ธรรมะจากเพจต่างๆ พระสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย ธรรมะสายหลวงปู่มั่น, 6 กันยายน 2017.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    เรื่อง “สามเณรสังฆรักขิต ผู้มีความกระสันอยากสึก เมื่อได้ฟังธรรมพระพุทธเจ้า จึงบรรลุพระโสดาบัน”

    (โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก)

    วันนี้วันนี้ขอนำเด็กที่ถูกจับบวชเป็นสามเณรแล้วก็อยู่ต่อจนเป็นพระ เป็นพระแล้วก็ “กระสัน” อยากสึก มาเล่าให้ฟัง

    เด็กน้อยชื่อ สังฆรักขิต ชื่อเดิมจะว่าอย่างไรไม่ทราบ หลังจากบวชแล้วเขาเรียกท่านว่า สังฆรักขิต หรือ ภาคิไนยสังฆรักขิต แปลว่า สังฆรักขิตผู้เป็นหลาน

    ท่านเป็นหลานของพระเถระนามว่า สังฆรักขิต พระเถระรูปนี้เป็นพระอรหันต์ทรงอภิญญา ไปเยี่ยมครอบครัวญาติพี่น้องของตน เห็นหลานชาย (บุตรน้องชาย) หน่วยก้านดีจึงพาไปบวชเป็นสามเณร สามเณรสังฆรักขิต ปรนนิบัติหลวงลุงซึ่งเป็นอุปัชฌาย์ของตนด้วยอย่างดีเสมอมา เมื่ออายุครบบวช หลวงลุงก็เป็นอุปัชฌาย์บวชให้

    วันหนึ่งท่านสังฆรักขิตผู้หลาน กลับไปเยี่ยมโยมบิดามารดา โยมถวายผ้ากัมพลเนื้อดีมาสองผืน ตั้งใจว่ากลับไปถึงวัดจะถวายผืนใหญ่แก่อุปัชฌาย์ จึงนำไปถวาย ขณะบอกถวายผ้าแก่อุปัชฌาย์ ท่านสังฆรักขิตกำลังนวดเท้าอาจารย์เสร็จแล้วนั่งพัดวีให้ท่านอยู่ อุปัชฌาย์ปฏิเสธ บอกให้หลานชายเก็บไว้ใช้เองเถิด เพราะท่านมีจีวรมากพออยู่แล้ว อ้อนวอนอย่างไรหลวงลุงก็ไม่ยอมรับท่าเดียว สังฆรักขิต จึงน้อยใจ คิดว่าเมื่อหลวงลุงไม่ยินดีรับผ้าที่เราถวาย เราจะบวชอยู่ต่อไปทำไม สึกไปครองเรือนดีกว่า

    และแล้วความคิดของเธอก็เตลิดไปไกล ข้าสึกไปแล้ว เอาผ้าสองผืนนี้ไปขายเอาเงิน ได้เงินจำนวนหนึ่งแล้ว ก็จะไปซื้อแม่แพะมาสักตัว ธรรมดาแม่แพะย่อมตกลูกเร็ว เมื่อมีลูกแพะหลายๆ ตัว ข้าก็จะขายได้เงินมาจำนวนหนึ่ง จะใช้จ่ายสร้างบ้าน (เรือน) งามๆ สักหลัง ซื้อที่นาสักแปลง พอที่จะปลูกข้าวไว้กิน ซื้อโคเทียมเกวียนสักคู่ สำหรับช่วยไถนาและขนทัพสัมภาระ เมื่อมีทุกอย่างแล้วก็จะแต่งงานกับหญิงสาวที่สวยงามสักคนหนึ่ง เราทั้งสองก็จะอยู่ครองเรือนกัน ช่วยกันคนละไม้คนละมือ สร้างฐานะให้เป็นปึกแผ่นแน่นหนา จากนั้นไม่นาน เราก็จะมีลูกชายน่าเกลียดน่าชังมาสักคนหนึ่ง…เอ…เราจะตั้งชื่อลูกชายว่าอย่างไรหนอ…เอาชื่อหลวงลุงนี่แหละมาเป็นชื่อลูกชาย เมื่อลูกชายโตมาอีกหน่อย เราสองคนสามีภรรยา ก็จะพาลูกชายมานมัสการหลวงลุงโดยข้าจะขับยาน ภรรยานั่งอุ้มลูกอยู่ภายในประทุน ขณะขับเกวียนไประหว่างทาง ข้าอยากอุ้มลูก อยากหอมแก้มลูก เมียข้าไม่ยอม บอกว่าพี่ขับเกวียนไปสิ ฉันจะอุ้มเอง ไปได้สักระยะหนึ่ง เมียข้าอุ้มลูกจนเมื่อย จึงวางลูกบนพื้นเกวียน เกวียนมันกระแทกเหวี่ยงไปมาเพราะหนทางมันขรุขระ ลูกก็ร้องจ้าด้วยความตกใจและเจ็บปวด ข้าโมโหเมียที่ทำให้ลูกร้อง จึงเอาปฏักเคาะหัวเมียดังโป๊ก

    ขณะที่ฟุ้งซ่านมาถึงนี่ มือก็กำลังพัดวีหลวงลุงอยู่ ก็จับด้ามพัดฟาดลงบนศีรษะหลวงลุงพอดี เธอรู้ตัว ตกใจ แถมหลวงลุงยังพูดว่า “สังฆรักขิต เธอโกรธมาตุคาม (สตรี) แล้วทำไมมาตีหัวเรา พระแก่อย่างเรามีความผิดอะไรด้วยเล่า” เธอนึกว่าที่เธอคิดฟุ้งซ่านมาทั้งหมดนี้ หลวงลุงรู้หมดแล้ว มีความละอายจึงรีบลงกุฏิหนีไป พระหนุ่มเณรน้อยวิ่งตามจับมาหาหลวงลุง หลวงลุงพาไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ตรัสถามเธอว่า

