ที่สุดของจิต หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย jinny95, 22 กุมภาพันธ์ 2012.

  1. jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    เทศน์อบรมฆราวาสวัดป่าบ้านตาด


    เมื่อวันที่สิงหาคมพุทธศักราช๒๕๒๑


    ที่สุดของจิต


    พูดเมื่อเช้านี้ก็บอกว่าจิตเป็นของสำคัญวันนี้ก็ต้องย้ำอีกว่าจิตเป็นของสำคัญจิตเป็นธรรมชาติรู้มีรู้อย่างเดียว..จิตรู้ดีรู้ชั่วรู้เป็นคำวิพากษ์วิจารณ์นั่นเป็นกิริยาของจิตแสดงออกว่าเป็นเรื่องของสติบ้างเป็นเรื่องของปัญญาบ้างแต่จิตแท้ไม่มีกิริยาอาการออกใช้เป็นความรู้เท่านั้นถ้ากิริยาแสดงออกจากจิตก็รู้ดีรู้ชั่วรู้สุขรู้ทุกข์รู้นินทารู้สรรเสริญนี่เป็นกิริยาอาการออกมาแล้ว


    สิ่งเหล่านี้เป็นของไม่แน่นอนเพราะเป็นกิริยาเป็นอาการของจิตมีการเกิดการดับรับทราบแล้วก็ดับไปเช่นเดียวกับท่านเรียกว่าวิญญาณคือความรับทราบจากอายตนะภายนอกเช่นรูปเสียงกลิ่นรสเครื่องสัมผัสเข้ามาสัมผัสกับทางตาหูจมูกลิ้นกายก็ทำให้เกิดวิญญาณขึ้นมาคือรับทราบตามขณะที่สิ่งนั้นมาสัมผัสแล้วดับไปในขณะที่สิ่งนั้นผ่านไป


    ความรู้อย่างนี้ท่านเรียกว่าวิญญาณหรือเรียกว่าอาการของจิตเช่นสังขารความคิดความปรุงก็เป็นอาการของจิตจิตเมื่อแสดงอาการแล้วก็หาประมาณไม่ได้แต่เมื่อไม่มีอาการใดไม่แสดงอาการใดเลยก็มีอย่างเดียวคือรู้


    แต่รู้ของเรากับรู้ของท่านผู้บริสุทธิ์นั้นผิดกันมากรู้ของเรามีสิ่งเจือปนอยู่ภายในรู้ของพระขีณาสพคือพระอรหันต์ท่านไม่มีอันใดเจือปนมีแต่ความรู้ล้วนความรู้ล้วนที่ไม่มีอะไรเจือปนนั้นแลเป็นความรู้ที่วิเศษเป็นความรู้ที่อัศจรรย์เป็นความรู้ที่ทรงไว้ซึ่งความสุขเต็มเม็ดเต็มหน่วยเต็มภูมิฐานของจิตที่บริสุทธิ์สุขก็เต็มภูมิคงเส้นคงวาไม่มีการเปลี่ยนแปลงแปรปรวนเหมือนโลกทั้งหลายเหมือนอาการต่างซึ่งมีอยู่ในโลกซึ่งเต็มไปด้วยอนิจฺจํทุกฺขํอนตฺตาแต่จิตนี้ไม่เป็นอย่างนั้นนี่หมายถึงจิตของท่านผู้ชำระได้บริสุทธิ์เต็มภูมิแล้ว


    แต่หลักแห่งการท่องเที่ยวในวัฏสงสารคือในภพชาติต่างนั้นจิตเป็นหลักจิตเป็นตัวสำคัญจิตเป็นตัวการท่านจึงเรียกว่าสังสารจักรก็คือหมายความว่าความเปลี่ยนไปตามกฎแห่งกรรมเพราะจิตอยู่ใต้อำนาจของกฎแห่งกรรมกรรมพาหมุนไปอย่างไรก็ต้องเป็นไปตามกฎแห่งกรรมนั้นเนื่องจากจิตยังไม่พ้นวิสัยของกรรม


