ธรรมะกับโลก จะไปด้วยกันได้หรือไม่ ?

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย rungdao, 20 ธันวาคม 2012.

  1. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    ---- -------- ๒๐ ส.ค. ๒๑

    สาธุชนผู้สนใจธรรมทั้งหลาย

    การบรรยายปาฐกถาธรรมในครั้งนี้ อาตมาจะกล่าวโดยหัวข้อว่า " ธรรมะกับโลกจะไปด้วยกันได้หรือไม่ ? " ขอให้ทำไว้ในใจว่า เราได้พูดกันถึงเรื่องของธรรมะ, ประโยชน์ของธรรมะ, และวิธีที่จะทำให้ธรรมะมีขึ้นมาได้อย่างไร; แต่แล้วก็น่าสังเวชที่ว่า ยังมีปัญหาเหลืออยู่ในปัจจุบันนี้สำหรับคนส่วนใหญ่ ซึ่งยังสงสัยอยู่ว่าธรรมะกับโลก มันจะไปด้วยกันได้หรือไม่ ? ดังที่อาตมาได้เคยเล่าให้ฟังมาแล้วว่า มีครูบาอาจารย์ที่สอนอยู่ในมหาวิทยาลัย มาตั้งคำถามอย่างนี้กับอาตมา ว่าธรรมะกับโลกจะไปด้วยกันได้หรือไม่ ? ฟังแล้วก็น่าสะดุ้ง, ฟังแล้วก็น่าสังเวช, ฟังแล้วก็น่าร้องไห้.


    โลกกำลังมีปัญหาวิกฤตการณ์มาก.
    เมื่อพูดถึงปัญหา เราถือว่าโลกนี้กำลังมีปัญหา. ปัญหาอย่างยิ่งก็คือไม่มีสันติภาพ; เราอยู่กันด้วยวิกฤตการณ์ มีความเลวร้าย คือมีอาชญากรรมมากขึ้นทุกที ทั้งในส่วนบุคคลหรือภายในบ้านเมือง ภายในครอบครัว, และมีอาชญากรรมใหญ่คือสงคราม หรือมหาสงครามกำลังมีอยู่, และกำลังตั้งเค้าว่าจะขยายต่อไปอยู่ในโลก. นี้เรียกว่า วิกฤตการณ์ ซึ่งเป็นตัวปัญหาที่มีอยู่ในโลก.
    ทุกคนก็ไม่ต้องการจะมีวิกฤตการณ์; แต่ทำไมโลกนี้มันยิ่งมีวิกฤตการณ์มากขึ้น ? นี่แหละคือตัวปัญหา. สมัยก่อนเขาเคยเชื่อกันมาว่า ธรรมะคุ้มครองโลก คุ้มครองสัตว์ คุ้มครองผู้ปฏิบัติธรรมะ; โลกนี้ คือสัตว์เหล่านี้ ก็อยู่กันอย่างสงบเย็น. เดี๋ยวนี้ทำไมมันหาความสงบเย็นไม่ได้ เพราะอะไรไม่คุ้มครอง? ถ้าคนโบราณเขาจะตอบว่า เพราะมันไม่มีธรรมะคุ้มครอง. ส่วนคนเดี๋ยวนี้เขาไม่ถือว่าธรรมะจะคุ้มครองโลกก็ได้ ถึงกับมีปัญหาว่าจะอยู่ด้วยกันได้หรือไม่ด้วยซ้ำไป.
    สมัยปัจจุบันนี้ มีบางลัทธิถือว่า ศาสนาเป็นยาเสพติด สำหรับทำให้มนุษย์มึนเมา; เพราะไม่มีประโยชน์อะไร. ถ้าศาสนาเป็นยาเสพติดเสียแล้วก็ไม่มีประโยชน์อะไร; เพราะว่า
    สมบัติของศาสนาก็คือสิ่งที่เรียกว่า " ธรรมะ " นั่นเอง. ไม่ว่าศาสนาไหนมีธรรมะเป็ฯสมบัติทั้งนั้น. ธรรมะที่ตรงกันทุกศาสนา ก็เช่นว่า ทุกคนมาจากที่เดียวกัน, เหมือนกับว่าเป็นพ่อแม่เดียวกัน. อย่าง พุทธศาสนาก็ถือว่า สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น, มีปัญหาอยู่ที่มีกิเลสเป็นเหตุ ให้เกิดความทุกข์ยาก เหล่านี้. เราเป็นเพื่อนทุกข์กัน มีหัวอกอันเดียวกัน ชี้แจงกันแต่ในทางที่จะให้ร่วมมือกันแก้ปัญหาเหล่านี้ คือดับทุกข์ออกไปเสียให้หมดสิ้น.
    ในที่สุดก็พบเหมือนๆกันทุกศาสนาว่า
    ความเห็นแก่ตัวนั่นแหละทำให้เกิดปัญหาขึ้นมา; ความเห็นแก่ตัวเป็นสัญชาตญาณก็เลยวิวัฒนาการไปในทางที่เป็นโทษ; คือเห็นแก่ตัวแล้วก็มีความโลภ มีความโกรธ มีความหลง; ทำให้ตัวเองนั่นแหละเดือดร้อน, แล้วก็ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนยิ่งไปกว่าตนเอง เพราะว่าเรามันเห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ผู้อื่น.

