ผู้ที่บรรลุอริยะแล้วไม่มีวันเสื่อมครับ
เช่นถ้าบรรลุโสดาบันแล้ว ตายไปเกิดใหม่ร่างกายที่เกิดใหม่จะไม่ใช่กายธรรมของพระโสดาบัน จนกว่าจะอายุครบ7ขวบ และได้พบพระบิณฑบาต และได้ใส่บาตร(หรือได้ฟังข้อธรรมะเพียงสั้นๆก็จะประทับใจอย่างมากจนมีอาการขนลุก น้ำตาไหล จนกระทั้งอยากออกบวช และมองว่านักบวชคือเพศที่เท่ห์ที่สุดในโลกาแห่งนี้) จากนั้นกายธรรมโสดาบันที่เคยบรรลุแล้วก็จะสำเร็จในร่างใหม่ทันที่
(อย่าเชื่อผมนะครับ ถ้าเกิดเป็นเรื่องไม่จริงผมจะปาปเพราะมุสา ดังนั้นจะเชื่ออะไรต้องพิสูจน์ก่อน กาลามสูตร10)
ถ้าบรรลุโสดาบันแล้วจะเสื่อมลงมั้ยครับ
ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย songshake, 26 ตุลาคม 2011.
หน้า 2 ของ 4
-
ผมไม่ได้มั่วครับคุณ thaijin ถ้าคิดว่ามั่วก็กรุณาส่งเรื่องไปที่วิกิพีเดียด่วนเลยครับให้เขาแก้ซะ เดี๋ยวคนอื่นๆเขาจะเข้าใจผิดเหมือนผม เพราะข้อความนั้นผมตัดมาจากวิกิพีเดีย
ส่วนอันนี้ตัดมาจากคำสอนของหลวงปู่ฤๅษีลิงดำครับ ส่วนของพระสกิทาคามี .....<center><table id="AutoNumber1" style="border-collapse: collapse; " border="0" cellpadding="2" width="100%"><tbody><tr><td valign="top"><center><table id="AutoNumber2" style="border-collapse: collapse; " border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="95%"><tbody><tr><td width="100%"></td></tr></tbody></table></center><table border="0" cellpadding="0" width="100%"><tbody><tr><td><table border="1" cellpadding="2" cellspacing="2" width="90%"><tbody><tr><td align="left"> ต่อไปนี้ก็พูดกันถึงในด้าน สกิทาคามี ตอนถึงพระสกิทาคามีนี่ อารมณ์สบายเสียแล้ว เพราะย่ำต๊อกมาจากเอกพิชีหมด ระดับคุณค่าของเอกพิชีพระโสดาบันขั้นเอดพิชีกับพระสกิทาคามีมีค่าเท่ากัน นั่นก็คือ เกิดเป็นเทวดา พรหม 1 ชาติ และก็มาเกิดเป็นมนุษย์เป็นอรหันต์เลย ง่ายนิดเดียว มีค่าเท่ากันเหมือนกัน จะมีอะไรต่างกันตรงไหน</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table></center> -
-
น้องยกมา
ม่ายยยยยยยยยใช้ให้คุณพี่ลงไปค้นหาเอาว่า ตรงใหนที่ เขาพิม เขาเขียนว่า เสื่อมได้ หรือ ไม่เสื่อมก็ได้
การลงไปมองหา ในสิ่งที่ ถูก อุปทานขึ้นมาด้วย ใจ นั้นหาใช้วิธี ของ พระโสดา
การเข้าใจในเหตุ ตามจริงนั้น จึงจะถือว่าเป็นวิธีที่ควร ปฎิบัติ นะจ๊ะ -
-
เสื่อมได้สิ ถ้าประมาทในการใช้ชีวิตทำไมมันจะไม่เสื่อม
