เกร็ดธรรม
หลวงปู่พุธ ฐานิโย
วัดป่าสาละวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา
(โยมถาม)
เพื่อนของลูกพาไปปฏิบัติธรรมกาย ก็เลยทำให้จิตใจไม่มั่นคง
ประเดี๋ยวพุทโธ ประเดี๋ยวสัมมาอรหัง
อยู่ดีดีก็หันไปจับดวงแก้วอีก
ปฏิบัติตามทางพุทโธมาสิบกว่าปี
ตอนนี้จิตไม่มั่นคงเลย จะทำอย่างไรดี โปรดเมตตาแนะนำ ?
.......................................
(หลวงปู่พุธ ฐานิโย ตอบคำถาม)
การปฏิบัตินี่ ถ้าจะจับอันใดอันหนึ่งซักอย่างหนึ่ง
ก็ให้มันเหนี๋ยวแน่น อย่าไปเปลี่ยนบ่อยนัก
นอกจากสัมมาอรหัง นอกจากพุทโธ
จะเอาอะไรก็ได้
หรือจะมาฝึกหัด
กำหนดสติตามรู้ การ ยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ พูด คิด
ไม่ต้องนึกอะไรก็ได้
แต่ว่าต้องทำจริง ถ้าจับโน่น วางนี่ ผลมันจะไม่เกิด
ที่ภาวนาพุทโธมาตั้งสิบปีไม่เกิดผล
เพราะว่า
เราไปมุ่งเอาแต่ให้จิตมันสงบนิ่งเป็นสมาธิ
ที่นี้ ภาวนาพุทโธมานานๆ แล้วจิตมันไม่สงบหรอก
เพราะมันมีพลังทางสมาธิมันสามารถสอนให้จิตเกิดความคิด
เพราะฉะนั้น
ช่วงใดที่เราภาวนาพุทโธ พุทโธ พุทโธอยู่
ถ้าจิตอยู่กับพุทโธ ปล่อยให้เค้าอยู่ไป
ถ้าหากเค้าทิ้งพุทโธเสีย แล้วไปคิดอย่างอื่น
ปล่อยให้เค้าคิดไป แล้วทำสติตามรู้ไป จิต ที่คิด คิด คิดไปนั้น
เปรียบเหมือน งู มันออกหาเหยื่อ
งูเวลามันอิ่มแล้วมันก็นอนอยู่ในโพรงของมัน
เวลามันหิวมันก็จะรู้ว่าคอยหาอยู่หากิน
กินอิ่มท้องร้องมันก็เข้ามาตกอยู่ในที่เก่า
จิตของเราเวลามันหิวอาหารมันก็คิดนั่นคิดนี่
เพราะการคิดนั่นเป็นอาหารของจิต
ถ้าเรามัวแต่ไปห้ามจิตของเราไม่ให้เกิดความคิด
ประเดี๋ยวมันไม่มีพลังงาน
มันจะกลายเป็นจิตผอมโซ
เมื่อจิตผอมลงไปแล้วมันก็ไม่คิด
มันกลายเป็นจิตขี้เกียจ
เราทำจิตให้สงบนิ่งได้ มันก็นิ่งง่าย
แต่มันเป็นจิตหดหู่
มันไม่ใช่จิตสมาธิ
เพราะฉะนั้น
เวลามันต้องการคิดปล่อยให้มันคิดบ้าง
อย่าไปห้ามมัน
ถ้าไปห้ามมันแล้วมันตัดตอน อาหารของมัน
มันไม่ได้กินอาหารมันก็หมดกำลังซิ
แต่ว่าจิตจะมีพลังขึ้นมาได้ ต้องมีสิ่งรู้ สติต้องมีสิ่งระลึก
ดีแล้ว ที่จิตมันคิดเอง
ถ้าเราภาวนายุบหนอ พองหนอ สัมมาอรหัง พุทโธเนี๊ยะ
เราหาคำนั้นมาป้อนให้จิต แล้วยังจะต้องทำสติควบคุมอีกด้วย
เมื่อจิตของเรามันคิดขึ้นมาเอง
เราเพียงแต่ทำสติตามรู้เท่านั้นมันจะง่าย
เราทำงานอยู่ท่าเดียวไม่ต้องไปแบกถึงสองอย่าง
ภาระที่จะหาสิ่งรู้ให้จิตนั้นเป็นอันหมดไป
เพราะเค้าหาของเค้าเอง
หน้าที่ ที่เราจะตั้งใจก็ คือ ทำสติตามรู้ไป
ที่บริกรรมภาวนามาตั้งสิบปีไม่เกิดผล เพราะว่า ?
ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ปราบเทวดา, 27 พฤษภาคม 2020.
หน้า 1 ของ 11
-
-
สจฺเจนาลิกวาทินํ :
อ่านว่า
สัจเจ นาลิกะวา ทินัง
แปลว่า
พึงชนะคนพูดปด ด้วยคำจริง -
เพราะขี้เกียจด้วย
-
สติที่ไวมากคือสติที่นั่งรอเพราะสติรู้เห็นก่อนแล้ว
คือเห็นตัวตนเห็นคนที่ทำให้เกิดรอยความรู้คับ -
พอชำนาญจึงเรียกว่า สติรู้ทัน เป้นผลงาน
แต่หาก สติรู้เห็นก่อน อันนี้ สติละเมอครับ ละเมอว่ารู้ก่อน -
คำว่ารู้ก่อนผมหมายถึงกิเลสมันต้องไหลเข้าใจมันถึงทุกข์
รู้ก่อนในความหมายที่ผมเขียนคือรู้ว่ากิเลสทั้งหลายย่อมไหลรวมมาที่ใจ สติไวคือสติเฝ้าดูที่ใจเห็นกิเลสมาก็เอาใจออกห่างกิเลสไปเลยคับไม่ใช่รู้เห็นอนาคตคับ กิเลสเข้าในใจไม่ได้มันก็ไม่ทุกข์
สติที่ไวคือสติที่พาใจห่างไกลจากกิเลส
ที่ภาวนาไม่เกิดผลเป็นเพราะสติไม่พาใจห่างไกลจากกิเลสคับ คือไม่ทันกิเลสนั่นเองเพราะมั่วแต่ตาม -
เกิดขึ้นพร้อมจิต ดับไปพร้อมกับจิต ทำหน้าที่ของมันก้จบไป
เหตุของสติจะเกิดขึ้น คือ ความจำ
จึงต้องกำหนด ให้จิตมันจำ เมื่อมันจำแม่น ในอารมณ์ ในสภาวะ
มันจึงเกิดขึ้นได้เอง
พร้อมกับจิต จึงเรียกว่า รู้ทันจิต เป็นอัตโนมัติ ไม่มีไปนั่งเฝ้า
จึงเรียกว่า สติไว ตามจิตได้ทัน
แต่หาก ใช้สติไปนั่งเฝ้า อันนี้ เรียกว่า เป็นการฝึก เพราะยังมีการใช้
การกำหนด จนกว่า จะไม่มีการไปนั่งเฝ้า
ฉะนั้น ใช้ สติไปนั่งเฝ้า ก้ไม่ต่างจากการ ฝึกสติรู้ตามหรอกครับ
ก้ฝึกไปเรื่อยๆ จนกว่ามันจะไวพอ
คือ จิดจดจำสภาวะได้แม่น แล้วเป็นไปเองไม่ต้องสั่ง
การละกิเลส จึงเป็นหน้าที่ของ สติปัญญาของจิต ที่จะเป็นไปเอง
ปราศจากเจตนาไปจงใจละ มันจึงละกิเลสได้อย่างสมุปเฉทประหาร -
เดี๋ยวมันจะทำให้ใจเป็นทุกข์ -
สติตามรู้คือสติออกนอกสตินั่งรอคือสติไม่ส่งออกนอกแต่เป็นสตินั่งรอดูว่ากิเลสมันจะย่องมาเข้าช่องไหนในหกช่องคับ -
ว่าท่านบอกตามรู้ ตามรู้ที่ไหน
มีกายกับใจ
ฐานที่ตั้งของสติ มีแค่กายกับใจ ของใครของมัน
