วาสนาน่ะมีแน่ครับเพราะได้ลงมือปฏิบัติ
ที่รู้สึกทื่อๆชาๆเพราะเราไปบีบบังคับมากเกินไป
ลองมีคำบริกรรมกำกับด้วยสิครับ
ถ้าคำบริกรรมชัดเจนอาการตึงๆจะหายไป
อย่าไปกลัวครับไม่มีใครตายจากการภาวนาหรอกครับ
ถามอาจารย์นิวรณ์ และผู้รู้ท่านอื่นอีกครั้งครับ
ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ไม่มีที่ไป, 11 กันยายน 2016.
หน้า 4 ของ 4
-
-
คือ คุณก็พึ่งบอกออกมาเองว่า คุณของอานาปานสติ ทำให้ ลดฝุ้งซ่าน ได้ดี
อะไรแบบนี้ เขาเรียกว่า ทำได้เองอยู่แล้ว ไม่ต้องถามจาก หนาสันติ
คนอื่น เลย ตนเองก็สามารถสรรเสริญได้ แล้วไป ยัดข้อหา ต้องให้
คนอื่นสรรเสริญ
วาสนา มีไปแล้ว แต่ ขี้ทูตกุดถัง ขุด ผลการปฏิบัติของตนทิ้ง !!
แปลกประหลาดคน
ถ้าเป็นผมนะ หาก จิตฝุ้งซ่าน แล้ว สมาทาน อานาปานสติ แล้ว
ทำได้แบบคุณนะ คือ เห็น ความฝุ้งซ่านรำงับ จิตที่มันเป็นกุศล
มันย่อมเกิด ปิติ ....อาการปิติมีร้อยแปดพันเก้า เอาพื้นๆ เช่น
ตึงปาก ตึงคอ ตีพั๊บๆ ขนลุก ขนชัน ผมจะรีบ นมสิการ โพชฌงค์7
โดยทำการระลึก ปิติ เกิด แล้วก็ดับ
ไม่ใช่ไปกลัว ปิติ กลัวเป็น ผี เป็น สาง มาเกาะ ทั้งๆที่ มันเป็น ปิติ
นี่ถ้า นมสิการปิติ โดยไม่เจตนาจงใจ ยกขึ้นเป็น โพชฌงค์7ได้
จะได้ ปัสสัทธิ กายปัสสัทธิ จิตปัสสัทธิ เห็นการสลัดคืนจิต
เพราะมี อุเบกขาในสัพสังขาร และ จิต ทิ้งจิตลงไปแล้ว เจริญ
อานาปานสติเต็มรอบของการเจริญ ก็จะ ภาวนาต่อ
แต่ คนมันโง่ มันเที่ยวไปชิงสุกก่อนห่าม พอเห็นอะไรไหวๆ ก็
อาจจะไปโน้นนนน กลัว ผีสาง กลัวเจ้ากรรมนายเวร โดนพวก
ฮา มันหลอกต้มเอาเงิน เอาทอง
แต่ คนมันโง่ ไม่ยกโพชฌงค์7 แล้ว ส ใส่ เกือก ลงไปบริกรรม
หาสันติ อะไร ในเมื่อ อานาปานสติหากภาวนาได้ ปิติ เขามี
แต่จะ ทำให้ พ้น วิตก วิจาร ขึ้นสมาธิไม่มีวิตกวิจาร ไปเรื่อยๆ
ภาวนาจนตัวจะลอย จิตลอย ดัน ไปเที่ยว ฟังคนอื่น(ก็หนาสันติ อย่างผม นี่แหละ) ไม่เอา
ผลการภาวนาของตนเป็นใหญ่ พอเขาพูดนั่นพูดนี่ แค่ คนละภาษา
คลละบัญญัติ ก็สำคัญว่า ตัวเองปฏิบัติไม่ได้ ........โง้ง ขนาดนั้นก็
ไม่ต้องภาวนาหลอก ฮับ -
เน้นอีกที หน่า ฮับ
อานาปานสติ เป็น สมาธิที่ความคิดแทรกไม่ได้
ดังนั้น
เวลาทำ อานาปาสติถูกส่วน จิตจะไม่มี " วิตก วิจาร "
จึงเกิดการ ลัดไป "ปิติ สุข เอกัคคตา" ด้วยอำนาจกุศล
ทั้งนี้เพราะ อานาปานสติ เป็นการ ระลึก กองสัญญาเกิดดับ
เมื่อตามเห็น สัญญาเกิดดับ วิตก วิจาร จึงไม่มี