โสดาบันก็ไม่ได้รู้อะไรเยอะแยะมากมายนะ กิเลสก็ยังเต็มตัวอยู่ แค่มีความเห็นถูก เห็นว่าอะไรเป็นทางอะไรไม่ใช่ทางที่จะดับทุกข์ได้อย่างแท้จริง รู้แล้วแต่ยังไม่ได้ละ ต้องเดินหน้าต่อไป ถ้ายังไม่เดินไปมันก็ละกิเลสไม่ได้ นี่แหละที่จะช้าก็ช้าเพราะตรงนี้
แล้วไม่ใช่ว่า เป็นโสดาบันแล้วจะฉลาดปุ๊บปั๊บเลย ไม่จริง โง่มันก็มาก่อนฉลาดทั้งนั้น ถ้าฉลาดเลยก็อรหันต์แล้วสิ บางคนนึกว่าจะเหมือนยอดมนุษย์ ถ้าเรียนจบระดับแปลงร่างได้แล้วจะเก่งเลย ไม่จริงนะ อย่างนั้นอย่าเชื่อ คนเรามันก็ต้องเรียนรู้กันทั้งนั้น ต้องเรียนรู้อีกเยอะมาก แล้วความโง่นี่ก็ยังมากอยู่ทีเดียว ยิ่งเดินไปยิ่งรู้ รู้ว่าที่เดินผ่านมามันมีข้อบกพร่องผิดพลาดอะไรบ้าง เก็บสะสมความเข้าใจไปเรื่อย ๆ ๆ ความผิดพลาดขาดสตินั้นก็ยังมีอยู่ มีโลภ โกรธ หลงขาดสติยังมี
แล้วตรงนี้แหละ ตรงที่ยังผิดพลาดได้นี่แหละมันทำให้เสื่อมได้เหมือนกัน จะเสื่อมช่วงสั้นหรือเสื่อมยาวนานในมุมของท่านแล้ว ถือว่าเป็นความเสื่อมทั้งนั้น ซึ่งถ้าท่านรู้แล้วว่าเดินอย่างนั้น ๆ แล้วจะทำให้ท่านเสื่อมได้ ท่านติเตียนตัวเองแล้ว ท่านก็ระวังไม่ไปอย่างนั้นอีก ท่านมีความระมัดระวังมากขึ้น ท่านเรียนรู้ของท่านไปเรื่อย ๆ อะไรมันจะพาผิดพลาดท่านเก็บเอามาเป็นครูหมด กลายเป็นทุกสิ่งทุกอย่างเป็นครูสอนท่านทั้งหมด
ฉะนั้นจะบอกว่าโสดาบันยังเสื่อมได้ก็ถูกต้องแล้ว จำได้ว่ามีคนเอาพระสูตรมาโพสต์ในเว็บพลังจิตนี้ห้องอภิญญาว่าด้วยเรื่อง พระเสขะบุคคลยังเสื่อมได้ มีอยู่นะ ลองเข้าไปหาอ่านดูได้ ผมเคยได้ยินได้ฟังมาเหมือนกัน
เคยได้ยิน มีคนบอกพร้อมแนะนำว่า เอาให้ได้โสดาบันก่อน พอได้แล้วทีนี้ก็ปล่อยไปตามเรื่อง จะยังไงก็ช่างมัน บอกว่า เดี๋ยวอีกไม่เกินเจ็ดชาติก็ถึงที่สุดทุกข์เอง แล้วท่านเคยเป็นพระแล้ว ปฏิบัติจนว่าผ่านญาณ ๑๖ ต่อมาสึกออกมา แล้วมาพูดประมาณนี้ ฟังแล้วสุ่มเสี่ยงเสียเหลือเกิน กลัวจะเข้าใจตัวเองผิดไปนะซี ต้องระวังหลงทาง ที่จริงถ้ายังคิดว่าตัวเองเป็นโน่นเป็นนี่เป็นอะไรนี่ก็ผิดแล้ว โดนอัตตามันหลอกเข้าให้แล้วเต็ม ๆ ไม่ต้องไปเป็นอะไรหรอก เอากิเลสออกให้หมดก็พอแล้ว -
ถามว่าเสื่อมได้ยังไงนะหรอออออออออ
เเละกรุณา ใช้ความเข้าใจของผู้ ปฎิบัติ ลงไปทําความเข้าใจด้วยกัน
มิใช่ ใช้ ความเข้าใจตามพระคําภี ใบลานต่างๆ อ่าน อ่าน อ่าน เเล้วก็นํามาเปรียญเทียบกันโดย มิได้กระโดดลงไป ปฎิบัติ หรือ ปฎิบัติ เเล้วครึ่งๆ กลางๆ เเล้วก็เข้าใจ ตาม ตาม กันไปโดย อุปโลก สร้าง อุปทานกันเองตามกําลังความสามารถ ว่า นั่น ฉันปฎิบัติเเล้ว มันต้องเเบบนั้น เเบบนี้ เเบบนู้นนนนนนนนนนน