แม้แต่บอกว่า ทำสติ ตามรู้ มันก็ยังไม่เรียกว่า มีสติ เพราะยังมีเจตนา
แต่มันเป็นการฝึก ให้จิตมีสติ รู้เท่าทันตัวเอง
การนั่งเฝ้าก็เหมือนกัน
ตามอายตะ ตามผัสสะที่กระทบ มันเป็นธรรมชาติที่ต้องกระทบต้องมีผัสสะ
รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันมีโดยธรรมชาติ
จะนั่งเฝ้าหรืออะไร มันก็ ตามของเก่าทั้งนั้น เรียกว่ารู้ตามตลอด
ไม่งั้น กายานุปัสนา จะไม่เรียกว่า กายานุปัสนา
แปลว่ารู้ตามความเป็นจริงของกาย
คงต้องเป็นตำราใหม่ว่า
กายาไร้คมปัสนา -
ธรรม เป็นเรื่อง ประสบการณ์ การประจักษ์ การกระทบ
ไม่ใช่ไป คาดเดาส่งเดช ล่วงหน้า อ้างโวหาร ตีขลุม
หลวงตามหาบัว ท่าน ยืนยัน 1000% ว่า ท่านนั้น อรหันต์
แล้วท่านก็กล่าวต่อว่า
วันหนึ่ง ท่านเดินไปเจอ กิ่งไม้ที่พื้นมันหงิกงอ
สังขารแปลความทันที "งู"
เวทนา สัญญา จับ ตัวท่านอายุจะ100 กระโดดโหยง
เหมือน เสือลายพาดกลอนกระโดดด้วยกำลัง (ถ้าเป็น
พระโมคคัลลานะ ก็ เหาะไปอีก จักรวาลที่มี พระพุทธ
เจ้าปรากฏ )
แล้วท่านก็ บรรยายว่า สติ มันทัน อาการ สังขารเหล่า
นั้นตลอด
ไม่มี เผลอ เห็น ขันธ์5 เป็นตน ของตน แม้นแต่นิดเดียว
( เริ่มเห็นได้ตั้งแต่ โสดาปฏิมรรค จน จบกิจ ..มรรค
มีหนึ่งเดียว )
ธรรมะ จึงไม่มีเรื่อง การเอามา เปรียบเทียบ อย่างนั้น
อย่างนี้
กิจอื่นเพื่อการพ้น พราก ขันธ์5 กว่านี้ ไม่มี อย่าไปแต่ง
มาทำเป็นโวหาร หลอกตัวเอง -
เอ้ ว่าแต่ว่า ไร้คม นี่ อายุเท่าไรนะครับ เป้นพี่ หรือ เป็น น้องผม
ถ้า มากกว่าผม ก็คงต้องเป็นผู้ต้องสังสัย ต้องไปมอบตัวกะแม่แอลซะดีดี -
ไร้กม รู้อยู่ว่า อย่าไป บัญญัติ เป็น จิต หรือ ใจ
มารองรับ ว่าอะไรพ้น เด็ดขาด
แล้ว จะสังเกตสิ่งใด เป็น "รสชาติ" ว่า พ้นอุปทาน
การตรึก คาดเดา ส่งเดช ดักรอ สร้างสมการ โวหาร
สังเกตเลย พอกล่าวจบ สัจจ นั้น ..... ไม่มีการตัดสิน
มรรคผล
แถม ยังเกิดเป็น เขม่า ให้ หนักศรีษะ ( หนักจริงๆ
หากใครย้อนแย้ง จะยิ่ง เครียด เกิดความหุนหัน
พลันแล่น คล้ายว่ามี ปฏิภาณ ปัญญา ในการ
