ธรรมสังเวช

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย KK1234, 25 มิถุนายน 2010.

  1. KK1234 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    2,401
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,515
    ธรรมสังเวช



    ครั้น ถึงคราว จะสิ้นลมหายใจ จะร้องเรียกให้ญาติมิตร สามี ภรรยา ลูกหลาน ทรัพย์สิน เงินทอง ของเหล่านั้น มาช่วยไม่ได้ “สทฺธา ทุติยา ปุริสสฺส โหติ”

    ศรัทธานี้แหละจะรวบ รวมไว้ซึ่งเสบียง คือ กุศล “สทฺธาย ตรติ โอฆํ” จะออกจากโอฆะได้ก็เพราะศรัทธา ถ้าหา ศรัทธาไม่ได้ ก็มีแต่จะวนเวียนอยู่ในกองทุกข์ ไม่มีที่สิ้นสุด ความสุขมีนิดหน่อย ไม่พอกับความทุกข์ เพียงแต่ความเจ็บ ความตาย เท่านั้น ก็ลบล้างความสุขเสียหมดสิ้นแล้ว

    นี่แหละเราท่านทั้งหลาย ทั้งหญิงชายและพานิช จึงต้องคิดด้วยปัญญา เราเกิดมาก็คงตาย มีร่างกายก็คงแก่ พี่น้องพ่อแม่ ช่วยไม่ได้ เวลาไปๆ คนเดียว จิตหน่วงเหนี่ยว บุญกับบาป มียศลาภก็ต้องทิ้ง ลูกชายหญิงก็ต้องละ

    เชื่อ คำพระเถิดเราท่านทั้งหลายเอ๋ย อย่าได้หลงเชยชมตัว มีเมียผัว ก็ต้องจาก กายศพทรากก็ต้องเน่า เขาไปเผาที่ป่าช้า เห็นแก่ตาทุกตัวตน ความดีชั่วติดตามตน ให้เวียนวนผลสุขทุกข์ แต่ความสุขมีโดยน้อย เหมือนหิ่งห้อยปลายพฤกษา กองทุกขาเท่าภูเขา ทั้งตัวเรา และหญิงชาย เกิดคงตาย กายคงแก่ ตายเที่ยงแท้แลดูเถิด

    เงินหมื่นและเงินแสน ของหวงแหน ตายแล้วไม่แลเหลียว ย่อมทอดทิ้งทุกสิ่งเทียว เอาไปไม่ได้แม้แต่สิ่งเดียว เงินทองของเขาใส่ปาก ก็เอาไปฝากอยู่ที่กองไฟ หรือนายสัปเหร่อ ผัวเมียจะติดตามได้ ก็เพียงไปถึงสุสานป่าช้าเท่านั้น

    ครั้น ไปถึงสุสานป่าช้าแล้ว ต่างก็ได้ดอกไม่ธูปเทียน มาปราศรัยว่า ให้เจ้าได้ไปเกิดดีถึงสุข ให้เจ้าได้ขึ้นสวรรค์ชั้นฟ้า อย่าได้มากลั้วโลกสงสาร อย่าได้มาเที่ยวหลอกลูก หลอกหลาน ขาดกันแต่วันนี้ ฯ

    เมื่อ เขาปราศรัยดังนี้แล้ว ต่างก็เอาไฟมาจุดมาเผา เสร็จแล้วต่างก็กลับมาบ้านตามประสงค์ มีแต่ตนผู้เดียว จะอยู่เปลี่ยวเอกา จะทอดทิ้งกายาไว้เหรือแผ่นดิน มีแต่แร้งกาหมาจะกิน หมดเสียสิ้น อย่าสงสัย ที่ไหนเล่าเป็นตัวเรา อันความจริงสิ่งที่เรายึดถือ ในกำมือไม่ใช่ตน สิ่งที่จะเป็นตัวตนของเราแท้ ก็คือความดีกับความชั่วที่ตัวทำไว้ย่อมจักได้เป็นผล เหมือนกับเงาเทียมตนไม่ห่างเหิน เวลาเดินเงาก็เดินไปได้ดังใจหวัง เวลานั่งอยู่เป็นคู่เคียง เวลาเราเอนเอียงเงาก็เอนเอียงไปตาม

    อัน ความดีกับความชั่ว ที่ตัวทำไว้ ย่อมจักได้เป็นผล เหมือนเงาเทียมตนฉะนั้น จึงค่อย อดกลั้น กระทำดี หนทางมีอย่าอยู่ช้า ทาน ศีล ภาวนา แหละ บรรดาหนทางดี จงรวบรัดรวมวิถี หนทางมีให้รีบเดิน

    อย่าหลงเพลินเดิน เหยียบขวาก อย่ากินของร้อน อย่านอนเหล็กแดง อย่าแกล้งทำผิด อย่าคิดชั่ว ให้เอากายของตัวนี้แหละเป็นนาวา ให้เอาศรัทธราความเชื่อนี้เป็นสมอวางทอดเวลาจอดพักเดินทาง

    ให้เอา วิริยะความเพียร เป็นไม้แจวเครื่องคัดวาด ให้เอาสติเป็นหางเสือ ให้เอาสมาธิ เป็นผู้ถือท้ายเรือ ไว้ให้เที่ยง ถือไว้อย่าให้เอียง ตัดแล่นเลี่ยง ข้ามคงคา ให้เอาปัญญาเป็นกล้องแก้ว ส่องดูแถวแนวหินผา มีความรู้เป็นหูตา คอยดูนาวาจักล่มจม เจ้าขี้เกียจเป็นปลาร้าย จักทำลาย ให้เรือล่ม

    เจ้า โมโห เป็นตัวลมอันร้ายกาจ จักฟันฟาดให้วารินกระสินธุ์ใส เจ้ามัจฉริยะตระหนี่ เป็นคลื่นใหญ่อย่างมหันต์ ให้เอาขันติความอดกลั้น ฟาดฟันหมู่มาร ให้เอาคุณทาน เป็นเสบียงเครื่องเลี้ยงพล ให้เอาคุณศีล เป็นยา เป็นมนต์ ฝ่ายสามารถ ให้เอาคุณภาวนาเป็นอาวุธ เครื่องประหาร ฆ่าหมู่ธรรมธาตุโลกีย์ ให้สิ้นชีวีวายปราณ ดังสังขารทั้งอวิชา ดับกิเลสเสร็จสมรส ดับสิ้น หมดรสตัณหา แสนสุขล้ำ ซ้ำสุขเลิศ ไม่ตายเกิดเวียนไปมา แสนสุขาในพระนิพพาน ดังวิสัชนามานะที่นี้

    ---------------------------------------
    นำมาจาก
    ธรรมสังเวช

     

แชร์หน้านี้