ธรรมะ จากเพจ พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย สายหลวงปู่มั่น, 4 กันยายน 2017.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    จงพยายามรักษา ” ธุดงค์ ”
    ไว้ให้มั่นคงต่อไป อย่าเสื่อมล่วงโรยไปเสีย ” ธุดงควัตรเสื่อม ” ก็เท่ากับ “ศาสนาเสื่อม ” แม้คัมภีย์ธรรมทั้งหลาย
    ยังมีอยู่ ก็ไม่สามารถทรงคุณค่าแก่ผู้ที่สนใจได้เท่าที่ควร
    ” ธุดงควัตร”เป็นธรรมขั้นที่สูงมาก

    ผู้ที่รักษา “ธุดงค์ “ได้ ต้องเป็นผู้ที่มีจิตใจที่สูงเช่นกัน

    โอวาทธรรม:หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน

    -ธุดงค์.jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  2. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    พรุ่งนี้คือวันพระ แรม 14 ค่ำ เดือน 9

    ีตสิบสอง ครองสิบสี่ มูลมังมรดกอีสาน

    1f33c.png บุญข้าวประดับดิน บุญเดือนเก้า ประเพณีภาคอีสาน ที่จัดขึ้นเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว และสัตว์นรกหรือเปรต

    1f33c.png ประเพณีบุญข้าวประดับดิน บุญเดือนเก้า เป็นอีกหนึ่งประเพณีที่สืบทอดกันมาในภาคอีสาน โดยบุญข้าวประดับดิน เป็นงานประเพณีที่ถูกจัดขึ้นในวันแรม 14 ค่ำ เดือนเก้า ของทุก ๆ ปี ประเพณีบุญข้าวประดับดิน

    1f33c.png ทั้งนี้ในการทำบุญข้าวประดับดินนั้น ชาวบ้านจะนำข้าวปลา อาหาร คาวหวาน ผลไม้ หมาก พลู บุหรี่ มาห่อด้วยใบตอง และทำเป็นห่อเล็ก ๆ ก่อนจะนำไปวางตามโคนต้นไม้ใหญ่หรือตามพื้นดินบริเวณรอบ ๆ เจดีย์ หรือโบสถ์ โดยการทำบุญข้าวประดับดินนี้ ชาวบ้านเชื่อว่า เป็นการทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว รวมถึงอุทิศส่วนกุศลให้กับสัตว์นรก หรือเปรต

    นอกจากนี้ บุญข้าวประดับดิน ยังถือว่าเป็นการให้ทานแก่ผู้ยากไร้รวมทั้งสัตว์ที่ไม่มีเจ้าของ ที่ต้องหิว อดมื้อกินมื้อมาตลอดทั้งปีอีกด้วย เพราะการที่ตั้งอาหารไว้ที่พื้นทำให้สัตว์เหล่านั้นสามารถเข้ามากินอาหารได้อย่างเต็มที่

    ความเป็นมาบุญข้าวประดับดิน

    การทำบุญข้าวประดับดินนี้ เกิดจากความเชื่อตามนิทานธรรมบทว่า ญาติของพระเจ้าพิมพิสาร ได้ยักยอกเงินวัดไปเป็นของตนเอง ครั้นตายไปแล้วได้ไปเกิดเป็นเปรตในนรก และเมื่อพระเจ้าพิมพิสารถวายทานแด่พระพุทธเจ้าแล้วมิได้อุทิศให้ญาติที่ตาย กลางคืนพวกญาติที่ตายมาแสดงตัวเปล่งเสียงน่ากลัวให้ปรากฏใกล้พระราชนิเวศน์ รุ่งเช้าได้เสด็จไปทูลถามพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ทูลเหตุุให้ทราบ พระเจ้าพิมพิสารจึงถวายทานอีก แล้วอุทิศส่วนกุศลไปให้ ญาติที่ตายไปจึงได้รับส่วนกุศล ดังนั้น การทำบุญข้าวประดับดิน คือการทำเพื่ออุทิศส่วนกุศลแก่ญาติผู้ตายแล้ว ถือเป็นประเพณีที่ต้องทำเป็นประจำทุกปี

