ทำใจให้สบาย อะไรมันจักเกิดก็ต้องเกิด ไม่มีใครสามารถยับยั้งสภาวะสงครามให้ไม่เกิดได้ แม้เมืองไทยเวลานี้จักเป็นอู่ข้าวอู่น้ำ ก็เริ่มจักประสบกับปัญหาภัยแล้ง และเกิดมีศัตรูพืชขึ้นในนาข้าวมากมาย ให้คอยดูเรื่องนี้เอาไว้ให้ดี อย่าคิดว่าวิกฤติเกิดจักหาซื้อข้าวได้ง่ายๆ ทุกอย่างไม่มีคำว่าง่าย แต่พึงทำใจให้มีสติเข้าไว้เสมอ คิดว่าทุกอย่างเป็นกฎของกรรม อันที่คนเกิดมาในยุคนี้จักต้องประสบ ไม่มีใครหลีกเลี่ยงไปได้ นอกจากผู้ที่หมดอายุขัยก่อนเหตุร้ายจักบังเกิดขึ้น นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง บุคคลใดยังอยู่ ก็พึงเอาธรรมะเข้าข่มใจ เนื่องจากจักถึงความเป็นพระอริยเจ้าได้ เมื่อประสบทุกข์อันไม่เคยได้พบมาก่อน แต่จงอย่าท้อใจ แม้ชาวพุทธจักลำบากอย่างไร ก็ยังพอทนได้ แล้วให้กำหนดจิตเอาไว้เสมอ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของการเกิด ตายเมื่อไหร่จักไม่มาเกิดอีก เอาจิตตั้งไว้ที่พระนิพพานจุดเดียว รักษากำลังใจให้ตั้งมั่น อย่าเศร้าหมองไม่ว่ากรณีใดๆ จักเกิดขึ้นมา
ธรรมกับภัยพิบัติจาก“ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น ”รวบรวมโดย:พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย chunhapong, 18 มกราคม 2014.
หน้า 3 ของ 4
-
-
อย่ากังวลใจกับสภาวะสงครามใหญ่ และอุทกภัยที่จักเกิดขึ้นในปลายปีนี้ ให้ตั้งจิตมั่นคงในศีล - สมาธิ - ปัญญา ชำระกิเลสในขณะนี้ให้ลดน้อยหรือสิ้นยังจักดีกว่า เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องของอนาคต ชีวิตของพวกเจ้าเองก็ยังไม่เที่ยง มันอาจจักตายลงไปในขณะจิตนี้ก็ได้ เรื่องสงครามหลังกึ่งพุทธกาลนั้นมีแน่ ทุกอย่างเป็นไปตามพุทธยากรณ์ ขององค์สมเด็จปัจจุบัน แต่จิตไม่ควรจักตื่นตกใจให้มากเกินไป ให้ปลงเสียว่า ถ้ากฎของกรรมมีอยู่ ให้ชีวิตของร่างกายจักต้องทรงอยู่ และมีอันจักต้องประสบเหตุการณ์เช่นนั้น ภัยอย่างนี้เลี่ยงไม่ได้ เราพึงเตรียมจิตเตรียมใจรับสภาวะกฎของกรรมอย่างไรดี จุดนี้ต่างหากที่พึงจักสนใจ เมื่อภัยพิบัติมาถึงเข้าจริง ๆ ในเวลานั้น ถ้าหากกฎของกรรมมีอันทำให้ถึงตาย ก็พึงเตรียมจิตเตรียมใจทิ้งขันธ์ ๕ เพื่อเข้าสู่พระนิพพานอย่างเดียว อะไรจักเกิดมันก็ต้องเกิด อย่าหวาดหวั่นพรั่นพรึงเสียอย่างเดียว ตัวสติก็คุมจิตให้มีสัมปชัญญะได้ เรื่องหนีไม่จำต้องหนีไปไหน เพราะภัยที่จักเกิดขึ้นกับผู้ใด ไปที่ไหนก็หนีไม่พ้นภัยนั้น ๆ ยกเว้นเสียจากผู้ที่ทำจิตได้เข้าสู่พระนิพพานแล้ว ภัยทั้งหลายเหล่าใดก็เข้าถึงผู้นั้นมิได้ เพราะฉะนั้นผู้ที่มีชีวิตอยู่ในกึ่งพุทธันดรนี้ จึงพึงเป็นผู้ไม่ประมาทอย่างยิ่ง ควรเร่งรัดในศีล - สมาธิ - ปัญญา ให้ตั้งมั่นอยู่ในจิต แล้วชีวิตจักรอดพ้นจากความตาย หากโชคดีละขันธ์ ๕ ได้ ก็ถึงซึ่งพระนิพานพ้นทุกข์ก่อนได้เห็นภัยพิบัติอีกยิ่งดี
