สวัสดีคุณ คุรุวาโร อยากถามความเห็นครับว่า ความเข้าใจบางอย่าง พระพุทธเจ้าท่านสงเคราะห์ให้ไม่ใช่นิมิตร์ ไม่อดีด ไม่ใช่อนาคต ไม่ใช่ปัจจุบัน ไม่มีเวลา ตรงนี้คุณคุรุวาโรมีความเห็นอย่างไรบ้างครับ<!-- google_ad_section_end -->
ธรรมพระบูรพาจารย์(หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต)
ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย คุรุวาโร, 14 ตุลาคม 2011.
หน้า 10 ของ 38
-
ผมอาจจะเชื่ออย่างนั้นนะครับ
ขอให้เจริญในธรรมครับ -
-
ผมก็ขอบคุณ คุรุวาโร ที่บอกกรรมฐานและที่มา จะได้ตั้งใจปฏิบัติทำความดีในปัจจุบัน เพราะที่มานั้นลำบากกลัวจากปัจจุบันแล้วไปเป็นอีก ขอบคุณมากครับผม
-
พี่ครับ เวลาถอดกายทิพย์ ต้องแขวนพระไว้กับตัวอยู่หรือเปล่าครับ
คือผมจะนั่งสมาธิกลางแจ้งตอนกลางคืนตรงหน้าบ้านอ่ะครับ
ท้องฟ้าโล่งดีดาวละยิบละยับเต็มไปหมดแต่หน้าบ้านเป็นสามแพร่ง -
-
-
กระทู้นี้มีประโยชน์มาก น้อมอนุโมทนาบุญค่ะคุณคุรุวาโร
-
ชาตินี้พวกเขาก็ยังมาดูแลคุณอยู่ครับ อยากจะบอกว่าอย่าไปเชื่อเรื่องดวงให้มากนักครับ กรรมฐานแบบเดิมนี้ก็ดีแล้วครับ ก่อนเจริญกรรมฐานลองอธิษฐานให้เหล่าเทพ เทวามาช่วยเหลือก็ดีนะครับ เพราะพวกเขาอยากจะช่วยคุณใจจะขาดอยู่ เพียงแต่คุณไม่อธิษฐานให้เขาช่วยนะครับ
ขอให้เจริญในธรรมครับ -
ขอให้เจริญในธรรมครับ -
-
yoottapong said: ↑รบกวนคุณคุรุวาโรช่วยดูให้ผมหน่อยครับClick to expand...
"พุทธัง อรหัง ธัมมังอรหัง อรหังสังโฆ "3 จบ แล้วตามด้วย ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวตา....คือบทตอนจบของบทสวดถวายพรพระนะครับ
แต่ในใจจริงลึกๆตัวคุณก็รู้อยู่ว่า มันไม่จริงแต่อย่างว่า อินทรีย์อ่อน ย่อมเป็น
ไม่อาจเอาชนะมารได้นะครับ
ขอให้เจริญในธรรมครับ -
pannich said: ↑ขอความกรุณาดูให้ด้วยนะคะ
อดีตมาจากองค์หญิงของนาค ในเมืองบาดาล ชาตินี้ชอบความสะดวกสบายเป็นหลักไม่ค่อยมีเรื่องทุกข์ ร้อนใจเท่าไหร่ครับ น่าจะหาพระนาคปรกมาแขวนคอครับ เจริญกรรมฐานลมหายใจก็ดีครับClick to expand... -
