ทำยังไงดี เมื่อเห็นอะไรๆเป็นทุกข์

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย saturday_rainy, 15 มีนาคม 2010.

  1. saturday_rainy

    saturday_rainy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2009
    โพสต์:
    335
    ค่าพลัง:
    +957
    คำถามนี้อยากให้คนที่พ้นสภาวะนี้เข้ามาตอบด้วยนะครับเพื่อเป็นการเจริญ วิปัสนา ก็ขออนุโมทนากับทุกท่านล่วงหน้าเลยแล้วกัน

    เคยมั้ยที่เคยกินอะไรที่ชอบมากแล้ววันหนึ่งกลับคิดว่า "มันก็อร่อยแปปเดียว เดี๋ยวมันก็หมดรสชาดไป ไม่กินมันเลยก็ได้ ไม่เปลืองตังด้วย"

    เคยมั้ยเคยดูภาพคนสวยๆแล้ว มองแล้วมองอีกแต่พอมาตอนนี้ก็รู้สึกว่า"น่าเบื่อเป็นบ้าเลย เดี๋ยวใหญ่เดี๋ยวเล็ก หรือบางทีก็คิดว่า ก็งั้นๆแหล่ะ เดี๋ยวอีก10 ปีก็เหี่ยว"

    เคยมั้ย "เห็นว่ารายการทีวีต่างๆนั้นน่าเบื่อ แต่กรณีนี้อาจเป็นเพราะมันน่าเบื่อจริงๆก็ได้"

    เคยมั้ยคิดว่า"เทวดาไม่เห็นจะสวยเลย อย่างกับพระเอกลิเก สวยจริงต้องสะอาดเอี่ยมแบบไม่มีอะไรเลยสิ หมดจดไร้ที่ติสิ ถึงจะสวยจริง"

    เคยคิดมั้ย "มีอภิญญา ตาทิพย์ไปทำไม อยากเหาะได้ไปทำไม เราอยากมีเพื่อเอาไปช่วยคนอื่นเหรอ หรืออยากโชว์ว่าเราเหนือกว่าคนอื่น เพื่อให้เขายกย่องเรา นับถือเรา ตายไปไม่ตกนรกก็บุญนักหนาแล้ว ไม่เอาอะไรมันทั้งนั้น"

    หวังว่าจะได้คำตอบที่ประทับใจครับ
     
  2. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    [​IMG]

    จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน


    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่อย่างไรเล่า ?
    ภิกษุในธรรมวินัยนี้ จิตมีราคะ ก็รู้ชัดว่า จิตมีราคะ หรือจิตปราศจากราคะ ก็รู้ชัดว่า จิตปราศจากราคะ
    จิตมีโทสะ ก็รู้ชัดว่า จิตมีโทสะ หรือจิตปราศจากโทสะ ก็รู้ชัดว่าจิตปราศจากโทสะ
    หรือจิตมีโมหะ ก็รู้ชัดว่า จิตมีโมหะ หรือจิตปราศจากโมหะ ก็รู้ชัดว่า จิตปราศจากโมหะ
    จิตหดหู่ ก็รู้ชัดว่าจิตหดหู่ หรือจิตฟุ้งซ่าน ก็รู้ชัดว่าจิต ฟุ้งซ่าน
    จิตเป็นมหรคต ก็รู้ชัดว่า จิตเป็นมหรคต จิตไม่เป็นมหรคต ก็รู้ชัดว่า จิตไม่เป็นมหรคต
    จิตมีธรรมอื่นยิ่งกว่า ก็รู้ชัดว่า จิตมีธรรมอื่นยิ่งกว่า หรือจิตไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า ก็รู้ชัดว่า จิตไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า จิตตั้งมั่น ก็รู้ชัดว่า จิตตั้งมั่น
    หรือจิตไม่ตั้งมั่น ก็รู้ชัดว่า จิตไม่ตั้งมั่น จิตหลุดพ้น ก็รู้ชัดว่า จิตหลุดพ้น หรือจิตยังไม่หลุดพ้น ก็รู้ชัดว่า จิตยังไม่หลุดพ้น ดังพรรณนามาฉะนี้
    ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตภายในบ้าง พิจารณาเห็นจิตในจิตภายนอกบ้าง พิจารณาเห็นจิตในจิตทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง พิจารณาเห็นธรรมคือ ความเกิดขึ้นในจิตบ้าง พิจารณาเห็นธรรมคือความเสื่อมในจิตบ้าง พิจารณาเห็นธรรมคือทั้งความเกิดขึ้น ทั้งความเสื่อมในจิตบ้าง ย่อมอยู่
    อนึ่ง สติของเธอตั้งมั่นอยู่ว่า จิตมีอยู่ ก็เพียงสักว่าความรู้ เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรในโลก
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ ฯ <O:p</O:p