    “สังฆรักขิต ทำไมเธอจึงหนีอุปัชฌาย์ไป”

    “ข้าพระองค์ละอายใจที่คิดฟุ้งซ่าน จนหลวงลุงทราบหมด พระเจ้าข้า”

    “แล้วเธอจะหนีไปไหน”

    “สึกไปเป็นคฤหัสถ์ พระเจ้าข้า”

    พระพุทธองค์ตรัสปลอบใจเธอว่า สังฆรักขิต ปุถุชนก็อย่างนี้แหละ คิดโน่นคิดนี่ สร้างวิมานในอากาศไปเรื่อย จิตใจตกเป็นทาสของกิเลสตัณหาไม่รู้จบสิ้น เธอไม่ต้องละอายดอก ใครๆ เขาก็เป็นอย่างนี้ แต่ขอให้พยายามบังคับจิตมิให้มันวิ่งวุ่นไปโน่นไปนี่ พยายามเข้าไว้ ไม่นานก็จะสามารถทำได้เอง ของอย่างนี้มันต้องค่อยฝึกค่อยทำ ว่าแล้วพระองค์ก็ตรัสโศลกบทหนึ่งสอนภิกษุหนุ่มว่า

    ทูรงฺคมํ เอกจรํ อสรีรํ คุหาสยํ
    เย จิตฺตํ สญฺญเมสฺสนฺติ โมกฺขนฺติ มารพนฺธนา

    จิตนี้เที่ยวไปดวงเดียว ไม่มีรูปร่าง อาศัยอยู่ในร่างกาย ชนเหล่าใดสำรวมระวังจิตได้ เขาเหล่านั้นก็จักพ้นบ่วงมาร

    ว่ากันว่า พอทรงเทศน์จบ สังฆรักขิต ก็บรรลุเป็นพระโสดาบัน กลับใจไม่ยอมสึก พากเพียรพยามปฏิบัติธรรมอยู่ในร่มเงาพระพุทธศาสนาต่อไป ข้อมูลไม่บอกเราว่า ท่านได้บรรลุพระอรหัตผลในกาลต่อมาหรือไม่ แต่เชื่อกันว่าคงได้เป็นพระอรหันต์แน่นอน

    ———————————

    -สามเณรสังฆรักขิต.jpg

    ที่มา ธรรมะพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
  2. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    ประมวลภาพ กลุ่มพุทธธรรมกรรมฐาน มหาวิทยาลัยรามคำแหง จัดงานตักบาตรอาหารสด-อาหารแห้ง พระธุดงคกรรมฐานสายท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต จำนวน 12 รูป และรับฟังพระธรรมเทศนาพ่อแม่ครูอาจารย์ ในวันอังคาร ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ.2561 เวลา 07.30 น. ณ ห้องกลุ่มพุทธธรรมกรรมฐาน มหาวิทยาลัยรามคำแหง อาคารสวรรคโลก ชั้น 4 ห้อง 403
    -:- รายนามพ่อแม่ครูอาจารย์ที่มิมนต์ในครั้งนี้ -:-
    1. หลวงปู่สนธิ์ อนาลโย วัดพุทธบูชา เขตทุ่งครุ กรุงเทพฯ
    2. หลวงพ่ออำนาย ภูริสุนทโร วัดบรมนิวาส เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ
    3. พระอาจารย์โสภณ โอภาโส วัดบึงลัฏฐิวัน อ.ท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยา
    4. พระอาจารย์สุชาติ ชาตสุโข วัดป่าบ้านวไลย อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์
    5.พระอาจารย์ไชยา สิริธัมโม วัดพระรามเก้าฯ เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ
    6.พระอาจารย์กิตติ ติสโร วัดป่าสนามชัย อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี
    ( รวมพ่อแม่ครูอาจารย์และพระติดตามแล้วทั้งหมดประมาณ 12 รูป )

    -กลุ่มพุทธธรรม.jpg
    1529999828_580_ประมวลภาพ-กลุ่มพุทธธรรม.jpg
    1529999828_219_ประมวลภาพ-กลุ่มพุทธธรรม.jpg
    1529999828_0_ประมวลภาพ-กลุ่มพุทธธรรม.jpg
    1529999828_838_ประมวลภาพ-กลุ่มพุทธธรรม.jpg
    1529999828_697_ประมวลภาพ-กลุ่มพุทธธรรม.jpg
    1529999829_293_ประมวลภาพ-กลุ่มพุทธธรรม.jpg
    1529999829_911_ประมวลภาพ-กลุ่มพุทธธรรม.jpg
    1529999829_187_ประมวลภาพ-กลุ่มพุทธธรรม.jpg
    1529999830_404_ประมวลภาพ-กลุ่มพุทธธรรม.jpg
    1529999830_209_ประมวลภาพ-กลุ่มพุทธธรรม.jpg
    1529999830_72_ประมวลภาพ-กลุ่มพุทธธรรม.jpg

    ที่มา พระกรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
  3. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    เรื่อง “สมเด็จพระสังฆราช(อยู่) เคยคิดอยากสึก”

    (เรื่องเล่าโดย อาจารย์เสฐียรพงษ์ วรรณปก)

    สมัยผม (อ.เสฐียรพงษ์) เป็นพระหนุ่ม เข้าเฝ้าสมเด็จพระสังฆราช (อยู่ ญาโณทยมหาเถระ) วัดสระเกศ ทูลถามว่า พระองค์เคยคิดอยากจะสึกบ้างไหม

    สมเด็จฯ รับสั่งว่า “เคย มีคนเอากางเกงมาให้แล้วด้วย เราลองเอามานุ่งดู มองตัวเองแล้วรู้สึกว่าน่าสังเวช เลยตัดใจไม่สึก”

    เมื่อทูลถามว่า “ทำไมตัดใจได้ง่ายปานนั้น”