ใช้เวลานั่งสมาธิประมาณ 30 นาที จิตเห็นนิมิต จุดสีม่วง เมื่อเพ่งก็สามารถบังคับจุดได้ มีการเคลื่อนที่ขึ้นลง ขยายใหญ่ จนเห็นแต่สีม่วงเต็มตา ขณะเกิดนิมิตมีอาการลืมคำภาวนา ลมหายใจเบา รู้สึกเหมือนไม่หายใจ จึงภาวนาให้ชัดเจนขึ้น มีสัมปชัญญะ รู้ลมหายใจเข้าออก รู้ว่านั่งสมาธิอยู่ แล้วจึงเพ่งนิมิตนั้น อธิษฐานว่าจะไม่เห็นอะไรอีก สักพักนิมิตสีม่วงค่อยๆหายไป เห็นจุดสีเทาพื้นดำประมาณครู่เดียว จึงเพ่งที่จุดนั้น ก็เปลี่ยนเป็นสีม่วงสว่างวาบๆ จึงตัดสินใจอธิษฐานให้เกิดและบรรลุธรรมในยุคพระศรีฯ แผ่เมตตา แล้วจึงออกจากสมาธิ เมื่อออกจากสมาธิแล้วรู้สึกขยับตัวไม่ค่อยได้ จึงค่อยๆกวาดสายตาไปรอบๆห้อง ขยับหน้า ขยับปาก ขยับแขนและขา มีอาการอยากหลับตาอีก จึงเข้าสมาธิอีกครั้งหนึ่งก็ยังเห็นภาพจุดสีม่วง แล้วก็เห็นภาพผู้หญิงผอมๆคนหนึ่ง ได้ยินเสียงคนมาเรียกจึงค่อยๆออกจากสมาธิ ตอนแรกไม่เข้าใจว่าจะอธิษฐานยังไงดี แต่ก็ฝันถึงพี่เมื่อคืนด้วย ฝันว่าเข้ามาตอบกระทู้ อาจจะจดจ่อมากเกินจนเก็บไปฝัน
-
Sunthorn2493 said: ↑รบกวนท่านคุรุวาโรด้วยครับ
การนั่งสมาธิแล้วหลับ หรือบางคนก็เกิดปิติแปลกๆ สุขอย่างประหลาด บางคนก็ทุกข์เหลือเกิน สลดใจ สังเวชอะไรทำนองนี้ บางคนนั่งสมาธทีไร ก็เห็นแต่ผีมาหลอกหลอน บางคนนั่งสมาธิแล้วก็อยากเหาะได้ หรือบางคนก็ได้กลิ่นหอมแปลกๆ และแปลกกว่านั้นก็มีครับ เช่น นั่งสมาธิแล้วร่างกายสั่นๆพับๆ ไม่ยอมหยุด นานานับประการนี้ ส่วนใหญ่จะมีเหตุ ดังนี้ครับ
1.เกิดจากขันธมาร ของเราเอง ที่เป็นภวังค์ดั้งเดิมกำเนิดเรามา สร้างภพ สร้างชาติ สร้างอายะสัมผัสใน มโนวิญญาน กายวิญญาน และโสตวิญญานเป็นต้น
2.เกิดจากพวกเจ้ากรรม นายเวร ที่อิจฉา ริษยา เราที่ได้เกิดมา เพราะมนุษย์ถือว่าเป็นเทวดาจำพวกหนึ่ง ที่ถือว่าเป็นเทวดาเพราะสามารถแผ่ อุทิศ ส่วนกุศล ให้ภพภูมิ ที่ต่ำกว่าได้ นั่นเอง บางครั้งพวกเขาก็อยากจะสื่อให้เราส่งบุญ กุศลให้เขาบ้าง เลยมากลั่นแกล้งต่างๆนานาไป จะเห็นได้ว่า สมัยก่อน พระ มักจะนั่งสมาธิในพระอุโบสถ หรือไม่ก็นั่งในที่มีพระประธานองค์ใหญ่ เพื่อจะกั้นสิ่งที่ติดตามมาจะไม่เข้ามาใกล้เรา ขัดขวางเรา แต่สายของพระอาจารย์มั่น นั้นใช้วิธีอารธนาคุณพระคุณของ พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระอริยสาวกผู้ที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ มาช่วยกั้นสิ่งขัดขวางต่างๆเหล่านี้ โดยจะสอนว่าให้ระลึกถึงพระคุณรัตนตรัยก่อนลงมือ เจริญกรรมฐานทุกครั้ง ซึ่งตัวผมก็ใช้รูปแบบนี้นะครับ ก็ไม่เคยสัมผัสสิ่งต่างๆเหล่านี้มาขัดขวางนะครับ