อานาปานสติ ที่ไปบริกรรม จับตั้งจุด ตั้งต่อม อันนั้น เป็น เรื่องกสิณ เรื่องฝึกฌาณ -
อานาปานุสสติต่างกับอานาปานสติอย่างไรคับผมสงสัยคับ
-
ถ้าจะ สู้ต่อ
เวลาเห็น ปิติ อย่าไปกลัว กุศลจิต จะกลัวทำไม ให้นมสิการ เสพให้มากๆ (กำหนดรู้ ปิติ จิตสังขาร เกิด ดับไป ก็สิ้นเรื่อง )
แต่ไม่ใช่ไปเสพ ปิติ ....ให้เสพ จิตที่มัน คลิ๊ก ลงอานาปานสติ ได้
ทีนี้ อย่าวางจิต จะเอา สุขสัญญา .... ปิติ มันจะกำเริบ พอปิติกำเริบ จิตจะ
ตกไปสู่ วิตก วิจาร เพราะ ลืม เหตุ(อานาปานสติ)
พอไม่เน้น สุขสัญญา จะค่อยๆ เห็น ปิติ พึ๊บพับ แต่เป็น นิรามิสสุข นั้นมีอยู่
ตอนโรมรันพันตู จะข้าม สุข(มีอามิส) ไป ปัสสัทธิ(ไม่มีอามิส) มันจะมี
สภาวะธรรม แส่ซ่านใน รูปสัญญา นามสัญญา ที่พยายามดึงให้ไป วิตก วิจาร
ให้กำหนดรู้ลงเป็น การเห็น นานัตสัญญา เห็นอาการไหวๆ ที่พยายาม
ดึงจิตเราไปให้ค่า ไปถามหา ไปบัญญัติชื่อเรียก
พอภาวนาโดยไม่ต้อง บัญญัติว่า กำลังรู้อะไร ข้าม อามิส ข้าม นานัตตสัญญาได้
ปิติ จะมีมากกว่าเดิม แต่ ไม่ทำให้ไป สาระวนกับ ปิติ จิตจะข้ามไป เฉียดฌาณ3 4
และอาจจะ โคจรไป 5 6 7 8 หรือ 9 แล้วแต่ว่า จะกำหนดรู้ อัสมิมานะ ที่มันจะ
คอยยุแหย่ หรือไม่
ถ้า ภาวนาอานาปานสติ มาเห็น อัสมิมานะ เนืองๆ ได้ จะเรียกว่า ข้ามฝากตาย
ส่วนจิตจะเป็น ฌาณ ฮา เฮีย อะไร ชั่งโคตรพ่ โคตรแม มัน ของเด็กเล่น !!! ( แต่
ถ้ามันกำเริบ ดึงจิตไป มันเล่นเอา ตาย หรือไม่ก็ แผ่สองสลึง หน่าฮับ )
ปล.ลิง ที่เล่าไปนั่น ยังไม่ถึง การกำหนดรู้ปล่อยวางจิต การสลัดคืนจิต นะ ยังมีอีกเยอะ
เป็น เยอะ ที่ไม่ใช่ว่าจะต้อง ทำอะไร ยังไง ท่าไหน .....มันเป็น ความเยอะ ที่หาก
เพียรภาวนาอยู่ มีปิติเป็นตัวยืนโรงน้อมไปโพชฌงค์7 มันก็ ใกล้ แค่กระดิกนิ้ว -
มีสระอุกับไม่มีสระอุครับ
แหะๆ
ล้อเล่นครับ
อาณาปานสติ น่าจะแปลว่า มีสติรู้กองลมทั้งมวลในกายครับ
อาณาปานุสติ น่าจะแปลว่า รู้กองลมทั้งมวลในกายเป็นอนุสติครับ
คำนึงเป็นนามครับ
คำนึงเป็นกิริยาครับ
ครับ
เดานะครับ
5555+ -
แล้ว..อย่าลืมนะ
เราไม่ได้ ภาวนา เพื่อให้อะไร อะไร มันเที่ยง
เราจะ ภาวนาเพื่อ อาศัยระลึก เห็นความไม่เที่ยง
ดังนั้น ภาวนาอานาปานสติ แล้ว เกิดปิติได้ ก็คือ ภาวนาได้
แต่แล้ว พอตื่นจากนอน แทนที่จะเห็น การระลึกได้ในการมีอยู่
ของลมหายใจ ก็กลับไปเห็นกาย
อันนี้ อย่ามัว ซื่อบื้อ ร้องห่ม ร้องไห้ เราคลาดจาก อานาปานสติ แล้วหนอ
ให้ยกพิจารณาไปเลย ปฏิปทาทุกอย่าง ไม่เที่ยง !!!
