"ถึงเวลาให้ทานก็ให้ทาน ตามกำลังของตน ไม่เดือดร้อน "อนัโมทนาคาถาพระธรรมเทศนาหลวงพ่อสดวัดปากน้ำ

ในห้อง 'พระไตรปิฎก' ตั้งกระทู้โดย หลับอยู่, 24 พฤษภาคม 2015.

  1. หลับอยู่

    หลับอยู่ http://www.pramontien.com/shop.php?shop_no=185

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    928
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +291
    8 มกราคม 2498
    นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส. (3 หน)
    <TABLE style="WIDTH: 263px; HEIGHT: 117px"><TBODY><TR><TD>ยถา วาริวหา ปูรา</TD><TD>ปริปูเรนฺติ สาครํ</TD></TR><TR><TD>เอวเมว อิโต ทินฺนํ</TD><TD>เปตานํ อุปกปฺปติ</TD></TR><TR><TD>อิจฺฉิตํ ปตฺถิตํ ตุมฺหํ</TD><TD>ขิปฺปเมว สมิชฺฌตุ</TD></TR><TR><TD>สพฺเพ ปูเรนฺตุ สงฺกปฺปา</TD><TD>จนฺโท ปณฺณรโส ยถา</TD></TR><TR><TD> </TD><TD>มณิ โชติรโส ยถา.</TD></TR></TBODY></TABLE>


    ณ บัดนี้ อาตมภาพจักได้แสดงธรรมีกถา ใน อนุโมทนาคาถา แก้ด้วย “ยถาฯ” ที่ พระภิกษุทำภัตตานุโมทนา กับอุบาสกอุบาสิกาอยู่เนืองนิตย์อัตรา “ยถาฯ” นี้เป็นมคธภาษา หาเป็นสยามภาษาไม่ วันนี้จะแปลความเป็นสยามภาษาตามมคธภาษาให้ได้ความเป็นสยาม ภาษาสืบไป


    เริ่มต้นแห่งอนุโมทนาคาถา ตามวาระพระบาลีว่า ยถา วาริวหา ปูรา ปริปูเรนฺติ สาครํ

    ห้วงน้ำอันเต็มย่อมยังมหาสมุทรสาครให้บริบูรณ์ได้ฉันใด

    เอวเมว อิโต ทินฺนํ เปตานํ อุปกปฺปติ
    ทานที่ท่านได้ถวายแล้วในโลกนี้ ย่อมสำเร็จประโยชน์แก่ท่านผู้ละโลกนี้ไปแล้ว ได้ฉันนั้นนั่นเทียว
    อิจฺฉิตํ ปตฺถิตํ ตุมฺหํ ขิปฺปเมว สมิชฺฌตุ
    ท่านปรารถนาไว้แล้วอย่างใด ตั้งใจไว้แล้วอย่างไร ขอจงสำเร็จตามปรารถนาแก่ท่านโดยฉับพลันเถิด
    สพฺเพ ปูเรนฺตุ สงฺกปฺปา
    ความดำริของท่านจงเต็มเปี่ยมเป็นอันดี
    จนฺโท ปณฺณรโส ยถา
    เหมือนพระจันทร์ วันปัณณรสี
    มณิ โชติรโส ยถา
    เหมือนแก้วมณีอันมีแสงสว่างไสวเป็นอันดี นี้เป็น ภัตตานุโมทนาคาถา


    ห้วงนี้ที่เต็มเมื่อเต็มมากขึ้นเป็นลำดับมา จนกระทั่งเต็มห้วยหนองคลองใหญ่น้อยเป็น ลำดับขึ้นมา ท่วมทุ่งท่าต่อสายเหมือนดังกับน้ำในประเทศไทยนี้ เต็มเปี่ยมหมด ท่วมไปหมด เมื่อถึงน้ำลดก็ไหลลงไป ที่ดอนไหลลงไปสู่ที่ลุ่ม คลองเล็กไหลไปอยู่คลองใหญ่ คลองใหญ่ ก็ไหลไปเป็นลำดับไป ลงสู่แม่น้ำทั้ง 5 สาย แม่น้ำทั้ง 5 ไหลลงสู่มหาสมุทร ไปเต็มเปี่ยม อยู่ในมหาสมุทรโน้น ไม่ได้มีคลาดเคลื่อนไปทางใดทางหนึ่ง จะล้นไหลไปข้างหนึ่งข้างใด ไม่ได้
    แม้เป็นไปในอากาศ ก็ไปเป็นเมฆจับอยู่ในพื้นท้องฟ้า พอถึงเวลาตก ไหลลงไปอีก ลงไปสู่มหาสมุทรหมด ไม่ได้เคลื่อนคลาดฉันใด ท่านอนุโมทนาทานที่ท่านให้แล้วแต่ มนุษย์โลกนี้ ทานที่ท่านให้แล้วแต่โลกนี้ย่อมสำเร็จประโยชน์แก่ท่านผู้ละโลกนี้ไปแล้ว ฉันนั้น นั่นแหละสำเร็จประโยชน์จริงๆ ไม่มีปัญหา

