ทำงานแล้วไม่ชอบใจก็อย่าเพิ่งไปลาออก

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย NAMOBUDDHAYA, 2 สิงหาคม 2019.

  1. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,109
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,003
    ค่าพลัง:
    +69,977
    c_oc=AQmzMmPEC5FMyjaVq9TE8o5G3xO_Kq3h_IxMs0ics52uk0uTU0W7A-H5iRnPeiKdJRA&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
    "ช่วงนี้ขอเตือนซ้ำอีกรอบหนึ่ง ใครทำงานแล้วไม่ชอบใจก็อย่าเพิ่งไปลาออก งานจะหายากไปเรื่อย ๆ ต่อให้รัฐบาลเขาบอกว่าเศรษฐกิจดีแค่ไหน ก็เป็นแค่ราคาคุยเท่านั้น เพราะสภาพความเป็นจริงของชาวบ้านเป็นสิ่งที่ชัดเจนที่สุด

    ช่วงอาสาฬหบูชาและช่วงเข้าพรรษาที่ผ่านมา อาตมารับเทียนพรรษาและผ้าอาบน้ำฝน ถ้าสภาพเศรษฐกิจดี ญาติโยมจะถวายสังฆทานกับผ้าอาบน้ำฝน ๔๐๐-๕๐๐ ชุดเป็นเรื่องปกติ พอรับเอาสังฆทานและผ้าอาบน้ำฝนมาแล้ว จะไปจับเป็นสลากภัต ให้พระเณรเขาจับกันว่าใครจะได้ชิ้นไหนไป

    ปรากฏว่าปีนี้พระเณรแค่ ๔๐ รูป เกือบจะหาเครื่องสังฆทานไม่พอถวายท่าน จากเดิมที่เคยได้รับ ๔๐๐-๕๐๐ ชุด ถ้าพระ ๔๐ รูป สังฆทาน ๔๐๐-๕๐๐ ชุด ก็แปลว่าพระรูปหนึ่งต้องรับไป ๑๐ ชุด จนกระทั่งบางทีพระท่านบ่นว่าเยอะเกินไป รับไม่ไหว แต่ปีนี้ท่านละ ๑ ชุด ยังเกือบจะไม่พอให้

    เราดูแค่นี้ก็รู้ว่าสภาพเศรษฐกิจจริง ๆ เป็นอย่างไร เพราะถ้าชาวบ้านไม่มีกิน เรื่องทำบุญก็ต้องมาทีหลัง ถ้าอยากจะทราบเศรษฐกิจ ถามพระชัดที่สุด บิณฑบาตทุกวัน โยมใส่บาตรมากขึ้นหรือน้อยลง รู้เห็นอย่างชัดเจน จึงได้เตือนโยมมาหลายเดือนติดกันแล้วว่า ถ้ามีงานทำให้อดทนสู้ไปก่อน อย่าได้พยายามแหกคอกออกมา"

    "เมื่อไม่กี่วันพวกขายของทางอินเตอร์เน็ตก็เพิ่งจะเผาตัวเองตายไป ซึ่งอาตมาก็เตือนนักเตือนหนาว่า อย่าคิดลักษณะ ๑+๑ เป็น ๒ จะทำอะไรก็ตามให้คิดด้านที่แย่ที่สุดไว้ก่อน ว่าถ้าพลาดจากตรงนี้เราจะเอาอะไรมาค้ำจุน เราจะถอยไปสู่จุดไหน ถ้าให้คำตอบตัวเองตรงนี้ไม่ได้ อย่าทำกิจการนั้นเลย ถ้าไม่ใช่บุญดีจริง รับประกันว่าเจ๊งแน่

    เพราะเรามักจะไปคิด ๑+๑ เป็น ๒ ก็คือ ขายของชิ้นนี้ได้กำไรเท่านี้ ขาย ๑๐ ชิ้นได้เท่านี้ ขาย ๑๐๐ ชิ้นได้เท่านี้ โดยที่ไม่ได้คิดว่า ถ้าขายไม่ได้จะเกิดอะไรขึ้น ดังนั้น...สาวขายของทางอินเตอร์เน็ตเผาตัวเองตายก็ถือเป็นเรื่องปกติ เพราะว่าไปคิด ๑+๑ เป็น ๒ พอไม่ใช่ ๑+๑ เป็น ๒ ขึ้นมาก็แก้ปัญหาไม่ตก"

