หลวงปู่ท่านสอนอยู่เสมอว่า อย่าไปพูดไม่ดีกับใครเขา
ถ้ามีคนมาว่าหรือด่าเราแต่เราไม่ว่าหรือด่าเขาตอบมันก็จะไม่มีเรื่องกัน
แต่ถ้าแกไปด่าเขาเมื่อไรนั่นแหละเรื่องใหญ่ ท่านสอนศิษย์เสมอว่า
อย่าไปพูดทำลายความหวังของใครเขา
เพราะนั้นอาจจะเป็นความหวังเดียวที่เขามีอยู่
ถ้าแกไปพูดเข้าเมื่อไหร่กรรมใหญ่จะตกแก่ตนเอง
ท่านบอกไว้อีกว่า คนที่ชอบด่าหรือใส่ร้ายผู้อื่นรวมไป
ถึงการพูดไม่ดีต่าง ๆ กับคนอื่นนั้น กรรมจะมาเร็วมาก
เขาผู้นั้นจะเป็นคนที่มีศัตรูทั้งภายนอกและภายใน
ไม่เป็นที่รักของคนทั่วไป ตรงกันข้ามกับเป็นคนที่น่ารังเกียจ
แก่คนทั้งหลาย กรรมนี้จะทำให้เขามีเรื่องและเดือดร้อนอยู่เสมอ ๆ
ทั้งทางกายและทางใจ บางคนทำกรรมนี้ไปเรื่อย ๆ อย่างไม่รู้ตัว
พอกรรมดีที่ตนเคยสร้างมาแต่ปางก่อนหมดหรือเหลือน้อยลง
กรรมชั่วที่สร้างนี้ก็จะสนองเขาอย่างหนักทั้งในภพนี้และภพหน้า
ท่านจะพูดและสอนศิษย์อยู่เสมอว่า "คนดีเขาไม่ตีใคร"
หลวงปู่บอกว่าคนดีเขาไม่ว่าใคร
ถ้าแกไปว่าเขาแกก็จะเป็นคนไม่ดี
http://www.watthummuangna.com/board/showthread.php?t=1553
ทำไมพระเจ้ามาป้วนเปี้ยนแถวนี้บ่อยจัง ผมจะอธิบายเรื่องพระเจ้าจริงๆให้ฟัง
ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ขันธ์, 23 มกราคม 2010.
หน้า 8 ของ 11
-
อโหสิกรรมให้สันโดษ ไม่ถือ
ส่วน ยายขวัญ นี่จริงๆ แล้ว อยากจะด่าให้ หงายเลย แต่ว่า สงสารและเข้าใจว่า เพิ่ง เฮิร์ท เลยปล่อยไปก่อน -
เพราะ มีมาร อย่าง ยายขวัญและตานิวรร์นี่แหละ จึงทำให้หลายๆ คนตกนรกอยู่ -
นี่ขนาดยังไม่ด่านะ ถ้าด่าสงสัยท่านขันธ์ต้องเอาปี๊บคลุมหัวกลับห้องอภิญญา
เพราะเด็กห้องนี้ อัจฉริยะ born to be เป็นกันมาแต่เกิดทุกคน เป็นโรคหัวแข็ง
ไม่ได้หัวอ่อนแบบห้องอื่น -
ธรรมเทียม หลอกเด็กห้องนี้ไม่ได้หรอก
-
ถ้า ธรรมแล้ว ไม่หลอก แต่กิเลสหลอกกันเอง -
วันนี้ ขอตัวก่อน เดี๋ยว จะมีหลายคน soly มากกว่านี้
-
รักกันไว้เถอะนะครับ ถนอมน้ำใจกันไว้ดีกว่าไหม๊
อย่างคุณขันธ์นี่ ผมก็เคารพในธรรมของท่านมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
บางครั้งผมก็ยังเคยปรึกษาปัญหาบางอย่างกับท่านเลย
แต่ก็อีกนั่นแหละ อาจจะเป็นความไม่รู้ของผมส่วนหนึ่ง และความที่คิดไม่เหมือนใครของผมอีกส่วนหนึ่ง
จึงทำให้ผมชื่นชมงานเขียน "บางตอน" ของคุณสันโดษเธอด้วยในขณะเดียวกัน
รวมทั้งป้าขวัญนี่ผมก็รู้สึกดีๆกับหลายๆข้อความที่ปรากฎผ่านสายตาผมมาหลายๆครา
เพราะฉะนั้น เพื่อถนอมน้ำใจกันไว้ ผมก็ได้แก้ให้แล้วนะครับคุณขันธ์
โดยที่ผมเติมคำว่า "ผมเชื่อว่า" ในที่นี้...ลงไปก่อนคำว่า "จึงไม่มีใครเลยที่รู้จริง"
ซึ่งก็น่าจะ OK แล้วไหมี?? เพราะมันเป็นความคิดและความเชื่อของผม ณ.ภูมิความรู้เท่าที่มีอยู่นี้จริงๆ
