ทัศนาอาราม งามวิจิตรศิลป์ แผ่นดินพระนั่งเกล้าฯ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 5 กรกฎาคม 2554 17:35 น.
-http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9540000082501-
<table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> โดย : หนุ่มลูกทุ่ง
</td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="400"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="400"> </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">พระอุโบสถใหญ่โตสวยงามของวัดสุทัศน์</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top"></td> </tr> </tbody></table> ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า งานพุทธศิลป์ตามวัดวาอารามที่สวยงามที่เราเห็นกันอยู่นั้น หนึ่งในยุคสมัยที่ได้ชื่อว่ามีความวิจิตรสวยงาม มีเอกลักษณ์โดดเด่นเป็นเอกอุ ตกทอดจากอดีตมาจนถึงปัจจุบันนี้ คือ ยุคสมัยของสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ซึ่งถือกันว่าเป็นยุคที่รุ่งเรืองที่สุดในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นเลยก็ว่า ได้ เนื่องจากพระองค์ท่านทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาก จึงได้สร้างและบูรณะวัดรวมถึงพระพุทธรูปไว้มากมาย
</td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="400"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="400"> </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">พระพุทธตรีโลกเชษฐ์ พระประธานในพระอุโบสถวัดสุทัศน์</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top"></td> </tr> </tbody></table> และนั่นก็เป็นที่มาของการออกลุยกรุง “ทัศนาอาราม งามวิจิตรศิลป์ แผ่นดินพระนั่งเกล้าฯ” ในครั้งนี้ ซึ่งฉันได้ร่วมเดินทางกับคุณจุลภัสสร พนมวัน ณ อยุธยา ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปวัฒนธรรม ที่มักจะพาฉันออกทัวร์ไปสัมผัสกับสีสันของกรุงเทพฯในมุมมองที่น่าสนใจอยู่ เสมอ
สำหรับสถานที่แรกเปิดประเดิมของของพวกเราในทริปนี้ ก็คือ “เทวสถานโบสถ์พราหมณ์” ที่ตั้งอยู่ใกล้กับเสาชิงช้าและศาลาว่าการกทม. เป็นศาสนสถานในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู รัชกาลที่ 1 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2327
</td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="400"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="400"> </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">หลวงพ่อกลักฝิ่น ประดิษฐาน ณ ศาลาการเปรียญวัดสุทัศน์</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top"></td> </tr> </tbody></table> ต่อมาในรัชสมัยรัชกาลที่ 3 เทวสถานแห่งนี้ก็ได้ถูกใช้เป็นฉากสำคัญในวรรณกรรมอันเลื่องชื่อของสมัยนั้น เรื่อง “ระเด่นลันได” โดยพระมหามนตรี (ทรัพย์) แต่งเป็นบทละครเพื่อล้อเลียนบทละครเรื่องอิเหนา ในเรื่องกล่าวถึงแขกคนหนึ่งชื่อลันได ซัดเซพเนจรมาอาศัยอยู่ใกล้โบสถ์พราหมณ์ในกรุงเทพฯ มีอาชีพสีซอขอทานตามตลาดเสาชิงช้า หน้าโบสถ์พราหมณ์แห่งนี้ จนเป็นที่รู้จักกันทั่วไป แขกลันไดเข้าไปเกี่ยวข้องกับแขกอีกครอบครัวหนึ่ง สามีชื่อประดู่ ภรรยาชื่อนางประแดะ ซึ่งนางประแดะเป็นสาเหตุให้แขกประดู่กับแขกลันไดวิวาทกันบ่อยๆ เรื่องราวต่อจากนี้คงต้องไปหาอ่านกันเอาเอง แต่รับรองว่าสนุกสมคำร่ำลือเป็นแน่แท้
</td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="350"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="350"> </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">หลวงพ่อพระร่วง วัดมหรรณพ</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top"></td> </tr> </tbody></table> ส่วนภายในเทวสถานโบสถ์พราหมณ์มี อาคาร 3 หลังด้วยกัน เทวสถานหลังเอกเป็นที่ประดิษฐานประธาน ได้แก่ พระศิวะ และศิวลึงค์คู่ ส่วนเทวสถานหลังรอง 2 หลัง ประดิษฐานพระวิษณุ และพระคเณศ ซึ่งเทวสถานแห่งนี้เป็นที่นิยมในการมาสักการะบูชาขอพรกันด้วย