-
อย่าไปทุกข์กับเหตุการณ์ที่แวดล้อมอยู่นี้ ให้ถือว่าเหตุกระทบนั้นเป็นครู ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้น - ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไปเท่านั้นเอง ให้เห็นเป็นแค่ สภาวะธรรม อย่าไปใส่ใจว่าอะไรในโลกนี้มันจักจีรังยั่งยืน แม้แต่ขันธ์ ๕ ของใครหรือของตนเอง เพราะนั่นเป็นอารมณ์ภวตัณหา ทุกสิ่งทุกอย่างมีอนัตตา หรือพังหรือตายในที่สุดเหมือนกันหมด ให้เตรียมตัวเตรียมใจ พร้อมรับสถานการณ์เกิด - เสื่อม - ดับอยู่เสมอ พยายามทำจิตให้ปล่อยวางอยู่เสมอ เห็นทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้เป็นกฎของธรรมดาหมด บุคคลซึ่งจักทำจิตให้เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน จักต้องวางอารมณ์ปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างให้ได้ทุกเมื่อ และจงทำทุกอย่างตามหน้าที่ให้ดีที่สุดเท่าที่จักทำได้ ให้ทำความดีด้วยความเต็มใจ แต่ไม่ติดอยู่ในความดีนั้นๆ
-
เหตุการณ์บ้านเมืองเวลานี้ไม่ดี ไม่ต้องไปวิพากษ์วิจารณ์ว่าใครดีใครเลว เพราะกฎของกรรมเป็นของตายตัว จึงมิใช่ของแปลก เป็นเรื่องธรรมดาของกฎของกรรม นักปฏิบัติเพื่อต้องการพ้นทุกข์ จงเห็นกฎของธรรมดาเหล่านี้ให้มาก และยอมรับนับถือกฎของธรรมดาด้วย จิตจึงจักสงบเย็นลงไม่โทษเขาหรือโทษใคร ให้เห็นทุกอย่างตามความเป็นจริงไว้เสมอ และจงอย่าได้มีความประมาทในชีวิต พร้อมตายและซ้อมตาย เพื่อเอาจิตเข้าสู่พระนิพพานไว้ ด้วยความไม่ประมาท ให้จิตยอมรับนับถือกฎของธรรมดาให้มาก แล้วจิตจักเป็นสุข
-
สถานการณ์บ้านเมืองก็เสื่อมลงทุกวัน แต่ให้พึงเห็นเป็นกฎของกรรมที่ไม่สามารถจักหลีกเลี่ยงได้ ให้เห็นทุกข์ของการเกิดมาในโลกมนุษย์นี้ กรรมทั้งหลายที่เกิดเนื่องด้วยความไม่รู้จักพอของมนุษยชาติ ด้วยจิตที่พร่องอยู่ในความโลภ-โกรธ-หลง มนุษย์จึงทำปัญหาให้เกิดขึ้นในทุกยุคทุกสมัย นี่เป็นกฎของธรรมดา อย่าไปโทษว่าใครดี ใครเลว ตราบใดที่จิตยังเข้าไม่ถึงความเป็นพระอรหันต์ ก็ยังนับว่ายังดีไม่พอ เพราะฉะนั้นจักตำหนิใคร ให้ดูจิตของตนเองเสียก่อน เพราะจิตของตนเองยังเอาดีไม่ได้ ก็ไม่พึงไปติคนอื่นเขา ให้พิจารณาลงตัวธรรมดาเสียให้ได้ แล้วอย่าไปแก้จิตของคนอื่น ให้แก้จิตของตนเองอยู่นี้ให้ดีให้พอ แค่นั้นจิตก็จักเป็นสุข และเป็นที่พอใจของตถาคตเจ้าแล้ว