เพราะฉะนั้น ผมก็หวังว่า ข้อความของผม คงไม่ไปทำร้ายใครได้อีกนะครับ
เพราะผมก็บอกแล้ว ว่า "ผมเชื่อว่า" ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะ "ถูกต้อง" เสมอไป
และผมก็ยังแอบหวังอยู่ว่า ท่านทั้งหลาย จะใจกว้างยอมรับข้อความที่ผมแก้ไขใหม่นี้ได้
โดยที่ไม่ต้องบังคับให้ผมคิดและเชื่อเป้นอย่างอื่น ใช่ไหม๊ครับ
ขอเพิ่มเติมอีกเล็กน้อยนะครับ ว่า
"ผมยังเชื่ออีกว่า" ถ้าหากผมพยายามจะไปด่าใครว่าเขาผิด หรือเขาไม่ดี
นั่นก็คงไม่ทำให้ผมกลายเป็นคนถูก หรือเป็นคนดีขึ้นมาได้หรอกนะครับ
ผมก็เลยยอมรับสติปัญญาของผม เท่าที่ผมมีอยู่นี่แหละครับ ช้าเร็ว ถ้าความจริงที่ท่านทั้งหลายเชื่อว่ามันเป็นสัจธรรมจริงๆ
สักวันหนึ่ง ไม่ชาตินี้ก็ชาติต่อๆไป ผมก็คงต้องรู้ตามท่านได้สักวันอย่างแน่นอน
"ตราบใดที่ยังมีผู้ปฏิบัติธรรมอยู่ พระอรหันต์ ก็จะไม่ว่างเว้นไปจากโลก" เค๊าว่ากันอย่างนั้นใช่ไหม๊ครับ
สุดท้าย..ก็ขอให้มีความเจริญทั้งทางโลกและทางะรรมทุกๆท่านเถิดนะครับ
สาธุ สาธุ สาธุ
ชยุต -
อยากเหงคนเก่งปฎิบัติมากกว่าเทศนาคนอื่นๆ
-
ทุกวันนี้ศึกไกลยังไม่ห่วง
แต่หวั่นทรวงศึกใกล้ไล่ข่มเหง
ผู้มุ่งธรรมหันมาด่ากันเอง
อวดนักเลง พูดไป ใครจะฟัง
-
พวกปฏิบัติธรรมนี่แหละ น่ากลัวกว่าใคร
ถ้าขาดสติและคิดว่ามีธรรมแล้ว ก็เลย บ้าธรรม หลงตัวเอง
มานะทิฏฐิจัด หลงลืมดูกิเลสตัวเอง หลงลืมคำของครูบาอาจารย์
มีแต่เชื่อความคิดของตัวเอง เพราะคิดว่าตัวเองเป็นธรรม
คนธรรมดาที่มีสติมีศีลธรรมประจำใจ ยังน่าเคารพกว่า เลย
คนปฏิบัติธรรม พอมีลูกศิษย์ลูกหา ตามยกยอปอปั้น บ่อยๆเนืองๆ
ถ้ากิเลสมันฟูเมื่อไหร่ ก็แพ้โลกธรรม เสียศูนย์ เหลือแต่บ้าธรรม
คุณธรรมมันเสื่อมได้ ถ้ายังไม่ใช่ธรรมแท้
ยิ่งคนที่คิดว่าตนเองเป็นพระอริยะ แล้วความจริงมันไม่ใช่เนี่ย จะยิ่งเป็นภัยกับตัวเอง
พวกปฏิบัติธรรม แล้วศีลทะลุเนี่ย น่ากลัวที่สุด -
-
-
ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ไหนมีต่ออีกไหม
ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา มีต่ออีกไหม
ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา มีต่ออีกไหม
นี่เรียกว่า ธรรม มีที่ยุติ แต่ ถ้า รู้ไม่หมด นั้น เรียกโง่ เรียกว่า ปรุง และ รู้ที่ปรุงไปนั้น ไม่นานมันต้องดับลง อันเป็นกฎไตรลักษณ์
ความรู้ที่เอ็งร่ำเรียนมา ถ้าไม่เปิดหนังสือ มันจะยังอยู่ไหม จำมันได้ตลอดหรือ
แล้วหนังสือนั่น มันอยู่ได้นานหรือ ถ้าไม่คัดลอกไว้ มันก็ต้องเปื่อย
จะเก็บเอาไว้ที่ไหน ไม่ให้มันสูญ ไม่มี
แต่ จิตคนที่ฝึกดีแล้ว ไม่สูญ เป็นธรรม เขาจึงเก็บธรรมไว้ที่ใจ จำเอาไว้ ไอ้หนู
แล้วเก็บธรรมไว้ที่ใจทำอย่างไร เอ็งก็ต้องปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรมเอาไว้ที่ใจ ไม่ใช่ที่หัว