    นอกจากจิตพระขีณาสพเท่านั้นนั่นท่านพ้นแล้วขึ้นชื่อว่าสมมุติไม่เข้าไปเกี่ยวข้องได้เลยไม่ว่าสมมุติดีสมมุติชั่วสมมุติประเภทใดท่านอยู่เหนือสมมุติคำว่าเหนือก็คือว่าไม่มีอะไรเข้าไปเกี่ยวข้องได้จิตนั้นก็ไม่เกี่ยวข้องกับอะไรเป็นความรู้โดยหลักธรรมชาติของตนอยู่เช่นนั้นเมื่อบริสุทธิ์เต็มที่แล้วนี่เป็นที่สุดของจิตสุดที่ตรงนี้สุดที่ตรงบริสุทธิ์


    การท่องเที่ยวเกิดแก่เจ็บตายในภพน้อยภพใหญ่สูงต่ำลุ่มดอนเมื่อมาสิ้นสุดก็มาสิ้นสุดที่ตรงนี้เหตุใดจึงต้องมาสิ้นสุดที่ตรงนี้เพราะสาเหตุที่ให้ท่องเที่ยวได้แก่เชื้ออันหนึ่งที่แฝงหรือแทรกซึมอยู่ภายในจิตหมดสิ้นไปมีแต่จิตล้วนจึงไม่เข้าไปปฏิสนธิในภพกำเนิดใดทั้งสิ้น


    ถ้ายังไม่บริสุทธิ์เราจะปฏิเสธว่าตายแล้วไม่ได้เกิดหรือจะเป็นความเห็นโดยถ่ายเดียวตามความเข้าใจของตนว่าตายแล้วสูญก็ตามธรรมชาติอันนี้ไม่เป็นไปตามความเข้าใจความคาดหมายของผู้หนึ่งผู้ใดเพราะธรรมชาตินี้เหนือความคาดความหมายแต่เป็นใหญ่ในตนของตนเองคือเรื่องของกรรมสัตว์โลกจึงต้องหมุนไปด้วยกัน


    ไม่ว่าชนิดใดไม่ว่าสัตว์ในน้ำบนบกบนอากาศภพละเอียดภพหยาบเช่นพวกภพที่เป็นทิพย์อย่างภูตผีเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหมเหล่านี้เรียกว่าภพละเอียดที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเนื้อแต่จิตก็ยังไปกำเนิดเกิดได้ในภพเช่นนั้นภพหยาบเช่นภพสัตว์ภพบุคคลเกิดเป็นสัตว์เป็นบุคคลในน้ำบนบกก็เกิดได้ขอแต่กรรมพาให้ไปเกิดกรรมเป็นผู้กำหนดกรรมเป็นผู้พาให้ไป


    ในระหว่างที่จิตท่องเที่ยวต้องท่องเที่ยวเพราะอำนาจแห่งกรรมไม่ได้ท่องเที่ยวเพราะอะไรท่านจึงสอนให้สร้างกรรมดีเพื่อกรรมดีนั้นจะได้พาไปในเวลาที่ยังไม่ได้พ้นโลกพ้นสงสารพ้นจากความเกิดแก่เจ็บตายในภพน้อยภพใหญ่ก็ขอให้เป็นสุขในระยะแห่งภพนั้นก็ยังดีเช่นเดียวกับเราเดินทางมีเครื่องป้องกันตัวร่มเราก็มีรองเท้าเราก็มีฝนตกแดดออกเราก็กั้นร่มกันฝนร้อนทางพื้นเราก็ใส่รองเท้ากันร้อนไม่ร้อนแผดเผาไม่หนาวจนเกินไปเพราะมีสิ่งป้องกันตัวสิ่งป้องกันตัวนั้นแลเป็นเครื่องบรรเทาทุกข์ทั้งหลายได้ผิดกับคนที่ไม่มีเครื่องป้องกันตัวใดอยู่มาก


    มีคนสองคนเดินทางไปด้วยกันนั้นแลคนหนึ่งไม่มีเครื่องป้องกันตัวอะไรเลยฝนตกก็ถูกแดดออกก็ถูกเรียกว่าตากทั้งแดดทั้งฝนทางพื้นก็ร้อนข้างบนก็ร้อนข้างล่างก็ร้อนคนทั้งสองนี้เดินทางไปด้วยกันในระยะทางขนาดเดียวกันจะมีความบอบช้ำต่างกันอยู่มากคนผู้มีเครื่องป้องกันตัวมีความบรรเทาทุกข์อยู่ในตัวไม่เหมือนคนที่ไม่มีเครื่องป้องกันตัวมีแต่ความทุกข์เต็มที่เต็มฐาน