    สติปัฏฐานสูตร ๑๒/๘๔ <O:p</O:p

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มีนาคม 2010
  3. Apinya17

    Apinya17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    775
    ค่าพลัง:
    +3,022
    เป็นมา 7 ปี แล้วเรื่องดูหนัง ดูละคร ดูเท่าไหร่ๆ ก็เหมือนเดิม ไม่มีไรแตกต่างไปจากเดิม

    เรื่องการเมือง ประท้วงกันไป ประท้วงกันมา เป็นแบบนี้หลายสิบปี ก็ยังประท้วงกันให้ได้อะไรขึ้นมา

    เคยคิดเหมือนกัน ถ้าเราไม่ต้องการอะไรในชีวิตแล้ว จะเสาะ จะหา ให้ได้มาเพื่อประโยชน์อันใด
    กินไปเท่านั้น สวยไปก็เท่านั้น เดี๋ยวก็แก่ ก็เหี่ยว ก็เจ็บ
    รถยนต์ซื้อมา ก็เท่านั้น เดี๋ยวก็พัง ข้าวของอะไรทุกอย่างเดี๋ยวก็พัง
    คนรัก ที่รักกัน ก็ต้องมาพรากจากกัน ตายจากกัน

    ....

    เมื่อเช้า ขณะตื่นนอน ..... ต้องไปทำงานอีกละ ไม่อยากทำ ไม่อยากมี ไม่อยากได้อะไรแล้ว เบื่อๆๆๆ ชีวิตซ้ำซากอยู่ทุกวัน เดี๋ยวก็ตายแล้ว

    สรุป ก็ยังไม่พ้นสภาพ ยังอยู่วงเวียนชีวิต เกิด แก่ เจ็บ ตายอยู่ ..... หน้าที่ยังมีอยู่ ก็ทำตามหน้าที่ของต้นไป
     
  4. ไข่น้อย

    ไข่น้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    170
    ค่าพลัง:
    +348
    ตามท่าน Phanudet ครับ อิอิ
    จะดูกายด้วยก็ดีนะครับ
     
  5. mib8gdviNz

    mib8gdviNz เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,009
    ค่าพลัง:
    +1,523
    อนุโมทนาครับ ^^

    เกิดมาก็มีแต่ทุกข์นี่แหละเน๊อะ~..

    เฮ้อออ~
     
  6. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,310
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,002
    หนังสือชีวิตเป็นอย่างนี้ใต้ comment ผมช่วยทุกคนได้ครับ มาโหลดไปอ่านกันครับ อนุโมทนาครับ
     
  7. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    53
    ค่าพลัง:
    +4,024
    นั่นก็ทุกข์ นี่ก็ทุกข์ ทุกข์ทุกที่
    ทุกข์เพราะมี เกิดขึ้น สูญสลาย
    ทุกข์เกิดขึ้น มั่นอยู่ แล้วต้องตาย
    ทุกข์ไม่คลาย ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป


    ใจมีสุข สุขที่ตัว ช่างผ่องใส
    สุขข้างใน สุขให้ทั่ว สุขแจ่มใส
    สุขนั้นมี สุขตั้งอยู่ สุขไม่ตาย
    สุขไม่คลาย สุขตั้งอยู่ ไม่ดับไป


    โอ้วนั่นสุข นี่นี้สุข สุขที่ไหน
    สุขที่ใจ สุขที่อยู่ ในกุศล
    ข้างนอกทุกข์ ข้างในสุข ได้ไรกัน
    ทำได้นั้น มีใจสุข ทุกถิ่นแดน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 มีนาคม 2010
  8. เวลานาที

    เวลานาที เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2010
    โพสต์:
    378
    ค่าพลัง:
    +1,349
    เป็นแค่ความคิดชั่วขณะเท่านั้นเอง คิดกลับไปแล้วก็กลับมาเท่านั้น ไม่เกิดประโยชน์อะไร
     
  9. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    53
    ค่าพลัง:
    +4,024
    ทำไงดี เมื่อใจเรา แลเห็นทุกข์
    ใจมีจุด ใจเราเบื่อ นั้นเป็นฐาน
    ให้ใจวาง เพราะใจเห็น ไม่เป็นความ
    ใจจะยอม ทุกสิ่งเป็น เช่นนั้นเอง

    มันก็เป็น มันเช่นนั้น จนมันสลาย
    ใจวางวาย ใจแดดิ้น ไปไฉน
    ก็ช่างมัน ก็ช่างเผือก ก็ช่างกาย
    ใจจักคลาย ใจยอมรับ ถึงตัวใจ
     
  10. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169
    ถาม........ทำยังไง?
    ตอบ........ทำความเข้าใจ เพื่อ ปลง...
     
  11. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,801
    ค่าพลัง:
    +7,939
    อันนี้เป็น ความเบื่อแบบธรรมดา เรียกว่า เบื่อตามวัยวุฒิ หรือ ตามอายุ

    คนที่มีอายุ(ตัวเเลข)อานาม(ชื่อเสียง)มากขึ้น สะสมมากขึ้น ก็จะเกิดสิ่งที่เรียก
    กันว่า วัยวุฒิ และ พุฒิภาวะ รวมทั้งหมดเรียกตามภาษพื้นบ้านว่า "อาบน้ำร้อน"

    กล่าวคือ เมื่อเห็นชื่อเสียง แลเรื่องราวในโลกมาพักหนึ่ง ก็จะเริ่มเห็นว่า เป็นสิ่ง
    ที่แปรเปลี่ยน ไม่อาจสร้างความสุขให้ได้จริง จะเกิดการละวาง ไม่อยากจะยุ่ง
    ไม่หลงไหล แต่ถ้ามีอะไรแจ่มๆ หรือ อะไรที่เขาเฮโลกัน ก็อาจจะหวือหวาเกิด
    ไฟลุกโชนไปพร้อมๆกับเขาได้อยู่

    ที่น่าสังเกตุ เนื้อหาสารของความเบื่อที่ปรารภมานั้น จะเห็นว่า มีเรื่องของ
    บุคคลอื่นเข้ามาเปรียบเทียบด้วย นั่นหมายถึงมองความไม่เที่ยงเหล่านั้นให้
    กลายเป็นเรื่องของคนอื่น แล้วอาศัยความไม่เที่ยง ความมัวเมาของคนอื่น
    นั้นเป็นแรกผลักดันให้เรา นิ่งเฉย แลดูเที่ยงแท้ .... พูดแบบไม่ถนอมน้ำใจ
    เจ้าของกระทู้ ก็จะพูดว่า อาศัยความไม่ดีของคนอื่นเพื่อยกตนขึ้นว่าเลิส
    โดยอาศัยการผ่านร้อนผ่านหนาวมาก่อนเป็นเนื้อหาสาระในการแทงตลอด