    อิจฺฉิตํ ปตฺถิตํ ตุมฺหํ ขิปฺปเมว สมิชฺฌตุ
    ผลที่ท่านปรารถนาแล้วและตั้งใจไว้ จงสำเร็จแก่ท่านโดยพลันเถิด
    สพฺเพ ปูเรนฺตุ สงฺกปฺปา
    ขอความดำริทั้งปวงจงเต็มเปี่ยมเป็นอันดี เหมือนพระจันทร์วันปัณณรสี เหมือนแก้วมณี โชติรส ส่งแสงสว่างเป็นอันดี นี่เป็นคำพระภิกษุเถรานุเถระได้ทำภัตตานุโมทนาเป็น มคธภาษา ขยายความเป็นสยามภาษาได้ความดังนี้

    เมื่อจบ “ยถาฯ” แล้ว ท่านก็ให้ “สพฺพีฯ” นี่ก็เป็น สามัญญานุโมทนาคาถา สพฺพีติโย วิวชฺชนฺตุ แปลเป็นสยามภาษา ขอจัญไรทั้งปวงจงระเหิดหายไป
    สพฺพโรโค วินสฺสตุ ขอโรค ทั้งปวงจงหาย มา เต ภวตฺวนฺตฺราโย ขออันตรายอย่าเกิดมีแก่ท่านเลย
    สุขี ทีฆายุโก ภว
    ขอ ท่านจงเป็นผู้มีสุข มีอายุยืนเถิด
    ท่านก็ว่าครั้งที่ 2 สพฺพีติโย วิวชฺชนฺตุ ขอจัญไรทั้งปวงจง ระเหิดหายไป
    สพฺพโรโค วินสฺสตุ
    ขอโรคทั้งปวงจงหาย
    มา เต ภวตฺวนฺตฺราโย ขออันตราย อย่าเกิดมีแก่ท่านเลย
    สุขี ทีฆายุโก ภว ขอท่านเป็นผู้มีสุข มีอายุยืนเถิด
    ครั้งที่ 3 สพฺพีติโย วิวชฺชนฺตุ ขอจัญไรทั้งปวงจงระเหิดหายไป
    สพฺพโรโค วินสฺสตุ
    ขอโรคทั้งปวงจงหาย
    มา เต ภวตฺวนฺตฺราโย
    ขออันตรายอย่าบังเกิดมีแก่ท่านเลย
    สุขี ทีฆายุโก ภว
    ขอท่านจงเป็นผู้มีสุข มีอายุยืนเถิด เมื่อครบ 3 ครั้งแล้ว ในตอนหลัง
    อภิวาทนสีลิสฺส นิจฺจํ วุฑฺฒาปจายิโน จตฺตาโร ธมฺมา วฑฺฒนฺติ อายุ วณฺโณ สุขํ พลํ แปลเป็นสยามภาษาว่า ธรรมทั้ง 4 ประการ คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ย่อมเจริญแก่บุคคลผู้มีอภิวาทกราบไหว้เป็นนิตย์ ย่อมเจริญแก่ บุคคลผู้อ่อนน้อมต่อผู้หลักผู้ใหญ่เป็นนิตย์ นี่ธรรม 4 ประการนี้สำคัญนัก เป็นธรรมประจำ โลก ประจำธรรม เป็นธรรมประจำธรรมด้วย เป็นธรรมประจำโลกด้วย ท่านให้พรทุกวัน