ให้กำหนดรู้ ปฏิปทาทุกอย่างแปรปรวนเป็นธรรมดา ไปเลย
ถ้ายังมี มิจฉาทิฏฐิอยู่ ก็ จะฟูมฟาย อะไรๆ ก็ไม่เที่ยง งั้นกู มะทำ
ถ้าเป็น สัมมาทิฏฐิ จะร้องอูหู ของเห็นได้ยาก เอามายกเห็นได้
ยิ่งเห็น ยิ่งพรากออกจาก กองขันธ์ ยิ่งห่างจากโลก งั้นเรา ต้อง
เร่งใน ปฏิปทาเหล่านั้น แล้ว กำหนดรู้ทุกอย่าง (โดยหลักการ แค่ 2ปฏิปทาพอ) -
ขอบพระคุณอาจารย์มากครับ
-
สังเกตการเกิดกาย ที่จิต
สังเกตอาการ ตื่นปุ๊บ เห็นจิตหมาย มีกายขึ้น
มีภพจิตเคลื่อนสู่ภพ สังเกตได้มันเหมือนกันหมด รูป เสียงกลิ่นรส ธรรมารมณ์ ร้อนเย็น อ่อนแข็ง ตึงไหวนิมิต บัญญัติ กิเลส รูปนาม เหล่านี้มันเกิดกับจิต มันแปรปรวน บังคับไม่ได้ ถนัดเห็นกายก็สังเกตกาย ไม่ต้องไปดูหลายช่อง สังเกตช่องเดียว จิตเคลื่อนสู่ภพเกิดกาย ภพน้อยภพใหญ่ ละเอียดหยาบ เกิดดับ ที่จิตกับจิต ดูกายจึงเห็นจิต เห็นกายเพื่อทำลายความมั่นหมายว่ามีกายตนที่เที่ยงแท้ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน การภาวนาจึงเป็นทางเดินคนเดียว มรรคของพุทธองค์มีอยู่ เพื่อทำตนให้เป็นที่พึ่งได้ -
ไปลองมายังจั๊บ จขกมู้
ให้มันเกาะปาก เกาะคอ เกาะลิ้น ลูกตา
แข้ง แขน ขา เส้นจี้ ม้าม ตับ ไส้ พุง
หรือ การเกงที่นุ่งปิด
คอแห้ง น้ำลายไหย น้ำตาไหล แห้งกรัง
ตาจะบอด ยิบยับๆ ไปทั่วกาย อย่าให้เกิน
กายนครสกลมหาปรินายก
ซึ่ง มันจะน่ารำคาญมากกกก ถ้าผู้ภาวนา
กำหนดรู้ทุกข์ แล้วมีทางสองแพร่งให้เลือก
เดิน คือ หาที่พึ่ง กับ หาอุบายนำออก แต่
ดันไม่เปนพุทธะ หาคนอื่นถามว่า เปนอะไรจั๊บ
ถ้าเปนพุทธ กำหนดเหนทุกข์ แล้วหาอุบายนำออก
มันจะเกิดการเฝ้นธรรม ที่สงบ สงัด จิตเกิดปิติ
จิตย่อมเกิด สุข เปนองค์ธรรม ดันไม่ไปกำหนด
เหนสุข อันเปนธรรมรำงับ มีปิติเปนอาพาธ
ที่นี้ ถ้าไปนมสิการสุขสัญญา ก้จะอาพาธเพราะ
สุขอีก ตัวเบา จิตเบา ปิติมันอาพาธแทรกจิต
กระตุกตกหน้าผา ตกต้นไม้ รถคว่ำตาย อีก
ดังนั้น ช่วงที่เฝ้นธรรม มีปิติเปนเครื่องหมาย
ห่างๆ ให้กำหนดรู้ เวทนา3 เพื่ออนุเคราะห์
เหนความดับของจิตสังขาร มันก้จะอ้อ ปล่อย
มันโชย มันก้มีอุเบกขา เหนอุเบกขาเกิดดับ
ก้อ้อ ปัสสัทธิ ธรรมไม่มีอามิส ไม่พาดพิงอารมณ์
ไม่ไหลไปตามขันธ์ พวงดอกไม้แห่งมาร มีอยู่
ที่นี้สนุกแล้ว หายใจอยู่ก้รู้ ไม่หายใจก้รู้
เพราะ มันเปนเรื่องของ กองขันธ์ มันมี
ได้มาตามวิบาก จะปิติคอแห้ง ปิติตาแข็ง
ปิติเม้มปาก ตัวล๊อค ล้วนแต่ความโง่ในกาล
ก่อนๆ ที่เคยพลาดไปจับมั่นคิดว่าเปนทาง