จากนั้นเราเดินเท้าต่อไปยัง “วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร” ซึ่งก็อยู่ถัดจากโบสถ์พราหมณ์มานิดเดียว
วัดสุทัศน์ถูกสถาปนาขึ้นใน พ.ศ.2340 โดยรัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯให้สร้างพระวิหารขึ้นก่อนเพื่อประดิษฐานพระศรีศากยมุนี (พระโต) ซึ่งอัญเชิญมาจากพระวิหารหลวงในวัดมหาธาตุ จ.สุโขทัย แต่ก็สิ้นรัชกาลเสียก่อนที่จะประดิษฐาน
</td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="400"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="400"> </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">โลหะปราสาท</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top"></td> </tr> </tbody></table> ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 2 โปรดเกล้าฯให้สร้างวัดต่อมา แต่ก็สิ้นรัชกาลเสียก่อนจะสร้างเสร็จเช่นกัน การก่อสร้างมาแล้วเสร็จบริบูรณ์เมื่อ พ.ศ.2390 ในรัชสมัยของรัชกาลที่ 3 และพระองค์พระราชทานนามวัดแห่งนี้ว่า “วัดสุทัศนเทพวราราม” ภายในพระอุโบสถขนาดใหญ่ ประดิษฐานพระพุทธตรีโลกเชษฐ์ที่หล่อในสมัยนั้น ที่เบื้องหน้าเป็นพระอสีติมหาสาวก 80 องค์นั่งฟังธรรมเทศนา
อีกทั้งพระองค์ยังได้โปรดเกล้าฯให้หล่อพระพุทธรูปจากกลักฝิ่น ที่พระองค์โปรดให้เผา หน้าพระที่นั่งสุทไธศวรรย์ บริเวณสนามไชย ในการกวาดล้างฝิ่นครั้งใหญ่ พร้อมทั้งทรงประกาศห้ามสูบฝิ่นอันเป็นคุณแก่ชาวสยามทั้งปวง ภายหลังรัชกาลที่ 4 ทรงผูกนามให้ว่า พระพุทธเสรฏฐมุนี ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ ณ ศาลาการเปรียญ
</td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="350"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="350"> </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">พระบรมสารีริกธาตุประดิษฐานด้านบนโลหะปราสาท</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top"></td> </tr> </tbody></table> จากวัดสุทัศน์ฉันเดินย้อนไปทางศาลาว่าการกทม. แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าซอยเดินตรงไปทางศาลเจ้าพ่อเสือเพื่อไปยัง “วัดมหรรณพารามวรวิหาร” ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 โดยกรมหมื่นอุดมรัตนราษีหรือพระองค์เจ้าอรรณพ พระราชโอรสในรัชกาลที่ 1
รัชกาลที่ 3 ทรงช่วยสมทบสร้างวัดและยังได้รับสั่งให้เจ้าเมืองเหนือเสาะหาพระพุทธรูปใหญ่ มาประดิษฐานเป็นพระประธานพระอุโบสถ แต่อัญเชิญมาไม่ทันพิธีฉลองพระอุโบสถและผูกพัทธสีมา พระองค์จึงทรงโปรดเกล้าฯให้สร้างพระวิหารซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมศิลปะผสมผสาน แบบจีนขึ้นไม่มีช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ เพื่อประดิษฐานพระพุทธรูปหลวงพ่อพระร่วงทองคำ
</td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="400"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="400"> </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">พระพุทธรูปศิลาขาว พระประธานวัดเทพธิดาราม</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top"></td> </tr> </tbody></table> โดยพระร่วงทองคำเป็นพระพุทธรูปศิลปะสุโขทัย สังเกตได้จากผ้าที่ห่มจะเปิดให้เห็นพระเต้า นิ้วมือจะชิดติดกัน พระเกศาขมวดเป็นก้นหอยมีเปลว ปลายสังฆฏิทอดยาวลงมาแบบไม่ตรง ดูอ่อนช้อยมีมิติ ซึ่งถือได้ว่าพระร่วงทองคำองค์นี้มีพุทธลักษณะงดงามที่สุดองค์หนึ่งใน กรุงเทพฯเลยก็ว่าได้
ไหว้ขอพรองค์พระร่วงทองคำแล้วฉันเดินเท้าลัดเลาะผ่านศาลาว่าการกทม. ไปยัง “วัดเทพธิดารามวรวิหาร” พระอารามหลวงศิลปะแบบพระราชนิยมในสมัยรัชกาลที่ 3 โดยมีพระอุโบสถ วิหาร และศาลาการเปรียญ ที่มีลักษณะหลังคาและหน้าบันเหมือนกันทั้งหมด คือ ไม่มีช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ และประดับด้วยกระเบื้องเคลือบลวดลายแบบจีน อีกทั้งยังมีตุ๊กตาหินศิลปะจีนตั้งประดับในบริเวณวัดอีกด้วย