    ยถาฯ สพฺพีฯ ให้ทุกวัน แต่ว่าเราจำกันไม่ค่อยได้ พรเหล่านี้ ไปลืมๆ เสีย หรือไม่รู้มคธภาษา เราเป็นไทย แปลเป็นสยามไม่เข้าใจ ไม่เล่าเรียนศึกษา เพราะเหตุนั้น วันนี้ควร เอาใจใส่ แปลให้ท่านทั้งหลายเข้าเนื้อเข้าใจว่า อภิวาทนสีลิสฺส นิจฺจํ วุฑฺฒาปจายิโน จตฺตาโร ธมฺมา วฑฺฒนฺติ อายุ วณฺโณ สุขํ พลํ ว่าธรรม 4 ประการคือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ธรรม 4 ประการนี้ ย่อมเจริญแก่บุคคลผู้กราบไหว้เป็นนิตย์ หรือย่อมเจริญแก่บุคคลผู้มี ปกติอ่อนน้อมต่อผู้หลักผู้ใหญ่เป็นนิตย์ ธรรม 4 ประการนี้สำคัญนัก


    อายุ นั้นคือ อายุยืน เป็นอายุขัย ไม่ตายในปฐมวัย มัชฌิมวัย ใครๆ ก็ชอบ ใครๆ ก็ ปรารถนา

    วรรณะ ผิวพรรณ วรรณะไม่ต้องตบแต่ง งดงามอยู่เนืองนิตย์ ตั้งแต่เด็กเล็ก หนุ่มสาว แก่เฒ่าชรา มีความเจริญที่ตน มีความสวยงามอยู่เนืองนิตย์ เมื่อมีความสวยงาม อยู่เนืองนิตย์ เมื่อมีความสวยอยู่เนืองนิตย์อัตรา เพราะบุญกุศลราศีที่ได้สั่งสมอบรมไว้ เจริญอยู่เป็นนิตย์ ไม่เสื่อมทราม เรียกว่า วรรณะ

    สุขะ มีความสบายกายสบายใจใน อิริยาบถทั้ง 4 นั่ง นอน ยืน เดิน นั่งก็เป็นสุข นอนก็เป็นสุข หลับก็เป็นสุข ตื่นก็เป็นสุข ฝันก็ไม่ฝันร้าย ฝันแต่ดี เป็นที่เอิบอิ่มของใจ มีความสุขอย่างนี้

    พละ มีกำลัง จะไปทางบก ทางน้ำ ทางอากาศก็ตาม จะใช้กำลังกายประกอบกิจการงาน ก็มีกำลังกายเพียงพอ จะใช้ กำลังวาจา บังคับการงาน ก็มีกำลังวาจาพอ หรือจะโต้ตอบ โต้ปัญหาอย่างหนึ่งอย่างใด ก็มีกำลังทั้งนั้น กำลังใจเล่า ก็แข็งขัน ไม่ทุพพลภาพ แข็งขันอยู่เสมอไป จะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่มีใจโอดไม่ลดละ ทำได้สำเร็จทุกประการ อย่างนี้เรียกว่ากำลังใจดี เขาเรียกว่ากำลังใจดี และกำลังกายอาจจะทรงอยู่ได้ด้วยกำลังใจไม่ดีละก้อ แม้แต่เป็นเพียงกะลาโขกเท่านั้น เข้าใจว่างูเห่ากัดสลบคาที่ ไม่ใช่งูเห่าหรอก กะลามันโขกเอาเท่านั้น มีกำลังเรี่ยวแรงขึ้นแล้ว เพราะกำลังใจไม่เสีย กำลังใจมันดี แม้ไฟจะไหม้จะเป็นอันตรายอย่างหนึ่งอย่างใดเกิดขึ้น กำลังใจดีละก้อ ไม่เสียของเท่าใดนัก แก้ไขได้ทันที ถ้ากลัวหรือใจเสียละก้อ เสียหายหมด ทุกสิ่งทุกประการ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. หลับอยู่

    หลับอยู่ http://www.pramontien.com/shop.php?shop_no=185

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    928
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +291
    เหตุในพร 4 ประการ คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ที่จะเจริญแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ต้อง อาศัยเคารพ อภิวาท กราบไหว้, เคารพ อภิวาท กราบไหว้นั้นอย่างไร เคารพนี้เป็นตัว สำคัญนัก

    เมื่อเราปฏิบัติพุทธศาสนา เราจะต้องเคารพพระพุทธศาสนาจริงๆ เคารพจริงนี้ ทำอย่างไร ทำไม่ถูกเสียด้วย นี่แหละสำคัญนัก เพื่อจะให้พระพุทธศาสนาเจริญต้องเคารพ กันจริง หากว่าเป็นภิกษุก็เป็นภิกษุกันจริง ไม่ทำพิรุธเสียหายแต่อย่างหนึ่งอย่างใด