    พระองค์ทรงรับสั่งว่า “นึกถึงพระพุทธวจนะ ที่ตรัสสอนพระอยากสึกในพระคัมภีร์ เลยเกิดอุตสาหะอยากอยู่ต่อไป” เรียกสั้นๆ ว่า ทรงได้พระพุทธวจนะเป็น “กัลยาณมิตร” ว่าอย่างนั้นเถอะ
    ________________________________________

    เล่าเสริม : พระผู้ใหญ่บางรูปได้เด็กวัดเป็นผู้เตือนสติ พระมหาทองสุก แห่งวัดชนะสงคราม (พระธรรมทัศนาธร ทองสุก สุทสฺโส – Duangtip) อยากสึก หันมาถาม ส.ธรรมยศ ซึ่งตอนนั้นเป็นเด็กวัดว่า

    “ถ้าหลวงพี่สึก เธอจะว่าอย่างไร”

    ส.ธรรมยศ ตอบว่า

    “อย่าสึกเลยหลวงพี่
    หลวงพี่มีความเป็นคนน้อย สึกไปก็เอาตัวไม่รอด”

    ได้ยินคำตอบ หลวงพี่ฉุนกึก นึกว่าลูกศิษย์ด่า แต่ลูกศิษย์อธิบายว่า หลวงพี่มีความเป็นพระมาก มีความเป็นผู้ครองเรือนน้อย พูดง่ายๆ ว่าปรับตัวเข้ากับโลกของคนไม่ได้ อยู่เป็นพระนี่แหละ เจริญก้าวหน้าในศาสนาแน่นอน

    จริงอย่างที่ลูกศิษย์ว่า ท่านบวชอยู่ต่อมาจนได้เป็นพระราชาคณะชั้นผู้ใหญ่ เป็นสังฆมนตรี (ตามพระราชบัญญัติปกครองสงฆ์สมัยนั้น) นี้เพราะอานิสงส์คำเตือนของเด็กวัดนักปราชญ์แท้ ๆ
    _____________________________________

    -สมเด็จพระสังฆราช.jpg

    ที่มา ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น
     
  4. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    เรื่อง “พระอรหัตน์ปิโลติกะ ผู้นุ่งผ้าก้นขาด”

    วันนี้ขอนำเอาเรื่องราวสามเณรอดีตเด็กขอทานอนาถา มาเล่าสู่กันฟัง เด็กคนนี้ชื่อเดิมว่าอย่างไรไม่ทราบ แต่ชาวบ้านเขาเรียกท่านว่า “ไอ้ผ้าเก่าขาด” หรือ “ไอ้ตูดขาด” เพราะท่านนุ่งกางเกงผ้าเก่าขาดวิ่นอยู่ผืนเดียว ก็มีอยู่แค่นั้น วันๆ ก็ถือกะลาขอทานยังชีพ ได้อาหารการกินบ้าง อดบ้าง อดเสียส่วนมาก ท่านพระอานนทเถระไปบิณฑบาต พบเด็กคนนี้เข้า ก็เกิดความสงสารตามประสาพระชอบเลี้ยงเด็ก

    พระอานนท์เป็นคนรักเด็ก เห็นเด็กเร่ร่อนก็นึกสงสารแล้วเขาจะอดตาย จึงจับมาบวชและให้การศึกษาอบรมเป็นจำนวนมาก จนพระมหากัสสปะเถระท่านพูดกระเซ้าเวลาพบกัน ด้วยวาทะว่า “เจ้าเด็กน้อย” พระอานนท์ถามเด็กมอมแมมคนนี้ว่า เจ้าอยู่อย่างนี้ลำบากเหลือเกินเจ้าบวชจะไม่ดีกว่าหรือ

    เด็กน้อยถามว่า “ใครจะบวชให้ผมเล่าครับ”

    “ฉันเอง” พระอานนทเถระพูด แล้วนำเขาไปวิหารอาบน้ำให้ด้วยมือท่านเอง ขัดคราบไคลออกหมดจนสะอาดสะอ้านแล้วให้กรรมฐานแล้วให้บวชเป็นสามเณร พระเถระจับกางเกงขึ้นมาคลี่ดู ไม่เห็นว่าจะนำไปใช้อะไรได้ จึงเอาพาดกิ่งไม้ไว้

    สามเณรน้อยได้รับการฝึกฝนอบรมจากพระอานนท์ เมื่ออายุครบบวชก็ได้อุปสมบทจากภิกษุสงฆ์ มีปัจจัยสี่ใช้สอยไม่ขาดแคลน เมื่ออยู่ดีกินดีขึ้นฉวีวรรณก็ผุดผ่องอ้วนท้วน มีน้ำมีนวลขึ้นแล้วก็เกิด “ความกระสันอยากสึก” ขึ้นมาในจิต

    เมื่อ พระปิโลติกะ เธอเกิดความคิดอยากสึก เธอจึงกลับไปยังต้นไม้ต้นนั้น กางเกงตูดขาดยังอยู่ เธอจึงหยิบมันขึ้นมาตั้งใจจะนุ่งแล้วถือกะลาไปขอทานตามเดิม ทันใดนั้นเธอก็ชะงัก กล่าวสอนตนเองว่า “ไอ้โง่เอ๊ย เอ็งชักไม่มียางอายเสียเลย เอ็งบวชมาแล้ว มีเครื่องนุ่งห่มอย่างดี มีอาหารอย่างดีกิน แล้วยังอยากจะกลับมานุ่งผ้าเก่าขาดเที่ยวขอทานอีกหรือ”

