อื่นๆ ก็ไม่เจอ พอหลับไป ปลั๊กพ่วงไหม้ระเบิด ดมควันไปจนตื่น (ทำให้รู้ว่าฝันแบบนี้เคราะห์มาแน่)

    อีกทีก็ฝันงูกัดคอเลย แต่หยิบงูเหวี่ยงออกไปได้ ตกใจตื่น อันนี้เกิดเร็ว ใน 3 วัน เข้าห้องน้ำแล้วประตูล็อคออกไม่ได้ 55555555555 แต่ก็โชคดีค่ะ สามารถพังออกมาเองได้ ไม่ต้องเลือดตกยางออก เจอบาดผิวนิดเดียว

    ถ้าฝึกปฏิบัติแล้วจะสามารถเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าเป็นภาพที่จะเจอจริงๆ เลยไหมคะ

    หรือเป็นแบบที่เห็นหน้าตู้ ATM แบบไม่ได้ฝัน เห็นภาพล่วงหน้าก่อนเลย

    ช่วงนี้เริ่มง่วงหลับง่ายขึ้นค่ะ เมื่อคืนนอนสวดมนต์นิดหน่อย แผ่เมตตา ท่องพุทโธน่าจะไม่นาน หลับไปเลยค่ะ

    ตั้งเป้าจะสวดมนต์สัก 5 ทุ่มครึ่งนอนเที่ยงคืน จะนั่งสวดก็เกรงจะตื่น ไม่หลับไปอีก
    นั่งสวดทีไร ก็เกิดชอบ พอชอบแล้วเพลิน พอไม่ง่วงก็เพิ่มบทนั้นบทนี้ ตื่นเลยค่ะ

    ถ้าเกิดอยากรู้อดีตชาติ ต้องปฏิบัติแค่ไหนคะ เป็นเหมือนละครเรื่อง เจ้ากรรมนายเวรไหมคะ
    แต่อันนี้พระเอกสะกดจิตคนไข้จนเห็นอดีต แล้วเจ้ากรรมนายเวรไล่ทวงหนี้คะ แล้วก็พากันตาย

    นี่คือละคร อยากรู้ว่าจริงๆ ถ้าเห็นอดีตแบบนี้ เจ้ากรรมนายเวรจะไล่ล่าเราไหมคะ
     
  15. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    คนจะดีได้จะต้องแปลงตนให้เหมือนไม่มีและไม่เคยมี อาจมีจริงก็ได้ แต่ถ้าหวังจะให้ดีกว่าต้องทำเหมือนมันไม่มีหรือไม่เคยมีเพื่อจะเรียนรู้สิ่งที่ไม่เคยรู้ไม่ใช่จมปรักกับสิ่งที่เคยมี ถ้าเชื่อและศรัทธาจริงต้องพิจารณาได้ว่าไม่เคยมีสิ่งใดเป็นจริงและเป็นสิ่งยืนยงถาวรรวมทั้งเป็นของเราจริงๆ
     
  16. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ทริคเรื่องการมองบอกแล้ว
    ที่บอกเป็นแนวทาง ตามลำดับ
    การลงรายละเอียดต้องไปลองทำเอง

    "ถ้ามันจะรู้ ปล่อยให้มันรู้ไป แต่ไม่ต้องไปอะไรๆกับมัน
    (ไม่ต้องไปค้นต่อ หรือสงสัย หนืออะไรต่อ)
    ถ้ามันจะไม่รู้ก็ช่างมัน ไม่ต้องไปพยายามที่จะให้รูมัน

    ถ้าใช้งานแล้ว ก็ให้แล้ว ไม่ต้องไปอะไรๆกับมัน
    (ไม่ต้องไปตามผล ไปหวังผลอะไร ได้ผล ไม่ได้ผล
    จริงหรือไม่จริงช่างมัน)

    เด่วมันจะค่อยๆใช้งานเป็นอัตโนมัติได้ของมันเอง
    ตามแต่เนื้อหาเดิมแห่งจิตตน
    ซึ่งมันแตกต่างกัน แล้วแต่จิตใครจิตมัน
    (คือแต่ละคนไม่เหมือนกันในรายละเอียด
    ฉนั้นเราเองจะรู้และเข้าใจดีที่ซู้ดดดดดดดด)

    อ่านดีๆตรงที่เป็นทริค ในบทความก่อนๆ
    ไม่ใช่จำทริค การด่าคนนะ ๕๕๕

    จะได้ไม่ต้องมาคอยถาม มาคอยสงสัย
    ดำๆโผล่ๆ มุดๆ มั่วๆไปก่อน หัวแตก หัวโน ด้วยตนก่อน
    ผิด ถูก ใช่ไม่ใช่ ควรไม่ควร
    และวาระที่จะต้องใช้เมื่อจำเป็นต้องใช้
    การเข้าใจวัถตุประสงค์ทางนามธรรม เช่น กรณีงูกัด
    เราจะรู้ด้วยตัวเราเองนั่นหละออเจ้า

    เวลาใช้ชีวิตปกติ แค่พึ่งระลึกไว้เสมอว่า เราคือคน
    ที่โครตธรรมดาทั่วไปพอ.
    มองทุกคนได้เท่าเทียมกันหมด
    มองรถแล้วเห็นมันเป็นเศษเหล็กได้
    ถึงจะเรียกว่าพอใช้ได้เน้อ(^_^)
     