    เรื่อง สมาธิ เรื่องปัญญากลั่นกล้าอยู่ เมื่อเป็นสามเณรก็ต้องเคารพในหน้าที่สามเณรจริง หน้าที่ ของสามเณรมีศีล 10 ศีล 10 ไม่ขาดตกบกพร่องจริง เมื่อเป็นอุบาสกก็ต้องเคารพในหน้าที่ อุบาสกต้องมั่นอยู่ในไตรสรณาคมน์ ศีล 5 ศีล 8 ตามหน้าที่ตามปกติ ก็ศีล 5 เบญจศีล มีองค์ 5 ประการ
    ปาณา อทินนา กาเม มุสา สุรา

    ถ้าวัน 8 ค่ำ 15 ค่ำ วันธัมมัสสวนะ ก็มีศีล 8 ประจำตัวอยู่ไม่ขาดสาย นี่เคารพในหน้าที่อุบาสกอุบาสิกา หน้าที่บริจาคทาน รักษาศีล เจริญภาวนา หน้าที่บริจาคทาน รักษาศีล เจริญภาวนา

    ถึงเวลาให้ทานก็ให้ตามกำลังของตน ไม่เดือดร้อน
    ถึงเวลารักษาศีล ก็รักษาศีลตามกำลังของตน ซื่อตรงต่อศีล จริงๆ ไม่คดโกงต่อศีล ไม่อวดดีต่อศีล เคารพในศีลอย่างมั่นคงทีเดียว เมื่อเจริญภาวนา ก็ เคารพในภาวนาอย่างมั่นคงทีเดียว ทำให้เห็นเป็นปรากฏทีเดียว ถ้าไม่เห็นเป็นปรากฏก็ติเตียน ตัวทีเดียว ว่าตัวไม่เป็น ว่ากล่าวเอาทีเดียว ติเตียนทีเดียว ดังนี้ หน้าที่ของอุบาสกอุบาสิกา เมื่อมาถึงที่ประชุม ภิกษุสามเณรก็เคร่งครัดในศีล สมาธิ ปัญญาของตน อุบาสกอุบาสิกาเล่า ก็ต้องเคร่งครัดในหน้าที่ของตน เมื่อจะให้ทานก็ระลึกถึง จาคานุสสติ ระลึกถึงการให้ทาน