    ให้โอวาทตนเองเสร็จ ก็นึกละอายใจ ตัดสินใจไม่สึก จะขอบวชอยู่ในพระศาสนาต่อไป จึงเอากางเกงตูดขาดแขวนกิ่งไม้ไว้เช่นเดิม ว่ากันว่าพระคุณเจ้า “กางเกงตูดขาด” เทียวไล้เทียวขื่อไปยังต้นไม้นั้นจับกางเกงตูดขาดลูบคลำไปมา พลางให้โอวาทเตือนสติตนเอง แล้วก็ตัดสินใจไม่สึก ทำอย่างนี้ถึงสามครั้งสามครา เวลาพระอื่นถามว่าไปไหนก็บอกว่า “ผมจะไปสำนักอาจารย์”

    สามสี่วันต่อมา เธอก็ได้บรรลุเป็นพระอรหัตน์ ไม่ไปๆ มาๆ อีกต่อไป ภิกษุทั้งหลายจึงถามท่านว่า “ผู้มีอายุ เดี๋ยวนี้ท่านไม่ไปสำนักอาจารย์หรือ ทางนี้เป็นทางเที่ยวไปของท่านมิใช่หรือ”

    เธอตอบว่า “ท่านทั้งหลาย เมื่อมีความเกี่ยวพันอยู่กับอาจารย์ ผมจึงไป แต่บัดนี้ผมตัดความเกี่ยวข้องกับอาจารย์หมดสิ้นแล้ว” เท่ากับบอกนัยว่าท่านได้บรรลุพระอรหัตน์แล้ว

    เหล่าภิกษุไม่พอใจ หาว่าท่านปิโลติกะ (พระกางเกงตูดขาด) อวดอ้างว่าบรรลุพระอรหัตน์ จึงพากันไปกราบทูลพระพุทธองค์ให้ทรงทราบ

    พระพุทธเจ้าเมื่อทรงสดับคำกล่าวหาของภิกษุทั้งหลายแล้ว จึงตรัสว่าถูกแล้ว ภิกษุทั้งหลาย บุตรของเราเมื่อมีความเกี่ยวข้องอยู่ จึงไปสำนักอาจารย์ บัดนี้เธอได้ตัดความเกี่ยวข้องนั้นแล้ว เธอได้บรรลุพระอรหัตแล้ว

    จากนั้นพระพุทธองค์ ได้ตรัสคาถาดังต่อไปนี้

    “คนที่หักห้ามใจจากความคิดอกุศลด้วยหิริ มีน้อยคนในโลกผู้ที่ไม่เห็นแก่นอน ตื่นอยู่เสมอ เหมือนมีม้าดีคอยหลบแส้ของสารถีหาได้ยาก เธอทั้งหลายจงพากเพียร มีความสังเวชสลดใจในความบกพร่องของตนเองแล้วเร่งพัฒนาตน เหมือนม้าดี ถูกเขาหวดด้วยแส้แล้วเร่งฝีเท้าขึ้นฉะนั้น เธอทั้งหลายจงศรัทธา เชื่อมั่นในสิ่งที่ดี มีศีลพระพฤติดีงาม มีวิริยะความพากเพียร มีสมาธิความตั้งใจมั่น และพรั่งพร้อมด้วยการวินิจฉัยธรรม มีความรู้และความประพฤติดี มีสติมั่นคง ปฏิบัติตนได้ดังนี้ จักละทุกข์ได้ไม่น้อยเลย”

    “พระกางเกงตูดขาด” อดีตเด็กขอทานอนาถามีหิริหักห้ามความคิดอกุศล มีความเพียร พยายามแก้ไขตนเอง สอนตนเองอยู่ตลอดเวลา ในที่สุดท่านก็ได้บรรลุเป้าหมายสูงสุดแห่งพรหมจรรย์ กางเกงตูดขาดตัวนั้น ได้เป็น “อาจารย์” ของท่าน คือเป็นเครื่องเตือนสติให้ท่านมีฉันทะอยู่ในพระศาสนาจนได้เป็นพระอรหันต์ด้วยประการนี้
    _____________________________________

    (คัดมาจากหนังสือ “พุทธสาวก พุทธสาวิกา”)
    ประมวลประวัติพระเถระพระเถรี อุบาสกอุบาสิกาสมัยพุทธกาล เรียบเรียงโดย ศาสตราจารย์พิเศษ เสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต

    -พระอรหัตน์ปิโลติ.jpg

    ที่มา ธรรมะพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
  5. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    *ในช่วงเวลาก่อนที่จะอธิษฐานพรรษานั้น หลวงปู่ขาว อนาลโย ท่านให้ตั้งสัจจะในเรื่องของความเพียรว่า…..

    “เราจะเป็นผู้มีความยินดีต่อความวิเวก ให้ตั้งใจทำความเพียรตลอดสามเดือน จะเป็นผู้สำรวมอินทรีย์ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จะไม่ยินดียินร้ายต่อรูปเสียงกลิ่นรสสัมผัสและธรรมารมณ์ จะสำรวมระวังตั้งใจทำไป ละบาปอกุศล สัพพ ปาปัสสะ อ กรณัง เพียรละบาปทั้งหลายทั้งปวงในสันดาน”

    .jpg

    ที่มา ธรรมะของพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
  6. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
  7. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    – มักน้อย สันโดษ –

    ครั้งหนึ่งลูกศิษย์กลุ่มหนึ่งได้ปรารภกันถึงเรื่องที่อยากให้วัดหนองป่าพงได้มีมูลนิธิ
    อย่างเช่นกับที่บางวัดมีอยู่แล้ว เพื่อวัดจะได้มีความมั่นคง เพราะหลวงพ่อก็มีอายุ
    มากขึ้นทุกวัน เมื่อปรึกษาหารือกันดีแล้ว จึงนำเรื่องเข้ากราบเรียนถวายความเห็น
    หลวงพ่อฟังแล้วก็ตอบว่า

    “อย่างนั้นก็ดีอยู่ แต่ผมคิดว่ามันยังไม่ถูกต้อง เพราะพวกท่านก็ยังไม่อาศัยปฏิปทา
    ที่บริสุทธิ์ของตัวเอง ถ้าพวกท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้วคงจะไม่อด
    พระพุทธเจ้าท่านก็ยังไม่เคยมีมูลนิธิเลย ท่านก็โกนหัวปลงผม ทำอะไรเหมือนพวกเรา
    ท่านก็ยังอยู่ได้ ท่านได้ปูทางไว้ให้แล้ว เราก็เดินตามทางของท่านก็น่าจะพอไปได้นะ”
    หลวงพ่อหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะสรุปอย่างเด็ดเดี่ยวว่า

    “บาตรกับจีวรนี่แหละ มูลนิธิที่พระพุทธเจ้าตั้งไว้ให้เรา กินไม่หมดหรอก!”

    ความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย มักน้อยสันโดษ เป็นปฏิปทาที่เด่นชัดอีกประการหนึ่งของหลวงพ่อ กุฏิของท่านแทบจะโล่งเรียบ เพราะไม่มีของใช้ฟุ่มเฟือย ห้องนอนก็เป็นห้องเล็ก มีเฉพาะเตียงนอนและของใช้ที่จำเป็น เช่น กระโถน วัตถุข้าวของต่างๆ ที่ญาติโยมนำมาถวายอยู่เสมอนั้น ท่านก็ส่งต่อไปให้ลูกศิษย์ลูกหายังวัดสาขาหมด หลวงพ่อไม่เคยมีบัญชีเงินฝากส่วนตัว ปัจจัยและเอกลาภต่างๆ ที่โยมถวายให้
    เป็นของกลางทั้งสิ้น ท่านเป็นผู้ที่พอแล้วจริงๆ

    ………………………………………………..

    พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท)
    วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี
    จากหนังสืออุปลมณี น.๑๐๖

    -สันโดษ.png

    ที่มา ธรรมะพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
  8. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
  9. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
  10. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
  11. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
  12. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    ทำไมในสมัยที่พระพุทธเจ้าทรงพระชนม์อยู่
    พญามารจึงไม่ได้สำนึก
    ทำไมมาได้สำนึก_ในสมัยของพระอุปคุต

    เรื่อง “พระอุปคุต พระอรหันต์ผู้มีฤทธิ์ปราบพญามาร”

    เรื่องนี้มีเหตุผลอยู่ว่า พระอุปคุต กับพญามาร เคยเป็นคู่ทรมานซึ่งกันและกันมา หากไม่มีพระอุปคุตแล้ว พญามารจะไม่ตั้งอยู่ในความปรารถนาแห่งสัมมาสัมโพธิญาน(ปรารถนาพุทธภูมิ)

    ซึ่งพระพุทธเจ้าก็เคยพยากรณ์ไว้แล้วว่า

    “หลังจากพระองค์ดับขันธ์ไปแล้ว จะมีพระอรหันต์ผู้มีฤทธิ์รูปหนึ่ง เป็นผู้มาปราบพญามารตนนี้”

    จึงเชื่อกันว่า อุปสรรคใดๆ จะไม่ยิ่งไปกว่าพญามาร เมื่อพระอุปคุตสามารถปราบพญามารได้ มารอื่น ๆ ย่อมไม่มีฤทธิ์เหนือไปกว่าองค์ท่านไปได้ ผู้ที่ต้องการชนะอุปสรรค ชนะมารที่มาผจญชีวิต ก็มักนิยมบูชาพระอุปคุตอยู่เป็นประจำ

    (เครดิตข้อมูลเพจ “บารมีพุทธางกูร”)

    .jpg

    ที่มา ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น
     
  13. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    ๏ พระผู้เป็นทายาทธรรมของหลวงปู่ผาง จิตตคุตโต ๏

    หลวงปู่ประเสริฐ สิริคุตโต วัดป่าเวฬุวันอรัญญวาสี บ้านกุดกะเสียน ต.เขื่องใน อเขื่องใน จ.อุบลราชธานี ท่านเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ผาง จิตตคุตโต และยังเป็นหลานแท้ๆสืบเชื้อสายโลหิตตระกูลครองยุติ ของหลวงปู่ผาง จิตตคุตโตอีกด้วย หลวงปู่ประเสริฐ ท่านเป็นพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มีเมตากรุณาเป็นเลิศ มีปฏิปทาจริยวัตรที่งดงามน่าเลื่อมใส เป็นที่เคารพศรัทธาของชาวบ้านกุดกะเสียน และหมู่บ้านใกล้เคียง

    หลวงปู่ประเสริฐ สิริคุตโต มีนามเดิมว่า ประเสริฐ ครองยุติ เกิดในตระกูลลูกชาวนา เมื่อวันศุกร์ ที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๔๙๙ ตรงกับ วันขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีวอก ที่บ้านกุดกะเสียน ต. เขื่องใน อ.เขื่องใน จ.อุบลราชธานี บิดาชื่อ คุณพ่อพา ครองยุติ มารดาชื่อ คุณแม่มี ครองยุติ มีพี่น้องร่วมกัน ๑๒ คน หลวงปู่เป็นคนที่ ๙

    ในวัยเด็ก ท่านเป็นคนขยันทำงานช่วยบิดามารดา ทำเกษตรกรรม ท่านอยู่แต่ทุ่งนาจนชาวบ้านไม่คุ้นหน้า นอกจากการทำนาแล้ว ก็ปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ ตามสภาพท้องถิ่นในสมัยนั้น

    ด้านการศึกษา ท่านจบชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ จากโรงเรียนบ้านกุดกะเสียน อ.เขื่องใน จ.อุบลราชธานี หลวงปู่เป็นผู้ที่มีความจำดีอ่านคล่องเขียนคล่อง เป็นที่รักของเพื่อนฝูง หลวงปู่มีอุปนิสัยมีความเมตากรุณา มีความขยันอดทน มีปัญญาเฉลียวฉลาด ถือความสัตย์ ชอบทำประโยชน์ให้แก่ส่วนรวม