การภาวนา "พุทโธ" นั้น หลวงปู่มั่น กล่าวว่า เมื่อพระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ คำกล่าวแรกที่พระองค์ทรงกล่าว คือคำว่า "พุทโธ " แล้วทำไมเราต้องไปใช้คำบริกรรมคำอื่นๆอีก บรูพพาจารย์กล่าวอีกว่า ถ้ามีเหตุร้าย ไม่ดี คิดอะไรไม่ออกก็กล่าวแค่"พุทโธ" 3 จบ เหตุร้ายอาจกลายเป็นดีก็ได้ครับ
ขอให้เจริญในธรรมครับClick to expand... -
ปลาล่องหน said: ↑ใช้เวลานั่งสมาธิประมาณ 30 นาที จิตเห็นนิมิต จุดสีม่วง เมื่อเพ่งก็สามารถบังคับจุดได้ มีการเคลื่อนที่ขึ้นลง ขยายใหญ่ จนเห็นแต่สีม่วงเต็มตา ขณะเกิดนิมิตมีอาการลืมคำภาวนา ลมหายใจเบา รู้สึกเหมือนไม่หายใจ จึงภาวนาให้ชัดเจนขึ้น มีสัมปชัญญะ รู้ลมหายใจเข้าออก รู้ว่านั่งสมาธิอยู่ แล้วจึงเพ่งนิมิตนั้น อธิษฐานว่าจะไม่เห็นอะไรอีก สักพักนิมิตสีม่วงค่อยๆหายไป เห็นจุดสีเทาพื้นดำประมาณครู่เดียว จึงเพ่งที่จุดนั้น ก็เปลี่ยนเป็นสีม่วงสว่างวาบๆ จึงตัดสินใจอธิษฐานให้เกิดและบรรลุธรรมในยุคพระศรีฯ แผ่เมตตา แล้วจึงออกจากสมาธิ เมื่อออกจากสมาธิแล้วรู้สึกขยับตัวไม่ค่อยได้ จึงค่อยๆกวาดสายตาไปรอบๆห้อง ขยับหน้า ขยับปาก ขยับแขนและขา มีอาการอยากหลับตาอีก จึงเข้าสมาธิอีกครั้งหนึ่งก็ยังเห็นภาพจุดสีม่วง แล้วก็เห็นภาพผู้หญิงผอมๆคนหนึ่ง ได้ยินเสียงคนมาเรียกจึงค่อยๆออกจากสมาธิ ตอนแรกไม่เข้าใจว่าจะอธิษฐานยังไงดี แต่ก็ฝันถึงพี่เมื่อคืนด้วย ฝันว่าเข้ามาตอบกระทู้ อาจจะจดจ่อมากเกินจนเก็บไปฝันClick to expand...
1.กายลหุตา จิตตลหุตา แปลว่า เบากาย เบาใจ
2.กายมุทุตา จิตตมุทุตา แปลว่า อ่อนหวานพร้อมทั้งกาย ทั้งใจ
3.กายปัสสัทธิ จิตตปัสสัทธิ แปลว่า สงบพร้อมทั้งกาย ทั้งใจ
4.กายกัมมัญญตา จิตตกัมมัญญตา แปลว่า ควรแก่การกระทำพร้อมทั้งกาย ทั้งใจ
5.กายกัมมัญญตา จิตตกัมมัญญตา แปลว่า ควรแก่การกระทำพร้อมทั้งกาย ทั้งใจ
6.กายปาคุญญตา จิตตปาคุญญตา แปลว่า คล่องแคล่ว สะดวกดีพร้อมทั้งกาย ทั้งใจ
ระงับทุกขเวทนาต่างๆ คือระงับความเหน็ด ความเหนื่อย ความหิว ทั้งปวง ตลอดจนความเจ็บปวดทุกประการ รู้สึกได้รับความสบายกาย สบายใจ ปลอดโปล่งในใจขึ้นพร้อมกันทีเดียวครับ