(ยังไม่รวมเหนโน้น เหนนี่ ไปโน้น ไปนี่ ที่มัน
จะแฉลบ มาชักชวร เน้น ชวร)
มาตรงนี้ ถ้าเปน สาวก สัททามั่นคง พลั๊ว! -
มือใหม่ ดัดลูกศร อานาปานสติ ให้ ต้องตามตำรา
ตามตำรานั้น การไขว้ สัมปชัญญะ ในการภาวนา อานาปานสติ
เอาเข้าจริงๆ จะไม่ใช่ไปรู้ กายเนื้อ
แต่จะไขว้ให้ สม่ำเสมอ ทำให้มากๆ ในการ ระลึกถึง อาการ6ของลม
หายใจ(เข้า ออก เข้าสั้น ออกสั้น เข้ายาว ออกยาว) โดยเป็นอาการ
ของสัญญาขันธ์เกิดดับ(จิตะจะเป็นหนึ่ง แม้นสัญญาต่างกัน แต่เป็น
ตัวแทน ยังกิญจิ เกิดดับ)
ถ้าจิตแฉลบออกไปจาก การรู้ลม ไม่มีการไขว้ แล้วไปเห็นปิติ สุข เอกัคคตา
อุเบกขา ซึ่งจะอาศัยกาย สังเกตลงไปเลย แป๊ปเดียว จะเกิดความฝุ้งซ่าน
รำคาญ หรือเกิด ธรรมกระซิบ ...อย่าไปเชื่อมัน .....ให้ระลึกอย่างเดียวว่า
ลืม อานาปานสติ ตกจากกรรมฐานไปแล้ว
หากไขว้กลับมารู้ สัญญา6(ของลมหายใจ) จิตจะไม่ใช่แค่เห็น สัญญาเกิดดับ
แต่จะเห็นลงไปด้วย จิตบ้าง มโนบ้าง ปัณฑระบ้าง วิญญาณบ้าง เป็น สิ่งเกิดดับ
อนิจจสัญญา อนัตตสัญญา จะหมายเอาที่เห็น ความไร้สาระของจิต เพราะ
เป็นธรรมชาติที่เกิดดับ จิตจะเริ่มสำรอก ปล่อยวาง เพราะ ญาณสัมปยุตติ
ไม่ใช่ด้วยการ จงใจ จำจดคำ ไปแทนการเห็นวิเศษ(วิปัสสนา)
พอเห็น อนิจจสัญญา อนัตตาสัญญา ได้หนหนึ่ง ปีนึงอาจจะเห็นได้หนเดียว
แม้นว่าจะภาวนา อานาปานสติ ทั้งวัน ....จะเริ่มเข้าใจ นักวิปัสสนาที่ปรารภ
ว่า จิตถึงฐาน ฐีติจิต บ่อกสิณ คืออะไร ไม่มากก็น้อย [ ปัญญาไม่เกิดในภพ
เวลาเห็นธรรม ไม่มีหรอกมันจะ บัญญัติ ฮา อะไรได้ แต่ผู้ภาวนาอยู่ ย่อมรู้ว่ารู้ ]
หากเห็น จิตพรากออกจากขันธ์ จิตละวางจิต จิตละวางขันธ์ จิตรู้ถึงฐานได้
จะเริ่ม วิปัสสนาเป็น แยกรูปแยกนามเป็น ได้แค่ วิปัสสนาญาณขั้นที่1
ให้ภาวนาไปต่อ ทำให้มากๆ อย่าชิงสุกก่อนห่าม อย่ารีบร้อน ฮานาก้า
ไม่งั้น เจอ สันติ kuไปกิน -
ปล.ลิง : นักภาวนาอานาปานสติ จะต้องไปเห็น อนิจจสัญญา อนัตตาสัญญา
เพราะว่า ลมหายใจ มันมาแต่ไหนไม่รู้ รู้แต่ว่า หากวิบากรรม(ทั้งดี ชั่ว และกลางๆ)
ยังให้ผล ก็ หายใจพงาบๆ ไม่เลิก และจะไม่เห็น ทุกข์ ต้องอ้อมไปเห็น อนิจจา
วัตสังขารา ..................อนัตตาติ
หรืออีกแง่ หากภาวนาอานาปานสติ ไขว้ได้ตลอด จิตจะอาศัย องค์ฌาณตัวใดตัว
หนึ่งมี ปิติเป็นต้น เป็นสิ่งแสดง การเกิด การดับ ....ถ้าเป็น พวกพุกกาพุง ก็จะต้อง
เห็น เอกัคตาเกิดดับ จะมา จิตเที่ยง หนาสันติ ไม่ได้...