    ท่านได้บรรพชาอุปสมบทเป็นพระภิกษุในคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย ในปี พ.ศ.๒๕๒๐ ณ วัดเขื่องกลาง บ้านเขื่องใน อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี โดย พระครูสาธุกิจจาทร ( คำมี ) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูพินิจศิลคุณ ( แสวง ) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และได้ศึกษาพระธรรมวินัยเป็นเวลา ๑ปี จนมีความรู้พอสมควร

    ต่อมาในปี พ.ศ.๒๕๒๑ หลวงปู่ผาง จิตตคุตโต วัดอุดมคงคาคีรีเขต อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น ได้มาตามหลวงปู่ประเสริฐถึงที่บ้านกุดกะเสียน เพื่อให้ไปบวชเป็นพระภิกษุฝ่ายธรรมยุต เข้านาคที่วัดอุดมคงคาคีรีเขต โดยหลวงปู่ผาง จิตตคุตโตเขียนจดหมายฝากตัวมอบให้ หลวงปู่ประเสริฐจึงได้เดินเท้าข้ามภูผาแดงไปตามลำพัง จนถึงวัดศรีแก้งคร้อ อ.แก้งคร้อ จ.ชัยภูมิ และได้ญัตติเป็นพระภิกษุฝ่ายธรรมยุติกนิกาย เมื่อวันที่ ๒๒ เมษายน พ.ศ.๒๕๒๑ เวลา ๑๓.๓๐ นาที ณ วัดศรีแก้งคร้อ ตำบลช่องสามหมอ อำเภอแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ โดยมี พระปิยทัสสี ( อำนวย กิตฺติสทฺโท ) เจ้าคณะจังหวัดชัยภูมิ เป็นพระอุปัชฌาย์

    พรรษาที่ ๑ ถึง พรรษาที่ ๕ (พ.ศ. ๒๕๒๑- ๒๕๒๕) ท่านได้จำพรรษาที่วัดอุดมคงคาคีรีเขต อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น ได้ศึกษาพระธรรมวินัย พระธรรมกรรมฐานวิปัสสนาวิชาความรู้ต่างๆ กับหลวงปู่ผาง จิตตคุตโต และได้อยู่อุปัฏฐากหลวงปู่ผาง ที่วัดอุดมคงคาคีรีเขต แล้วออกเดินทางธุดงค์ไปทางรอยต่อประเทศพม่า ท่านได้ออกเดินธุดงค์อยู่หลายปี และเดินทางมาพักที่วัดเขาตาเงาะอุดมพร กับหลวงปู่จื่อ พันธมุตโต ผู้เป็นศิษย์ผู้พี่ของหลวงปู่ประเสริฐ แล้วจึงออกเดินทางธุดงค์ ไปกราบศึกษาพระธรรมกรรมฐานวิปัสสนาวิชาต่างๆ กับหลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ , หลวงปู่สิม พุทธาจาโร วัดถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ , พระอาจารย์บุญจันทร์ จันทวโร วัดถ้ำผาผึ้ง อ.ไชยปราการ จ.เชียงใหม่ แล้วเดินทางธุดงค์กลับมาจำพรรษาที่วัดอุดมคงคาคีรีเขต อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น

    หลวงปู่ผาง จิตตคุตโต ได้พาหลวงปู่ประเสริฐ สิริคุตโต ไปกราบพ่อแม่ครูอาจารย์กรรมฐานหลายๆรูป เช่น หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู , หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย , หลวงปู่คำดี ปภาโส วัดถ้ำผาปู่ อ.เมือง จ.เลย และพ่อแม่ครูอาจารย์สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโตอีกหลายรูป แล้วเดินทางกลับมาจำพรรษาอยู่ที่วัดอุดมคงคาคีรีเขต คอยอุปัฏฐาก หลวงปู่ผาง จิตฺตคุตฺโต จนท่านมรณะภาพ

    การศึกษาด้านปริยัติธรรม ท่านสอบได้นักธรรมเอก และเมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๑ ท่านได้รับแต่งตั้งเป็น พระครูโสภณธรรมคุณาภรณ์ (ประเสริฐ สิริคุตโต)

    หลวงปู่ประเสริฐ สิริคุตฺโต ยังเป็นศิษย์ผู้น้องของหลวงปู่จื่อ พันธมุตโต และ หลวงปู่นงค์ ปคุโณ อีกด้วย ก่อนที่หลวงปู่ผาง จิตฺตคุตฺโต จะมรณะภาพ ท่านได้มอบ “ บาตรครอง ” ของท่านให้กับหลวงปู่ประเสริฐ สิริคุตโต ได้เก็บไว้ใช้จนกระทั่งถึงปัจจุบัน

    ปัจจุบันหลวงปู่ประเสริฐ สิริคุตฺโต จำพรรษาอยู่ที่วัดป่าเวฬุวันอรัญญวาสี บ้านกุดกะเสียน ต.เขื่องใน อเขื่องใน จ.อุบลราชธานี

    -พระผู้เป็นทายาทธรรมขอ.jpg

    ที่มา พระกรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
  14. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    “ทีฆายุโก โหตุ สังฆราชา”

    ขอประทานถวายสักการะ
    เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (อัมพร อมฺพโร)
    สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
    เนืองในมงคลสมัยพระชนมายุครบ ๙๑ ชันษา ในวันที ๒๖ มิถุนายน ๒๕๖๑

    ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด
    เกล้ากระหม่อม

    เพจธรรมะพระอรหันต์ สายหลวงปู่เสาร์-หลวงปู่มั่น โดย คณะเมตตาธรรม

    กลุ่มธรรมะพระอรหันต์ สายหลวงปู่เสาร์-หลวงปู่มั่น โดย คณะเมตตาธรรม

    -โหตุ-สังฆราชา.jpg
    1530050827_235_ทีฆายุโก-โหตุ-สังฆราชา.jpg
    1530050827_961_ทีฆายุโก-โหตุ-สังฆราชา.jpg