    แต่จะผิดไหมที่ทำอย่างนั้น ย่อมไม่ผิด และเป็นเรื่องธรรมาดาสามัญ

    และถ้าต้องการที่จะเข้าถึงหนทางที่แท้ ที่ไม่กลับไปกลับมา ไม่โดนความ
    สรวญเสเฮฮาเฮโลชักพาไปได้อีก ก็เพียงแต่เอาความเบื่อตัวนี้ยกขึ้นเป็น
    อารมณ์ที่ถูกรู้ถูกดู เอาธรรมชาติที่เราเป็นมายกขึ้นดูอีกชั้น โดยการยกครั้ง
    นี้จะต้องจำกัดวงมาที่ ตัวเราเองล้วนๆ ไม่เอาไปเปรียบเทียบ หรือ อาศัย
    พฤติกรรมของผู้อื่นมาเปรียบเทียบกับเรา

    แต่เราจะเอาพฤติกรรมการเบื่อของเรา ที่ปรากฏ อันถือว่า เป็นอารมณ์ใน
    ใจคุณแน่ๆ นั่นแหละมาแยกออกไปให้เหมือนดูคนอื่นกำลังแสดงอารมณ์
    นั้น กล่าวคือ เหมือนมีเจ้าของกระทู้อีกคนหนึ่งเป็นผู้แสดงอารมณ์เบื่อ
    นั้น สลับกับการมีเจ้าของกระทู้อีกคนหนึ่งที่ไหลไปตามโลกเสียแล้ว

    คนที่เหมือนเจ้าของกระทู้ที่แสดงอารมณ์เบื่อ จะแสดงสภาวะสงบ นิ่งไม่ไหล[เป็นได้ทั้งกลางๆ หรือ กุศล หรือ อกุศล ]

    คนที่เหมือนเจ้าของกระทู้ที่ไหลไปตามกระแสโลก จะแสดงสภาวะไม่สงบ ไม่นิ่ง มีแต่ไหล[เป็นได้ทั้งอกุศล หรือ กลางๆ หรือ กุศล]

    ดูทั้งสองสภาวะนั้นกลับไปกลับมาตามความเป็นจริง ตามที่ปรากฏ ไม่ใช่
    ไปบิ้วอารมณ์ขึ้นมาเป็น เพื่อเอามาดู

    เมื่อดูอย่างนี้บ่อยๆ เนืองๆ จะเริ่มเห็น ตัวเจ้าของกระทู้เองนั่นแหละ เป็นบุคคล
    อื่นที่กำลังถูกเฝ้าดู เริ่มเข้าบทบาลีที่เรียกว่า "อัตตา โจทะยัตตานัง" กล่าว
    คือ ยกตนขึ้นมาส่งเข้าไปเพียรเผากิเลส

    เมื่อทำบ่อยๆ จะค่อยระลึกเห็น สภาวะธรรมหนึ่ง ที่เป็น ผู้รู้ ผู้ดู หรือ ผู้
    เอาตัวเองตั้งเป็นโจทย์ เมื่อเริ่มเห็น สภาวะที่เป็นผู้เฝ้ารู้ ตามรู้ ตามดู
    พฤติกรรมตัวเองขึ้นมาได้เมื่อไหร่ ก็จะเรียกว่า แยก รูป กับ นาม ได้

    เมื่อแยก รูป-กับ นามได้ แล้วให้ยก สภาวะ ผู้รู้ ผู้ดู ที่ปรากฏนั่นอีกที จะเห็น
    เลยว่า ผู้รู้ ผู้ดู นั่นแหละไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และ เป็นตัวที่ไหลไปไหลมา

    เห็น ผู้รู้ ผู้ดู ไหลไปไหลมา เห็นความเป็นจริงของ จิตผู้รู้ ไม่เที่ยง ยิ่งกว่า
    สมมติพื้นๆ(ตัวตนที่ยกขึ้นเพื่อดูเบื่อ) ก็จะเกิดความละวางขึ้นอีกชนิดหนึ่ง
    ซึ่งตรงนี้ถึงจะเรียกว่า เป็นวิราคะธาตุ(เบื่อหน่ายสังสารวัฏ-โลกของรูปนาม)