    การท่องเที่ยวในวัฏสงสารก็มีลักษณะเช่นนั้นไม่ผิดจากสิ่งนี้ไปได้เลยพระพุทธเจ้าจึงสอนให้สร้างเครื่องป้องกันตัวจนกว่าจะถึงจุดหมายปลายทางเหมือนคนเดินทางจนกว่าจะถึงจุดหมายปลายทางต้องมีเครื่องป้องกันตัวและเสบียงกรังต่างเพื่อไม่ให้อดอยากขาดแคลนในเวลาเดินทางเดินไปก็ต้องมีสิ่งเสวยมีสิ่งอาศัยอยู่ก็ต้องมีสิ่งอาศัยจะอยู่โดดเดี่ยวไม่ได้เพราะไม่ใช่พระนิพพานพระนิพพานนั้นเป็นผู้พอแล้วจิตที่บริสุทธิ์เต็มภูมิแล้วเป็นจิตที่พอทุกสิ่งทุกอย่างแล้วไม่ต้องการอันใดเข้าไปส่งเสริมเพราะไม่มีความบกพร่อง


    แต่จิตธรรมดาสามัญทั่วไปยังต้องอาศัยการส่งเสริมการบำรุงการรักษาการไปจึงต้องอาศัยความสุขความเจริญเพื่อเป็นเครื่องบรรเทาได้รับความสุขความสบายแม้มีทุกข์ก็มีเครื่องบรรเทามีสุขก็เป็นความสะดวกสบายในภพชาตินั้น


    ท่านจึงสอนให้สร้างคุณงามความดีไว้เป็นเครื่องประดับใจไว้เป็นเครื่องส่งเสริมหรืออุ้มชูจิตใจของเราเวลาจนตรอกจนมุมจนจริงไม่มีที่พึ่งที่อาศัยสิ่งที่เราเคยอาศัยภายนอกมาเป็นเวลาเท่าไรก็ตามเมื่อสุดวิสัยจะอาศัยสิ่งเหล่านั้นได้แล้วก็ไม่มีอะไรจะอาศัยนอกจากบุญจากกุศลที่เราได้สร้างไว้เป็นแก้วสารพัดนึกอยู่ภายในจิตใจของเราเกิดในภพใดชาติใดก็ให้มีความสุขความสบายพอเป็นเครื่องบรรเทากันไปเรื่อยไม่ว่าภพใดชาติใดก็พออยู่พอเป็นพอไปไม่เดือดร้อนวุ่นวายอะไรมากนักผิดกับที่ไม่มีอะไรเป็นเครื่องเสวยเป็นเครื่องบรรเทาเลยอยู่มาก


    คนที่คิดอยากย้ายบ้านย้ายเรือนไปอยู่บ้านโน้นบ้านนี้ก็เพราะความทุกข์ยากความขัดสนจนใจเป็นเครื่องบีบบังคับไปอยู่ที่โน่นเห็นจะดีกว่าที่นี่ไปอยู่ที่นั่นเห็นจะดีกว่าที่นี่จิตใจจึงต้องเสาะต้องแสวงให้ไปไปแล้วก็อย่างว่านั่นแหละถ้าหากตัวของตัวไม่มีความสามารถอยู่แล้วไปอยู่ที่ไหนก็ได้รับความลำบากลำบนเช่นเดียวกับอยู่สถานที่นี่นั่นแล


    ถ้าเป็นผู้มีความสามารถอยู่แล้วมีความสมบูรณ์พูนสุขด้วยสมบัติเงินทองข้าวของคนเราย่อมไม่คิดอยากจะย้ายบ้านย้ายเรือนไปอยู่ที่ไหนเพราะการทำมาหาเลี้ยงชีพก็เป็นความสะดวกสบายอยู่แล้วก็ไม่ทราบจะโยกย้ายบ้านเรือนไปสู่สถานที่นั่นที่นี่ได้รับความลำบากลำบนวุ่นวายอะไรอยู่สบายแล้วก็อยู่ไปนี่คือความทุกข์มันพาให้กระเสือกกระสนกระวนกระวายให้ไปที่นั่นว่าจะดีไปที่นี่ว่าจะดีถ้าหากเจ้าของไม่ดีอยู่แล้วไปไหนก็เท่าเดิมเพราะฉะนั้นธรรมของพระพุทธเจ้าจึงต้องสอนให้สร้างเจ้าของให้ดี