    ทุกศาสนาจะสอนให้กำจัดทำลายความเห็นแก่ตัวด้วยกันทุกศาสนา. อาตมาขอท้าให้ไปค้นดู ให้ไปพิสูจน์ดู ทดสอบดูว่า ศาสนาไหนบ้างที่ไม่สอนให้ทำลายความเห็นแก่ตัว ? อาตมาจะเลยพูดเสียด้วยว่า ถ้าศาสนาไหนไม่สอนให้ทำลายความเห็นแก่ตัว แต่กลับไปสอนให้เห็นแก่ตัวแล้ว ก็เลิกความเป็นศาสนาเสียเถิด, ศาสนานั้นยกเลิกได้. เดี๋ยวนี้เราไม่มี หาไม่พบว่าศาสนาไหนที่สอนให้เห็นแก่ตัว; ล้วนแต่สอนให้ทำลายความเห็นแก่ตัว ซึ่งเป็ฯที่ตั้งแห่งความโลภ ความโกรธ ความหลง เสียด้วยกันทั้งนั้น เพื่อว่า เมื่อคนในโลกไม่เห็นแก่ตัวแล้ว เขาก็จะรักผู้อื่นได้ เขาก็จะช่วยเหลือกัน ไม่เอาเปรียบกันอย่างเลือดเย็น เหมือนอย่างที่กำลังมีอยู่ทั่วไปในโลกนี้.

    ธรรมะคือความไม่เห็นแก่ตัว
    จะคุ้มครองโลกได้


    เมื่อใดโลกเต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัวเมื่อนั้นก็วินาศ. เดี๋ยวนี้ก็กำลังเอียงไปในทางเห็นแก่ตัวมากขึ้น ความวินาศมันก็ตั้งเค้าขึ้นมา. โลกจะรอดอยู่ได้ก็เพราะธรรมะ, ธรรมะในพระศาสนาคือความไม่เห็นแก่ตัว. นี่จะเห็นได้ชัดอย่างหนึ่งว่า โลกจำเป็นที่จะต้องมีธรรมะ คือความไม่เห็นแก่ตัว.
    หรือใครจะตั้งปัญหาถามขึ้นมาว่า ธรรมะนี่มีสำหรับโลก หรือมีสำหรับอะไร ? ท่านทั้งหลายก็มีเสรีภาพที่จะคิดตามความชอบใจว่า ธรรมะนี้มีสำหรับอะไร มีสำหรับใคร ? มีสำหรับโลก หรือหาไม่ ? แต่ก่อนไม่มีปัญหาอย่างนี้. เดี๋ยวนี้มีปัญหาอย่างนี้ขึ้นมาแล้ว เพราะว่าไม่สนใจธรรมะ จนไม่รู้จักธรรมะ; ปัญหามันก็เกิดขึ้นมาอย่างนี้; กระทั่งมีปัยหาเกิดขึ้นว่า ธรรมะกับโลกนี้ มันจะไปด้วยกันได้หรือไม่ ? คือความหมายว่าจะเป็นเครื่องคุ้มครองประคับประครองกันไป, หรือว่าจะเป็นเครื่องขัดขวางทำลายล้างกัน.
    ข้อนี้มันมี
    คำพูดที่พูดกันโดยไม่รู้สึกตัว อย่างผิดๆ ว่า ธรรมะนั้นตรงข้ามกับโลก. ถ้าพูดอย่างนั้นก็ขอให้เข้าใจว่า มันผิด เป็นอีกความหมายหนึ่ง, ในความหมายหนึ่ง ธรรมะก็จะตรงกันข้ามกับโลกจริง; แต่มันตรงกันข้ามไปในทางที่จะช่วยกันให้หมดปัญหา. เมื่อโลกมุ่งไปในทางเลว; ธรรมะก็จะมุ่งให้ไปในทางดี, ธรรมะมาหาโลกก็เพื่อจะให้โลกหยุดเลว ให้เป็นไปในทางดี. ถ้าพูดอย่างนี้ก็พูดได้ว่าธรรมะมันตรงกันข้ามกับโลก; มันไปด้วยกันไม่ได้. แต่ความจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้น โลกนี้ต้องมีธรรมะเป็นเครื่องประคับประคองโลกให้เป็นไปแต่ในทางที่ถูกต้อง, หรือในทางที่ดี.
    ธรรมะเข้ามาก็เพื่อควบคุมให้โลกเป็นไปด้วยดี, ธรรมะก็เป็นไปกับโลก ในทางที่จะทำให้โลกดี; ไม่ใช่มากัดกัน ไม่ใช่มาทะเลาะวิวาทกัน เหมือนกับความรู้สึกของคนบางคนที่เขาเกลียดธรรมะ. เขาหวังจะเอาเรื่องโลกๆ เป็นเบื้องหน้า; ก็เลยพาลหาเรื่องตามความรู้สึกของเขาว่า ธรรมะกับโลกนี้มันขวางกัน เพราะเขาไปมองในแง่ที่ว่า มันไม่ตรงกับความรู้สึกของเขา.

