อนุโมทนาครับ ในคำกล่าวเตือน แต่พระอาจารย์ที่ผมนับถือนั้น
บรรลุมรรคผล และ เข้านิพพานไปหมดแล้วครับ
ขอกล่าวถึงเพียงท่านเดียวนะครับ หลวงปู่มั่น ครับ
ทำไมต้องอ้างว่าตัวเองเป็นอรหัต หรื่อได้อะรัยบ้างอย่าง
ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย เชอะกราว, 7 กันยายน 2011.
หน้า 2 ของ 5
-
ธรรมดา คนที่จะพยากรณ์ ภูมิจิต ภูมิธรรมของคนอื่นได้ ก็ต้องมี ภูมิที่เสมอ
กัน หรือ สูงกว่า......
-
พระพุทธเจ้าตรัสว่า อัตตนา โจทยัตตานัง จงเตือนตนไว้เสมอ และจงโจทย์ตน กล่าวโทษตนไว้เป็นปกติ หาความชั่วของตัว อย่าไปหาความชั่วของบุคคลอื่น ถ้าเลวมากเมื่อไหร่ เราก็เพ่งเล็งความเลวของบุคคลอื่นมากเท่านั้น ถ้าเราดีมากเท่าไหร่เราก็ไม่มองเห็นความเลวของบุคคลอื่น เพราะยอมรับนับถือกฎของกรรม
-
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ผมเชื่อว่าบรรลุมรรคผลนิพพานครับ
หลวงปู่แหวน สุจิณโณ ผมเชื่อว่าบรรลุมรรคผลนิพพานครับ -
โดยรวม เพราะเรื่องนี้มีความละเอียด และเสี่ยงต่อการกระทบ "อารมณ์"
ของท่านอื่นๆได้ บางครั้งการศึกษาจาก ความผิดพลาดของท่านอื่นๆก็เป็นวิธี
ที่ดีเพราะมีตัวอย่างปรากฏแล้ว บางครั้งมัวแต่อยู่กับตัวเองมากๆ อาจถูกกิเลส
ครอบหัวเอาได้นะครับ... -
สิ่งที่ผมมุ่งหวัง คือ อยากให้ทุกท่านปฏิบัติให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ด้วยตนเอง
รู้เอง เห็นเอง เข้าใจด้วยตนเอง ต้องขออภัยบางครั้งคำพูดจา จะดูแรงไปบ้าง
ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ เป็นกุศโลบาย มีกุศลเจตนาเป็นที่ตั้ง ไม่ได้มุ่งหวังเบียดเบียนท่าน
ใดเป็นกรณีพิเศษ อยากให้ศาสนาพุทธเรา ตั้งมั่นอยู่ไม่ศูนย์สลายไปก่อนวัยอันควร
ถ้าเรา เหล่าบริษัททั้ง ๔ ไม่ช่วยกัน....ใครจะช่วยเรา..... -
-
ถ้าใช้ สติ พิจารณาโดยรวมก็จะเห็นโทษ ของการโจทย์เขา เพราะเป็นเรื่องมีความละเอียด เสี่ยงต่อกระทบอารมณ์ของผู้อื่น โจทย์เขา โทษเขา แต่ไฟสุมอยู่ในเรา เอากรรมของเขามาเผาตัวเรา ซ้ำยังแก้ไขเขาไม่ได้ด้วย อยู่กับตัวเอง อบรมตัวเอง แก้ไขตัวเอง เพราะเชื่อในกฎแห่งกรรม กรรมใดใครประกอบย่อมเป็นสมบัติผู้นั้น กิเลสจะครอบหัวก็เอาเถอะครับถ้าโดนครอบเมื่อไหร่เดี๋ยวจะขอออกมาจับผิดคนอื่นด้วย
-
ขอยกตัวอย่าง เรื่องสมัยพุทธกาล วิสาขาอุบาสิกา ท่านพบว่าพระอุทธายี
มีประพฤติรุมร่ามเรื่องเกี่ยวกับสีกาอยู่เสมอ อันอาจเป็นที่ครหา และตำหนิจาก
พุทธบริษัทและ นักบวชต่างศาสนา อันจะเป็นเหตุให้พระศาสนาตั้งมั่นอยู่มิได้นาน
ท่านเล็งเห็นประโยชน์ในเรื่องนี้ ท่านจึงได้นำความขึ้นกราบทูลต่อ