    ประวัติบุญข้าวประดับดิน ประเพณีบุญเดือนเก้าของชาวอีสาน

    พิธีกรรมบุญข้าวประดับดิน มีดังนี้

    1f33c.png 1. วันแรม 13 ค่ำ เดือน 9 ชาวบ้านจะเตรียมข้าวต้ม ขนม อาหารคาวหวาน หมาก พลู และบุหรี่ไว้ 4 ส่วน ส่วนหนึ่งเลี้ยงดูกันภายในครอบครัว ส่วนที่สองแจกให้ญาติพี่น้อง ส่วนที่สามอุทิศให้ญาติที่ตายไปแล้ว และส่วนที่สี่นำไปถวายพระสงฆ์

    ในส่วนที่สาม ญาติโยมจะห่อข้าวน้อย ซึ่งมีวิธีการห่อคือ ใช้ใบตองห่อขนาดเท่าฝ่ามือ ส่วนความยาวนั้นให้ยาวสุดซีกของใบตอง

    1f33c.png 2. วันแรม 14 ค่ำ เดือน 9 ชาวบ้านจะไปวัดตั้งแต่เวลาตี 4 เพื่อนำสิ่งของที่เตรียมไว้จัดใส่กระทง หรือเย็บเป็นห่อเหมือนข้าวสากไปวางอุทิศส่วนกุศลตามที่ต่าง ๆ ซึ่งการวางแบบนี้ เรียกว่า การวางห่อข้าวน้อย แต่หากเป็นการนำไปวางในวัด จะเรียกว่า การยาย (วางเป็นระยะ ๆ ) ห่อข้าวน้อย ซึ่งเวลานำไปวางจะพากันไปทำอย่างเงียบ ๆ ไม่มีการตีฆ้อง ตีกลองแต่อย่างใด

    1f33c.png 3. หลังจากวางเสร็จแล้ว ชาวบ้านจะกลับบ้านเพื่อเตรียมอาหารทำบุญที่วัดอีกทีหนึ่งในตอนเช้า เมื่อพระสงฆ์ฉันเช้าเสร็จก็จะเทศน์ฉลองบุญข้าวประดับดิน ต่อจากนั้น ชาวบ้านจะนำปัจจัยไทยทานถวายแด่พระสงฆ์ เมื่อพระสงฆ์ให้พรเสร็จ ชาวบ้านที่มาทำบุญก็จะกรวดน้ำ อุทิศส่วนกุศลไปให้ญาติผู้ที่ล่วงลับไปแล้วทุก ๆ คน

    -แรม-14-ค.jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  3. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  4. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  5. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  6. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  7. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  8. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    ันนี้วันพระ 1f64f.png บุญเดือนเก้า บุญข้าวประดับดิน

    ฮีตสิบสอง ครองสิบสี่ มูลมังมรดกอีสาน

    บุญข้าวประดับดิน บุญเดือนเก้า ประเพณีภาคอีสาน ที่จัดขึ้นเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว และสัตว์นรกหรือเปรต

    ประเพณีบุญข้าวประดับดิน บุญเดือนเก้า เป็นอีกหนึ่งประเพณีที่สืบทอดกันมาในภาคอีสาน โดยบุญข้าวประดับดิน เป็นงานประเพณีที่ถูกจัดขึ้นในวันแรม 14 ค่ำ เดือนเก้า ของทุก ๆ ปี ประเพณีบุญข้าวประดับดิน

    ทั้งนี้ในการทำบุญข้าวประดับดินนั้น ชาวบ้านจะนำข้าวปลา อาหาร คาวหวาน ผลไม้ หมาก พลู บุหรี่ มาห่อด้วยใบตอง และทำเป็นห่อเล็ก ๆ ก่อนจะนำไปวางตามโคนต้นไม้ใหญ่หรือตามพื้นดินบริเวณรอบ ๆ เจดีย์ หรือโบสถ์ โดยการทำบุญข้าวประดับดินนี้ ชาวบ้านเชื่อว่า เป็นการทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว รวมถึงอุทิศส่วนกุศลให้กับสัตว์นรก หรือเปรต