    --------- ----หนังสือดี ๑๐๐ ปี พุทธทาส
     
  2. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    ธรรมะจำเป็นสำหรับโลก ต้องไปด้วยกัน.

    ขอให้เรามองกันเสียใหม่ ว่าธรรมะกับโลกนี้แม้มันจะมีผลหรือว่ามีฤทธิ์มีเดชอะไรกันไปคนละอย่าง แต่มันต้องไปด้วยกัน และไปด้วยกันได้, ธรรมะคือสิ่งที่ทำให้ดี; โลกนี่ถ้าปล่อยไปตามความรู้สึกของโลกแล้ว มันมีแต่จะทำชั่ว. เหมือนปลามันจะลงน้ำเรื่อย มันจะไม่ขึ้นบก. ทีนี้มันมีธรรมะเป็นเครื่องประคับประคองให้อยู่ในแนวทางที่มันถูกต้อง; เมื่อใดมีความสงบสุข เมื่อนั้นเป็นการกล่าวได้ว่า ธรรมะกับโลกนี้ได้สมัครสมาน สามัคคีกันมาเป็นอย่างดี จนมามีผลเป็นอย่างนี้; ดังนั้นจึงไม่ควรจะมีปัญหาอย่างที่กำลังมีอยู่ ว่าธรรมะกับโลกจะไปด้วยกันได้หรือไม่ ? หรือว่าธรรมะสำหรับโลกหรือสำหรับอะไร ?
    ทีนี้ เดี๋ยวนี้ เรามามองดูข้อเท็จจริงที่กำลังมีอยู่ในโลก ที่มันเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ ลัทธิบางลัทธิถือว่าธรรมะไม่จำเป็นสำหรับโลก,
    ธรรมะเป็นเครื่องถ่วงความเจริญของโลก, เราไม่สามารถจะใช้ธรรมะแก้ปัญหาของโลก. นี่เขาก็พูดกันไปพวกหนึ่ง แนวหนึ่ง ลัทธิหนึ่ง, ส่วนอาตมานั้นก็ยังคงรูปเดิมว่า ธรรมะนี้ต้องคู่กันกับโลก โลกขาดธรรมะไม่ได้ ธรรมะจะสามารถขจัดปัญหาของโลกโดยประการทั้งปวง ไม่ใช่ว่าธรรมะจะขจัดปัญหาไม่ได้.
    ความจริงมีอยู่ว่าเขาไม่รู้จักธรรมะ, ไม่สามารถจะเอาธรรมะมาใช้สำหรับขจัดปัญหานั้นต่างหาก. ถ้า มีธรรมะเข้ามาโดยแท้จริงแล้ว จะแก้ปัญหาของโลกได้ในพริบตาเดียว.
    โปรดฟังให้ดีว่า อาตมาพูดว่า " ในพริบตาเดียว " , ชั่วตากระพริบครั้งหนึ่ง.
    จะขอพุดอย่างคำพูดก่อน ในการกระทำนั้นค่อยพูดกันทีหลังว่า ในโลกนี้ ถ้าเลิกนายทุนใจร้ายกันเสีย มีเศรษฐีใจบุญในพริบตาเดียวนี้ โลกจะเป็นอย่างไร ? เรากำลังมีปัญหาว่านายทุนใจร้ายนี่ สูบเลือดมนุษย์ จนคนยากจนต้องลุกขึ้นมาต่อสู้ จะประหัตประหารกันให้เลือดท่วมโลก. ถ้าเราหยุดนายทุนใจร้ายเสีย; เปลี่ยนเป็นเศรษฐีใจบุญขึ้นมา, รักคนยากจนเหมือนลูกเหมือนหลานนั่นจะแก้ปัญหาได้ในพริบตาเดียวหรือไม่ ?


    มีธรรมะแล้วทุกคนเป็นสัตบุรุษไม่มีความทุกข์.