    เมื่อจะรักษาศีลก็ระลึกถึง สีลานุสสติ ถือศีลของตนไว้ ถือศีลให้มั่นคง อย่าส่งใจไปในทางอื่น เมื่อเจริญภาวนาก็ทำภาวนาให้เกิดปรากฏขึ้น อย่าส่งใจไปในที่อื่น เมื่อมีเป็นขึ้น เข้าที่ ประชุมก็ระลึกถึงตัวไว้ให้มั่นคง อย่าลอกแลก ไม่ง่อนแง่น ไม่แคลนคลอน ทำภาวนาให้เห็น แจ่มอยู่เสมอ ใสเป็นกระจก วันอื่นมีธุระน้อย วันอื่นมีธุระมาก แต่วันพระเราสละแล้ว ที่จะ จำศีลภาวนา ต้องมั่นอยู่ ภาวนาให้เห็นให้เป็นปรากฏ ใจจ้องอยู่ในภาวนา ส่องให้เป็น กระจกส่องเงาหน้า ดูกันอยู่เสมอ แจ่มใสเป็นพระจันทร์ ธมฺมํ ซึ่งธรรม อาทาสตลํ วิย ดุจดัง พื้นกระจก สว่างเหมือนกระจก ใจจรดในพื้นใสนั้น เมื่อเข้าที่ประชุมต่างทำอย่างนี้ ต่างคน ต่างตั้งใจอย่างนี้ นี่พวกเจริญภาวนาเป็นแล้ว พวกไม่เป็นก็ตั้งใจให้แน่แน่ว เราจะทำให้มีให้ เป็นบ้าง ใจจรดอยู่ที่หมาย ใจจรดศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ ใจหยุด ไม่หยุด เป็นไม่ยอมกัน ในที่คนมาก ในที่ประชุม ใจต้องหยุด เมื่อทำหยุดในที่ประชุมชนแล้ว กล้า เข้าไป ก็ยิ่งเจริญหนักเข้าไป ก็ยิ่งเจริญหนักเข้าไป ยิ่งว่องไวหนักขึ้น ต้องชำนาญอย่างนี้ การปฏิบัติศาสนาต้องเอาจริงเอาจังอย่างนี้ อย่าให้โลเลเหลวไหล ตัวของตัวจะเป็นที่พึ่งของ ตัวไม่ได้ นี้เรียกว่า อภิวาทนสีลิสฺส
    เคารพต่อหน้าที่ต่อศีลธรรมของตนจริงๆ นี้เรียกว่า เคารพกราบไหว้อยู่ ไม่ทำโลเลเหลวไหล ไม่เอาเรื่องอื่นเข้ามาแทรกแซง กลัวจะเป็นอันตราย ต่อศีล กลัวจะเป็นอันตรายต่อจาคานุสสติ ระลึกถึงทาน กลัวจะเป็นอันตรายต่อศีล การรักษา กาย วาจา ใจ ให้เรียบร้อย กลัวจะเป็นอันตรายต่อการเจริญภาวนา หรือไม่ฉะนั้น ไม่ส่งใจ ไปในที่อื่น ส่งใจไปในพระภิกษุสามเณรเจริญสาธยายเป็นธรรม ระลึกถึงธรรมว่า เมื่อ พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่
    เวลาเข้าสู่ที่ประชุมก็เป็นอย่างนี้ ทำให้เลื่อมใสปลาบปลื้มอก ปลื้มใจ เมื่อเป็นอย่างนี้ทำได้อย่างนี้ นี่เป็นตัวอย่างอุบาสกอุบาสิกาที่ดีแท้ๆ ภิกษุสามเณร ก็จะเป็นตัวอย่างของภิกษุสามเณรที่ดี จะเป็นอายุพระศาสนา ไว้กราบเคารพบูชา ไม่ดูถูก ดูหมิ่น
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 พฤษภาคม 2015
  3. หลับอยู่

