ตามทางพุทธกิจ
ศึกษาพระพุทธประวัติ จากพระธรรมเทศนา ณ พุทธสังเวชนียสถาน
พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต)
--->> รูปกายดับสูญ ธรรมกายไม่สิ้น
ขอเจริญพรโยมคณะผู้เดินทางนมัสการสังเวชนียสถานพุทธสังเวชนียสถานที่คณะนั่งอยู่ในบัดนี้ก็เป็นสถานที่สำคัญสืบเนื่องมาจากสถานที่ที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานซึ่งคณะได้ไปนมัสการเมื่อเย็น และได้สวดมนต์ทำวัตรจนถึงตอนค่ำวานนี้ ในเวลาที่เดินทางมาถึงใหม่ ๆ
ที่ว่าสถานที่นี้เป็นสถานที่สำคัญสืบเนื่องจากสถานที่ปรินิพพานนั้น ก็เพราะว่าเป็นสถานที่ถวายพระเพลิงพุทธสรีระคือ เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว หลังจากนั้นบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งฝ่ายพระ และฝ่ายคฤหัสถ์ก็ได้เตรียมการเกี่ยวกับการถวายพระเพลิงพุทธสรีระ
ฝ่ายพระนั้นในสถานที่ปรินิพพาน ตามประวัติก็ว่าพระอนุรุทธเถระเป็นประธาน และมีพระผู้ใหญ่อื่น เช่น พระอานนทเถระ เป็นต้น ในฝ่ายคฤหัสถ์นั้นก็ได้แก่กษัตริย์มัลละทั้งหลายผู้เป็นเจ้าเมืองเจ้าแคว้นดินแดนแห่งนี้ ท่านเหล่านั้นจึงจะต้องทำความเข้าใจกันให้ถูกต้อง
ก็เป็นอันว่าสถานที่นี้ก็เป็นสถานที่แห่งหนึ่งที่เราจะต้องเกิดความสังเวชดังที่กล่าวมาแล้ว และเมื่อสังเวชถูกต้องย่างนี้ก็จะไปสอดคล้องกับหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้เป็นปัจฉิมวาจาที่ว่า ให้ไม่ประมาท หรือให้ยังประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่นให้สำเร็จด้วยความไม่ประมาท หมายความว่าพุทธศาสนิกชนเมื่อระลึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า ระลึกถึงเหตุการณ์เกี่ยวกับพระองค์แล้ว ก็จะต้องเกิดความสำนึกที่จะเร่งขวนขวายทำความดี เร่งขวนขวายปฏิบัติธรรม ไม่ปล่อยปละละเลยทอดทิ้ง ไม่ทำกาลเวลาให้ล่วงไปเสียเปล่าพยายามทำเวลาที่ผ่านไปให้มีประโยชน์มากที่สุด เพื่อให้เกิดความเจริญงอกงามในทางธรรม
สถานที่ถวายพระเพลิงพุทธสรีระนี้ก็เป็นเครื่องหมายให้เห็นชัดว่า พระรูปกายของพระพุทธเจ้านั้นได้สิ้นสุดลงแล้วรูปกายของพระองค์ที่ประกอบด้วยพุทธลักษณะต่าง ๆ ในที่สุดได้ถูกเพลิงแผดเผาสูญสิ้นไป เหลือแต่เพียงพระสารีริกธาตุ คือ พระอัฐิ หรือกระดูกเท่านั้น ที่ถวายพระเพลิงก็เป็นเครื่องหมายของการจบสิ้นของพระรูปกายของพระพุทธเจ้า
อาตมภาพได้เคยกล่าวแล้วว่า พระพุทธเจ้านั้นทรงมีพระกาย ๒ อย่างตามคติของพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท ก็คือมี