    นอกจากนี้ บุญข้าวประดับดิน ยังถือว่าเป็นการให้ทานแก่ผู้ยากไร้รวมทั้งสัตว์ที่ไม่มีเจ้าของ ที่ต้องหิว อดมื้อกินมื้อมาตลอดทั้งปีอีกด้วย เพราะการที่ตั้งอาหารไว้ที่พื้นทำให้สัตว์เหล่านั้นสามารถเข้ามากินอาหารได้อย่างเต็มที่

    ความเป็นมาบุญข้าวประดับดิน

    การทำบุญข้าวประดับดินนี้ เกิดจากความเชื่อตามนิทานธรรมบทว่า ญาติของพระเจ้าพิมพิสาร ได้ยักยอกเงินวัดไปเป็นของตนเอง ครั้นตายไปแล้วได้ไปเกิดเป็นเปรตในนรก และเมื่อพระเจ้าพิมพิสารถวายทานแด่พระพุทธเจ้าแล้วมิได้อุทิศให้ญาติที่ตาย กลางคืนพวกญาติที่ตายมาแสดงตัวเปล่งเสียงน่ากลัวให้ปรากฏใกล้พระราชนิเวศน์ รุ่งเช้าได้เสด็จไปทูลถามพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ทูลเหตุุให้ทราบ พระเจ้าพิมพิสารจึงถวายทานอีก แล้วอุทิศส่วนกุศลไปให้ ญาติที่ตายไปจึงได้รับส่วนกุศล ดังนั้น การทำบุญข้าวประดับดิน คือการทำเพื่ออุทิศส่วนกุศลแก่ญาติผู้ตายแล้ว ถือเป็นประเพณีที่ต้องทำเป็นประจำทุกปี

    ประวัติบุญข้าวประดับดิน ประเพณีบุญเดือนเก้าของชาวอีสาน

    พิธีกรรมบุญข้าวประดับดิน มีดังนี้

    1. วันแรม 13 ค่ำ เดือน 9 ชาวบ้านจะเตรียมข้าวต้ม ขนม อาหารคาวหวาน หมาก พลู และบุหรี่ไว้ 4 ส่วน ส่วนหนึ่งเลี้ยงดูกันภายในครอบครัว ส่วนที่สองแจกให้ญาติพี่น้อง ส่วนที่สามอุทิศให้ญาติที่ตายไปแล้ว และส่วนที่สี่นำไปถวายพระสงฆ์

    ในส่วนที่สาม ญาติโยมจะห่อข้าวน้อย ซึ่งมีวิธีการห่อคือ ใช้ใบตองห่อขนาดเท่าฝ่ามือ ส่วนความยาวนั้นให้ยาวสุดซีกของใบตอง

    2. วันแรม 14 ค่ำ เดือน 9 ชาวบ้านจะไปวัดตั้งแต่เวลาตี 4 เพื่อนำสิ่งของที่เตรียมไว้จัดใส่กระทง หรือเย็บเป็นห่อเหมือนข้าวสากไปวางอุทิศส่วนกุศลตามที่ต่าง ๆ ซึ่งการวางแบบนี้ เรียกว่า การวางห่อข้าวน้อย แต่หากเป็นการนำไปวางในวัด จะเรียกว่า การยาย (วางเป็นระยะ ๆ ) ห่อข้าวน้อย ซึ่งเวลานำไปวางจะพากันไปทำอย่างเงียบ ๆ ไม่มีการตีฆ้อง ตีกลองแต่อย่างใด

    3. หลังจากวางเสร็จแล้ว ชาวบ้านจะกลับบ้านเพื่อเตรียมอาหารทำบุญที่วัดอีกทีหนึ่งในตอนเช้า เมื่อพระสงฆ์ฉันเช้าเสร็จก็จะเทศน์ฉลองบุญข้าวประดับดิน ต่อจากนั้น ชาวบ้านจะนำปัจจัยไทยทานถวายแด่พระสงฆ์ เมื่อพระสงฆ์ให้พรเสร็จ ชาวบ้านที่มาทำบุญก็จะกรวดน้ำ อุทิศส่วนกุศลไปให้ญาติผู้ที่ล่วงลับไปแล้วทุก ๆ คน

    .