กินอยู่ ประชุมอยู่ ทำงานอยู่ ลืม กรรมฐานไป ขณะลมหายใจเดียว..........โง่กะหมาตาย !! -
แปลกนะคนที่ใช้ชื่อ ไอ้นก หายหัวไปเลย หึหึ
คนที่ไม่ถูกกับตานพฯมีไม่กี่คน
นวลไม่ได้ใช้ชื่อนั้น แล้วใครมันมาเสี้ยม
อยากรู้มันอยุ่ไหน ไอ้ควาย
อารมดีอยากด่า หุหุ -
คุณนวลปรางโพสข้อความซ้ำกัน2กระทู้เลยแฮะเกิดอะไรขึ้นน้อ
อยากรู้ๆ -
-
อ่อ ขอบคุณครับ
ตอบไวดีจัง -
ขอบพระคุณอาจารย์มากครับ
คือผมไปได้ฟังมาว่าถ้าเพ่งลมหายใจ มันผิด บางคนเคร่งเครียดถึงขนาดป่วย ปวดหัวเพราะเพ่งลมหายใจ
ก็เลยไม่มั่นใจว่าลักษณะอาการรู้ลมหายใจที่ตัวเองทำอยู่นี้ถูกหรือเปล่า คือกลัวว่าจะปฏิบัติผิดเสียเวลาเปล่า ไกลออกจากฝั่งไปเรื่อยน่ะครับ
บางท่านก็ว่าเป็นกรรมฐานของมหาบุรุษ ก็เลยไม่มั่นใจน่ะครับ -
ก้ ลำบากหน่อย อานาปานสติ ตามพระสูตร จะ
เปน อาการหมายรู้ ลักษณะลม
แต่ ที่มีสอนกันกลาดเกลื่อน ล้วน
แต่ไปพูดให้กลายเปน เพ่ง จ้อง
สัญญาขันธ์ การระลึกได้
กับ
รูปขันธ์ เพ่ง จ้อง
มันต่างกัน
หากใช้ สัญญา จะถูกส่วน
แต่ นักปฏิบัติจะไม่กล้าทำ เพราะ
ไม่เหมือนที่ ครูต่างๆเขาสอน
ครูบางคนเลยแก้ ให้ บริกรรม
ก้ดัน จับบริกรรม จนเปนการเพ่ง
ไม่ให้หายไปอีก
ก้ต้องไปลอง สมาทานเอา
อย่าลืมก้แล้วกัน แม้นจะบอกว่า
ลืมไปจังหวะลมหายใจเดียว ตาย
แบบสุวรรณสาม แน่นอน
แต่กระนั้นเราก้ไม่ได้ยอกว่า
ให้ไป ทำให้มันเที่ยง
ของจริง ลืมบ้าง รู้บ้าง
ที่ลืมบ้าง รู้บ้าง ก้นั่นแหละที่ต้อง
การให้ตามเหน ความไม่เที่ยง
พึ่งธรรม พึ่งธรรม กำหนดรู้ธรรม
ธรรม คือ ความไม่เที่ยง
อย่าไปดัดแปลง ทำให้มันเที่ยง
แปปเดียว ก้ เหนได้แล้ว ตัณหา พาเหน
เที่ยง มันหลอก และ พ้นการหลอก เนี่ยะ
มันไม่ได้ยาก
ที่ยาก เพราะไปพยายาม ทำให้เที่ยง เพราะ อวิชชา -
ขอบพระคุณอาจารย์อีกครั้งครับ
-
เอาไปลอง น๊า
ถ้าทำถูก จะใข้ ภูมิจิตปรกติมนุษย์
ไม่ต้องดัดแปลง ทำอะไรขึ้นมา
แต่ พอว่างจากการงาน หน้าที่ ก้
ทำตามรูปแบบ ไขว้เข้ามา
เปนการไขว้เข้ามา ที่มา สับหว่าง อานาปานสติ
จิตจะเปลี่ยน จิตจะ วิวัฏ ด้วย รู้เหตุ รู้ผล
รู้กาละ เทสะ
ไม่ใช่ การทำตามๆกันไป
ถ้าเปน อาการทำตามๆกันไป นั่นแหละ
ควรจะสังเกต อาการไปกันใหญ่
ตรงนี้ต้องไม่ลืมว่า
อานาปานสติ เปน กรรมฐานของ มหาบุรุษ
จึงมีปรกติ เดินคนเดียว
สติ และ สัมปชัญญะ บริบูรณ์ ก้ พินาไปสิ
บันเทิงไม่เปน ก้ไม่ต้องฝืน
หน้า 4 ของ 4