    ภพใดก็ตามถ้าเป็นภพของผู้ไม่มีบุญภพของผู้มีบาปหนักจะมีแต่ฟืนแต่ไฟไปทุกภพทุกชาติดิ้นรนกวัดแกว่งไปอยู่ตลอดเวลาด้วยอำนาจแห่งกรรมเผาผลาญจิตใจในภพชาตินั้นหาความสุขไม่ได้ถ้าเป็นไปเพราะอำนาจแห่งบุญแห่งกุศลไปภพใดก็มีแต่ความสุขความสบายไม่ดิ้นรนกวัดแกว่งไม่วุ่นวายอยู่ไหนก็อยู่ได้คนเราถ้าไม่มีทุกข์มาบีบคั้นเสียอย่างเดียวแม้แต่มนุษย์เรานี้ถ้าไม่มีทุกข์มาบีบคั้นเราก็อยู่ได้ทำไมจะอยู่ไม่ได้


    ยิ่งทำจิตใจให้บริสุทธิ์ด้วยแล้วก็อยู่ในมนุษย์นี้แหละเป็นมนุษย์ทั้งคนนี้แหละแต่จิตก็เป็นอริยจิตเป็นวิสุทธิจิตจิตสบายไม่กระทบกระเทือนกับอารมณ์อะไรอะไรก็เข้าไม่ถึงมีแต่ความสบายอยู่ทั้งวันทั้งคืนยืนเดินนั่งนอนหากจะมีอยู่บ้างก็เพียงธาตุเพียงขันธ์มันรบกวนเพราะความเจ็บนั้นปวดนี้ตามเรื่องของธาตุขันธ์ที่ว่าอนิจฺจํทุกฺขํอนตฺตามันก็แสดงไปตามเรื่องของมันส่วนจิตใจนั้นไม่มีอะไรเข้าไปเกี่ยวข้องเป็นความผาสุกเย็นใจหากว่าร่างกายไม่แตกอยู่ตั้งกัปตั้งกัลป์ก็อยู่ไปได้ไม่คิดอยากตายเพราะไม่มีทุกข์อันใดมาบีบบังคับ


    บุญกุศลนั้นแหละเป็นเพื่อนสองของเราในเวลาเดินทางหรือท่องเที่ยวในสังสารวัฏคือความหมุนไปเปลี่ยนมาแห่งภพแห่งชาติต้องมีบุญกุศลสมภารที่เราสร้างไว้เป็นเครื่องสนับสนุนเป็นเพื่อนสองนึกถึงอะไรก็เป็นมาเกิดมาสนองความต้องการให้มีความสุขความสบายอยู่ภพใดชาติใดก็พออยู่ถ้ามีบุญ


    บุญคือความสุขความสุขไม่ว่าสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยอย่าว่าแต่มนุษย์เราต้องการเลยเขาก็ต้องการเช่นเดียวกับเราแต่เขาไม่มีความเฉลียวฉลาดเหมือนมนุษย์พอที่จะสร้างความสุขขึ้นที่จิตใจได้เหมือนเราเท่านั้นเขาก็อยู่ตามประสาของเขาไปเราเป็นมนุษย์ที่มีความฉลาดแหลมคมยิ่งกว่าสัตว์และมีศาสนาเครื่องชี้แนวทางฝ่ายเหตุให้เราได้ดำเนินด้วยความถูกต้องและเป็นผลที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติศาสนาคือความสุขความพึงใจภายในใจของเราจิตใจเมื่อมีบุญมีกุศลอยู่ก็พออยู่ไปก็พอไปไปไหนก็พอไปเพราะมีความชุ่มเย็นอยู่ภายในตัวอยู่แล้วท่านจึงสอนให้สร้างตรงนี้


    ใจเป็นของสำคัญมากยิ่งกว่าวัตถุสิ่งใดทั้งสิ้นใจเป็นรากเป็นฐานใจเป็นผู้ท่องเที่ยวในภพน้อยภพใหญ่ตามท่านกล่าวไว้ว่าอเนกชาติสํสารํสนฺธาวิสฺสํอนิพฺพิสํดังนี้เป็นต้นการท่องเที่ยวในวัฏสงสารนับประมาณไม่ได้มาจนกระทั่งปัจจุบันนี้บัดนี้เราได้ทำลายแล้วซึ่งกงจักรคืออวิชชาได้สิ้นสุดลงไปแล้วบัดนี้เราเป็นผู้ไม่เกิดอีกแล้วนี่คือพระอุทานของพระพุทธเจ้าที่ทรงรื้อกงจักรที่พัดผันอยู่ภายในจิตใจให้ได้หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไปในภพน้อยภพใหญ่สิ่งนี้ขาดสะบั้นลงไปแล้วเหลือแต่วิวัฏฏะคือไม่หมุนเป็นความบริสุทธิ์ล้วนนี่ก็หมายถึงใจ