    หลับอยู่ http://www.pramontien.com/shop.php?shop_no=185

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    928
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +291
    ถ้าแม้ว่าเวลาเข้าที่ประชุมเช่นนั้น เอาเรื่องอื่นมาใส่เสีย เรื่องอะไรต่อมิอะไรมาใส่ เรื่องนี้มีแต่ครั้งพุทธกาล ไม่ใช่มีแต่ครั้งนี้ มีหญิงพวกหนึ่ง 500 คน จะรังควานพระศาสดา พระศาสดาก็อยู่ในที่ประชุม เมื่อถึงที่ประชุมนั้นแล้ว พระศาสดายังไม่เทศน์อยู่ เอาสุรา เหน็บไปในพกในพุง ซ่อนเป็นขวดเล็กซ่อนไป เมื่อมีโอกาสก็ดื่มเสีย 2 อึก 3 อึก พอหน้า ตึงๆ ชาๆ พอนานก็ดื่มเสียอีก เอาพอสมควรก็ไปคุยกับสนมพรมไพรในที่ประชุมของ พระพุทธเจ้า ไปคุยกันในที่ประชุมเพื่อจะทำลายพระศาสดา พระศาสดาก็ทรงทราบ พอ พระศาสดาจะเทศนาว่าการ พอปรารภขึ้นเทศน์พวกนั้นก็ฮาทีเดียว ร้องกัน 500 คนนั้น พระพุทธเจ้าเทศนาทำให้มืดเหมือนดังไม่มีดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ มืดตื้อไปหมด พวกเหล่า นั้นก็ตกอกตกใจ พวกเมาทั้งหลายหายเมาสร่างเมา มืดหมดไม่เห็นฟ้า ตกอกตกใจกันทีเดียว เมื่อแสดงปาฏิหาริย์เช่นนั้นแล้ว ก็แสดงให้สว่างให้ปรากฏขึ้น พวกนั้นสร่างเมาแล้ว เทศนา ทีเดียว พวกนั้นได้มรรคผลตามกาลสมัยทีเดียว ต่อหน้าพระศาสดาต้องแก้ไขอย่างนี้
    บัดนี้ปรากฏเช่นนั้น พระศาสดาเสียแล้ว ผู้ที่มีปาฏิหาริย์ปรากฏแสดงเช่นนั้นไม่ได้ พวกเราเข้ามาสู่ที่ประชุมเช่นนี้ช่วยกันรักษาเนติแบบแผนเป็นอันดี ครั้งพุทธกาลก็ยังมีพวก เขาทำร้ายพุทธศาสนาเช่นนี้เหมือนกัน เรารู้หลักเช่นนี้แล้ว ก็ไม่ใช่ใคร ในเมื่อเราเข้าที่ ประชุมกันนี้ ไม่มีความเคารพ เราก็ได้ชื่อว่าดูหมิ่นดูถูกพระพุทธศาสนา ต่อไปพวกภิกษุ สามเณร อุบาสกอุบาสิกาก็จะเข้าประชุมกันไม่ได้ ก็เสื่อมทรามไปหมด ให้ปรากฏอย่างนี้ อภิวาทนสีลิสฺส ไหว้นบเคารพบูชา ลูกหญิงลูกชายต้องไหว้นบเคารพบูชาพ่อแม่ อย่าดูถูก ดูหมิ่นพ่อแม่ สขิลวาจา ต้องเคารพครูบาอาจารย์ ไม่เคารพครูบาอาจารย์ไม่ได้ ขาด อภิวาทนสีลิสฺส หรือท่านผู้มีอุปการะคุณซึ่งเป็นบุพการี ท่านผู้ถูกอุปการะคุณเช่นนี้แล้ว ต้องตั้ง อยู่ในกตัญญูกตเวที นี้เป็นหน้าที่ของความเจริญทางพระพุทธศาสนา
    วุฑฺฒาปจายิโน อ่อนน้อมต่อผู้หลักผู้ใหญ่ผู้เฒ่าผู้แก่ ลักษณะอ่อนน้อมต่อผู้หลัก ผู้ใหญ่ผู้เฒ่าผู้แก่นั้นเป็นไฉน ผู้เฒ่าผู้แก่เรียกว่า ชาติวุฒิ แก่โดยชาติ วัยวุฒิ แก่โดยวัย คุณวุฒิ แก่โดยคุณ นี่เคารพนบนอมได้ที่ควร
    นี้ วัยวุฒิ นะ ท่านผู้มีอายุมาก มีอายุ 80-90 อายุตั้งร้อย อายุมากเช่นนี้เรียกว่า วัยวุฒิ เจริญโดยวัย ถึงอย่างไรก็ต้องได้รับความอภัยจากผู้ที่มีอายุต่ำกว่าเสมอ ทางพุทธศาสนานั้นถือกันนัก ภิกษุผู้มีอายุมาก ตั้งแต่ 3 พรรษาขึ้นไป ถือเป็นวัยวุฒิทีเดียว ล่วงล้ำ กันไม่ได้ ผิดพระวินัยหลายข้อ หลายกระทงทีเดียว ฝ่ายอุบาสกอุบาสิกาเช่นเดียวกัน ต้อง ประพฤติเช่นนั้นเหมือนกัน ตั้งอยู่ในความเคารพเช่นนั้นเหมือนกัน ถ้าว่าไม่ตั้งอยู่เช่นนั้น ติกันเป็นคนเสียหาย หญิงก็ดี เป็นคนเสียหาย ชายก็ดี เป็นคนเสียหาย ก้าวก่ายผู้ใหญ่ไม่ได้ นี่เรียกว่า วัยวุฒิ ส่วนที่หนึ่งนี้เรียกว่า วัยวุฒิ ผู้มีอายุมากกว่า
    ชาติวุฒิ นะ เกิดในตระกูลสูง ในตระกูลกษัตริย์ ตระกูลเศรษฐี ตระกูลคหบดี ตระกูล มหาศาล มีทาสมีบริวาร นั้นเรียกว่าชาติวุฒิ ชาติสูงกว่า ชาติต่ำกว่า ชาติที่ขายดอกไม้ ชาติที่ทำงานเทขยะมูลฝอย ทำงานต่ำกว่านั้น เรียกว่าชาติต่ำกว่า ดังนี้เป็นต้น ต่ำก็ต่ำเป็น ลำดับ สูงก็สูงเป็นลำดับ ให้เคารพซึ่งกันและกันดังนั้น นั้นเรียกว่าชาติวุฒิ