เนื่องจากได้ฌานสี่แล้ว ก็ขึ้นอรูปฌานหนึ่งเลยครับ โดยเมื่อทำได้ถึงขั้นนี้ให้เปลี่ยนธัมวิรยะที่นำมาพิจารณา โดยพึงวิตกถามในใจว่า อาการ32 ภายในร่างกายเราส่วนไหนตั้งอยู่อย่างไร มีลักษณะอาการอย่างไร หทัยวัตถุตั้งอยู่ที่ใด
ครั้นเมื่อวิตกถามในใจดังนี้แล้ว พึงหยุด และวางคำวิตกเสีย กำหนดจิตให้รวมสนิทนิ่ง พิจารณาความวางเฉย จนกว่าได้ความรู้แจ้งขึ้นเองปรากฏเห็นชัดซึ่งดวงหทัยวัตถุ ตั้งอยู่ทรวงอกข้างซ้ายมีลักษณะคล้ายดอกบัวตูม ทำอย่างนี้จนครบ 32 อย่างครับ เมื่อทำได้คล่องก็จะขึ้นขั้นตอนสุดท้ายเพื่อจะผ่านโครตภูญานเป็นบรรลุโสดาบันต่อไปครับ
ขอให้เจริญในธรรมครับ -
คุรุวาโร said: ↑เมื่อจิตตกลงสู่ภวังค์เอง ก็จะลืมคำบริกรรมพระพุทธเจ้าทรงรับรองความเบากาย เบาใจนี้ เรียกว่า พระบุคคล มี 6 ประการคือ
1.กายลหุตา จิตตลหุตา แปลว่า เบากาย เบาใจ
2.กายมุทุตา จิตตมุทุตา แปลว่า อ่อนหวานพร้อมทั้งกาย ทั้งใจ
3.กายปัสสัทธิ จิตตปัสสัทธิ แปลว่า สงบพร้อมทั้งกาย ทั้งใจ
4.กายกัมมัญญตา จิตตกัมมัญญตา แปลว่า ควรแก่การกระทำพร้อมทั้งกาย ทั้งใจ
5.กายกัมมัญญตา จิตตกัมมัญญตา แปลว่า ควรแก่การกระทำพร้อมทั้งกาย ทั้งใจ
6.กายปาคุญญตา จิตตปาคุญญตา แปลว่า คล่องแคล่ว สะดวกดีพร้อมทั้งกาย ทั้งใจ
ระงับทุกขเวทนาต่างๆ คือระงับความเหน็ด ความเหนื่อย ความหิว ทั้งปวง ตลอดจนความเจ็บปวดทุกประการ รู้สึกได้รับความสบายกาย สบายใจ ปลอดโปล่งในใจขึ้นพร้อมกันทีเดียวครับ
เนื่องจากได้ฌานสี่แล้ว ก็ขึ้นอรูปฌานหนึ่งเลยครับ โดยเมื่อทำได้ถึงขั้นนี้ให้เปลี่ยนธัมวิรยะที่นำมาพิจารณา โดยพึงวิตกถามในใจว่า อาการ32 ภายในร่างกายเราส่วนไหนตั้งอยู่อย่างไร มีลักษณะอาการอย่างไร หทัยวัตถุตั้งอยู่ที่ใด
ครั้นเมื่อวิตกถามในใจดังนี้แล้ว พึงหยุด และวางคำวิตกเสีย กำหนดจิตให้รวมสนิทนิ่ง พิจารณาความวางเฉย จนกว่าได้ความรู้แจ้งขึ้นเองปรากฏเห็นชัดซึ่งดวงหทัยวัตถุ ตั้งอยู่ทรวงอกข้างซ้ายมีลักษณะคล้ายดอกบัวตูม ทำอย่างนี้จนครบ 32 อย่างครับ เมื่อทำได้คล่องก็จะขึ้นขั้นตอนสุดท้ายเพื่อจะผ่านโครตภูญานเป็นบรรลุโสดาบันต่อไปครับ
ขอให้เจริญในธรรมครับClick to expand... -
ปลาล่องหน said: ↑แม้จะยังไม่ค่อยเข้าใจ แต่จะพยายามทำไปทีละขั้นค่ะ เพราะไม่รู้ว่าเข้าฌานเป็นยังไง ที่ทำอยู่ทุกวันนี้ก็ทำไปเรื่อยๆ เอาสบายใจดีกว่า อย่างไรก็ตามขอบพระคุณมากค่ะ ในคำแนะนำต่างๆClick to expand...
หน้า 10 ของ 38