โดยที่ความจริง ของความจริงเเล้ว มันก็เป็นเเค่ อารมณ์ ที่ เปลี่ยนจากเดิมเพียงเล็กน้อย เเต่ดันไปเข้าใจว่า มันใหญ่โต คับฟ้า คับดิน
การเชื่อ ตามๆกันไป เชื่อว่าใช่ โดยที่ไม่เข้าใจถึง อารมณ์ จริงๆ ของการปฎิบัติ ว่า ทําไปเพื่ออะไร ไม่เคยใช้อารมณ์ ลงไปน้อมเอาความเข้าใจที่มีลงไป ดึง หลักนั้นๆ มาพิจารณา
ไม่เคยพิจารณา สิ่ง ที่มันกําลังพิจารณา ไม่เคยเเยก จิต ตัวเองลงดู ว่าเรากําลังพิจารณา การพิจารณา เหนือ พิจารณา ยังไม่เคยเกิด เพราะ มันมี ทิฐิ ในความเข้าใจ นั้นๆลงไปขวาง โดยที่ผู้เข้าใจ ก็ ไม่เคยรู้ว่า ทิฐิ ที่ถือครองอยู่ มันเป็น สัมมา หรือไม่
เเค่เขาว่ากันว่าใช้ เอออออ ใช่ ก็ ใช่ เป็นไงก็เป็นกัน
ฉนั้น กรุณา ใช้ความเข้าใจ ของนักปฎิเวธ ทําความเข้าใจนะจ๊ะ
ส่วนคําถามว่า เสื่อมได้ยังไง
ขอตอบว่า
เสื่อมได้เเน่นอน หาก เราเข้าใจอารมณ์นั้น
การ สบัดกลับของจิต นั้น มีอยู่เนื่องๆ เป็นวิสัยของ จิต ของใจเดิมอยู่เเล้ว
เเละด้วยอารมณ์ ของ พระโสดา หรือจะใช้คําว่า เเค่พระโสดา เนี้ยยยยย
มัน สบัด สวิง ขึ้นลงได้ตามกําลังของ สติ เป็นเเน่เเท้จ๊าาาาาาาาาาาาาาา -
คิดแบบ ทางโลก นะครับ
คุณได้เพชรแล้ว คุณจะทิ้งเพชรไปหยิบแก้วหรือเปล่าครับ? :) -
หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุงท่านว่า ไม่เสื่อม
-
มันก็
เห็นกงจัก เป็นดอกบัว
การเห็นสิ่งใด เหนือกว่า ที่ตนเอง ยึดอยู่เราถือเป็นเรืิ่องปกติ ของกิเลศ ที่มันมีขึ้น มีลง ไม่คงทน
หากท่าน หยุดคิด หยุดให้ใจมันนิ่ง ได้ นั้นเเหล่ะท่านถึง ครองเอาไว้ได้
ถ้า ใจ มันไม่หยุด มันไหลไปเรื่อยๆ วิ่งไปนั้นที นี่ที
วันนึงมันก็ต้อง ไหลไปอีกที่ เป็นธรรมดา
ส่วนเรื่องที่ว่า เห็นเพชร เเล้วจะไปคว้าเเก้วไหม
เเล้วพี่ใช้อะไรเป็นตัว บอก จิตตัวเองล่ะว่า นั้นคือ เพรช หรือ นี่คือเเก้ว
เราใช้อะไร บอกล่ะ
ถ้าใช้ใจบอก ก็ ให้เเทงไปเลยว่า รับรอง ว่าเจ้ง เเน่นอนนนนนนนนนนน เพราะใจมันไม่เคยนิ่ง -
สัญญา นั่นเเหล่ะตัวดี
สัญญา นี่เเหล่ะตัวดี ที่ชอบพาให้ไปติด ในสิ่ง นั้นๆ ละ จากสัญญาได้ไหม
ขอตอบว่าไม่ได้ เเต่เราทําจิตให้อยู่เหนือ สัญญาได้ ตามรู้ ตามเข้าใจ ตามพิจารณา ในสิ่งที่เกิด ๆ ดัีบๆ อยู่เป็นนิจ จึงจะดี
รู้ไหม ว่า สมเด็จท่าน สอนเกี่ยวกับความเชื่อเอาไว้ ว่า เช่นไรบ้าง
ลองไปหาไปค้นดู เเล้วจะเข้าใจจ๊าาาาาาาา -
-