พระบรมศาสดา จึงได้มีวินัยบัญญัติ ข้อ อนิยต ๒ ประการ ก็เพราะได้
วิสาขาอุบาสิกาเป็นเหตุ "กล้าท้วงติง" ในประพฤติที่สุ่มเสี่ยง น่าสงสัย
ลองสมมุตินะครับว่า ทุกๆท่านที่ แนะนำกันเองว่า อุเบกขาบ้าง ช่างประพฤติ
ใครๆบ้าง ศาสนาเราก็จะคงไม่เหลือรอดมาจนถึงวันนี้ อย่าได้กลัวครับ
ถ้าจะมีคนมาพูด กับคุณๆว่า ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ หรือ การปรามาส แสดงว่า
คนที่พูดแบบนี้ยังหนาอยู่มาก ครับ... -
อย่ามัวแต่คอยเพ่งโทษคนอื่น ผมว่าทำให้ตนเองดี ดีกว่า
คนมีศีลน้อยก็ไม่ควรติคนที่มีศีลมากกว่า
ครูบาอาจารย์ท่านที่บรรลุมรรคผล ท่านมีปัญญามาก มีความแยบยล การที่จะพูดการที่จะกล่าวอะไรมักเป็นไปด้วยสติและสัมปะชัญญะ และมีจุดประสงค์เพื่อประโยชน์แก่คนอื่นที่ยังมืดบอดอยู่
ปุถุชนกิเลสหนา ๆ ผมว่าติตนเองดีกว่า เพ่งหาข้อบกพร่องของตนเองดีกว่า จะมีประโยชน์กับตนเอง
การติเตียนพระอริยะ ไม่ใช่การกระทำของคนที่ฉลาดเลย ที่ไป คือ นรก และ จะเป็นเหตุให้ตนเองนั้นไม่สามารถบรรลุมรรคผลนิพานได้ จะต้องเกิดเป็นคนทึบ รู้ได้ช้า ปัญญาทราม
เห็นพระหรือครูบาอาจารย์ เราไม่รู้หรอกว่าใครเป็นใครขั้นไหน เพราะ จิตเราหยาบกว่าท่าน ถ้าบังเอิญไปติถูกท่านที่หมดกิเลสแล้ว ก็แจ๊คพอต รับกรรมไม่ไหว
ในสมัยพุทธกาล มีผู้ติพระสารีบุตและพระโมคัลลานะ ไม่นานผู้นั้นมีฝีขึ้นหัวจำนวนมากปูดปมปวดแสบปวดร้อน แล้วตายในที่สุด
เรื่องแบบนี้ควรระวัง!!!! ศิษย์ที่มีครูบาอาจารย์ ท่านไม่เคยสอนให้นักปฏิบัติเพ่งโทษผู้อื่น เพราะ ถ้าไปถูกผู้ที่ไม่คิดร้ายตอบ วิบากของกรรมจะหนักและสาหัส
..............
เว้นเสียแต่ว่าเราแน่ใจมั่นใจแน่แล้วว่ามีมารศาสนาจริง มีการทำผิดหนัก (อาบัติหนัก) มีหลักฐานจริงและชัดเจน อันนี้ก็ต้องจัดการตามวิธีที่เหมาะสมและวินัยพระกำหนดต่อไป -
-
ในกรณีที่เป็น ฆารวาท ถึงพระอรหันต์ได้เช่นกันครับ ถามว่าพูดได้ไหมครับ ได้ครับ และก็ไม่ผิดศีลด้วยครับ เพียงแต่ ฆารวาท ที่เป็นพระอรหันต์จะอยู่ได้ไม่เกิน 7 วัน ก็จะนิพพาน
ในกรณีที่เป็น ภิกษุ และถึง พระอรหันต์แล้ว สามารถพูดได้เลยครับ ไม่ถือเป็นการอวดอุตริด้วยเพราะถ้าท่านได้จริงๆนะ และไม่เป็น ปาจิตตีย์ ด้วยเนื่องเพราะท่านคือ พระอรหันต์
ยกตัวอย่างเช่น
พระปิณโฑลภารทวาชเถระ
ท่านก็ชอบเปล่งสีหนาทอยู่เสมอ ๆ ว่า "ใครมีความสงสัยในมรรคผล ผู้นั้นจงถามเราเถิด"
ด้วยเหตุนี้ พระพุทธะเจ้าจึงทรงยกย่องท่านว่า เป็นเอตทัคคะผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในด้าน ผู้บันลือสิงหนาท
_______________________
ชอบไปสอนกันว่า นิพพานเป็น สภาวะอดุมคติ