    -บุญเดือนเ.jpg
    -บุญเดือนเ.jpg
    -บุญเดือนเ.jpg
    -บุญเดือนเ.jpg
    -บุญเดือนเ.jpg
    -บุญเดือนเ.jpg
    -บุญเดือนเ.jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  9. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  10. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  11. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  12. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    เรื่อง “พุทธันดร ความหมายที่ถูกต้องตามธรรม”

    (วิสัชนาธรรมโดย หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
    (จากหนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม)
    (ฉบับพิเศษ เล่ม ๒)

    เมื่อสิ้น ๕,๐๐๐ ปี จะมี “พุทธันดร” ขึ้นมาแทรก มีผู้ตั้งคำถามหลวงพ่อว่า

    “ได้ยินมาว่าเมื่อครบ ๕,๐๐๐ ปีแล้ว ก็จะมีศาสนาของ พระศรีอาริยเมตไตรย สืบต่อจากศาสนานี้ใช่หรือไม่ ?”

    หลวงพ่อถามกลับว่า “หมายความว่า เมื่อสิ้นศาสนา ๕,๐๐๐ ปีแล้วใช่ไหม แล้วพระศรีอาริยเมตไตรยจึงมาตรัสรู้
    ผู้ถามตอบว่า “ใช่ครับ”

    หลวงพ่อจึงบอกว่า “ความจริงไม่ใช่อย่างนั้นนะคุณ ถ้าศาสนานี้ครบ ๕,๐๐๐ ปีแล้ว พระศรีอาริยเมตไตรยยังไม่มาตรัส จะต้องว่างจากพระพุทธศาสนาไปหนึ่งพุทธันดรก่อน แต่ว่าในช่วงที่ว่างพระพุทธเจ้านี่ก็จะมี พระปัจเจกพุทธเจ้า ขึ้นมาแทน สำหรับพระปัจเจกพุทธเจ้านี่ ต่ำกว่าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือว่าพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาแล้วก็ทรงสอนคนตั้งแต่อันดับต้นให้รู้จักการให้ทาน ให้รู้จักการรักศีล ให้รู้จักการเจริญภาวนาให้รู้จักการครองเรือนให้อยู่เป็นสุข และให้รู้จักการปฏิบัติตนให้เข้าถึงกามาวจรสวรรค์ ให้เข้าพรหมโลก ให้เข้าถึงพระนิพพาน

    สำหรับพระปัจเจกพุทธเจ้าไม่เช่นนั้น ท่านตรัสแล้วท่านก็เฉยๆ หากว่าจะสงเคราะห์กันก็สงเคราะห์ในขั้นต้น คือ ทานกับศีล ไม่เหมือนพระพุทธเจ้า ทีนี้เมื่อเวลากาลล่วงไปหนึ่งพุทธันดร อาตมาตอบไม่ได้นะว่ากี่ปี ถ้าจะให้รู้กันจริงๆ คุณก็จงอย่าตายนะ อยู่ไปจนกว่าพระศรีอาริย์จะมา อยู่ไหวไหมล่ะ ?

    ผู้ถามจึงได้ถามต่อว่า : “ผมอยากจะถามว่า พระพุทธเจ้าองค์แรกทรงพระนามว่าอะไรครับ ? ”

    หลวงพ่อตอบว่า “พระกกุสันโธ เป็นพระพุทธเจ้าองค์แรกสำหรับกัปนี้ แต่องค์แรกจริงๆ ไม่ใช่องค์นี้ ที่เราเรียกว่า องค์ปฐม องค์ปฐมน่ะท่านเป็นพระพุทธเจ้าองค์แรก เคยถามท่านว่าใช้เวลาถอยหลังไปเท่าไร ท่านบอกว่า ให้ตั้งเลข ๕ ขึ้นมา แล้วเอาศูนย์ใส่ไป ๕๐ ตัว ได้เท่าไรบอกฉันด้วย นับเป็นอสงไขยกัปนะ ไม่ใช่นับเป็นกัปเฉยๆ อสงไขยของกัป