-
ให้ทำใจให้สบาย ๆ อย่าห่วงกังวลถึงเหตุการณ์ภายหน้าว่าเป็นอย่างไร ทุกอย่างล้วนเป็นกฎของกรรมทั้งสิ้น จงดูแลตนเองให้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งสภาพของจิตใจ ไม่มีใครที่จักช่วยเราได้นอกจากตัวของตนเอง ฝึกฝนจิตเอาไว้ให้ดี ให้พร้อมรับกับสถานการณ์ทุกรูปแบบ อย่าคิดว่าในชีวิตจักไม่เจอกับสิ่งที่เลวร้าย เวลานี้ทั่วโลกต่างประสบกับภัยพิบัติต่าง ๆ นานา รวมทั้งข่าวมรณภัย ตายหมู่คราวละมาก ๆ ให้เห็นให้ฟังอยู่เป็นประจำ เพราะฉะนั้นไม่ควรที่จักประมาทเป็นอันขาด และให้นึกอยู่เสมอว่าความตายเป็นของจริง ซึ่งไม่มีใครที่มีร่างกายจักหนีได้พ้น พวกเจ้าเองก็เช่นกัน ทำอะไรก็ทำไป แต่ไม่ควรประมาทในกรรมเป็นอันขาด
-
ตามที่คุณ chunhapong ได้โพสต์ข้อความไว้ในความคิดเห็นที่ 42 ดังที่ยกมาด้านล่างนี้ ผมอ่านแล้วเข้าใจว่า วลีที่ว่า "ปลายปีนี้" หมายถึง ปลายปี พ.ศ. 2557
การยกข้อความมาไม่ครบอย่างนี้อาจทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิดไปได้นะครับ ผมเห็นว่า ถ้าจะยกข้อความที่ระบุเงื่อนเวลา และมีบริบทเฉพาะเรื่องเช่นนี้มาโพสต์ใหม่ ก็น่าจะระบุให้ชัดเจนถึงเวลาขณะที่ท่านผู้บันทึกได้บันทึกข้อความไว้ รวมถึงเนื้อหาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย ผู้อ่านจะได้ข้อมูลที่ชัดเจนตรงกับความเป็นจริงครับ
ดูข้อความต้นฉบับได้ที่ ปกิณกธรรม.. เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๔๐ -
ร่างกายที่เห็นอยู่นี้มิใช่ของจริง ตัวจริง ๆ คือจิต ให้พิจารณาแยกส่วนออกมาให้ได้ ร่างกายนี้สักเพียงแต่ว่าเป็นที่อยู่อาศัย เสมือนบ้านเช่าชั่วคราวเท่านั้น ไม่ช้าไม่นานจิตวิญญาณก็จักออกจากร่างกายนี้ไป ทุกร่างกายมีความตายไปในที่สุดเหมือนกัน แล้วพิจารณาการอยู่ของร่างกาย ทุกลมหายใจเข้า-ออกคือทุกข์ เนื่องด้วยความไม่เที่ยง หาอันใดทรงตัวไม่ได้ พิจารณาให้เห็นชัดจึงจักวางร่างกายลงได้ในที่สุด เรื่องของบ้านเมือง เรื่องของเศรษฐกิจเวลานี้ สับสนวุ่นวาย ให้พิจารณาเห็นเป็นธรรมดา เพราะดวงเมืองไทยเป็นอย่างนี้เอง จักต้องทำใจให้ยอมรับสถานการณ์ให้ได้ทุก ๆ สภาพ เพราะล้วนแล้วเป็นกฎของกรรมทั้งสิ้น
-