อ้าวววววววววววววว
น้องก็เเค่ ยกเอาความเห็น เเสดงให้เจ้าของกระทู้ เขาดู เฉยๆ นี่หน่าาาา
ทําไมคุณพี่ จึง มองไปว่าน้องไปเเย้ง อะไรคุณพี่ล่ะค่ะ
น้องไม่ได้ไปว่าอะไรซักหน่อย จะเชื่อพระ เชื่อใคร ก็ ตามเเต่กําลัง
น้องไม่ได้บอกให้ใครมาเชื่อตามน้องซะหน่อยยยยยยยยยยยย
ใช้อะไร เป็นตัวรู้น่ะ ถึง อารมณ์ไปจับเอา ตรงนั้นมาเป็นประเด็น ใช้อะไรหว่า ใช้อะไรหว่าาาาาาาาาาาา
:z6:z6:z6 -
-
ชมจ๊าาาาาาาาาาา
ก็หลวงพ่อท่านบอกมาอย่างงี้ ครับ ผมเชื่อพระ อรหันต์ท่านครับ แล้วผมก็แค่แสดงความเห็นให้เจ้าของกระทู้ พิจรณาดูก็เท่านั้นเอง
ลองศึกษาเรื่อง อุปทานส่วนควบ ดู จ๊าาาาาาาาาาาา
ค่อยๆทําความเข้าใจ ใจของตนเองก่อน ตอบ เจตนามันชี้ประเด็นนะจ๊ะ
โต กันขนาดนี้เเล้ว ยังจะ เเอบไป หลบมาใย ยิ่งเป็นชายด้วยเเล้ว ยิ่ง ไปกันใหญ่
ตอบตามประเด็น กับตอบตามใจนี่ มันห่างกันเยอะน๊าจ๊ะ
เเต่เอาเเหล่ะ เอาเเหล่ะ น้องไปเถียงด้วยเเล้วไปดีฟ่าาาาาาาาาาาาาาาา -
ผู้ที่บรรลุอริยะแล้วไม่มีวันเสื่อมครับ -
พระเสขะอาจเสื่อมได้
[๔๒๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๒ อย่างนี้ เป็นไปเพื่อความเสื่อมแก่ ภิกษุที่ยังเป็นเสขะ ธรรม ๒ อย่างเป็นไฉน คือ ความโกรธ ๑ ความผูกโกรธ ไว้ ๑ ... ความลบหลู่คุณท่าน ๑ ความตีเสมอ ๑ ... ความริษยา ๑ ความตระหนี่ ๑ ... มายา ๑ โอ้อวด ๑ ... ความไม่ละอาย ๑ ความไม่เกรงกลัว ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลายธรรม ๒ อย่างนี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อความเสื่อมแก่ภิกษุที่ยังเป็นเสขะ ฯ
[๔๓๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๒ อย่างนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความไม่ เสื่อมแก่ภิกษุที่ยังเป็นเสขะ ธรรม ๒ อย่างเป็นไฉน คือ ความไม่โกรธ ๑ ความไม่ ผูกโกรธไว้ ๑ ... ความไม่ลบหลู่คุณท่าน ๑ ความไม่ตีเสมอ ๑ ... ความไม่ริษยา ๑ ความไม่ตระหนี่ ๑ ... ความไม่มายา ๑ ความไม่โอ้อวด ๑ ... หิริ ๑ โอตตัปปะ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๒ อย่างนี้แล ย่อมไม่เป็นไปเพื่อความเสื่อมแก่ภิกษุที่ ยังเป็นเสขะ ฯ
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๐ - พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๒ หน้าที่ ๑๐๘ - ๑๐๙
---------------------------------------
เอาเป็นว่า ไม่ประมาทก็แล้วกัน -
จะเสื่อมจากผู้บรรลุอริยะได้ยังไง ในเมื่อยังไม่ได้เป็นผู้บรรลุอริยะ