    ทีนี้ที่ว่า จะเป็นเศรษฐีใจบุญขึ้นมาอย่างไร ? มัน ก็ต้องอาศัยธรรมะ. ถ้ามีธรรมะมาจริง, ธรรมะของศาสนาไหนก็ได้ จะเกิดเศรษฐีใจบุญ. เศรษฐีใจบุญจะเต็มไปในโลก เช่นเดียวกับในยุคในสมัยที่ศาสนายังมีบารมี มีอิทธิพล มัรัศมีสำหรับส่องอยู่ในโลก. หรือว่าธรรมะเข้ามา คนยากจนที่บูชาอบายมุขนั้น เปลี่ยนเป็นชนกรรมาชีพชนิดสัตบุรุษเสีย ความทุกข์ยากก็จะหายไปภายในพริบตาเดียว.
    อาตมาพูดว่า หากคนยากจนที่บูชาอบายมุข นั้นหยุด, ตายเสีย แล้วก็ เกิดใหม่ เป็นชนกรรมาชีพที่เป็นสัตบุรุษ. เดี๋ยวนี้คนยากคนจนยังบูชาอบายมุข ในพุทธศาสนาถือว่า ดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน ดูการเล่น เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร เกียจคร้านทำการงาน นี้เป็นอบายมุข. ใครไปทำเข้าก็จมอยู่ในอบาย.
    คนยากจนยังบูชาอบายมุขอยู่ เราไม่มีการจัดการกระทำที่ถูกต้องให้คนยากจนสลัดอบายมุขทิ้งไปให้หมดสิ้น; บางทีมีแต่จะเพิ่มอบายมุขให้ด้วยซ้ำไป, ยังอยากจะขายเหล้าให้มาก, ยังอยากจะขายบุหรี่ให้มาก, ยังอยากจะขายล็อตเตอรี่ให้มาก, อย่างนี้มันก็ทำให้คนยากจนสลัดอบายมุขไปไม่ได้.
    เราต้องการให้เขาเป็นชนกรรมาชีพที่เป็นสัตบุรุษ คือเว้นจากอบายมุขโดยประการทั้งปวง
    ธรรมะเข้ามาอบายมุขหายไป, ความเป็นสัตบุรุษขยันขันแข็ง ซื่อสัตย์ สมัครสมานสามัคคี อดกลั้นอดทน มีสติปัญญา ก็เข้ามา; ปัญหาเกี่ยวกับคนยากจนก็จะหมดไปในพริบตาเดียว.
    ทีนี้จะมองให้กว้างกว่านี้ ก็จะมองว่า ให้เลิก " กามสุขัลลิกานุโยค " เสีย แล้วลัทธิ " ทุนนิยม " ก็จะตายไปหมดจากโลก. คำว่า ไ กามสุขัลลิกานุโยค " เป็นศัพท์, เป็นคำที่รู้จักกันดีในพระพุทธศาสนา คือ ประกอบตนที่มัวเมาอยู่ในกาม, บูชากาม, ประกอบตนมัวเมาอยู่ในกาม ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ.
    ทีนี้คนทั้งหลายกำลังชอบอย่างนี้ กำลังบูชาสิ่งที่เรียกว่ากาม ก็เป็นเหตุให้เกิดความคิดที่จะส่งเสริมแต่เรื่องกาม. ใครมีสติปัญญาก็หาอำนาจ หากำลัง หาปัจจัยเพื่อประโยชน์แก่กามของตน; เกิดลัทธิที่ใช้ทุนเป็นเครื่องมือ สำหรับหาประโยชน์ให้แก่ตน, เกิดลัทธิทุนนิยมขึ้นมาบ้าง. เกิดบุคคลประเภทนายทุนขึ้นมาบ้าง
    แม้แต่คนยากจนแท้ๆ ก็ยังอยากจะเป็นนายทุน คนยากจนแท้ๆ ก็ยังอยากจะอยู่อย่างลัทธินายทุน. เราจะเห็นได้ว่า แม้จะยากจนอย่างไร เขาก็จะพยายามที่จะให้มีอะไรๆ อย่างที่พวกนายทุนเขามี. คนจนก็กำลังทำอะไรไขว้กันอยู่ในข้อนี้, ที่เราเรียกกันว่า "ความเจริญ". อย่างว่าเรามีไฟฟ้าใช้กันขึ้นมาในบ้านนอกคอกนาอย่างนี้; คนยากจนเขาก็อยากจะมีทีวี, อยากจะมีตู้เย็น อยากจะมีสเตอริโอ. ก่อนหน้านี้เขาไม่มี เขาไม่เคยคิดจะมี พอมีไฟฟ้าขึ้นมาที่บ้านนอกคอกนา เขาก็ซื้อหาทีวี ตู้เย็น หรือสเตอริโอ มา. เขาไม่มีเงินพอ เขาก็ใช้ระบบ installment คือ เก็บเงินผ่อนส่ง
    ระบบผ่อนส่ง ไม่มีที่บ้านนอกคอกนามาแต่ก่อน. เดี๋ยวนี้ก็มี
    ทำให้เกิดเป็นหนี้เป็นสิน ทำให้เสียหายแก่การดำรงชีพ เป็นอบายมุขทางวิญญาณชั้นลึก มันสร้างปัญหาขึ้นมาใหม่อย่างนี้ ที่ทำให้คนยากจนก็บูชา "กามสุขัลลิกานุโยค" อย่างนี้, ก็ตกเป็นเหยื่อของคนมีอำนาจทุน, หรือมีความผูกขาดเกี่ยวกับทุน, แล้วจะไปโทษใคร ? มัน เป็นเรื่องของการทำผิดต่อสิ่งที่เรียกว่าธรรม.

    ธรรมะเข้ามา คนจะมีสันโดษไม่บูชาส่วนเกิน.