    ที่มา เมตตาธรรม ศิษย์พระธุดงค์กรรมฐาน สายหลวงปู่เสาร์-หลวงปู่มั่น
     
  15. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
  16. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
  17. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
  18. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    เรื่อง “สามเณรนิรนาม ผู้เสื่อมฤทธิ์เหาะเหินเดินฟ้า”

    (โดยศาสตราจารย์พิเศษ เสฐียรพงษ์ วรรณปก)

    สามเณรนิรนาม อีกรูปหนึ่ง ผู้มีฤทธิ์มาก เหาะเหินเดินหาวได้ด้วยอิทธิฤทธิ์ แต่ท้ายสุดก็เสื่อมจากฤทธิ์ เพราะวัยหนุ่มเป็นเหตุ เรื่องราวเกิดขึ้นสมัยหลังพุทธกาล คงราว พ.ศ. ๙๐๐ กว่า ยุคที่อรรถกถา (หนังสืออธิบายพระไตรปิฎก) รุ่งเรือง ในอรรถกถา “สัมโมหวิโนทนี” เล่าไว้ว่า พระเถระอรหันต์รูปหนึ่ง พร้อมกับสามเณรผู้ติดตามเดินทางจากชนบท ไปยังวัดในเมืองหลวงอันชื่อว่า ปิงครบริเวณ เพื่อนมัสการพระเจดีย์และต้นพระศรีมหาโพธิ์

    ขณะที่พระเถระทั้งหลายพากันไปไหว้พระเจดีย์ พระเถระจากชนบทท่านไม่ได้ไปด้วย รอให้ผู้คนกลับกันหมดแล้ว กลางคืนดึกสงัด ท่านจึงลุกขึ้นไปไหว้พระเจดีย์แต่เพียงผู้เดียวเงียบๆ ไม่ให้รู้แม้กระทั่งสามเณร สามเณรเฝ้าดูอาการของพระเถระด้วยความแปลกใจ จึงแอบเดินตามหลังไปเงียบๆ พระเถระกราบพระเจดีย์แล้ว ก็ลุกขึ้นยืนประคองอัญชลีจ้องพระเจดีย์ด้วยความเคารพอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานาน จนกระทั่งสามเณรกระแอมกระไอขึ้น จึงหันมาถามว่า สามเณรมาเมื่อไร

    “มาพร้อมท่าน ขอรับ”

    “เหรอ ฉันไม่ทันสังเกต”

    “ท่านอาจารย์ไหว้พระเจดีย์ ไม่เห็นมีดอกไม้เลยขอรับ”

    “ถ้ามีก็ดี แต่เมื่อไม่มี ด้วยจิตใจที่เลื่อมใส ก็เสมือนบูชาด้วยดอกไม้นั่นแหละ สามเณร”

    “ถ้าท่านอาจารย์ประสงค์ดอกไม้ กระผมจะไปนำมาถวาย” ว่าแล้วก็เข้าฌานเหาะไปยังป่าหิมพานต์นำดอกไม้หลากสีใส่ธมกรก (กระบอกกรองน้ำดื่ม) มาถวายพระเถระ พระเถระเกลี่ยดอกไม้ลงยังแท่นบูชา กล่าวว่า “ดอกไม้มีน้อยนะ สามเณร”

    “ท่านอาจารย์ขอรับ ขอให้ท่านรำลึกถึงพระคุณอันมหาศาลของพระพุทธเจ้าแล้วบูชาเถิด” สามเณรกล่าว พระเถระก้าวขึ้นตามบันไดไปยังมุขด้านทิศปัจฉิม แล้วเกลี่ยดอกไม้ลงแท่นบูชา ทันใดนั้นแท่นบูชาเต็มไปด้วยดอกไม้ แถมยังหล่นลงมากองบนพื้นข้างล่างอีกสูงท่วมเข่า พระเถระเดินลงยังพื้นชั้นล่างวางดอกไม้บนฐานพระเจดีย์ ดอกไม้ก็แผ่เต็มบริเวณพระเจดีย์

    “สามเณร ดอกไม้ยิ่งวางก็ยิ่งมีมาก” พระเถระหันมาพูดกับสามเณร สามเณรกราบเรียนท่านว่า “ท่านอาจารย์จงคว่ำธมกรกลง” พระเถระก็ทำตามทันใดนั้นดอกไม้ก็หมดไป พระเถระอรหันต์ทรงอภิญญา ทราบว่า สามเณรหนุ่มนี้ต่อไปจักเสื่อมจากฤทธิ์เพราะมาตุคาม จึงกล่าวเตือนว่า “สามเณร เธอมีฤทธิ์มาก แต่ถ้าเธอประมาท ต่อไปเธอก็จะเสื่อมจากฤทธิ์ เธอจักดื่มน้ำข้าวอันช่างทอหูกตาบอดข้างหนึ่งเอามือขยำแล้ว”

    สามเณรขัดใจนึกตำหนิว่า “พระผู้เฒ่านี้พูดอะไร ไม่เห็นเข้ารูหูเลย” ไม่ใส่ใจ เดินหนีไป

    เมื่อพระเถระจะเข้าไปบิณฑบาต ให้สามเณรถือบาตรตามหลัง สามเณรถามว่าท่านจะไปหมู่บ้านไหน เมื่อพระเถระบอกชื่อหมู่บ้าน สามเณรก็บอกว่านิมนต์ท่านอาจารย์ไปก่อนเถอะ ปล่อยให้พระเถระเดินไป จวนจะเข้าหมู่บ้านแล้ว จึงเหาะตามไปเอาบาตรถวายพระเถระ พระเถระกล่าวเตือนสามเณรผู้คะนองด้วยการใช้อิทธิฤทธิ์ มันหวั่นไหว เสื่อมได้ ถ้าคะนองเมื่อมันเสื่อมแล้วจะเป็นอันตรายต่อพรหมจรรย์ในที่สุด