<!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif][if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif][if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:ตารางปกติ; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]--> 2.5 ทางเสื่อมของพระเสขะ
(96) ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม 5 ประการนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความเสื่อมแก่ภิกษุผู้เสขะ ธรรม 5 ประการเป็นไฉน คือ ความเป็นผู้ยินดีในการก่อสร้าง 1 ความเป็นผู้ยินดีในการเจรจาปราศรัย 1 ความเป็นผู้ยินดีในการนอน 1 ความเป็นผู้ยินดีในการคลุกคลีด้วยหมู่คณะ 1 ไม่พิจารณาจิตตามที่หลุดพ้นแล้ว 1 ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม 5 ประการนี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อความเสื่อมแก่ภิกษุผู้เสขะ.
(97) ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม 5 ประการนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความเสื่อมแก่ภิกษุผู้เสขะ ธรรม 5 ประการเป็นไฉน คือ(80.33/165 หรือ 45.22/115 เสขสูตร)
ภิกษุผู้เสขะในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีกิจมากมีกรณีมาก ไม่ฉลาดในกิจน้อยกิจ ใหญ่ ละการหลีกออกเร้น ไม่ประกอบความสงบใจ ณ ภายใน ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นธรรมข้อที่ 1 เป็นไปเพื่อความเสื่อมแก่ภิกษุผู้เสขะ ฯ
อีกประการหนึ่ง ภิกษุผู้เสขะย่อมปล่อยวันเวลาล่วงไป เพราะการงานเล็กน้อย ละ การหลีกออกเร้น ไม่ประกอบความสงบใจ ณ ภายใน ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นธรรมข้อที่ 2 เป็นไปเพื่อความเสื่อมแก่ภิกษุผู้เสขะ ฯ
อีกประการหนึ่ง ภิกษุผู้เสขะย่อมคลุกคลีด้วยคฤหัสถ์และบรรพชิต ด้วยการคลุกคลีกับคฤหัสถ์อันไม่สมควร ละการหลีกออกเร้น ไม่ประกอบความสงบใจ ณ ภายใน ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นธรรมข้อที่ 3 เป็นไปเพื่อความเสื่อมแก่ภิกษุผู้เสขะ ฯ
อีก ประการหนึ่ง ภิกษุผู้เสขะย่อมเข้าไปในบ้านในเวลาเช้านัก กลับมาในเวลาสายนัก ละการหลีกออกเร้น ไม่ประกอบความสงบใจ ณ ภายใน ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นธรรมข้อที่ 4 เป็นไปเพื่อความเสื่อมแก่ภิกษุผู้เสขะ ฯ