อย่าโง่ -
[ame=http://www.youtube.com/watch?v=vr3x_RRJdd4]YouTube - Free Hugs Campaign - Official Page (music by Sick Puppies.net )[/ame]
-
ยิ่งอ่าน ยิ่งถกกัน ยิ่งรกสมอง ความรู้จากหัวข้อกระทู้ก็ยังสงสัยอยู่ดี พระเจ้าเป็นแค่สิ่งที่คนหลายๆคนตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันอุปโลกน์(สมมุติ)กันขึ้นมาเพื่อตอบความเป็นไปทุกๆอย่างในจักรวาล แล้วชีวิตมนุษย์นี่คืออะไร เกิดจากกรรมอะไรหนอที่ต้องทำมาให้เราพบสิ่งที่น่าสังเวชในโลกนี้ด้วย ทุกข์มันก็มีได้ทุกวันแค่กระแนะกระแหนกันนี่ก็น่าจะเรียกว่าทุกข์แล้ว ถ้าอยากตัดวงจรเหล่านี้ต้องรู้จักปฎิบัติธรรม แต่บางคนยิ่งฝึกยิ่งบ้าได้ เมื่อไหร่จะพบทางสว่างที่แท้จริงได้เนี่ย
-
อ่านเจออันนี้ ก็เข้าเค้าเรื่องพระเจ้าเหมือนกันนะ
"ไกวัลยธรรม" ตั้งอยู่ในฐานะที่เป็น "กฏ" อันเป็นที่รองรับ ปรากฏการณ์ ของสิ่งทั้งปวง โลก ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ รวมทั้งสิ่งทั้งปวง ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป ใน "กฏ" อันนี้ ด้วยอำนาจของ อิทัปปัจจยตา ซึ่งตั้งอยู่ ในฐานะเป็น ไกวัลยธรรม นั่นคือ เพราะมี ไกวัลยธรรม สิ่งทั้งหลายทั้งปวง ได้อาศัยเกิดขึ้น รวมทั้งพระพุทธเจ้า ด้วย. (๒๐)
สิ่งที่เรียกว่า "พระเจ้า" ก็ควรหมายถึง "กฏ" อันนี้ ในฐานะที่เป็น สิ่งตั้งอยู่ตลอดกาล แล้วสิ่งทั้งปวงก็ปรากฏขึ้น ด้วยอำนาจแห่งพระเจ้า ฉะนั้น "พระเจ้า" ที่แท้จริง ควรหมายถึง "ไกวัลยธรรม" อันมีชื่อเรียกรวมไปว่า "ธรรมธาตุ" แปลว่า "ความมีอยู่แห่งธรรม". (๒๑)
คำว่า "ธา-ตุ" แปลว่า "ทรงตัวอยู่" หมายถึงการทรงอยู่อย่างถาวร ไม่เปลี่ยนแปลง ได้แก่ สิ่งที่เรียกว่า "ไกวัลยธรรม" นั่นเอง สิ่งนอกนั้น เป็นเพียง ปฏิกิริยา ที่ถูกปรุงแต่ง ขึ้นมา มีการเกิดขึ้น แล้วดับไป เป็นลักษณะของ การทรงตัวอยู่ ของความเปลี่ยนแปลง อันปรากฏอยู่ ในที่เดียวกัน ฉะนั้น จึงกล่าวได้ว่า จะพบความ ไม่เปลี่ยนแปลงได้ ตรงที่มี ความเปลี่ยนแปลง พิจารณาเห็น ความเปลี่ยนแปลง ตามเป็นจริง แล้วปล่อยวาง ความเปลี่ยนแปลง เสีย ก็จะพบ ความไม่เปลี่ยนแปลง ที่ตรงนั้น ดังที่พระพุทธองค์ ตรัสว่า "จะพบพระพุทธเจ้าได้ ที่ความแก่ ความเจ็บ ความตาย"ดังนี้. (๒๒)
ในเมื่อ "ไกวัลยธรรม" ตั้งอยู่ในฐานะเป็น "ธรรมธาตุ" ที่ไม่เปลี่ยนแปลง โดยเหตุนี้ พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า "ตถาคตจะเกิดหรือไม่เกิดก็ตาม ธรรมธาตุนั้น ตั้งอยู่แล้วนั่นเทียว คือ ตั้งอยู่ตลอดกาล". (๒๓)
http://palungjit.org/threads/ศาสนาเชน-jainism-กับ-ศาสนาพุทธ-buddhism.224343/page-3 -
ยิ่งอ่านยิ่งสนุก ทุกคนมีดีกันหมด แต่งัดสิ่งดีๆมาตีกันซะเนี่ย :)
หน้า 8 ของ 11