ทหารพม่ามารบที่ไทยตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัตตี
เรื่องที่ ๓๘ ตายจากคนพม่าแล้วไปเกิดเป็นเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัตตี
“..อาตมาไปพักที่วัดศีรษะเมืองหรือวัดมหาธาตุในปัจจุบัน อำเภอสรรคบุรี จังหวัดชัยนาท บังเอิญพระปลัดฉ่องเจ้าอาวาสไปกรุงเทพฯ เลยสวนทางกัน มาคราวไรไม่เคยเห็นพระปลัดฉ่องนอนในกุฏิสักครั้ง ท่านนอนนอกกุฏิ วันนั้นพระเขาจัดให้นอนในกุฏิเจ้าอาวาส มาคราวก่อนๆ ไม่เคยให้เข้าไปนอนในกุฏินั้นเลย ก็คิดว่าเงียบดี เมื่อถึงเวลาเข้านอนก็เข้าไปข้างในกุฏิ แต่ก็ยังไม่ง่วงเลยหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านจนถึงเวลา ๒๔.๐๐ น. จึงวางหนังสือลง จุดธูปเทียนบูชาพระ ตั้งใจว่าจะเข้าสมาธิเต็มอัตราสักครู่ประมาณสักตี ๒ ก็จะนอน ปรากฏว่าพอจุดธูปบูชาพระก็ขนลุกชันซู่ๆ บังคับอย่างไรก็ไม่หาย อาการแบบนี้เคยเป็นมาแล้วหลายวาระ
รู้ว่าผีจะแสดงเดชเรียกว่าผีอาละวาด ถ้าผีเขาจะเอาจริงโดยมากมักจะทำแบบนี้ก่อน ให้ตกใจมีความหวั่นหวาดแต่เรื่องนี้โดนมาไม่รู้กี่ร้อยครั้งมันชินแล้ว ถือว่าเป็นเรื่องปกติ เมื่อบังคับให้ขนหยุดลุกไม่ได้ก็นึกในใจว่า เจ้าผีอะไรสักตัวหนึ่งมันคงจะเล่นงาน มองไปมองมาก็ไม่เห็นมัน มันเก่งเหมือนกันก็เลยพูดดังๆ ว่า “ถ้าเก่งจริงๆ แล้ว ก็เชิญแสดงตัวให้ปรากฏ ไอ้เรื่องที่แสดงอานุภาพแบบนี้มันเกินไปที่ฉันจะกลัวแก”
เมื่อพูดจบเขาก็แสดงตัวเดินออกมาจากหลังที่บูชาพระ เป็นพม่านุ่งโสร่ง มีผ้าโพกหัว มายืนอยู่ อาตมาก็บอกว่า “นั่งลงนะอย่ามาทำยืนเก้ๆ กังๆ พระอย่างฉันนี่ถ้าผีดีฉันเมตตาฉันบูชาเหมือนกัน ถ้าผีไม่ดีฉันจับ ๒ ขาฟาดมาเสียหลายสิบรายแล้ว” ผีก็นั่งลง อาตมาก็บอกว่า “เมื่อนั่งลงแล้วก็ไหว้พระเสียซิ เห็นว่าฉันเป็นพระหรือว่าเป็นเปรต” เขาก็บอกว่า “เห็นเป็นพระขอรับ จึงได้แสดงอานุภาพลองดู ถ้าเห็นเป็นเปรตผมไม่เข้ามาใกล้หรอก ผมรังเกียจเปรต”
ก็เลยบอกว่า “เป็นผีไม่ชอบกับเปรตหรือ” เขาก็ตอบว่า “ผีมีหลายชั้น พวกเปรตก็มี อสุรกายก็มี พวกสัมภเวสีก็มี และก็มีภุมเทวดา รุกขเทวดา อากาศเทวดา พรหม เขายกประโยชน์ให้เป็นผีหมด” ถามว่า “เป็นผีพวกไหน” ตอบว่า “เป็นผีอากาศเทวดา”
ถามว่า “อยู่ชั้นไหน” ตอบว่า “อยู่ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี”