อีก ประการหนึ่ง ภิกษุผู้เสขะย่อมไม่เป็นผู้ได้ตามปรารถนา ไม่เป็นผู้ได้โดยยาก ได้ดดยลำบาก ซึ่งกถาที่เป็นไปเพื่อขัดเกลากิเลส เป็นที่สบายแก่ธรรมเครื่องโปร่งจิต คือ อัปปิจฉกถา สันตุฏฐิกถา ปวิเวกกถา อสังสัคคกถา วิริยารัมภกถา สีลกถา สมาธิกถา ปัญญากถา วิมุติกถา วิมุติญาณทัสสนกถา ละการหลีกออกเร้น ไม่ประกอบความสงบใจ ณ ภายใน ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นธรรมข้อที่ 5 เป็นไปเพื่อความเสื่อมแก่ภิกษุผู้เสขะ ฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม 5 ประการนี้ เป็นไปเพื่อความเสื่อมแก่ภิกษุผู้เสขะ ฯ
(80.33/165-167 หรือ 45.22/115-117 เสขสูตร)
http://www.bds53.com/index.php?name=knowledge&file=readknowledge&id=50
<center>พระเสขะ คือ ผู้ที่กำลังจะรู้จักนิพพาน</center>
ภิกษุ ท.! ภิกษุใด แม้ยังเป็น พระเสขะ ยังไม่บรรลุถึงอรหัตตมรรค ยังปรารถนาพระนิพพานอันเป็นที่เกษมจากโยคะ ไม่มีอื่นยิ่งกว่า อยู่, ภิกษุแม้นั้น ย่อม รู้ชัดแจ้ง ซึ่งนิพพาน โดยความเป็นนิพพาน ; เมื่อรู้ชัดแจ้ง ซึ่งนิพพาน โดยสักแต่ว่า เป็นนิพพานแล้ว, ย่อมเป็นผู้ จะไม่หมายมั่น ซึ่งนิพพาน; จะ ไม่ไม่หมายมั่น ในนิพพาน; จะไม่หมายมั่น โดยความเป็นนิพพาน; จะไม่ หมายมั่นว่า 'นิพพาน เป็นของเรา' ดังนี้; จึงเป็นผู้จะไม่มีปรกติเพลิดเพลินยิ่ง ซึ่งนิพพาน. ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า ? เราขอตอบว่า "เพราะว่า นิพพาน เป็นสิ่งที่ภิกษุผู้เสขะนั้น จะต้องได้รู้รอบ." ดังนี้แล. - มุ. ม. ๑๒/๖/๓. http://pobbuddha.com/tripitaka/upload/files/1496/index.html
490 วิธีรู้ภูมิเสขะ-อเสขะของตน
ปัญหา วิธีผู้ตั้งอยู่ในเสขภูมิ และอเสขภูมิ จะพึงรู้ว่าตนเองเป็นพระเสขะและพระอเสขะมีหรือไม่ ?
พุทธดำรัสตอบ “ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปริยายวิธีที่ภิกษุผู้เป็นเสขะอาศัยแล้ว ตั้งอยู่ในเสขภูมิ ย่อมรู้ว่าเราเป็นพระเสขะ คืออย่างไร ? ภิกษุผู้เป็นเสขะในธรรมวินัยนี้ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้เหตุแห่งทุกข์ นี้ความดับทุกข์ นี้ทางปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์ ปริยายวิธีนี้แล ภิกษุผู้เสขะอาศัยแล้ว ย่อมรู้ชัดว่าเราเป็นพระเสขะ...”
“อีกประการหนึ่ง.... พระเสขะย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่าสมณะหรือพราหมณ์อื่นภายนอกจากศาสนานี้ ซึ่งจะแสดงธรรมที่จริงแท้แน่นอนเหมือนพระผู้มีพระภาคเป็นไม่มี...ปริยายวิธีนี้แลภิกษุผู้เสขะอาศัยแล้ว... ย่อมรู้ชัดว่าเราเป็นพระเสขะ...