    “พระผู้เฒ่าพูดอะไร ไม่เข้ารูหู” สามเณรหนุ่มบ่นอีกด้วยความรำคาญ ไม่ยอมฟัง

    วันหนึ่งสามเณรเหาะลิ่วๆ ผ่านไปสระบัวแห่งหนึ่ง ได้ยินเสียงหญิงสาวร้องเพลงไพเราะจับใจ ยังกับเธอกำลังออกคอนเสิร์ตกลางสระน้ำก็มิปาน สามเณร “ลอยคว้าง” กลางอากาศ ตำราเปรียบว่า “เหมือนแมลงตาบอดติดอยู่ในรสหวาน” ไปไหนไม่ได้ ด้วยกำลังแห่งสมาบัติที่เหลืออยู่ถึงแม้ฤทธิ์จะเสื่อมแล้ว แต่ก็ไม่หล่นตุ๊บลงบนพื้นน้ำ สามเณรผู้ต้องศรกามเทพค่อยๆ ลงมายืนริมฝั่ง สติยังมีอยู่บ้าง จึงรีบกลับวัดมาลาอาจารย์ว่าตนมีความจำเป็นจะต้องจากไป พระเถระรู้ล่วงหน้าแล้วว่าอะไรเป็นอะไร จึงไม่เอ่ยปากทัดทานแม้คำเดียว ถึงห้ามก็คงไม่ฟัง ดังพระราชนิพนธ์ของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ ที่ว่า “ความรักเหมือนโคถึก กำลังคึกผิขังไว้ ย่อมโลดและแล่นไป มิยอมอยู่ ณ ที่ขัง” ฉะนั้นแล

    สามเณรถอดสบงจีวรทิ้ง ยืนคอยหญิงสาวอยู่ริมสระ หญิงสาวขึ้นจากสระน้ำรู้ว่าอะไรเป็นอะไร จึงขอร้องให้สามเณรกลับไปอยู่วัดอยู่วาตามเดิม ชีวิตครองเรือนมันมิได้โรยด้วยดอกกุหลาบดังสามเณรฝันดอก ก็คงพูดปัดไปตามประสา แต่ใจจริงหญิงสาวก็มีใจปฏิพัทธ์สามเณรหนุ่ม เมื่อสามเณรยืนยันจะอยู่เคียงข้างน้องนาง ไม่ว่าจะเข้าดงกุหลาบหรือดงอุตพิตก็ตาม

    “ความรักเหมือนโรคา บันดาลตาให้มืดมน ไม่ยินและไม่ยล อุปสรรคใดใด” ว่าอย่างนั้นเถอะ

    ทั้งสองก็พากันกลับไปยังเรือนของหญิงสาว พ่อแม่หญิงสาวกว่าวว่า “พ่อหนุ่มเอย เราเป็นช่างหูกจนๆ พ่อหนุ่มจะอยู่กับเราได้หรือ พ่อหนุ่มเคยบวชเรียนอยู่ในเพศสมณะสบายๆ จะทนลำบากไหวหรือ” พ่อหนุ่มผู้มีรักเป็นสรณะยืนยันแข็งขัน จึงยกลูกสาวให้

    ทั้งสองอยู่ครองรักกันต่อมา จนพ่อตาแม่ยายเสียชีวิต พ่อหนุ่มก็ได้เป็นหัวหน้าครอบครัวรับมรดกช่างทอหูกสืบไป ครอบครัวอื่นเขามีคนใช้หรือผู้ช่วยงานครอบครัว ของอดีตสามเณรมีกันเพียงสองคน เมื่อครอบครัวอื่นเขาให้คนนำอาหารไปให้สามีของเขาที่โรงทอหูกแต่เช้า ภรรยาของอดีตสามเณรหนุ่ม ทำงานบ้านก่อน กว่าจะนำอาหารไปให้สามีก็สาย สามีรอจนโมโหหิว เหตุการณ์มักจะเป็นอย่างนี้แทบทุกวัน จนวันหนึ่งสามีทนไม่ได้ จึงดุด่าเอาแรงๆ ภรรยาก็เถียงเอาบ้าง เท่านั้นเองอดีตสามเณรผู้มีฤทธิ์ ก็ออกฤทธิ์แบบชาวบ้าน คือ หยิบกระสวยขว้างแม่ยอดยาหยี ปลายกระสวยทิ่มตาข้างหนึ่ง เลือดไหลเป็นทาง ตาบอด ร้องไห้ครวญครางด้วยความเจ็บปวด

    อดีตสามเณร เห็นดังนั้น ก็ร้องไห้ครวญครางไม่แพ้ภรรยา ชาวบ้านต่างก็มาปลอบโยนทั้งสองคนว่า เรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว ทำคืนไม่ได้อย่าได้ถือสากันเลย ถึงเมียตาบอดข้าง ก็ยังมีอีกข้างมองเห็นอยู่ อดีตสามเณร ครางว่า

    “ฉันมิได้ร้องไห้เพราะเหตุนี้ดอก ฉันร้องไห้เพราะนึกถึงคำพูดของพระเถระอาจารย์ของฉัน ท่านบอกว่า ต่อไปฉันจะกินน้ำข้าวที่ช่างทอหูกตาบอดข้างหนึ่งเอามือขยำ อาจารย์ท่านมองเห็นอนาคตล่วงหน้าแล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้น อุตส่าห์ตักเตือน แต่ฉันไม่ฟัง”

    -สามเณรนิรนาม-ผู้.jpg

    ที่มา ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น
     
  19. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
  20. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...