ชาติโน้นไกลๆ ค่อยได้ สอนแบบนี้ นิพพานไม่ต่างอะไรเลยกับ
แนวคิดยูโทเปีย
นิพพาน คือ สภาวะสิ้นกิเลส สิ้นอวิชชา ละแล้วซึ่งกายและใจ
ชาวพุทธต้องกล้าพูดเรื่อง นิพพาน
ไม่ใช่ อ้อมๆแอ้มๆ กลัวเรื่อง อวดอุตริ
ถ้ามี จริงๆ ก็ไม่ผิดหลอกครับ ดู หลวงตามหาบัว เป็นตัวอย่าง -
ตามธรรมดานั้นผู้ใดจะรู้ว่าท่านใดเป็นพระอริยะได้นั้น ฐานะของผู้รู้ได้จริงต้องอยู่ในฐานะที่เท่าเทียนบหรือสูงกว่า เช่น
พระโสดาบันจะรู้ได้ว่าใครเป็นพระโสดา สูงกว่านั้นก็จะไม่รู้เพราะไม่มีฐานะที่จะรู้ได้
พระสกทาคมีก็จะรู้ว่าใครเป็นพระสกทาคามี และพระโสดาบันได้ สูงขึ้นไปก็ไม่รู้เพราะไม่ใช่ฐานะที่จะรู้
พระอนาคามี ก็จะรู้ว่าใครเป็นพระอนาคามี พระสกทาคามี พระโสดาบันได้ และจะไปรู้ว่าใครเป็นพระอรหันต์นั้นไม่ได้เพราะไม่ใช่ฐานะที่จะรู้ได้
ส่วนพระอรหันต์นั้นจะรู้ได้ทั้งหมดว่าใครมีคุณธรรมเป็นพระอริยะเพียงใดอย่างสิ้นเชิง
หากปุถุชนพูดว่าคนโน้นคนนี้เป็นพระอริยะหรือพระอรหันต์ก็อย่าเพิ่งด่วนเชื่อ
เพราะปุถุชนไม่สามารถที่จะล่วงรู้ว่าใครเป็นพระอริยะบ้างเพราะไม่ได้อยู่ในฐานะของตนผู้ที่จะกล่าว
แต่ท่านผู้ได้ฌานอภิญญานั้นปุถุชนเช่นเรารู้ได้ เพราะท่านผู้ได้ฌานได้อภิญญาท่านก็ยังอยู่ในฐานะของปุถุชนอยู่
(อันนี้ไม่ได้รวมถึงพระอริยะผู้ที่ได้ฌานได้อภิญญานะครับ) อาจจะเป็นเพราะว่าเราเองไม่สามารถจะเข้าใจตรงนี้ก็ได้
เลยเห็นว่าท่านได้ฌานได้อภิญญาเลยเหมาเอาว่าเป็นพระอริยะไปเลยกลายเป็นว่าลูกศิษย์หันเสียเอง
ทั้งๆที่ท่านอาจารย์นั้นก็ไม่เคยพูดว่าท่านเป็นพระอริยะสักครั้งเลย....
แต่ในคำภีร์บางเล่มท่านก็ให้ข้อสังเกตุไว้นะครับว่าใครเป็นพระอริยะบ้าง....แต่ผมจะไม่ขอยกขึ้นมากล่าวในที่นี้ครับเดี๋ยวจะเป็นเรื่องยาว -
-กิเลสหรืออวิชชามันแสดงตัวให้ทำ ตามคำสั่งของมันแต่ด้วยความไม่รู้จึงคิดว่า ตนรู้สิ่งนั้น สิ่งนั้นคือ ตัวตน
-
ข้อที่ ๘ ห้ามภิกษุบอกอุตตริมนุสธรรมที่มีอยู่จริงแก่อนุปสัมบัน
ข้อนี้เป็นพระวินัยที่มีมาในพระปาฏิโมกข์ เป็นพุทธดำรัส
ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยตรง พระองค์ท่านก็ไม่ได้บอกไว้
ซ่ะด้วยนะครับว่าท่านยกเว้นพระอรหันต์ครับ เพราะท่านบอกว่า
ห้ามภิกษุ ก็คงจะคนที่บวชเป็นพระทั้งหมดกระมั้ง หรือไม่ใช่ ?
และอนุปสัมบันที่ว่านี้ หมายถึง เณร ชี อุบาสก อุบาสิกา........
มาขยายความนะครับ ที่ว่า อาการที่ถือว่าบอก อุตตริแก่อนุปสัมบัน
เช่น ทำนิมิตโอภาสให้ปรากฏ ใช้คำพูดบอกตรงๆ แสดงกริยาอย่างใด
อย่างหนึ่งให้ อนุปสัมบันเข้าใจว่าตน บรรลุคุณธรรมพิเศษ...