    เราจะต้องเบื่อต่อโลกของรูปนามในตัวเรา ไม่ใช่โลกกลมๆที่มี เรา มีเขา
    มีสัตว์ สัตว์ที่เราต้องเห็นคือ รูปกับนาม ที่เป็นเหตุ(คติ)ให้เกิดการครอง
    ภพครองชาติ ...เมื่อนั้น ถึงจะเรียกว่า เห็นทางพ้น เห็นความเบื่อหน่าย
    ที่ถูกฝาถูกตัว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มีนาคม 2010
  12. daruma

    daruma เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    209
    ค่าพลัง:
    +533
    เอ่อ.....ไม่ขอออกความคิดเห็นละกัน แวะเข้ามาดูความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์จากเราเราท่านท่านทั้งหลายเฉยๆ เพราะยังไม่ถึงขั้นเบื่อหน่ายขนาดนั้น
    ยังคงใช้ชีวิตตามปกติ คับ
     
  13. ธัมมนัตา

    ธัมมนัตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,515
    ค่าพลัง:
    +9,765
    การที่คิดว่ามีทุกข์ ก็คือยังคิดว่ามีตัวเราอยู่ ในความเป็นจริงไม่มีเรา แล้วมันจะมีทุกข์ไปได้อย่างไร เป็นสภาวะหนึ่งตามธรรมชาติเท่านั้น

    พิจารณาตามบาทคาถานี้ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานเลยครับ
    ได้มาจากวัดนาป่าพง

    เป็นสุดยอดพระพุทธพจนสำหรับการระงับทุกข์ได้อย่างเยี่ยมยอดจริงๆ เป็นการละทังสมมตและวิมุตในเวลาเดียวกัน

    แต่ต้องน้อมปัญญาพิจารณาไปในทุกขณะจิต ทั้งกาย เวทนา จิต และธรรมรมณ์ เมื่อเกิดสิ่งใดเข้ามาในจิตไม่ว่าจะเป็นกุศลหรืออกุศลก็ตามตลอดเพื่อละความเป็นตัวเราคือ


    เนตํ ม ม เน โส หมสฺมิ นเม โส อตฺตา
    นั่นมิใช่ของเรา นั่นมิใช่เรา นั่นมิใช่ตัวของเรา
    <O:p</O:p
     
  14. Bull_psi

    Bull_psi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +1,445
    ไม่กินเพื่อประดับแต่กินเพื่อดำรงค์ขันต์5อันยังประโยชน์ได้ไว้ กินเพียงเพื่อดับทุกขเวทนา
    เพราะเห็นประโยชน์ที่แท้ของการกิน เห็นแจ้งว่าความอร่อยเองก็ไม่เที่ยง

    มองสาวไม่เกิดอารมณ์เพราะ เด็ก เพราะแก่ เพราะเป็นญาติ เพราะไม่ถูกใจ ไม่สวย
    ใหญ่เล็กขาวดำ ดัดฟัน แต่ไม่เกิดอารมณ์เพราะ
    เห็นเพียงสักแต่ว่าเห็น เห็นด้วยว่าสวยสักแต่สวยมิได้ปรุงเป็นอารมณ์พอใจ ไม่พอใจ
    เพราะเห็นเพียงเกสา โลมา ขนา ทันตา ตโจ เป็นธาตุ4

    รายการทีวีแท้จริงก็เพื่อโฆษณาขายของ ครอบงำมวลชน
    นักเศรษฐศาสตร์บอกโลกนี้มีเรื่องเดียว คือ ขายของ