</td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="350"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="350"> </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">รูปเคารพเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี)</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top"></td> </tr> </tbody></table> วัดแห่งนี้พระองค์โปรดเกล้าฯให้สร้างขึ้นให้กับกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ หรือสมเด็จพระเจ้าลูกเธอพระองค์เจ้าวิลาส พระราชธิดาองค์ใหญ่อันเป็นที่รักของพระองค์เอง ภายในพระอุโบสถเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธเทววิลาศ พระพุทธรูปศิลาขาวอันเป็นพระประธาน ประดิษฐานอยู่บนบุกษกคล้ายเรือ
ด้านข้างประดิษฐานพระพุทธรูปทรงเครื่องแบบโบราณที่สามารถถอดเครื่อง ทรงได้ และวัดแห่งนี้ยังเป็นที่จำพรรษาของสุนทรภู่ รัตนกวีแห่งแผ่นดินอีกด้วย
</td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="400"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="400"> </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">พระมหาสุรภีพุทธพิมพ์ พระประธานวัดปรินายก</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top"></td> </tr> </tbody></table> ส่วนวัดที่อยู่ติดกันก็คือ “วัดราชนัดดารามวรวิหาร” ก็ เป็นวัดที่มีศิลปกรรมแบบประเพณีนิยมสมัยรัชกาลที่ 3 พระองค์ทรงสร้างวัดนี้ขึ้นเพื่อพระราชทานเป็นเกียรติแก่พระราชนัดดา พระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าหญิงโสมนัสวัฒนาวดี
จุดเด่นของวัดแห่งนี้ก็คือ โลหะปราสาท ซึ่งสร้างเมื่อ พ.ศ.2389 เนื่องจากพระองค์รัชกาลที่ 3 ทรงมีพระราชศรัทธาในพระพุทธศาสนามาก และทรงมีพระประสงค์จะแสดงพระองค้ป็นมหาอุบาสก จึงได้โปรดเกล้าฯให้สร้างโลหะปราสาทแห่งนี้ขึ้น
โดยโลหะปราสาทแห่งนี้เป็นปราสาทสูง 3 ชั้น หลังคามุงด้วยแผ่นทองแดง มียอดรวม 37 ยอด มีบันไดเวียนที่สามารถขึ้นไปสักการะพระบรมสารีริกธาตุ และชมวิวพระนครได้อย่างสวยงาม จากนั้นฉันเดินออกไปยังลานพลับพลามหาเจษฏาบดินทร์ เพื่อสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 3 ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังสถานที่สุดท้ายในทริปนี้ คือ “วัดปรินายกวรวิหาร”
</td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="400"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="400"> </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">พระอุโบสถวัดปรินายก</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top"></td> </tr> </tbody></table> วัดปรินายก สร้างขึ้นด้วยแรงศรัทธาของเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเป็นพระหรหมสุรินทร์ พร้อมทำนุบำรุงวัดตลอดมา แต่เมื่อเจ้าพระยาบดินทร์เดชาสิ้นลง รัชกาลที่ 3 จึงทรงรับเป็นองค์อุปถมภ์ ยกให้เป้นพระอารามหลวงพร้อมพระราชทานนามว่าวัดปรินายก เพื่อเป็นอนุสรณ์ถึงปรินายก (เสนาบดีคู่พระทัย) ของพระองค์
ภายในพระอุโบสถของวัดแห่งนี้เป็นที่ประดิษฐาน พระมหาสุรภีพุทธพิมพ์ พระพุทธรูปศิลปะสุโขทัยที่ได้ชื่อว่างามบริสุทธิ์ของฝีมือเชิงประติมากรรม ของช่างสยาม
เมื่อไหว้พระเรียบร้อยแล้ว คุณจุลภัสสร วิทยากรของเราก็ได้พาออกไปไหว้รูปเคารพเจ้าพระยาบดินทร์เดชาส่งท้ายทริป ทัศนาอาราม ตามรอยงานศิลป์ ในแผ่นดิน รัชกาลที่ 3 ซึ่งใครสนใจ สามารถหาวันว่างออกท่องกรุงเทพฯชมมรดกแห่งงานพุทธศิลป์อันทรงคุณค่าเหล่านี้ ได้ แล้วจะพบว่ากรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมรที่พลุกพล่านวุ่นวายรถติดระยับนั้น อีกด้านหนึ่งยังมีสิ่งสวยงามๆมีสิ่งดีๆในค้นหาอยู่ไม่สร่างซา</td></tr></tbody></table>
Travel - Manager Online -
ทัศนาอาราม งามวิจิตรศิลป์ แผ่นดินพระนั่งเกล้าฯ
ในห้อง 'ท่องเที่ยว - อาหารการกิน' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 6 กรกฎาคม 2011.