    เราจะต้องเอาธรรมเข้ามา ให้คนรู้จักสันโดษ ให้รู้จักเป็นอยู่โดยไม่บูชาส่วนเกิน ก็จะไม่มีปัญหาอย่างที่ว่านี้. ขอให้รู้จักสิ่งที่เรียกว่า "กามสุขัลลิกานุโยค" ซึ่งมีอยู่ใน ธรรมเทศนาข้อแรกของพระพุทธเจ้า ที่เราเรียกกันว่า " ธัมจักกัปปวัตนสูตร " . พอพระองค์จะแสดงธรรมแก่โลกเป็นครั้งแรกพระองค์ทรงแสดงธัมจักกัปปวัตนสูตร บอกว่า อย่าไปแตะต้อง กามสุขัลลิกานุโยค กับ อัตตกิลมถานุโยค.
    ถ้าเราเชื่อท่าน เรา เลิกกามสุขัลลิกานุโยคเสีย, ลัทธิทุนนิยมก็ตายไปจากโลกทันที, พวกนายทุนก็ตายไปจากโลกทันที เกิดเป็นเศรษฐีใจบุยขึ้นมาไม่ยากเลย. ฉะนั้น ขอให้เราช่วยกันมองดูให้ดีๆ จนเลิกกามสุขัลลิกานุโยค อันเป็นความผิดความเลวอุปัทวจัญไรข้อแรกนี้เสีย. รวมความว่า เลิกกามสุขัลลิกานุโยคได้เมื่อไร ลัทธิทุนนิยมก็จะตายหมดไปจากโลกเมื่อนั้น; เรียกว่าในพริบตาเดียว เพราะทำให้ปัญหานั้นหายไปได้. เดี๋ยวนี้มาเข้าใจกันเสียว่าศาสนาเป็นยาเสพติด ก็เลยไม่รู้ว่าจะเลิกคำว่า กามสุขัลลิกานุโยคกันไปทำไม; กลับจะไปบูชากามสุขัลลิกานุโยค.
    ศาสนาไม่ใช่ยาเสพติด; ศาสนานั่นแหละจะเป็นเครื่องล้างยาเสพติด, อะไรๆ ที่เป็นยาเสพติดทุกอย่าง. สิ่งที่เรียกว่าศาสนานั้น จะล้างยาเสพติด เพราะฉะนั้น เรามารู้จักสิ่งที่เรียกว่าศาสนากันให้ถูกต้อง; ไม่ใช่เห็นว่าศาสนาเป็นสิ่งที่จะทำลายล้าง.
    ยาเสพติดทางวัตถุ
    ก็ดี ทางจิตทางวิญญาณ เช่น กามารมณ์ เป็นต้นก็ดี จะเลิกล้างเสียได้ก็เพราะความมีแห่งพระศาสนา. นี่เพราะไม่รู้จักศาสนาจึงเห็นว่า ศาสนาเป็นยาเสพติด; เป็นคำกล่าวอย่างไม่ยุติธรรม, ไม่มีเหตุผลที่จะกล่าวอย่างนั้น. คนโง่เท่านั้นที่จะยอมเชื่อการกล่าวที่ไม่มีเหตุผล.

    ------- หนังสือดี ๑๐๐ ปี พุทธทาส
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 ธันวาคม 2012
  3. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    โลกมีศาสนาแล้วไม่ดีขึ้นก็เพราะวัตถุนิยม.

    อีกข้อหนึ่งที่มักจะอ้างกันก็ว่า หลายพันปีที่มีธรรมะ ที่มีศาสนามานี้ ทำไมโลกมันยังไม่ดีขึ้น ? อันนี้เรียกว่าพูดขี้ตู่อย่างไม่รู้จะตู่กันอย่างไร; ที่พูดว่ามีธรรมะ มีศาสนาในโลกมาตั้งหลายพันปีแล้ว โลกนี้ก็ไม่ดีขึ้น. ท่านลองคิดดู ข้อเท็จจริงแท้ๆ มันมีอยู่ว่าที่ โลกรอดมาได้ มีวิวัฒนาการขึ้นมาได้นี่ เพราะความมีแห่งธรรมะ, มีธรรมะเจริญขึ้น มีสันติภาพมาในโลกมาตลอดเวลาจนกว่าลัทธิวัตถุนิยมจะเกิดขึ้นมาในโลก แล้วมากลบเกลื่อนโอกาสที่โลกจะมีธรรมเสียหมดสิ้น.
    ก่อนมีวัตถุนิยม ซึ่งเป็นรากฐานของกามสุขัลลิกานุโยคนั้น โลกก็เคยมีสันติภาพอยู่กันโดยความสงบเย็น. ชั่วร้อยกว่าปีมานี้ เท่าที่พอได้ยินได้ฟังกันอยู่นี้มันมีความสงบสุขสันติภาพมากกว่านี้. เดี๋ยวนี้มันร้อนระอุเป็นไฟ เพราะมันมีสิ่งที่มาส่งเสริมกามสุขัลลิกานุโยค ให้ละทิ้งศาสนาเสีย. สันติภาพได้มีมาเรื่อยๆ ตลอดเวลาที่ธรรมะยังมีอยู่ในโลก; พอโลกเหไปบูชาวัตถุนิยม เกลียดชังธรรมะ โลกก็เปลี่ยนเป็นมีวิกฤตการณ์ , มีวิกฤตการณ์ถาวรยิ่งขึ้นทุกที. วัตถุนิยมเข้ามาครอบงำโลก จนโลกนี้หลงไปในวัตถุนั้น แล้วก็ไม่ให้โอกาสแก่พระธรรม พระธรรมก็เลยไม่ได้ครองโลก.
    นี่จะหาว่าธรรมะ ศาสนา มีมาในโลกตั้งหลายพันปีแล้ว โลกมันก็ไม่ดีขึ้น. นี่มันไม่มีความจริง. โลกอยู่มาอย่างสงบสุขตลอดเวลายาวนาน; และเพิ่งมาเปลี่ยนกันเมื่อเร็วๆนี้, จะเรียกว่าเมื่อวานนี้ก็ได้ คือเมื่อโลกเริ่มหันเหไปทางวัตถุนิยม, ค้นคว้าแต่ทางวัตถุ, เอาวัตถุเป็นหลัก, เอาวัตถุเป็นประธาน จนเรื่องของจิตเรื่องของวิญญาณหายไปไหนหมดก็ไม่รู้. ขอให้คอยสนใจดูกันให้ดีๆ.
    นี่คือข้อที่อาตมายืนยันว่า
    ในพริบตาเดียว เราจะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ถ้าว่าธรรมะเข้ามา. ความจริงมีเหลืออยู่แต่ว่า ทำอย่างไรธรรมะจึงจะเข้ามา ? ก็ขอ ให้ย้อนไปพิจรณาข้อความที่ได้กล่าวมาแล้ว ในการบรรยายครั้งที่ ๒ ว่าธรรมะจะกลับมาได้อย่างไร.