ถามว่า “เทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัตตีเขาไม่ได้นุ่งโสร่งและโพกหัวนี่ ฉันไม่เชื่อ” เขาบอกว่า “ไม่เชื่อ ประเดี๋ยวผมจะแสดงภาพเทวดาให้ปรากฏก็ได้” พูดจบก็กลายเป็นเทวดาสวยมาก คราวนี้ยิ้มแย้มแจ่มใสดี ก็เลยถามว่า “มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรและมายุ่งที่นี่เพราะอะไร” เขาก็เลยบอกว่า “หัวกะโหลกผมอยู่ใต้โต๊ะบูชาขอรับ นิมนต์ล้วงเอาออกมา หัวกะโหลกผมในสมัยที่ยังเป็นมนุษย์”อาตมาก็ดึงเอาหัวกะโหลกออกมา เป็นหัวกะโหลกโตกว่าบาตรมาก จึงถามว่า “หัวกะโหลกมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” เขาตอบว่า “ในสมัยที่ประเทศพม่ากับประเทศไทยรบกัน ผมถูกเกณฑ์ให้มารบ แต่ความจริงไม่ได้เต็มใจมารบ เมื่อเขาเกณฑ์ก็ต้องมา ถ้าไม่มาก็หมายความว่าต้องตาย ๗ ชั่วโคตร ในสมัยนั้นมีเกณฑ์บังคับว่าฆ่ากัน ๗ ชั้นของคนนั้นเลย ชั้นบนขึ้นไปก็ถึงทวดเลย ชั้นล่างลงไปก็ถึงหลาน เรียกว่าตระกูลนั้นทั้งตระกูลจะไม่มีใครเหลือ ขณะที่มารบก็มาตายอยู่ที่ข้างกำแพงเมืองสรรคบุรี”
ถามว่า “คนมารบกัน เวลาตายมันน่าจะลงนรก ทำไมตายแล้วถึงไปเป็นเทวดา” เขาตอบว่า “ตามปกติผมเป็นชาวบ้าน สมัยนั้นพระพุทธศาสนายังรุ่งเรืองผมก็นับถือพระพุทธศาสนา เคยเจริญฌาน การมารบก็มาด้วยการเกณฑ์มาไม่ได้มาด้วยความเต็มใจ เขาให้มารบก็ต้องรบ เขาให้ตีก็ต้องตี เขาให้ฟันก็ต้องฟัน แต่ว่าจิตใจของผมนั้นไม่เคยทิ้งพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณเลย นึกถึงคุณพระพุทธเจ้าและคุณพ่อคุณแม่อยู่เสมอ ก็ตั้งใจไว้ว่างานที่ทำนี้ไม่ได้ทำด้วยความเต็มใจแต่ทำด้วยความจำใจ ถ้าไม่ทำตัวคนเดียวตายก็ไม่เป็นไร แต่ญาติตั้งแต่ญาติเล็กจนถึงญาติใหญ่จะตายหมด เรียกว่าทั้งโคตรจะไม่เหลือ คนอื่นที่ไม่ได้มีความผิดด้วยจะพลอยตาย ก็เลยตัดสินใจมากับเขา ผมไม่ได้เต็มใจรบ”
ถามว่า “ขณะที่รบฆ่าใครตายบ้างหรือเปล่า” ตอบว่า “ผมมาคราวนี้คราวเดียวครับ ไม่ทันจะฆ่าเขาหรอก เวลาเขาสั่งให้ตีกำแพงเมือง ผมก็นั่งเข้าฌานหรือที่เรียกว่าปลุกตัว พอจิตเป็นฌานก็คลายออกมา ก็คิดว่าถ้าข้าพเจ้าเคยฆ่า เป็นศัตรูกับใคร เคยจองล้างจองผลาญใครมา ถ้าทำก็ให้ทำเฉพาะถูกคนนั้น แต่ว่าข้าพเจ้าไม่ตั้งใจจะฆ่าใคร ถ้าหากว่าคนใดที่เขาเคยเป็นศัตรูกับข้าพเจ้า เคยจองเวรจองกรรมกันมา ถ้าเขาฆ่าข้าพเจ้าตาย ก็ขอให้เป็นอโหสิกรรมกัน เมื่อเขาตีกลองรบ เขาสั่งให้ปีนกำแพงเมือง ก็วิ่งเข้ามาไม่ทันถึงกำแพงเมือง พอถึงข้างคูก็ปรากฏว่าถูกยิงกราดตาย ไม่ทันได้ตีได้ฟันใคร จิตใจก็ยังนึกถึงพระ เวลาตายแล้วผมก็เลยไปเกิดเป็นเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัตตี ตามผลของฌานที่ได้ไว้ แต่ทว่าเวลาตายไม่ได้เข้าฌานตาย มันตายนอกฌาน แต่จิตนึกถึงคุณพระอยู่”
#ตายแล้วไปไหน โดย หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
#รวมคำสอนพ่อแม่ครูอาจารย์ #โอวาทธรรม #หลวงพ่อฤาษี
ทหารพม่ามารบที่ไทยตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัตตี
ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย โพธิสัตว์ ชาวพุทธ, 3 กันยายน 2022.