    ถ้าจะถามว่ามากเกินไปไหม ก็ต้องตอบว่าไม่มากหรอก เราต้องดูซิว่าพระพุทธเจ้าขั้นปัญญาธิกะ ต้องใช้เวลาบำเพ็ญบารมีถึง ๔ อสงไขยกับแสนกัป

    ถ้าศรัทธาธิกะ ต้องใช้เวลา บำเพ็ญบารมีถึง ๘ อสงไขยแสนกัป ถ้าวิริยาธิกะ ต้องใช้เวลาบำเพ็ญบารมี ๑๖ อสงไขยกับแสนกัป ไม่เท่ากัน ทีนี้กัปหนึ่งมีพระพุทธเจ้ากี่องค์

    สำหรับสูญญากัป อันตรายกัปนี่ไม่มีพระพุทธเจ้า มีแต่พระปัจเจกพุทธเจ้า อันตรายกัปนี่เป็นกัปที่มีอันตรายมาก รบราฆ่าฟันกันเป็นประจำ มันมีแต่พวกมาจากอบายภูมิมาเกิด อันนี้เป็นเรื่องจริง บางกัปก็มีพระพุทธเจ้าองค์เดียว บางกัปมี ๒ องค์ ๕ องค์ ยังไม่เคยเจอ แต่กัปนี้มีถึง ๑๐ องค์นะ ฉะนั้นคนที่เกิดในกัปนี้เฮงที่สุด แล้วก็ซวยที่สุด”

    ผู้ถามจึงถามด้วยความสงสัยว่า
    “เป็นยังไงหรือครับ ?”

    หลวงพ่อกล่าวต่อว่า

    “เฮงที่สุดก็คือ เกิดมาแล้วตั้งใจทำความดี ตายไปเป็นเทวดาหรือพรหม เมื่อเป็นเทวดาหรือพรหมแล้วพระพุทธเจ้าไปเทศน์ครั้งเดียวก็เป็นพระโสดาบัน ไอ้ซวยที่สุดก็คือ เกิดมาชาตินี้ไม่ทำความดี ตายไปก็ลงนรกลงนรกแล้วพระพุทธเจ้าอีก ๖ องค์มาตรัส นึกว่าจะเกิดมาได้พบ ไม่มีทาง อีก ๓๐ องค์ก็ยังไม่ได้พบ”

    ผู้ถาม (หัวเราะ) แล้วตอบว่า
    “ไม่ไหวหรอกครับ”

    หลวงพ่อจึงกล่าวเสริมว่า “เป็นอันว่าเมื่อครบหนึ่งพุทธันดรแล้ว พระศรีอาริยเมตตรัยมาตรัสเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๕ ในกัปนี้ แต่ว่าสำหรับกัปนี้ไม่ได้มีพระพุทธเจ้าเพียง ๕ พระองค์ พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ไว้ว่า หลังจากพระศรีอริยเมตไตรยมาตรัสแล้ว ยังมีพระพุทธเจ้าต่อไปอีก ๕ พระองค์ คือ ในกัปนี้ทรงพระพุทธเจ้าได้ ๑๐ พระองค์

    ศาสนาพระศรีอาริย์ ท่านว่าศาสนาของท่านนั้นมีผลดังนี้

    ๑. คนสวยทุกคน มีผิวเหลือง เนื้อละเอียด คนแก่ที่สุดมีทรวดทรงเท่ากับคนอายุประมาณ ๒๐ ปีเศษ ของสมัยนี้เท่านั้นเอง อายุคนสมัยนั้นท่านว่า มีอายุถึง ๔ หมื่นปีเป็นอายุขัย