    ธรรมกับโลกต้องไปด้วยกัน
    มิฉะนั้นโลกจะวินาศ.


    แต่ปัญหาเฉพาะหน้ามันมีอยู่ว่า เดี๋ยวนี้คนไม่สนใจในสิ่งที่เรียกว่าธรรม, ไม่ยอมสนใจในสิ่งที่เรียกว่าธรรม. ในโลกของวัตถุนิยมปัจจุบันนี้ คนหนุ่มคนสาวโดยเฉพาะ ไม่ยอมสนใจในสิ่งที่เรียกว่าธรรม; แม้ว่า คนแก่ๆ ที่มีสติปัญญาในโลกนี้มองเห็น ว่าโลกกำลังจะวินาศแล้ว เพราะความไม่มีธรรม, ธรรมะควรจะกลับมา. แต่แล้วเขาก็ทำไม่ได้. เพราะว่าคนทั้งหลายในโลก โดยเฉพาะคนหนุ่มคนสาวนั้นไม่ยอมฟังสิ่งที่เรียกว่าธรรม ไม่ยอมจะสนใจ ไม่อยากจะแตะต้อง จะอุดหูโดยประการทั้งปวงสำหรับเรื่องของธรรม.
    ปัญหามันมีอยู่อย่างนี้แล้วจะไปโทษธรรม ไปโทษพระธรรมว่าไม่สามารถจะคุ้มครองโลกได้; นี่ถ้าอย่างไร
    พวกเราช่วยกันให้สุดฝีไม้ลายมือ ช่วยทำให้คนในโลกเกิดความสนใจในสิ่งที่เรียกว่าธรรม, พระธรรม คือพระศาสนา หรือพระเจ้า หรือพระเป็นเจ้ากันขึ้นมาใหม่แล้วโลกนี้ก็จะเปลี่ยนได้ในพริบตาเดียว ตรงกันข้ามจากวิกฤตการณ์ที่กำลังหนาขึ้นมาในโลก.
    ความถูกต้องตามทางของธรรมนั้นมันไม่ใช่วัตถุนิยมแล้วก็ไม่ใช่จิตนิยม หรือมโนนิยม อย่างหลับหูหลับตา; แต่ว่าเป็นความถูกต้องระหว่างวัตถุนิยมและจิตนิยม จึงจะเรียกว่า "ธรรม" . อย่างที่ได้เคยกล่าวมาแล้วในการบรรยายครั้งก่อนๆ ว่า เป็น มัชฌิมาปฏิปทา นั้นคือสิ่งที่เรียกว่า "ธรรม" ไม่เหวี่ยงซ้าย ไม่เหวี่ยงขวา ไม่สุดโต่ง, ไม่ทำลายฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง; แต่ให้อยู่กันได้ทั้งสองฝ่ายเพราะอำนาจของสิ่งที่เรียกว่า "ธรรม" ที่เป็น มัชฌิมาปฏิปทา.
    ท่านทั้งหลายลองสังเกตดูตามนี้, ลองคิดดูตามแนวนี้ แล้วก็จะตอบปัญหาได้เองว่า ธรรมะมีไว้สำหรับอะไร ?
    ธรรมะมีไว้สำหรับโลกโดยตรง จะเห็นได้ว่า ธรรมะกับโลกนี้ต้องไปด้วยกัน มิฉะนั้นแล้วโลกนี้ก็จะวินาศ.
    สรุปความได้ว่า ธรรมะต้องสำหรับโลก โลกจะเป็นโลกก็เพราะว่ามีธรรม. มันเหมือนร่างกายกับชีวิต มันจะต้องไปด้วยกัน; มีร่างกายไม่มีชีวิตก็ไม่มีประโยชน์อะไร. โลกนี้เหมือนกับร่างกาย ธรรมะเหมือนกับชีวิต. โลกนี้ต้องเป็นไปกับด้วยธรรมะ มันจึงจะตลอดรอดฝั่ง ผ่านไปได้; ดังนั้นจึงไม่ควรจะมามีปัญหาว่า โลกกับธรรม, หรือธรรมกับโลกนี้จะไปด้วยกันได้หรือไม่ ?
    ขอให้ปัญหาที่มันจะเชือดคอมนุษย์ ให้ตายเกลี้ยงไปทั้งโลกนั้นยุติกันเสียที คือไม่ต้องถามว่า ธรรมะกับโลกจะไปด้วยกันได้หรือไม่ ?

