การที่เราเป็นนักปฏิบัติ จำเป็นที่จะต้องมีการทบทวนอารมณ์ปฏิบัติของเราอยู่เสมอ
จะได้รู้ว่าตอนนี้เราทำไปถึงที่ใดแล้ว ?
มีความก้าวหน้าหรือถอยหลังอย่างไร ?
จำเป็นต้องเร่งในจุดไหน ?
ต้องผ่อนในจุดไหน ?
หรือว่าปรับเปลี่ยนทิศทางในการปฏิบัติของตนอย่างไร ?
ถ้าหากว่าไม่มีการทบทวน การปฏิบัติของเราก็จะสำเร็จได้ยาก การไตร่ตรองทบทวนตัวนี้ก็คือวิมังสาในอิทธิบาท ๔ นั่นเอง
คราวนี้สิ่งที่จะเป็นเครื่องวัดการปฏิบัติของเรานั้น ในส่วนที่หยาบที่สุดก็คือนิวรณ์ ๕ ได้แก่
ความยินดีในรูปสวย เสียงไพเราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศ ๑ ความโกรธเกลียดอาฆาตแค้นผู้อื่น ๑ ความง่วงเหงาหาวนอนชวนขี้เกียจปฏิบัติ ๑ ความฟุ้งซ่านหงุดหงิดรำคาญใจ ๑ และความลังเลสงสัยในผลของการปฏิบัติ ๑ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ถ้ามีข้อใดข้อหนึ่งอยู่ในใจเรา แสดงว่าคุณภาพของใจเราตกต่ำมาก
โดยเฉพาะตัวอุทธัจจกุกกุจจนิวรณ์ คือความฟุ้งซ่าน หงุดหงิดและรำคาญใจนั้น ตัวฟุ้งซ่านสามารถนำให้เกิดทั้งราคะ โลภะ โทสะ และโมหะ เมื่อเป็นดังนั้น การฟุ้งของเราต่อให้เป็นการฟุ้งในเรื่องจะกระทำความดี ก็ยังเป็นการฟุ้งซ่านของใจอยู่ คุณภาพของใจเรายังไม่ดีพอ ถ้าท่านที่ได้ทิพจักขุญาณ สามารถดูสีใจของตนเองได้ว่า ตอนนี้มีความขุ่นมัวอย่างไร ใจของเราผ่องใสหรือขุ่นมัว หรือเคลือบไปด้วยสีสันอื่น ๆ ที่ระบุเอาไว้ว่ากำลังใจของเราไม่ได้มุ่งตรงอยู่กับการภาวนา
เมื่อวัดด้วยนิวรณ์ ๕ แล้ว ในส่วนต่อไปที่เป็นเครื่องวัดก็คือศีล ไม่ว่าจะเป็นศีล ๕ ก็ดี ศีล ๘ ก็ดี หรือถ้าเป็นสามเณรก็ศีล ๑๐ พระภิกษุสงฆ์ก็ศีล ๒๒๗ เรารักษาศีลทุกสิกขาบทครบถ้วนสมบูรณ์บริบูรณ์หรือไม่ ? เมื่อเรารักษาศีลทุกสิกขาบทได้ครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว เรายุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดหรือไม่ ? เมื่อรักษาด้วยตนเองได้ ไม่ยุยงให้ผู้อื่นทำ เวลาเห็นผู้อื่นละเมิดศีลเรายังมีความยินดีหรือไม่ ?
นี่เป็นเครื่องวัดกำลังใจของเราที่เห็นได้ชัดเจนอีกประการหนึ่ง
ถ้าหากว่าไปที่ประการใหญ่สุดเลยก็คือดูจากสังโยชน์ทั้ง ๑๐ ข้อ ก็คือ
เรายังเห็นว่าร่างกายนี้เป็นเราเป็นของเราหรือไม่ ?