    คุณวุฒิ เล่า เคารพโดยธรรม ถึงจะเป็นเด็กเกิดใหม่ในวันนั้น หรือรู้จักเดียงสา หรือ ไม่รู้จักเดียงสาก็ตามเถอะ แต่ว่ามีธรรมที่มั่นคงเรียกว่า คุณวุฒิ เรื่องนี้พระพุทธเจ้าทรงตัดสิน สามเณรอายุ 7 ขวบ ได้สำเร็จพระอรหันต์ มีพระภิกษุถาม สามเณรน้อยสะอาดสะอ้าน เรียบร้อย พ่อเณรไม่คิดถึงโยมหรือ พ่อเณรไม่หิวข้าวหรือ พ่อเณรไม่คิดถึงบ้านหรือ เอามือลูบ ศีรษะเณรองค์พระอรหันต์ ลูบเนื้อ ลูบตัว ลูบศีรษะ เณรหัวเกลี้ยงมันก็น่าลูบเล่นนี่ ลูบเล่น ตามชอบใจ พระพุทธเจ้าเหลือบไปเห็นเข้า โอ! ตายจริง ท่านจับอสรพิษเข้าที่เขี้ยวแล้ว ไม่รู้ตัว จับช้างพลายเข้าที่งาแล้วไม่รู้ตัว จะตายไม่รู้ตัวแล้ว พอพระพุทธเจ้าทรงเหลือบ พระเนตรเห็นเท่านั้น รับสั่งพระอานนท์ให้ประชุมพระภิกษุสามเณรมาพร้อมกัน พระอานนท์ ก็ประชุมทีเดียว เข้าประชุมเช่นนั้น พระองค์ทรงดำรัสออกมา เมื่อพร้อมตามทรงรับสั่ง พระอานนท์ก็ทูลบอกว่ามาพร้อมแล้วพระเจ้าข้า ทรงรับสั่งว่า โอ! เราตถาคตต้องการน้ำ ที่สระอโนดาต มาชำระพระบาทสักหน่อยหนึ่ง ท่านทั้งหลาย ถ้านำมาได้ก็นำมาเพื่อเรา ตถาคต พระองค์ก็ทรงรับสั่งดังนี้ พระอรหันต์ท่านก็รู้ปัญหานี้ไม่ได้ผูกเพื่อท่าน ผูกเพื่อ สามเณรองค์นั้น ปุถุชนไม่รู้ ไม่รู้ว่าพระองค์ประสงค์อะไร จะเหาะเหินเดินอากาศไปเอา ก็ไม่ได้ จะทำอย่างไร เมื่อไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรแล้ว ก็จะทำอย่างไรกันเล่า สามเณรก็รู้ ทีเดียวว่าผูกเพื่อเรา พระอรหันต์คว้าเอาหม้อต้มกรัก คล้ายกับชาวปาดตาลละ เขาเอา กระบอกเหน็บหลังแล้ว เขาก็ขึ้นไปทำน้ำตาลบนต้นไม้นั้น คว้าเหน็บหลังเข้าได้ ก็ลิ่วไป ในอากาศทีเดียว เดี๋ยวเดียวเท่านั้นแหละ ไปเอาน้ำที่สระอโนดาตมาถวายพระพุทธเจ้าแล้ว ภิกษุผู้นั้นตกอกตกใจทีเดียว โอ! เราได้ลูบศีรษะพระอรหันต์เข้าแล้ว ตายจริง นี่ พระพุทธเจ้า มีพระชนม์อยู่ ท่านสงเคราะห์เราหนา ถ้าท่านไม่สงเคราะห์เรา เราก็จะตกนรก แย่ทีเดียว ไม่ต้องไปสงสัยละ นี่พระศาสดาทำการสงเคราะห์มาเช่นนี้
    พระศาสดาเสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว เมื่อภิกษุวัดหนึ่ง หมู่หนึ่ง ในสถานที่ใด ต้องดูแลแก้ไขอุบาสกอุบาสิกาหมู่นั้นพวกนั้น อย่าให้เลอะเทอะเหลวไหล จะเอาตัวไม่รอด ต้องแก้ไขอย่างนี้แทนพระศาสดาไป แทนสาวกของพระศาสดาไป เมื่อพระศาสดาเสด็จ ดับขันธปรินิพพาน สาวกของท่านเอาใจใส่เพื่อศาสนิกชนทุกถ้วนหน้า เมื่อต่อมาเราก็ต้อง เอาใจใส่อย่างนี้ คอยดูแลแก้ไขอย่างนี้
    ดูแลแก้ไขในตระกูลของตัวไว้ ขนบธรรมเนียมอันใดที่ทำไว้ ขนบธรรมเนียมอันนั้น ให้แน่แน่วไว้ จะได้เจริญในเบื้องหน้า
    ฝ่ายพระพุทธศาสนาเล่า ก็ต้องรักษาขนมธรรมเนียมดุจดังนั้นเหมือนกัน การเล่า เรียน ดัดแปลงแก้ไขในทางพระพุทธศาสนาในเวลานี้ ท่านผู้เป็นเมธีมีปัญญา เป็นครูบา อาจารย์ก็ต้องรักษาขนบธรรมเนียมนั้นไว้ ไม่ทำเช่นนั้น ขนบธรรมเนียมเหล่านั้นหายหมด เล่าเรียนไม่ถูก ศาสนาก็ล้มละลาย การประพฤติปฏิบัติตามพระพุทธศาสนาเล่า ภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ก็ต้องรักษาขนบธรรมเนียมไว้ ถ้าไม่รักษาขนบธรรมเนียมไว้ จะเป็นอันตรายต่อพระพุทธศาสนา เหตุนี้ควรเอาใจใส่ควรแก้ไขทีเดียว การอ่อนน้อมต่อ ผู้หลักผู้ใหญ่ ผู้เฒ่าผู้แก่ เรื่องนี้หญิงก็ดี ชายก็ดี เป็นที่ยินดีของโลก โลกพานิยมชมชอบนัก เป็นที่ยินดีปรารถนาของนักปราชญ์ราชบัณฑิต ท่านรู้เช่นนี้ก็ได้ชื่อว่าเป็นคนมีปัญญา คนประกอบด้วยปัญญา คนเฉลียวฉลาด คนอ่อนน้อม ไม่ใช่คนแข็งกระด้าง ถ้าคน แข็งกระด้างดื้อดึง ไม่เป็นที่ปรารถนา แม้แต่เป็นเด็กก็ไม่เป็นที่ปรารถนา แม้แต่แก่เฒ่า ชราก็ไม่เป็นที่ปรารถนา เป็นเหตุอะไรเล่า พระองค์ทรงรับสั่งไว้ว่า สุวโจ ว่าง่ายสอนง่าย พระองค์ทรงรับสั่งว่า สาวกของพระศาสดา ทุพฺพโจ ว่ายากสอนยาก พระองค์ไม่รับอุปถัมภ์ ผลักไสเสียนี่ เพราะอะไร พระศาสดาทรงสงเคราะห์อนุเคราะห์ประชุมชนจริงๆ