    "โดยปกติเทียนพรรษาหรือหลอดไฟทางวัดจะได้เป็นคันรถ ปีนี้พระยิ้มระรื่น ไม่ต้องแบกหนัก แทบจะไม่พอให้ขนเข้าคลัง

    อาตมาอยากจะบอกให้ทุกคนตาสว่างว่า นักการเมืองพึ่งพาไม่ได้ เมื่อถึงเวลาแล้วเขาจะคิดถึงแต่พวกพ้องและตัวกู ไม่ได้คิดถึงประชาชนที่เป็นฐานเสียง ตอนหาเสียงรับปากอะไรเอาไว้ พอถึงเวลาก็ลืมเอาง่าย ๆ พวกเรามีอย่างเดียวคือ อัตตาหิ อัตตโน นาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน"

    "ช่วงที่ผ่านมา สิ่งที่อาตมาเคยบอกลวงหน้าไปเป็นปีก็ชัดแล้ว คือ ปีนี้จะแล้งจัด แต่คราวนี้การที่เราพูดล่วงหน้า ช่วงนั้นยังมองไม่เห็น ก็ไม่มีใครนึกว่าจะแล้งได้ขนาดนี้ บางคนก็ยังโยนข้อหาให้อาตมาด้วย เพราะหลวงพ่อพูดอย่างนี้ก็เลยแล้ง"

    "ดังนั้น...เรื่องที่เตือนเกี่ยวกับเศรษฐกิจก็ให้พวกเราระมัดระวังไว้ มีงานก็ทุ่มเทกับงานให้เต็มที่ ทำงานทำอย่างคนญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นถ้าเข้าทำงานที่ไหนได้ ก็คือทุ่มเททั้งชีวิตให้กับงาน ต้องบอกว่ามีความจงรักภักดีต่อบริษัท ไม่เปลี่ยนงานง่าย ๆ ไม่เหมือนคนไทยเราทำงานสองเดือนสามเดือนลาออกไปทำที่อื่น โดยอ้างว่าได้ประสบการณ์ ถ้าอาตมาเป็นเจ้าของบริษัท ใครที่อยู่ไม่ถึงหนึ่งปีแล้วลาออกมาทำงานใหม่ อาตมาไม่รับให้เสียเวลา เพราะเดี๋ยวก็ต้องรับสมัครคนใหม่อีก

    ค่านิยมที่ทำงานตรงนั้นสามเดือน ตรงนี้สี่เดือน อ้างว่าได้ประสบการณ์ ใช้กับอาตมาไม่ได้ ในเมื่อคุณไม่มีความอดทนเพียงพอที่จะทำงานอยู่ที่ไหนนาน ๆ ก็มีแต่จะสร้างความวุ่นวายให้กับหน่วยงานนั้น เพราะเขาก็ต้องหาคนใหม่อยู่บ่อย ๆ"

    "ปัจจุบันนี้โดยเฉพาะการทำงานอยู่กับบ้าน เช่น การรีวิวสินค้า รีวิวท่องเที่ยว หรือไม่ก็ถ่ายรูปสวย ๆ ลงเพื่อให้คนมาติดตามมาก ๆ เพื่อให้ได้ค่าโฆษณา หรือแม้กระทั่งถ่ายรูปโป๊เพื่อจะเรียกยอดไลค์ แล้วก็จะได้ส่วนแบ่ง เหล่านี้ทำให้คนมักง่ายขึ้น

    โดยเฉพาะเด็กยุคใหม่ไม่มีความอดทนพอ พออาตมาเอ่ยตำหนิเรื่องการเรียนก็ยกเอามาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ยกเอาสตีฟ จ๊อบ ขึ้นมาเป็นตัวอย่าง ว่าสองคนนี้ไม่เห็นจะเรียนจบปริญญาตรี ก็ประสบความสำเร็จ มีเงินเป็นหมื่นล้านแสนล้าน...จริงของเขา แต่เขาเรียกว่ายกขึ้นมาโดยไม่ได้ดูความเป็นจริง ว่าประชากรเกือบ ๖,๐๐๐ ล้านคน สองคนนี้ประสบความสำเร็จ แต่อีกห้าพันกว่าล้านคนเป็นอย่างไร ?