  17. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,293
    ค่าพลัง:
    +12,622
    แล้วความเชื่ออย่างปักใจในพุทธพจน์
    สัพเพธรรมา อนัตตา
    จะจัดเป็นการจมปลักฝังตัวเองกับสิ่งที่
    เป็นจริงและยืนยง หรือเปล่าคับ
     
  18. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    เชื่อแบบลืมหูลืมตากับเชื่อแบบฟังตามกันมามันคนละแบบกันคับลุง สัพเพ ทุกสิ่ง ธรรมมา ปรากฏการณ์ อนัตตา ความไม่เป็นไปดังความคิด ไม่เป็นที่พึ่ง เพราะไม่เป็นตัวตนแท้จริง จะเรียกว่าจมปรักคงไม่ได้คับเพราะว่า ข้อความ เมื่อถูกขยายด้วยตัวเราเองเราจะพบว่าสิ่งหนึ่งผ่านไปแล้วแต่ยังมีสิ่่งใหม่เข้ามา พระศาสดาตรัสเป็นแนวทางการไม่จมปรัก เพราะเหตุผลว่า เมื่อยังมีเหตุแต่หาเหตุนั้นไม่ได้มีสองทางคือปล่อยวางกับพิจารณาหาเหตุนั้น ทั้งสองวิธีไม่ถือว่าจมปรัก ปล่อยวางเพราะรอเวลารวบรวมสติปัญญา หาเหตุนั้นได้เพราะปัจจัยที่สร้างเพียงพอต่อการเข้าถึงเหตุและดับเหตุนั้น จึงไม่ใช่การจมปรักในความหมายที่เข้าใจคับ อีกประการ พระศาสดาตรัสสั่งสอนไว้ ไม่เคยมีข้อความใดที่ทำให้ลุ่มหลงมัวเมาในกิเลส มีแต่บุคคลที่ใช้ความหมายของตนเป็นที่พึ่งมิได้ใช้ความหมายของพระศาสดาเป็นที่พึ่งจึงยังคงเป็นเหตุให้เกิดการเวียนวนไม่รู้จบคับลุง
     
  19. catsan

    catsan Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +54
    ขอบคุณค่ะ ตามนี้ค่ะ
     
  20. ใต้สรวงสวรรค์ ตรีเอกภาพ

    ใต้สรวงสวรรค์ ตรีเอกภาพ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2017
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +11
    สาธุ ขออนุโมทนาด้วยเถิดนะคร้าบ....
    พระสงฆ์เป็นเครื่องกำจัดทุกข์และทรงไว้ซึ่งประโยชน์แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าผู้ว่าอยู่จักประพฤติตามซึ่งความปฏิบัติดีของพระสงฆ์ สถานะอื่นของข้าพเจ้าไม่มีพระสงฆ์เป็นสรณะอันประเสริฐของข้าพเจ้าด้วยการกล่าวคำสัตย์นี้ข้าพเจ้าพึงเจริญในพระศาสนาของพระศาสดา ข้าพเจ้าผู้ว่าอยู่ซึ่งพระสงฆ์ได้คนควายบุญใดในบัดนี้
    ___________

    อันตรายทั้งปวงอย่าได้มีแก้ข้าพเจ้าด้วยเดชแห่งบุญนั้น
    สาธุ สาธุ สาธุ กราบกราบกราบ .สาธุ วัฑเฒยยัง สัตถุสาสะเน, กะตะโม จะ ภิกขะเว, สัมมาวายาโม อิธะ ภิกขะเวภิกขุ’ ดูก่อนภิกษุทั้งหลายความพากเพียรชอบเป็นอย่างไรเล่าดูก่อนภิกษุทั้งหลายภิกษุในธรรมวินัยนี้คือการปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิเจริญภาวนาให้ถึงพร้อมด้วยยานแห้งมานะของตนทำให้มีภาระวินัยที่แข็งแรงและสมบูรณ์ ยิ่งยิ่งขึ้นไปเถิด ’สาธุ สาธุ สาธุ
    ___________
    สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ. ธรรมทั้งหลายทั้งปวงไม่ใช่ตัวตนดังนี้ เต (หญิงว่า. ตา) มะยังโอติณณาม์หะ, กราบ
    พวกเราทั้งหลายเป็นผู้ถูกครอบงำแล้ว; ชาติยา, โดยความเกิด; โดยความแก่ และความตาย รถด้วยความโศกเศร้าความร่ำไรรำพัน, ความไม่สบายกาย, ความไม่สบายใจ; ความคับแค้นใจ ทั้งหลาย; อย่าได้มีแก่เราเลยสาธุ,

    5เคร็ดลับก็สู้การนับถือครั้งเดียวมิใด้
    ส่วนตัว ชอบ; อย่าอธิษฐานให้เกินบุญของตน :เกินเหตุ
    ซึ่งเมื่อเหตุนั้นตรงและสมบูรณ์ ปัจจัยสมบูรณ์ ผลที่ออกมาจะสมบูรณ์ตามที่อธิษฐานนั้น :เกินตน ก็รวยเกินบุญก็ดี
    จะได้มั้งมี เฮง เฮงๆ รวย รวย สาธุสาธุ นะมามิ
    ผู้เกิดมิได้ย้อมมี นะมามิหัง ผุ้กะตันยู รู้คุณพ่อแม่ :
    ‘จิตเกิดอันใด : ขอให้กายและลมหายใจอยู่กะพระคุณ : ;);););)
     

แชร์หน้านี้

Loading...