    เราทุกคนมีวาสนาด้วยกันพระพุทธเจ้าท่านจึงสอนไม่ให้ประมาทอำนาจวาสนาของกันและกันเพราะมีอยู่ภายในจิตใจโดยเฉพาะไม่เป็นสิ่งที่จะมาออกร้านค้าขายเหมือนสิ่งของต่างแต่เป็นสิ่งที่มีอยู่ภายในจิตฝังอยู่อย่างลึกไม่มีใครทราบแม้ตัวเองก็ยังไม่อาจทราบได้เพราะมีสิ่งหนึ่งปิดบังอยู่ภายในตัวของตัวเราเอง


    แต่พอที่จะทราบได้ว่าเรามีความเชื่อความเลื่อมใสในศาสนธรรมพอใจในการทำบุญให้ทานรักษาศีล ภาวนานี่เป็นเชื้อเดิมแห่งนิสัยของผู้ที่เคยสร้างคุณงามความดีเคยถือศาสนาเคยสร้างบุญญาภิสมภารมาแล้วจึงยึดหลักนิสัยเดิมนี้ไว้พอใจกับการบำเพ็ญของตนที่เคยเป็นมาแม้เราจะจำไม่ได้ว่าเราเกิดภพใดชาติใดได้เคยสร้างคุณงามความดีอย่างนี้หรือไม่ประการใดก็ตามเราก็ถือเอาความเป็นของใจเราซึ่งแสดงอยู่ในปัจจุบันนี้เป็นสักขีพยานได้เลยจิตเคยอย่างไรก็ต้องเป็นอย่างนั้นนี่เป็นหลักใหญ่


    วาสนาอยู่ที่ใจสร้างแล้วก็รวมเข้าไปสู่ใจโดยลำดับเมื่อวาสนาบารมีของเราแก่กล้าแล้วเรื่องมีวาสนามากน้อยหากจะรู้ภายในตัวของเรานั่นตอนนั้นเป็นตอนที่เปิดเผยเต็มที่แล้วเจ้าของเห็นได้อย่างชัดเจนได้ชมสมบัติคือธรรมชาติอันล้นค่าอยู่ภายในจิตใจของตนทำให้เราเกิดความภาคภูมิในการบำเพ็ญของเราแม้ชาติปัจจุบันถ้าหากเราระลึกชาติใดไม่ได้เราก็ได้ภาคภูมิจิตใจว่าเราได้เคยทำมาอย่างนั้นจิตใจของเราจึงได้เป็นอย่างนี้อย่างนี้เป็นต้นเป็นสิ่งที่ส่อให้เราเห็นได้อย่างชัด


    ในโลกนี้ภพภูมิของสัตว์นั้นน่ะมีมากเราอย่านับเพียงหมื่นแสนภพภูมิเลยมีมากกว่านั้นที่จิตมีทางที่จะเป็นไปได้ต่างนานาเพราะสิ่งที่ไม่แน่นอนเหล่านี้แลและสิ่งที่ไม่ไว้ใจเหล่านี้แลซึ่งมีมากพระพุทธเจ้าจึงสอนลงในจุดรวมว่าผู้ใดเป็นผู้ที่จะไปสู่ในภพชาติใดต้องขึ้นอยู่กับจิตนี้เท่านั้นเพราะฉะนั้นจงสร้างจิตฝึกฝนอบรมจิตให้ดีเป็นสิ่งสำคัญถ้าอบรมจิตนี้ด้วยดีคือโดยศีลโดยธรรมแล้วจะมีสักกี่ร้อยล้านภพภูมิของสัตว์ก็ตามจิตจะเกิดในภพภูมิที่ดีเท่านั้นเหมาะสมกับวาสนาบารมีของตนสิ่งเหล่านั้นก็เป็นโมฆะไปหมดกับจิตดวงที่มีความดี