    ตาทิพย์เองหรือความสำเร็จต่างๆก็เป็นไปตามเหตุปัจจัย

    ทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ ดับทุกข์ วิธีดับทุกข์

    ทุกที่คิดไม่คิดก็ไม่ทุกข์

    ทุกข์ที่ทำชั่ว ไม่ทำชั่วก็ไม่ทุกข์
    เช่น
    ทุกข์ที่กินอาหารไม่อร่อย หรือ ทุกข์ที่คาดหวังว่าอาหารจะอร่อย หรือทุกข์ที่อาหารแพง
    ทุกข์ที่กินอร่อยจนเบื่อ หรือทุกข์ที่ไม่มีจะกิน แม้แต่ทุกข์เพราะกินหมดแล้ว
    วิธีดับทุกข์ในกรณีนี้ก็ใช้วิธีต่างกันตามแต่ละเหตุ

    เหตุแห่งทุกข์ทั้งปวงก็คือ การยึดมั่นเป็นตัวตน นั่นเอง 5 5 5
     
  15. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,697
    ค่าพลัง:
    +1,559
    มีทุกข์ ก็พิจารณาทุกข์สิครับ แต่ทุกข์แบบนี้รู้สึกพระท่านเรียกว่าทุกข์สมมุติหนะนะ คือทุกข์ที่เกิดแล้วทุกข์ประเดี๋ยวประด๋าวแก้ไขได้ง่ายๆ หนีได้หลีกได้ง่ายๆ หรือไม่หนีไม่หลีกก็ทำความเคยชินได้ง่าย ยอมรับได้ง่ายๆ

    ทุกข์ของจริงยกตัวอบ่างเช่น ความป่วย ความตาย เมื่อไรเจอ2อย่างนี้แล้วทุกข์นั้นหละทุกข์ของจริง คนธรรมดาทั่วๆที่เจอความป่วยความตายมาเยือนไม่มีสักคน ที่ไม่ทุกข์

    แต่ก็ยังดีที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นทุกข์....
     
  16. saturday_rainy

    saturday_rainy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2009
    โพสต์:
    335
    ค่าพลัง:
    +957
    อนุโมทนากับคำตอบของทุกท่านและบางท่านที่ชี้จุดดูจิตผมไปพร้อมกับอธิบายไปด้วย อันที่จริงผมต้องการรู้การดูจิตตามสติปัฐฐานสูตรว่าผู้รู้ หรือผู้เห็นธรรมอยู่เป็นนิจเขาใช้อะไรเป็นฐาน ซึ่งถ้าเรานำมาใช้ให้ถูกจุดเราสามารถที่จะมีจิตใจชื่นบานในโลกแห่งความทุกข์ได้เป็นอย่างดี
    ขอให้ทุกท่านเเจริญในธรรม ทำกิจการใดสำเร็จสมกับที่มุ่งหมายไว้ด้วยดีครับ
     
  17. saturday_rainy

    saturday_rainy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2009
    โพสต์:
    335
    ค่าพลัง:
    +957
    ตามที่บอกมานั้น ถูกต้องแล้วครับเป็นอารมรณ์เกิดดับชั่ววูบเดียว ที่เกิดขึ้นเวลาเห็นอะไรที่ไม่พอใจ เพราะในขณะที่นั่งในร้านเนตก็พบเห็นผู้คนมากมาย ใกล้ๆผมเองก็พบเกย์เฒ่ากำลังดูคลิปวีดีโอชาย+ชายอยู่ จิตเกิดสลดหดหู่ปนสยึมกึ๋ย ขณะพิมพ์คีย์บอร์ดก็รู้สติอยุ่แต่ลืมพิจารณา ดีที่พี่ Phanudet ยกพุทธพจน์มา เตือนสติผมได้มากมาย
    จึงสมมติวิธีการละสังโยชน์ หรือหาอารมณ์ตัด แต่ก็ยังสงสัยอยู่นั่นเอง
    ถ้าพระอนาคามีละแล้วซึ่งอารมณ์โกรธ ท่านจะละได้อย่างไรเมื่อมีคนทำกับท่าน โดยที่ไม่ได้พิจารณาจิตผู้อื่น แล้วเข้าใจด้วยเมตตา มันคงไม่เกิดขึ้นแล้วกลายเป็นมนุษย์ตอไม้ ไร้อารมณ์หรอกใช่มั้ยครับ
     