    โดยเฉพาะบ้านเรา กระทั่งกวาดถนนก็ต้องมีวุฒิการศึกษา เพราะฉะนั้นเด็กรุ่นใหม่ที่ไม่ยอมเรียน ถึงเวลาทำงานประสบความสำเร็จ เป็นเน็ตไอดอลบ้าง อะไรบ้าง เป็นความกลวงเปล่าในชีวิต คนเรามีความเป็นวัยรุ่นอยู่กี่ปี ? พอพ้นระยะนั้นแล้ว คุณสามารถรักษาความเป็นเน็ตไอดอลอยู่ได้ไหม ? ถ้าคุณรักษาไม่ได้ แล้วคุณจะเอาความรู้อะไรไปทำมาหากิน ในเมื่อคุณไม่เรียน ?"

    "แต่อาตมาก็ไม่ค่อยห่วง เพราะเรื่องการเอาตัวรอด คนไทยเรามีมาตั้งแต่ในดีเอ็นเอแล้ว ถึงได้มีสำนวนว่า “มะกอกสามตะกร้าปาไม่ถูก” มะกอกลูกใหญ่กว่าหัวแม่มือนิดเดียว ตะกร้าหนึ่งหลายร้อยลูก สามตะกร้าน่าจะเป็นพันลูก ขนาดนั้นยังขว้างไม่ถูก ลื่นเป็นปลาไหลขนาดไหน ? ก็ต้องบอกว่าเป็นความมักง่าย ในเมื่อพื้นฐานไม่แน่น จะไปทำอะไรก็ลำบากไปหมด"

    "ถามว่ามาบ่นทำไม ? ทนเห็นสภาพสังคมเละเทะของเราไม่ไหว เพราะสภาพสังคมเกิดจากในบ้าน พ่อออกไปทำงาน แม่ออกไปทำงาน ไม่มีใครดูลูก สมัยนี้การเป็นครอบครัวขยายก็หมดไป ส่วนใหญ่ก็แยกตัวออกไปอยู่กันแค่สองคน พอมีลูกขึ้นมาก็สามคนหรือสี่คน ไม่เกินกว่านั้น คือพ่อแม่และลูกสองคน ไม่มีใครดูแลต้องจ้างพี่เลี้ยง เด็กก็เว้าลาวบ้าง พูดเขมรบ้าง พูดพม่าบ้าง ได้ก่อนภาษาไทยเสียอีก ถ้าไปเจอพี่เลี้ยงที่รับผิดชอบก็ดีไป เจอประเภทไม่รับผิดชอบ กลับบ้านมาลูกอาจจะน่วมไปทั้งตัว หรือถึงตายไปแล้วก็มี

    ในเมื่อสถาบันครอบครัวล้มเหลว พ่อแม่ไม่อยู่ ไม่มีปู่ย่าตาทวดคอยอบรม เด็กก็โตมาในลักษณะที่เห็นในปัจจุบัน ก็คือฉาบฉวย คิดไม่เป็น เอาแต่ความสนุกเฉพาะหน้า แว้นจนหัวขาดยังไม่รู้ตัวอีก ไม่เคยนึกว่าสิ่งที่ตัวเองทำสร้างความเดือดร้อนให้กับตัวเองและครอบครัวแค่ไหน เอาแต่ความสนุกเฉพาะหน้าเข้าว่า ก็เลยกลายเป็นบุคคลที่ควบคุมอารมณ์ไม่เป็น ปล่อยให้อารมณ์นำหน้าเหตุผล สังคมถึงได้วุ่นวายอยู่ทุกวัน

    ฉะนั้น...ถ้าใครคิดว่าอบรมลูกหลานให้ดีไม่ได้ ก็อย่าไปมีเลย จะได้ไม่ไปซ้ำเติมสังคมให้แย่ไปกว่าเดิม ยิ่งไปเจอประเภทถามว่า “รู้ไหมกูลูกใคร ?” ขนาดพ่อแม่ตัวเองเป็นใครยังไม่รู้ แล้วไปเที่ยวถามคนอื่น คิดว่าคนประเภทนี้จะสร้างความเจริญให้กับสังคมได้ไหม ?"

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    (หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน)

    เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนสิงหาคม ๒๕๖๒
     

แชร์หน้านี้

Loading...