แต่ว่าการจะเห็นร่างกายนี้เป็นเราเป็นของเรานั้น จะว่าไปแล้วเป็นกำลังใจระดับสูงจนเกินไปสำหรับการปฏิบัติในเบื้องต้นอย่างพวกเรา
เราก็มาดูว่าเราหลงลืมความตายหรือไม่ ?
คือต้องมีสติระลึกรู้อยู่ว่าร่างกายนี้จะต้องตายอยู่ตลอดเวลา หายใจเข้าไม่หายใจออกก็ตาย หายใจออกไม่หายใจเข้าก็ตาย
หรือถ้ากำลังใจสูงไปกว่านั้น ระลึกรู้อยู่เสมอว่าร่างกายต้องตายยังไม่พอ ยังเห็นในความสกปรกโสโครก เป็นรังของโรค มีความรังเกียจในร่างกายนี้ ไม่ปรารถนาอีก ถ้าหากว่ากำลังใจก้าวสูงไปกว่านั้นได้ ก็จะเห็นชัดเจนว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา
ข้อที่ ๒ ก็คือ ความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ของเรามีความมั่นคงเพียงใด ? เรายังล่วงเกินในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ด้วยกายวาจาใจอยู่หรือเปล่า ? ถ้าหากว่ายังล่วงเกินอยู่ ก็แปลว่าจิตใจของเรามีคุณภาพที่ต่ำมาก ไม่ควรแก่งาน ไม่เหมาะสมแก่การปฏิบัติ
การรักษาศีลของเราจริงจัง เด็ดขาด แน่นอนหรือเปล่า ?
ถ้าไม่จริงจัง ไม่เด็ดขาด โอกาสที่จะได้ดีก็น้อย
ใจของเรายังผูกพันอยู่กับเพศตรงข้ามหรือไม่ ?
แม้ว่าจะถอนตัวห่างเหินออกมาแล้ว แต่ว่ายังมีความยินดีระลึกถึงอยู่ในลักษณะของกามวิตก หรือกามสัญญาหรือไม่ ?
ใจของเรายังมีความโกรธ เกลียด อาฆาตแค้นผู้อื่นอยู่หรือไม่ ?
ความโกรธมีได้เป็นปกติ แต่อย่าผูกโกรธ คือโกรธแล้วโกรธเลย ถึงเวลาหันหลังให้ก็ลืมไปเสีย ถ้าผูกโกรธอยู่แสดงว่าสภาพจิตใจของเราตกต่ำย่ำแย่แล้ว
จะโดนกิเลสชักจูงไปได้ง่าย
เรายังยึดติดในรูปทั้งของตนเองและของผู้อื่นหรือไม่ ?
โดยเฉพาะในรูปละเอียดคือรูปฌาน ติดในความสุขของการทรงฌาน
จนกระทั่งไม่มีการขยับขยายก้าวขึ้นไปสู่การพิจารณาวิปัสสนาญาณหรือเปล่า ?
ในส่วนของอรูปฌานก็เช่นกัน แต่ว่าในส่วนนี้แก้ไขได้ง่าย เพราะว่าเราแค่เอากำลังฌานนั้นเกาะภาพพระหรือเกาะพระนิพพานไว้
ก็เป็นอันว่าเราใช้กำลังของฌานสมาบัติ ไม่ว่าจะเป็นรูปฌานหรืออรูปฌานก็ดี
ไปในทางที่ถูกต้องแล้ว แต่ถ้าหากว่าไม่ได้เกาะภาพพระ หรือเกาะพระนิพพานไว้ เรายังใช้กำลังในทางที่ผิดอยู่ สามารถวัดตนเองได้จากจุดนี้
หลังจากนั้นให้มาดูว่าเรายังมีมานะ ความถือตัวถือตนหรือไม่ ?
ยังเห็นว่าเราเหนือกว่าเขา เห็นว่าเราเสมอเขา เห็นว่าเราต่ำต้อยกว่าเขาหรือไม่ ?