    เวลาสำหรับการบรรยายปาฐกถาธรรมก็หมดลงเพียงเท่านี้ อาตมาขอยุติการบรรยายครั้งนี้ไว้แต่เพียงเท่านี้.


    ----------------------- หนังสือดี ๑๐๐ ปี พุทธทาส
    หน้า ๔๑ - ๕๕
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ธันวาคม 2012
  4. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    ทำอย่างไรโลกจะมีธรรม
    หากเรี่มที่ตัวเองแล้วควรไปต่อที่ไหนอย่างไร

    ธรรมที่แท้จริงอยู่ที่ไหน
    อยู่ในพระไตรหรือไม่อย่างไร
    พระไตรท่านเขียนอย่างไร
    อะไรคือท่องเที่ยวไปดังกับนอแรตฉันนั้น

    ขอท่านเจริญในธรรมยิ่งแล้วขอรับ
     
  5. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    ^
    ^
    ^
    สาธุ สาธุ สาธุ ... หากเราๆ ท่านๆ ผู้ได้ชื่อว่าเป็นพุทธศาสนิกชน ไม่สนใจไม่สานต่อ ไม่แม้แต่จะมีส่วนร่วมในการบำรุงพระพุทธศาสนาเสียแล้ว นั่นมันคงเป็นเรื่องที่น่าเศร้าของตัวบุคคล , สังคม , โลก ...
    เราทำเท่าที่ทำได้ เริ่มจากตัวเราก่อนแล้วค่อยขยายไปคนข้างๆ และให้กว้างไปเรื่อยๆ ไม่มีใครอีกแล้วค่ะ นอกจากพวกเราทุกๆคนนี่แหละที่จะช่วยบำรุงพระพุทธศาสนาได้ แม้เรื่องที่เล็กๆน้อยๆก็ตาม ...
    จากที่ได้ไปปฏิบัติที่วัดแห่งหนึ่งเมื่อเร็วๆมานี้ มีโอกาสได้กินข้าวก้นบาตร ได้สนทนากับพระที่ออกไปบิณฑบาตร ท่านเล่าให้ฟังว่ามีเด็กที่ไม่รู้จักพระ คือเห็นพระเดินมาบิณฑบาตรก็กลับถามผู้ปกครองว่า " พ่อๆ นั่นอะไรน่ะ" (จริงๆเราสนทนากันเป็นภาษาท้องถิ่นกำเมืองเหนือ)
    จริงๆแล้วถ้าแม้แต่แถบชนบท เด็กๆยังมีบ้าง(บางส่วน) ที่ไม่รู้จักแม้แต่ "พระสงฆ์" มันคงเป็นสิ่งที่สามารถบ่งบอก หรือเป็นสัญญาณบางอย่าง ที่จะบอกเราได้ว่า เกิดอะไรขึ้นในสังคมยุคสมัยนี้ ....

    น่าแปลกมากที่บทความของท่าน พุทธทาส ในหนังสือเล่มนี้ " ธรรมะทำไม". หนังสือดี 100 ปี พุทธทาส ดิฉันใช้เวลาพิมพ์มากเหลือเกิน (สังเกตุวันและเวลา) ดิฉันนั่งถอดใจอยู่หลายครั้ง เพราะพิมพ์อยู่จะมีอุปสรรคตลอดเวลาที่พิมพ์ ยังคิดอยู่ว่าคราวหน้าค่อยทำดีกว่า .. แต่จนแล้วจนรอดและสุดท้ายดิฉันก็ทำให้เสร็จ และที่มีปัญหามากที่สุดก็ที่คุณ มะหน่อ ได้ยกมานั่นแหละค่ะ แค่นั้นจริงๆแต่ทำให้เกือบต้องเลิกพิมพ์ไปเลย ...
    ขออนุโมทนากับทุกท่านที่มีจิตคิดใฝ่หาธรรมค่ะ สาธุ
     
  6. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    หลังจากหลับแล้วตื่นผมมีคำถามต่ออีก