เวลานี้ดวงเมืองกำลังร้อน จึงมีเหตุให้เกิดความเปลี่ยนแปลงไปทุกหย่อมหญ้า เวลานี้ไม่มีอะไรแก้ไข ให้นิ่งเฉยสงบเข้าไว้เป็นดีที่สุด เหมือนสถานการณ์ของบ้านเมือง (ทรงตรัสไว้เมื่อ ๒๕ ต.ค. ๒๕๔๐ ปัจจุบันดวงเมืองก็กำลังร้อน ตั้งแต่ ๘ เม.ย. จนถึงวันนี้ ๑๐ เม.ย. ๒๕๕๒ ห่างกัน ๑๒ ปี) ภาวะเศรษฐกิจเป็นอย่างนี้อยู่เฉย ๆ ไม่ลงทุนทำอะไรเลยดีกว่า สถานการณ์ของวัดก็เช่นกัน ทั้งดวงเมืองและดวงวัด เพราะเวลานี้กฎของกรรมกำลังให้ผลหนัก ความผันผวนย่อมเกิดขึ้นได้ทุกวัน แต่ไม่ควรที่จักหวั่นไหว รักษาจิตให้สงบ ให้เห็นทุกอย่างเป็นธรรมดาเข้าไว้ รักษาอะไรไม่สำคัญเท่ารักษาจิตใจของตนเอง ดูจุดนี้เอาไว้ให้ดีรักษาอารมณ์ของตนเองให้อยู่ในกุศล ดีกว่าปล่อยให้ตกอยู่ในห้วงของอกุศล ปล่อยวาง กรรมใครกรรมมันให้ได้ ใช้ปัญญาพิจารณาให้รู้แจ้ง เห็นชัดในกฎของกรรมจุดนั้นแหละจึงจักปล่อยวางกรรมใครกรรมมันได้ ความสุขจักเกิดขึ้นแก่จิตใจของตนอย่างแท้จริง
-
ขอให้ทุกท่านพิจารณาในธรรมนะครับอย่าสนใจในเรื่องของการเวลา พระธรรม เป็น อกาลิโก
ไม่ประกอบด้วยกาล ให้ผลแก่ผู้ปฎิบัติโดยไม่จำกัดกาลเวลา ให้พิจารณาตาม ว่าโลกไม่เที่ยง
เป็นทุกข์ แปรปรวนอยู่ตลอดเวลา อย่าได้ประมาทว่าโลกนี้น่าอยู่ และจะอยู่สุขสบายไปตลอด -
Merry Christmas & Happy New Year
ขออาราธนาบารมีองค์สมเด็จพระปฐมบรมธรรมบิดา องค์สมเด็จพระสัมมา
สัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรม
พระอริยสงฆ์สาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์
พรหม เทวดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วทั้งอนันตจักรวาล ทุกๆ พระองค์
ได้โปรดประทานพรให้ชาวเวปพลังจิตทุกท่าน จงมีแต่ความสุขสวัสดิ์
พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูลผล บังเกิดแด่ทุกท่านเทอญ.... ขอให้โชคดีไฟล์ที่แนบมา:
-
-
-
นั่นซิคะ รู้สึกว่าคุ้นๆ ก็คือคําสอนของสมเด็จองค์ปฐมนั่นเอง -
ก็มันมีแต่ของเก่าทั้งนั้นนะ เกิด ดับ เกิดใหม่แล้วดับ เป็นวัฏฏะ วนอยู่อย่างนี้
“..เกิดภพใด เกิดภพไหน ชาติไหน ก็เหมือนเก่า มันหลงของเก่าอยู่นั่นแหละ
ไม่มีของใหม่สักอย่าง ดิน ฟ้า อากาศ แสงเดือน ก็ยังไม่หยุดสงสัยกันอยู่
ความแก่ ความเจ็บ ความตาย เป็นกันอยู่อย่างนั้นวัฏฏะนี้..”
โอวาทธรรมหลวงปู่ลี กุสลธโร -
จะเก่ามาแต่ไหนไม่เป็นไรหรอกครับแต่น่าจะให้เครดิตกับต้นฉบับเค้าสักนิดสักหน่อยอย่างน้อยท่านก็ได้บุญในส่วนของการเผยแพร่คำสอนดีๆน่ะครับ
-
-
ภัยสงครามใหญ่และภัยพิบัติใหญ่ไม่มีแล้วครับแต่มีเฉพาะจุดเอง
-
เพราะองค์พระโพธิสัตย์ใหญ่ๆๆ
ได้ค้ำจุนโลกไว้แล้ว -
ด้วยจิตหนึ่งคือโลกและสรรพสิ่งคือหนึ่งเดียวกันครับ
-
สาธุครับ
สิ่งใหม่จะเข้าใจอยากเพราะมีน้อยคนรับรู้
นิพพานคือเหนือสมมติเหนือกาลเวลาเหนือผู้ลุถึงได้ครับ
หน้า 3 ของ 4