    ๒. สมัยของท่าน ไม่มีคนจน มีแต่คนรวย มีต้นไม้สารพัดนึกอยู่ในที่ทุกสถาน สัตว์นรก เปรต อสุรกาย ที่มีจิตใจชั่วร้ายยังไม่มีโอกาสเกิดในสมัยของพระองค์ ท่านที่จะไปเกิดนั้น ต้องเป็นเทวดาหรือพรหมเท่านั้น โลกจึงมีแต่ความสุข ไม่มีตำรวจทหารมีแต่พ่อบ้านแม่เรือน

    ๓. การสัญจรไปมาก็สะดวกสบาย ไปทางไหนก็พายตามน้ำ

    ๔. คนเข้าถึงธรรมทุกคน ท่านว่าคนที่เจริญสมถะพอมีญาณ หรือมีวิปัสสนาญาณบ้าง พอสมควร จะเข้าถึงธรรมาพิสมัยได้โดยฉับพลัน คือเป็นพระอริยะเจ้า คนที่ได้อริยะต้นแล้ว จะเข้าถึงอรหัตผลได้โดยฉับพลัน คนที่ทำบุญไว้น้อย คือฟังคาถาพัน และปฏิบัติตามแต่ไม่สมบูรณ์ อย่างต่ำก็เข้าถึงไตรสรณคมน์ อย่างสูงก็ได้อริยะ ที่เป็นอย่างนี้ เป็นเพราะว่าท่านบำเพ็ญบารมีถึง ๑๖ อสงไขยกับแสนกัป ท่านบำเพ็ญบารมีมาก คนเลวจึงเข้าแทรกแซงในศาสนาของพระองค์ไม่ได้ น่าเกิดจริงนะ

    ผู้ถามจึงถามต่อด้วยความตื่นเต้นว่า “โอโฮ้ ทีนี้ผลต่างกันไหมครับ ที่ใช้เวลาบำเพ็ญบารมีไม่เท่ากัน ?”

    หลวงพ่อกล่าวต่อว่า “ผลมันต่างกันแน่ อย่างพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนี้บำเพ็ญบารมีขั้น “ปัญญาธิกะ” จะเห็นว่าโลกมันเป็นอย่างนี้ละ มีการรบราฆ่าฟันกัน มีคนจน มีคนรวย ถ้า “ศรัทธาธิกะ” ละก็คนจนไม่มี มีแต่คนรวย เพราะพระพุทธเจ้าท่านมีบารมีมาก ส่วน “วิริยาธิกะ” ละก็เพียบพร้อมไปทุกอย่าง สมัยโน้นจะหาคำว่าลำบากสักนิดไม่มี ความป่วยไข้ไม่สบายเกือบหาไม่ได้ ที่ท่านต้องบำเพ็ญบารมีมาก ก็เพื่อสั่งสมความดีให้มาก แล้วก็คนที่ไปเกิดในสมัยนั้นก็ต้องเป็นคนที่ต้องบำเพ็ญบารมีตามกันไป

    พระพุทธเจ้าแต่ละองค์มิใช่จะโปรดคนได้หมด ต้องโปรดคนได้เฉพาะคนที่บำเพ็ญบารมีร่วมกันมาแต่ละชาติที่เกิดร่วมกันมา เป็นพวกเป็นพ้อง ทำอะไรก็ทำด้วยกัน เวลาทำบาปก็ทำด้วยกัน ไปสวรรค์ก็ไปด้วยกัน ไปนรกก็ไปด้วยกัน หลวงพ่อลาพุทธภูมิแล้วจะไปนิพพาน ลูกหลานจะอยู่หรือจะไปด้วยล่ะ ?