-
-
เมื่อไหว้พระเรียบร้อยแล้ว คุณจุลภัสสร วิทยากรของเราก็ได้พาออกไปไหว้รูปเคารพเจ้าพระยาบดินทร์เดชาส่งท้ายทริป ทัศนาอาราม ตามรอยงานศิลป์ ในแผ่นดิน รัชกาลที่ 3 ซึ่งใครสนใจ สามารถหาวันว่างออกท่องกรุงเทพฯชมมรดกแห่งงานพุทธศิลป์อันทรงคุณค่าเหล่านี้ ได้ แล้วจะพบว่ากรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมรที่พลุกพล่านวุ่นวายรถติดระยับนั้น อีกด้านหนึ่งยังมีสิ่งสวยงามๆมีสิ่งดีๆในค้นหาอยู่ไม่สร่างซา
กรุงเทพมหานคร ยังมีสิ่งดีๆ ที่คอยให้ไปชมอยู่อีกมากมาย.... -
อนุโมทนา สาธุ ๆ
กับทุกท่านในการร่วมกัน
ทำบุญกุศลทุกอย่าง
ด้วยครับ
นิพพานัง ปัจจโย โหตุ -
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า งานพุทธศิลป์ตามวัดวาอารามที่สวยงามที่เราเห็นกันอยู่นั้น หนึ่งในยุค
สมัยที่ได้ชื่อว่ามีความวิจิตรสวยงาม มีเอกลักษณ์โดดเด่นเป็นเอกอุ ตกทอดจากอดีตมา
จนถึงปัจจุบันนี้ คือ ยุคสมัยของสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ซึ่งถือกันว่าเป็น
ยุคที่รุ่งเรืองที่สุดในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นเลยก็ว่า ได้ เนื่องจากพระองค์ท่านทรง
เลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาก จึงได้สร้างและบูรณะวัดรวมถึงพระพุทธรูปไว้
มากมาย
สาธุ สาธุ สาธุ ขอพระบาระมีปกเกล้าปกกระหม่อม พสกนิการชาวไทยทั้งหลาย ที่มีความ
เลื่อมใสในบวรพระพุทธศาสนา ให้มีแต่ความสุข ความเจริญ โดยทั่วหน้า ทั้งทางโลกและ
ทางธรรมด้วยเทอญ
ร่วมสร้างพระมหาธาตุเจดีย์จังหวัดพัทลุง เพื่อตกทอดไปถึงอนุชนรุ่นหลังร่วมกันครับ
http://palungjit.org/threads/%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%8D%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A9%E0%B8%B1%E0%B8%97%E0%B8%9A%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B9%87%E0%B8%8D%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%90%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%97%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87-%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B9%8C-%E0%B8%88-%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%97%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B8%87.236579/ -
ขอบคุณสำหรับบทความดีๆครับ
-
เมื่อสามปีที่แล้วได้เข้าไปชม โลหะปราสาท ตอนที่เดินลงมา ออกมาข้างนอกนิดหนึง
ตอนนั้นไปกับสามี เราไม่มีตังค์ เพราะยังไม่ได้กดตังค์ ก็โดนผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามา่ต่อว่า เป็นคนไทยมากับฝรั่ง ทำไมไม่บอกใ้ห้ฝรั่งหยอดตู้ เพื่อบำรุงสถานที่ เธอพูดด้วยอารมณ์โกรธ เราก็ไม่ว่าอะไร เพราะเรามาที่นี่บ่อย และก็หยอดตู้บ่อยแล้ว แต่ทีนี้ว่า ถ้าเธอทำอย่างนี้ อยู่เรื่อยๆ และทำกับหลายๆคน อีกหน่อยก็จะไม่มีใครเข้าไปอีก และเราคนนึง เวลาผ่านไปทางนั้นเคยเข้าไปเกือบทุกที ตอนนี้ถ้าผ่านไป ก็ได้แต่ยกมือไหว้ข้างนอก ไม่กล้าเข้าไป กลัวโดนอีก