ที่คุณ crossis พูดมานั้นผมเกรงว่าคุณจะเข้าใจผิดอย่างแรงนะครับ
ต่อให้จริง ก็ห้ามพูดให้ยาติโยมฟัง ในทุกกรณี มีอยู่อย่างเดียวเลยครับ
ที่ไม่ผิด คือระหว่างพระคุยกันเองครับ
ส่วนที่จะให้เชื่อพระหว่าง พระศาสดา vs พระสาวก
ผมเลือกเชื่อข้างพระศาสดานะครับ..... -
นั้นถือเป็นความผิด อย่างที่มี พระอรหันต์ ได้แสดงการเหาะเพื่อจะนำเอาบาตรไม้
เพื่อการบ่งบอกว่าพระอรหันต์มีอยู่จริง จึงถูกพระศาสดาตำหนิ และ สั่งห้ามอวดอุตริเป็นเด็ดขาด
แต่หากบอกกล่าวเพื่อการศึกษา และ ปฎิบัติ ให้ผู้ที่ปฎิบัตินั้นไม่ผิดครับ
ต้องดูที่เจตนาครับ ว่าอวดเพื่อเหตุใด หากต่อหน้าสาธารณะ โดยมีผู้คนมากมาย
เพียงเพื่ออวดอ้างตนนั้นผิด เป็นการอวดอุตริ -
พวกคนพาล ที่ชอบหาเรื่องใสตัวนี้มีมาก ปากบอกว่าปกป้องแต่มันไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่
การไปกล่าวโทษท่านผู้มีศีล ไม่ควรเลย
ผู้ใดตั้งอยู่ในนิจศีล คือศีล ๕ ผู้นั้นชื่อว่ายังหนาอยู่ด้วยกิเลส แต่ได้ชื่อว่าเป็นผู้บางจากกิเลสได้ชั้นหนึ่ง ถ้าตั้งอยู่ในอุโบสถศีล คือศีล ๘ ได้ชื่อว่าบางจาก
กิเลสได้ ๒ ชั้น ถ้ามาตั้งอยู่ในทศศีล คือศีล ๑๐ ผู้นั้นก็ได้ชื่อว่าบางจากกิเสสได้ ๓ ชั้น ผู้เข้ามาตั้งอยู่ในศีลพระปาติโมกข์คือศีล ๒๒๗ ผู้นั้นได้ชื่อว่าบางจากกิเลสได้ ๔ ชั้น ผลอานิสงส์ก็มีเป็นลำดับขึ้นไปตามศีลนั้น ผู้ที่มีศีลน้อย อานิสงส์ก็น้อย ผู้ที่มี
ศีลมาก อานิสงส์ก็มากขึ้นไปตามส่วนของศีล บุคคลผู้ที่มิได้ตั้งอยู่ในศีล ๕ ถึงจะมีความรู้ความฉลาดมากมายสักเท่าใดก็ดี ก็ไม่ควรจะกล่าวคำประมาทแก่ผู้ที่มีศีล ๕ ผู้มีศีล ๕ ก็ควรยินดีแต่เพียงชั้นศีลของตน ไม่ควรที่จะกล่าวคำประมาทในท่านผู้ที่มีศีล ๘ ผู้ที่มีศีล
๘ ก็ควรยินดีแต่เพียงศีลของตนไม่ควรที่จะกล่าวคำประมาทในท่านที่มีศีล ๑๐ ผู้ที่มีศีล ๑๐ ก็ควรยินดีอยู่ในชั้นศีลของตน ไม่ควรจะกล่าวคำประมาทในท่านที่มีศีลพระปาติโมกข์ ถ้าขืนกล่าวโทษติเตียนท่านที่มีศีลยิ่งกว่าตน ชื่อว่าเป็นคนหลง เป็นคนห่างจากทาง
สุขในมนุษย์แลสวรรค์ และพระนิพพานแท้พิจารณาเอานะ ใครจะเอาอะไรก็พิจารณาเอาเอง มีสมองทุกคน -
จงทำลายความสงสัยทั้งหลายด้วยความเพียร ตั้งอยู่ใน ศีล สมาธิ ปัญญา ก็จะทราบว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้นได้ครับ
-
-
ผมว่าเราควรละอัตตากันนะครับ ยังคงเห็นอยู่ในหลายๆ กระทู้ มีแต่อัตตาตัวเบื่อเริ้มเลย
หน้า 2 ของ 5