    (เครดิตจากคุณ Phithak Saraphat)

    -พุทธันดร-ความหมา.jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  13. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  14. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    เรื่อง “ทุกศาสนาสอนให้เป็นคนดี แต่หนึ่งเดียวที่สอนให้บรรลุถึงที่สุดแห่งความดี คือพุทธศาสนา”

    (โดย วัดดอยแสงธรรมญาณสัมปันโน)

    มีหลายคนที่ชอบพูดว่า “ศาสนาทุกศาสนาล้วนสอนคนให้เป็นคนดีได้ทั้งนั้น” ซึ่งมันก็จริงอย่างนั้น แต่ว่า มันจริงยังไม่หมด หากพูดเพียงเท่านั้น ก็อาจทำคนให้เข้าใจคลาดเคลื่อนไปได้ว่า ถ้าเช่นนั้น นับถือศาสนาไหนๆในโลกก็ไม่ต่างกันนักสิ เพราะก็เป็นคนดีได้เหมือนกัน

    ฉะนั้น ตรรกะอันนี้มันจึงยังใช้ไม่ได้ เพราะนิยามของคำว่า “คนดี” ในแต่ละศาสนานั้น ย่อมมีนัยที่แตกต่างกัน เพราะชื่อว่า “คนดี” มันเป็นเพียงตัวหนังสือ หรือคำพูด แต่สิ่งที่ถูกเรียกว่า “คนดี” นั้น มันมีมากมายและหลากหลาย คนดีแต่ละคนถ้าอยู่ตามลำพัง ก็อาจมองไม่เห็นความแตกต่าง แต่ถ้าเอาคนดีหลายๆคนมาเปรียบเทียบกันแล้ว ย่อมมีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด

    คนดีระดับพื้นๆธรรมดาทั่วไปตามความรู้สึกของชาวบ้าน คนดีที่มีศีลธรรมอันมั่นคงที่เป็นกัลยาณปุถุชน คนดีที่มีศีลธรรมอันบริสุทธิ์สามารถสละชีพบูชาธรรม เข้าถึงอริยธรรมชั้นต้น นับแต่พระโสดาบันขึ้นไป คนดีที่เพรียบพร้อมด้วยศีล สมาธิ ปัญญา อันบริสุทธิ์บริบูรณ์หมดจดจากกิเลสอย่างสิ้นเชิง อยู่จบพรหมจรรย์เสร็จกิจในพระพุทธศาสนา

    ดังนั้น คำว่า “คนดี” นี้จึงมีนัยที่หลากหลาย โดยเฉพาะ คนดีในระดับที่ทรงคุณธรรมชั้นสูงๆนี้ ย่อมไม่มีในศาสนาอื่นๆเลย

    เพราะฉะนั้น หากจะพูดว่า “ศาสนาใดๆล้วนสอนทุกคนให้เป็นคนดี” ก็ต้องพูดต่อให้จบว่า “แต่ศาสนาที่สั่งสอนให้คนบรรลุถึงที่สุดแห่งความดีได้ มีเพียงศาสนาพุทธศาสนาเดียวในโลก”

    -ทุกศาสนาสอนให้เป.jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  15. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  16. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  17. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    “ขอให้อ่อนน้อมถ่อมตน
    พร้อมที่จะแก้ไขตัวเองอยู่เสมอ

    ไม่ว่าใครเป็นผู้เสนอความเห็น
    ก็ขอให้เราพร้อมที่จะรับฟัง

    เพราะอะไร? เพราะต้องเป็นธัมมกาโม
    เป็นคนรักธรรม มากกว่ารักหน้าของตัวเอง”

    -:-พระอาจารย์ชยสาโร ภิกขุ-:-

    .jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  18. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    เรื่อง “เจ้าหนี้รายใหญ่ ที่ใจดีที่สุดในโลก”

    (คติธรรม ท่านพ่อลี ธัมมธโร)

    “มารดาบิดา ท่านจัดว่าเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ เป็นเจ้าหนี้ใจดีที่สุดในโลก เป็นเจ้าหนี้ที่ไม่หวังผลต่อการตอบแทน