    หากเป็นทางเหนือกลุ่มที่ไม่รู้จักพระน่าจะเป็นกลุ่มชนที่ท่านนับถือฦาษีหรือไม่
    มีปากะยอที่แปรว่ากะเหรี่ยง
    มีชาวอะกะที่เราเรียกเขาไม่สุภาพว่าอีก้อจนที่สุด
    เขาเปลี่ยนชื่อเรียกชนเผ่าว่าอะข่า
    เขานับถือคนที่มีชีวิตอยู่ในป่าได้มาอาศัยชาวบ้านครั้งคราวเท่านั้น
    เขาเรียนรู้อะไรกินได้อะไรกินไม่ได้ในป่า

    ผมถามว่าภิกษุนี้ขออย่างเดียวหรือไม่
    มุนีนี้เขาลำบากสุดๆเขาจึงขอ

    ผมเรียนถามอีก
    พระกับมุนีนี้ใครแน่กว่ากัน
    คำถามนี้ไม่เป็นกลาง

    ภิกษุมุนีโยคีพุทธ
    พุทธที่แท้จริงคืออะไร
    พราห์มที่กล่าวเรื่องพระนางยักษ์ลิงกล่าวอย่างไร
    ปริพาชกวิ่งขึ้นต้นไม้ทำไม

    ลานนาคือลานนะมะ
    มะโน
    ม้าเสพนาง
    เพือ่ให้คนคิดที่เป็นกลาง
    แต่ท่านๆเราๆมองลามก
    เพราะยังไม่กลาง

    เอามาว่าเรื่องกระทู้ไหมขอรับ
    ความเห็นแก่ตัวแก่กาย
    ความเห็นแก่ความรู้สึก
    ความเห็นแก่เจตนา
    ความเห็นแก่อารมณ์ของตัวเอง

    เป็นการเริ่มต้นที่ดีขอรับที่สมาธิ สมาร์ท สตาร์ทที่ความเห็นแก่ตัว
    กายานุสติหรือไม่

    แปลกขอรับมีแต่คนเรียนแบบพุทธองค์ที่ทำกายานุสติตัดกามตั้งแต่เริ่มเลย
    ยุคนี้กาละนี้กินอาหารเร่งสารการเจริญพันธ์
    แต่จะข่มกายนุสติ
    ระวังมะเร่งกินเอาหรือไม่
    กาแฟยังมีสองสามเด้งเลยขอรับ
    นับประสาอะไรแจคแหม่มคิงแล้วโจ๊กเก้อ
    พวกจำอวด
    หากเราไม่จำไม่อวดควรอยู่อย่างไร

    กลางยังลำบากวิบากอยู่หรือไม่อย่างไรขอรับ

    ทำอย่างไรให้วิญญานลุกขึ้นมาจากหลุมของความเป็นคน
    หากคนเกิดปัญญาเขาก็ลุกขึ้นมาจากหลุมหรือไม่อย่างไรขอรับ

    ขอท่านเจริญในธรรมยิ่งแล้วขอรับ
     
  7. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    :) :) :)

    เรื่องของฤาษี เท่าที่ทราบ การปฎิบัติของท่าน นอกจากศีลแล้ว ท่านเน้นสัจจะ+อธิฐาน .. ส่วนมากจะอยู่ตามถ้ำ ป่าลึก หรือที่ๆเรียกว่าห่างไกลสายตาคน มีน้อยคนมากๆๆ ที่จะมีโอกาสได้พบ

    ความเห็นแก่ตัว แก่กาย แก่เจตนา แก่อารมณ์ของตัวเอง
    ถ้าขึ้นต้นด้วยความเห็น (ท่านนั้นๆ เห็น) เป็นกายานุสติ

    เรื่อง"คนอื่น" สองเด้ง สามเด้ง มะเร็ง J Q K และจำอวด
    "...................................................................................."
    แค่เพียงชั่วคืน หรือแม้แต่เสี้ยวนาทีหนึ่ง บุคคล,จิตดวงหนึ่ง ก็สามารถที่จะบรรลุสำเร็จมรรคผลได้ (วาทะญาติธรรมผู้หนึ่งในเวปนี้) เพราะฉะนั้น ดิฉันขอข้ามค่ะ

    การเข้าเวปฯธรรมะ การศึกษา การตอบ-ถาม (สนทนาธรรมตามกาล)... ฯลฯ
    เป็นการช่วยสืบสานพระพุทธศาสนาทางหนึ่ง คุณ มะหน่อ , ดิฉัน และทุกๆท่านในเวปฯนี้ เรามีส่วนร่วมแล้วค่ะ น่ายินดีมาก
    มีทั้งมัธยมต้น-ปริญญา และคนทั่วไปได้เข้ามาศึกษา บ้างส่งรายงานให้ครูแต่ก็ได้ความรู้ไปด้วย บ้างก็หนีทุกข์ บ้างก็อยากค้นพบบางอย่าง บ้างก็เข้ามาอย่าง งงๆ ฯลฯ ...


    เราๆท่านๆ สามารถจุดแสงปัญญาแห่งธรรม แม้นจะเล็กน้อย แต่ในโลกที่มืดมนเหล่านั้น แม้ปลายแห่งแสงเทียนก็สามารถให้ความสว่างในที่นั้นๆได้
    ขอให้ท่านทั้งหลายเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...