  18. saturday_rainy

    saturday_rainy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2009
    โพสต์:
    335
    ค่าพลัง:
    +957
    มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมนอนสบายๆขณะจิตยังทรงสมาธิ เจ้ากายในมันอยากออกแต่ก็ฝืดเต็มทนเหมือนติดกาวตาช้างไว้รอบกาย ก็เกิดรำคาญเผลออุทานไปว่า "ไอ้ร่างกายเฮงซวยนี่" ชั่วขณะขาก็กระเด็นออกจากเปลือกดังติดสปริง
    ถ้าอย่างนั้นการวิปัสนาขณะสมาธิในเวลาที่ถูกต้องก็ทำให้ละสักกายได้
    วันที่เกิดอารมณ์ไม่พอใจขึ้นซึ่งดับไปแล้วนะในตอนนี้ เรารู้สึกได้ถึงกำลังอนุโมทนาที่ได้รับเมื่อคืนก่อนซึ่งอาจมาจากคนที่คลิกเข้ามาแต่ไม่ได้ตอบ หรือคนที่มาตอบแต่รู้สึกหดหู่ไปด้วยกับข้อเขียนที่ผมยกขึ้นมา เพราะในวันนั้นคนที่เคยด่าเราบ่อยๆทุกครั้งเวลาที่เราเดินผ่านกลับชมเราแบบพูดลับหลัง สิ่งนี้อาจเป็นแค่เรื่องบังเอิญที่เกิดขึ้นในใจคน เห็นสิ่งที่ชอบก็พอใจ เห็นสิ่งที่ไม่พอใจก็ระบายออกมา แต่ทำให้ผมรู้สึกว่ากระแสแห่งมรรคและผลเกิดขึ้นพร้อมกัน
    สิ่งที่ผมบอกไปเป็นแค่ความรู้สึกนะ ซึ่งอาจผิดไปเต็มๆ ผมเป็นเพียงผู้น้อยผิดพลาดประการใดก็ขออภัย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มีนาคม 2010
  19. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,462
    ค่าพลัง:
    +1,137
    เมื่อพบสิ่งที่พอใจแล้ววันนึงไม่พอใจใยดีต่อสิ่งนั้นแล้วก้อย่าได้นำมาใส่ใจ
    ความพอใจและไม่พอใจ ล้วนเป็นธรรมที่เกิดขึ้นเป็นธรรมดา
    สิ่งต่างๆที่กล่าวมาเป็น การมีสติรู้ละลึกในความพึงพอใจตน ต่อ กามฉันทะ
    รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เพียงรุ้ว่าพอใจ และไม่พอใจต่อมันอย่างไรจัดว่ามีสติสัมปชัญญะ พึงเพิกต่อความพอใจและไม่พอใจนั้นไม่เก็บมาเป็นเราเป็นอารมณ์

    ความไม่รู้นั้นแหละทำไห้เข้าไปยึดไว้ ไม่สิ่งใดก้สิ่งหนึ่ง

    เมื่อเห็นว่ามันงามก้รู้ว่ามันงาม เมื่อเห็นว่ามันไม่งามก้รู้ว่ามันไม่งาม
    ใจที่ไม่ เกิด ปติคะต่อความงามและความไม่งามจะไม่ทุรนทุรายต่อมันมันจะเป็นอย่างไรก้ได้ จะงามจะไม่งามก้ไม่เป็นไร
     
  20. นายตถาตา

    นายตถาตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2010
    โพสต์:
    830
    ค่าพลัง:
    +705
    ผมเข้ามาดูเวปยังเป็นทุกข์เลยวันไหนไม่เข้ามาดูมันเหมือนขาดอะไรไปอย่าง
     

แชร์หน้านี้

Loading...