ต่างคนต่างเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งสิ้น ต่างคนต่างประกอบขึ้นมาจากธาตุ ๔ ทั้งสิ้น ไม่มีใครดีกว่า ไม่มีใครเลวกว่า ถึงเวลาร่างกายก็เสื่อมสลายตายพังไปเป็นปกติ
เรายังมีความฟุ้งไม่ว่าจะด้านดีหรือด้านชั่วหรือไม่ ?
ความฟุ้งในด้านชั่วนั้นเห็นได้ง่าย แต่ความฟุ้งในด้านดีเห็นได้ยาก
เพราะเราคิดว่าสิ่งนั้นดี อย่างเช่นว่า ฟุ้งซ่านในเรื่องของบุญกุศล อยากจะสร้างบุญสร้างบารมีมาก ๆ บางรายขวนขวายถึงขนาดไปกู้ยืมเงินมาเพื่อที่จะทำบุญก็มี
เมื่อเป็นดังนี้ก็แสดงว่า จิตใจของเรายังอยู่ในสภาพที่ใช้งานไม่ได้ เพราะว่าขาดปัญญา แม้กระทั่งการทำความดี ก็ยังทำให้ตนเองและคนรอบข้างเดือดร้อนอยู่
ส่วนข้อสุดท้ายของสังโยชน์ก็คือ เรายังมีความยินดีพอใจในสิ่งต่าง ๆ เช่น ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส ใจครุ่นคิดหรือไม่ ?
ถ้ามีความยินดีอยู่ก็คือฉันทะเกิดขึ้นแล้ว ก็จะทำให้ราคะ อยากมีอยากได้เป็นปกติ
ฉันทะกับราคะเมื่อรวมกันจะเป็นอวิชชา คือความมืดบอดที่บดบังปัญญาของเราอยู่ ตาเห็นรูปแล้วชอบใจ ก็แปลว่าฉันทะความพอใจเกิดขึ้น ถ้าเผลอสตินิดเดียว ราคะความยินดีอยากมีอยากได้ก็จะปรากฏตามมา หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส ใจครุ่นคิดก็เช่นกัน
ดังนั้น..เราสามารถวัดตัวเองได้ว่า การปฏิบัติของเราก้าวหน้าหรือไม่ก้าวหน้า ก็คือ
๑. ดูจากนิวรณ์ ๕ ประการว่ากินใจเราได้หรือไม่ ?
๒. ดูจากศีลตามสภาพของตน
๓. ดูจากสังโยชน์ที่ร้อยรัดเราอยู่ ข้อไหนเราสามารถทำให้เบาบางลงได้
ข้อไหนที่เรายังยึดติดอยู่เต็มร้อยส่วน ?
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าเรามีการตรวจสอบ ทบทวน ไตร่ตรอง พิจารณาอยู่เสมอ เราก็จะรักษา กาย วาจา ใจ ของเราให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ไปคลุกคลีอยู่กับส่วนที่ไม่ดีไม่งาม ในลักษณะของการนินทาว่าร้ายหรือปะทะคารมกับผู้อื่น
การปฏิบัติธรรมนั้นเราต้องดูที่ตัวเอง แก้ที่ตัวเอง เรื่องของคนอื่นเป็นเรื่องของโลก ขึ้นชื่อว่าโลกนั้น หนักหนาเกินกำลังของเราที่จะแก้ไขได้ เมื่อเป็นเช่นนั้น เราก็ดูที่ตัวเองแก้ไขที่ตัวเอง ปรับปรุงกาย วาจา ใจ ของเราให้ดีขึ้น การกระทบกระทั่งกันก็จะไม่มีอย่างที่ผ่านมา
ลำดับต่อไปก็ขอให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกว่าหมดเวลา
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. (พระอาจารย์ เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันเสาร์ที่ ๗ เมษายน ๒๕๕๕
ที่มา วัดท่าขนุน
ถ้าหากว่าไม่มีการทบทวน การปฏิบัติของเราก็จะสำเร็จได้ยาก
ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย ศิษย์วัดท่าขนุน, 9 กุมภาพันธ์ 2018.