“อีกประการหนึ่ง.... พระเสขะย่อมรู้ชัดซึ่งอินทรีย์ ๕.... ย่อมรู้ชัดว่าอินทรีย์ ๕ นั้น มีอะไรเป็นคติ มีอะไรเป็นอย่างยิ่ง มีอะไรเป็นผล มีอะไรเป็นที่สุด แต่ยังไม่ถูกต้องด้วยนามกายอยู่ และยังไม่เห็นแจ้งแทงตลอดด้วยปัญญา.... ปริยายวิธีนี้แล ภิกษุผู้เป็นเสขะอาศัยแล้ว... ย่อมรู้ว่าเราเป็นพระเสขะ
“ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ปริยายวิธีที่ภิกษุผู้เป็นอเสขะอาศัยแล้ว... ย่อมรู้ว่าเราเป็นพระอเสขะ คืออย่างไร ? ภิกษุผู้เป็นอเสขะในธรรมวินัยนี้ ย่อมรู้ชัดซึ่ง อินทรีย์ ๕...ย่อมรู้ว่าอินทรีย์ ๕ มีสิ่งใดเป็นคติ... มีอะไรเป็นที่สุด ย่อมถูกต้องสิ่งนั้นด้วยนามกายอยู่ทั้งเห็นแจ้งแทงตลอดด้วยปัญญา.... ปริยายวิธีนี้แลที่ภิกษุผู้อเสขะอาศัยแล้ว ย่อมรู้ว่าเราเป็นพระอเสขะ
“อีกประการหนึ่ง....ภิกษุผู้อเสขะย่อมรู้ชัดซึ่งอินทรีย์ ๖ คือ ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ รู้ชัดว่าอินทรีย์ ๖ เหล่านี้ จักดับไปหมดสิ้นโดยประการทั้งปวง ไม่มีส่วนเหลือ และอินทรีย์ ๖ เหล่าอื่น จักไม่เกิดขึ้นในภพใหม่ ๆ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปริยายแม้นี้แล ภิกษุผู้อเสขะอาศัยแล้ว... ย่อมรู้ชัดว่าเราเป็นพระอเสขะ”
เสขสูตร มหา. สํ. (๑๐๓๓-๑๐๓๗ )
ตบ. ๑๙ : ๓๐๓-๓๐๕ ตท. ๑๙ : ๒๘๕-๒๘๗
ตอ. K.S. ๕ : ๒๐๔-๒๐๖
490 -
ผู้ที่ได้คุณสมบัิติของการเป็นพระโสดาบันและพระพุทธองค์ทรงเสด็จมารับรองแล้ว ไม่ว่าจะเสด็จมาด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งก็ตาม(แล้วแต่บุคคล จะไม่เหมือนกัน)คุณสมบัติของพระโสดาบัันนั้นจะไม่มีวันเสื่อมอย่างเด็ดขาด พระโสดาบันมีสมาธิเพียงเล็กน้อย มีสติปัญญาก็เพียงเล็กน้อยยังไม่สามารถใช้สติปัญญาตัดกิเลสให้ขาดสะบั้นได้อย่างพระอรหันต์ ที่เสื่อมได้ก็เป็นแค่ฌาน-สมาธิเสื่อม เพราะยังเป็นแค่เพียงฌานโลกีย์เท่านั้น แต่คุณสมบัติของผู้ที่ได้พระโสดาบันจะไม่เสื่อมอย่างแน่นอน ผมความรู้น้อยไม่รู้เรื่องคำพูดหรูๆที่เอามาพูดอวดอ้างกันทางโลกว่าเหมือนเป็นผู้รู้ทางธรรม ซึ่งจำกันมาแล้วเอามาพูดข่มกัน มันเป็นเพียงสัญญาเท่านั้น ผมไม่ต้องการจะโต้เถียงกับใคร แค่มายืนยันตามความเป็นจริงที่ครูบาอาจารย์ได้กล่าวมาแล้ว และพระพุทธองค์ก็ทรงยืนยันเช่นนั้นเหมือนกัน ส่วนต่อไปใครจะว่ากล่าวอย่างไรก็ตามแต่ท่านเถิด เพราะมันเป็นการปรามาสพระพุทธองค์โดยตรง ไม่ใช่ปรามาสตัวผมครับ ผมได้แต่สงสารครับ สร้างกรรมหนักโดยไม่รู้ตัวหรือท่านเจตนาก็ไม่ทราบได้
-
โมกขทรัพย์ เป็นที่รู้จักกันดี
ถ้าเสื่อมก็ไม่ใ่ช่แล้วครับ พระโสดาบันท่านเป็นพระอริยะเจ้าไม่มีทางเสื่อมหรอกครับ มีแต่จะเจริญขึ้นไปอีก คำว่า พระโสดาบัน แปลว่า ผู้เข้าถึงกระแสพระนิพพานนะครับ
หน้า 2 ของ 4