ดิ้นรน ย้อนแย้ง ) ซึ่ง เข้าใจผิดว่าเป็น นิพพาน
ทั้งที่ มันเป็น นาหญ้าขึ้นรก ก็ ยุ่ง
ดังนั้น
การกระทบ สัจจ กล่าวตรงกับ สิ่งที "เห็น"
กล่าวออกมาจาก "การเห็น" ธรรม
มันจะต้องมี รสชาติ หากยังไม่เคยตัด อุปทาน
อุปทาน จะต้องมีการตัดให้เห็น
แล้ว เกิดรสชาติ วิมุตติ บางประการ
ไม่ใช่
ฉลาดในธรรมสารพัด แต่ ทว่า เ..ีย เท่าเดิม -
จักปรากฏที่ใดก็ย่อมได้
ที่พระโมคคัลลาเห็นก็อาจเป็นพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันก็ได้คับ -
เมื่อวาน เห็นไปเย้วๆ คนอื่นว่า บิดเบือนพระไตรปิฏก รึเปล่า
วันนี้ ไร้กม ลา เสียเอง -
-
-
เวลา จะใช้ เหล็กยาว พัดใส่ สหธรรมิก
หรือ
เวลา จะย้อนแย้ง ธรรม ชาวบ้าน
ให้ วางจิตให้ดีๆ
อย่า ม่งที่ ตัวบุคคล
ให้ มุ่งย้อนแย้ง ตรงส่วน ที่เป็น เนื้อหาการปฏิบัติ
มันจะต่างกัน
หาก เราไปย้อนแย้งตัวบุคคล แม้น จะเป็นคน ทุศีล
แต่ คนๆนั้นเขามีฌาณ แล้ว เขาสอนศิษย์ให้ทำตาม
ได้ผลอย่างเขา แล้ว เราไป เผลอวางจิต ย้อนแย้ง
ตัวบุคคล ผลกรรมคือ จะปิดการได้เห็นฌาณ ทันที
ทั้งชาตินั้น หมดสิทธิได้ฌาณ ไปทั้งชาติ รับรองได้
ว่า ตายเปล่าอีกชาติหนึ่ง และ อาจจะไป นาหญ้าขึ้นรก
แต่ถ้า
กล่าวถึง วิธีการ แล้ว ย้อยแย้งตรงส่วนวิธีการว่า
เป็น ฐานะจะเป็นได้ หรือ อฐานะ
การย้อนแย้งในส่วน มรรค จะเป็น สุญญตา แม้น
เราเข้าใจผิด ก็ไม่ส่งผลอะไร ต่อใค ทั้งนั้น และ
ยังสามารถ ภาวนา หรือ ทำให้เจริญได้ ไม่ปิดฌาณ
ไม่ปิดนิพพาน
ดังนั้น
สัจจธรรม อันพุทธภูมิ ควรรู้จัก ไม่ก้าวล่วง มันต้องมี
แต่ถ้า ไม่รู้ สัจจ เคารพฌาณไม่เป็น ก็ โอ้ละพ่อ
เก่งแต่โวหาร ตรรก ตายเปล่า วันยันค่ำ
ขนมปังโดดรม่อนเท่านั้น ช่วยได้ -
ขึ้นชื่อว่าพุทธานุภาพแล้วสิ่งที่ผมกล่าวมาก็ไม่เกินวิสัยของพระพุทธเจ้าคับ -
เวลา พบใคร มี ชีวิตายินยาวกว่า
มนเป็น ร่องรอยของการมีศีล
หากศีลมีดี ชีวิตจะยืนยาว
การเคารพ พรรษา หรือ อายุ
พุทะเรา หมายถึง คนๆนั้น มีศีล มากกว่า
คนอายุน้อย แน่นอน 1000%
หน้า 1 ของ 11