    ถ้าจิตไม่มีความดีสิ่งเหล่านั้นใกล้อยู่มากใกล้กับจิตดวงนี้ที่จะสวมใส่เข้าไปได้อย่างง่ายดายพระพุทธเจ้าต้องกีดต้องกันเอาไว้ด้วยพระโอวาทคำสั่งสอนให้สัตว์โลกทั้งหลายได้พินิจพิจารณาและประพฤติปฏิบัติตามซึ่งเป็นแนวทางที่ถูกต้องแม่นยำไม่เป็นอย่างอื่นสุโขปุญฺญสฺสอุจฺจโยการสั่งสมขึ้นซึ่งบุญย่อมนำมาซึ่งความสุขสุขทั้งชาตินี้สุขทั้งชาติหน้าภพหน้าสุขไม่มีจืดมีจางสุขไม่เบื่อก็คือสุขด้วยอำนาจแห่งบุญแห่งกุศลคือความสุขใจจึงขอให้พากันอุตส่าห์พยายาม


    นี่เรามาบำเพ็ญเป็นกาลเป็นเวลาเพราะเราเป็นฆราวาสต้องวิ่งเต้นขวนขวายเพื่อปากเพื่อท้องเพื่อลูกเพื่อหลานเพื่อญาติเพื่อวงศ์เพื่อผู้เกี่ยวข้องมากน้อยมนุษย์เราอยู่ที่ไหนต้องมีความวุ่นวายกับกิจการงานเหล่านี้เหมือนกันหมดนั่นเป็นความจำเป็นส่วนหนึ่งที่เราจะต้องทำส่วนจิตใจคือการสร้างบุญสร้างกุศลก็อย่าปล่อยอย่าลดละให้พยายามทำเป็นคู่เคียงกันไป


    ข้างนอกสมบัติภายนอกเราก็มีอาศัยได้ตลอดไปสมบัติภายในเราก็อาศัยได้ตลอดไปเช่นเดียวกันกับสมบัติภายนอกและเป็นสมบัติที่เฉพาะของตัวละบุคคลที่จะต้องพึ่งพิงอิงอาศัยสมบัติอันนี้อันเป็นแก้วสารพัดนึกอยู่ภายในจิตใจให้มีความสุขความเจริญในภพชาติต่อไปสมกับมนุษย์เรามีปัญญาเฉลียวฉลาดคาดหน้าคาดหลังเพื่อตัวเองได้โดยถูกต้องแล้วบำเพ็ญประพฤติปฏิบัติธรรมตามหลักคำสั่งสอนซึ่งเป็นสวากขาตธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชอบแล้วเราก็ไม่ผิดหวัง


    อยู่ในโลกนี้ก็เกิดถูกต้องเหมาะสมแล้วคือภูมิมนุษย์ภพหน้าก็จำต้องเหมาะสมเช่นเดียวกันเพราะอำนาจแห่งบุญแห่งกุศลเป็นผู้พาให้เกิดเป็นผู้พาให้เป็นนี่คือความแน่ใจของผู้สร้างบุญ


    ฉะนั้นในอวสานแห่งการแสดงธรรมนี้
    ขอบุญญานุภาพแห่งองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์จงคุ้มครองท่านทั้งหลายให้มีความสุขกายสบายใจอย่าได้มีโรคาพยาธิอันใดมาเบียดเบียนทำลายให้ได้บำเพ็ญคุณงามความดีเต็มสติกำลังความสามารถของตนจนถึงอวสานสุดท้ายให้สมกับความมุ่งมาดปรารถนาดังที่ท่านทั้งหลายมุ่งไว้แล้วโดยทั่วกันจึงขอยุติเพียงเท่านี้


    คัดลอกจาก http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=1704&CatID=2

     
  2. หม้อหุงข้าว..! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,103
    ค่าพลัง:
    +1,072
    "สุโข ปุญญัสสะ อุจจะโย - การสั่งสมบุญนำสุขมาให้"

    อนุโมทนา จขกท. ที่นำธรรมเทศนาหลวงตามหาบัว มาลง

    "คิดถึงพ่อ พ่ออยู่กับเจ้า
    คิดถึงหลวงตา หลวงตาจะอยู่กับเรา
    คิดถึงคำสอน คิดถึงคำสั่ง คิดถึงการปฏิบัติ หลวงตาจะอยู่กับเรา..!"


    เทศน์พระอาจารย์สงบ "กว่าจะเป็นหลวงตา"
     

แชร์หน้านี้