    เหตุนี้ วุฑฺฒาปจายิโน เคารพต่อผู้หลักผู้ใหญ่ผู้เฒ่าผู้แก่ อ่อนน้อมต่อผู้หลักผู้ใหญ่ผู้เฒ่าผู้แก่ ย่อม เจริญด้วยธรรม 4 ประการ คือ อายุ จะเป็นผู้มีอายุยืน, วรรณะ จะเป็นผู้มีผิวพรรณวรรณะ ผุดผ่องงดงาม, สุขะ จะเป็นผู้มีความสุขกายสบายใจในอิริยาบถทั้งสี่, พละ จะมีกำลังกาย กำลังวาจา กำลังใจ เจริญตามหน้าที่
    เหตุนี้ในสามัญญานุโมทนาที่ชี้แจงมานี้ คลี่ความเป็นสยามภาษาตามมตยาธิบาย ได้พอสมควรแก่เวลา เอเตน สจฺจวชฺเชน ด้วยอำนาจความสัตย์ที่ได้อ้างธรรมปฏิบัติใน ภัตตานุโมทนาคาถา นี้ พอสมควรแก่เวลา ด้วยอำนาจสัจวาจาที่ได้อ้างธรรมเทศนาตั้งแต่ต้น จนอวสานนี้ ขอความสุขสวัสดีจงบังเกิดแก่ท่านทั้งหลายที่ได้มาสโมสรในสถานที่นี้ทุก ถ้วนหน้า อาตมภาพชี้แจงมาพอสมควรแก่เวลา สมมุติจะยุติธรรมีกถาโดยอรรถนิยมความ เพียงเท่านี้ เอวํ ก็มีด้วยประการฉะนี้.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. หลับอยู่

    หลับอยู่ http://www.pramontien.com/shop.php?shop_no=185

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    928
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +291

แชร์หน้านี้

Loading...