    เจ้าหนี้มี ๒ ประเภท คือ เจ้าหนี้ให้กู้ยืมทางทรัพย์สินเงินทองอย่างหนึ่ง เจ้าหนี้ทางบุญคุณอย่างหนึ่ง เจ้าหนี้ประเภทให้ยืมทรัพย์สินเงินทอง เราพอมีทางที่จะขวนขวายหามาชดใช้ให้หมดสิ้นไป แต่เจ้าหนี้ทางบุญคุณนี้ยากแก่การที่จะชดใช้สิ้นสุดลงไปได้ มารดาบิดาเป็นเจ้าหนี้ทั้ง ๒ ประเภท คือ ทางเงินทองท่านก็ลงทนให้แก่บุตรก่อนเป็นจำนวนมากมาย ทางบุญคุณท่านก็สร้างให้แก่บุตรอย่างมหาศาล

    หลักฐานที่เห็นได้ชัดก็คือ เลือดเนื้อตัวตนของเราทั้งหมดนี้แบ่งแยกออกมาจากท่านทั้ง ๒ นั้นเอง คือ ท่านได้มอบสมบัติอันล้ำค่าไว้ให้แก่บุตรทุกๆ คน เรียกว่า “มูลสมบัติ” (รูปร่างกาย)

    มารดาบิดาสามารถที่จะเลี้ยงดูบุตรของตนได้หลายคน แต่บุตรหลายคนนั้น น้อยคนที่สุดที่จะเลี้ยงมารดาบิดาของตนได้”

    -เจ้าหนี้รายใหญ่.jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  19. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    ุทธประวัติ “ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ทั้ง ๔ ต้น”

    (ข้อมูลจาก กาลบุญ สี่สังเวชนียสถานฯ)

    ต้นไม้ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ จะถูกเรียกว่าต้นโพธิ์ อยู่ที่พุทธคยา ซึ่งจนถึงทุกวันนี้ ได้มีแล้ว ๔ ต้นด้วยกัน

    ♤ ต้นศรีมหาโพธิ์ ต้นที่ ๑

    ต้นโพธิ์ต้นแรก เป็นสหชาติเกิดขึ้นพร้อมกับวันที่พระโพธิสัตว์ประสูติ ตามพุทธประวัติ กล่าวว่าสหชาติ มี ๗ ประการ คือ กาฬุทายีอำมาตย์, ฉันนะ, อานนท์พุทธอนุชา, พระนางพิมพา, ม้ากัณฑกะ, ขุมทรัพย์ ๔ มุมเมือง, ต้นอัสสัตถะพฤกษ์ (ต้นโพธิ์) ต้นโพธิ์ต้นนี้ มีอายุจนถึงยุคพระเจ้าอโศกมหาราช ซึ่งพระเจ้าอโศกมหาราช ท่านทรงรักและเคารพต้นโพธิ์นี้มาก ท่านได้เข้าไปเคารพสักการะบูชาต้นโพธิ์นี้ตลอด จนทำให้พระมเหสีไม่พอใจ พระมเหสีจึงสั่งให้คนไปทำลายต้นโพธิ์ต้นนี้ และ ต้นโพธิ์ก็ได้ตายลง

    ต้นศรีมหาโพธิ์ต้นที่ ๑
    มีอายุได้ประมาณ ๓๔๒ ปี

    ♤ ต้นศรีมหาโพธิ์ ต้นที่ ๒

    หลังจากต้นแรกดั้งเดิมได้ตายลง พระเจ้าอโศกท่านก็เสียใจมาก จนถึงขั้นเป็นลมสลบไปเลย ท่านเสียใจมาก เลยสั่งให้คน เอาน้ำนมโคมารด ตรงที่เคยเป็นต้นโพธิ์ทุกวัน และ ท่านก็อธิษฐานขอให้มีหน่อโพธิ์งอกขึ้นมา ซึ่งตำนานก็เล่าว่า ได้เกิดมีปาฏิหารย์มีหน่อต้นโพธิ์ได้แทงยอดใหม่ขึ้นมา และ พระเจ้าอโศกมหาราช ก็ได้นำมาปลูกเป็นต้นที่ ๒ ต้นโพธิ์ต้นที่ ๒ มีอายุยืนมาจนกระทั่ง ถึงยุคของกษัตริย์ที่นับถือศาสนาฮินดู กษัตริย์องค์นี้ได้ส่งให้คนมาโค่นทำลายต้นโพธิ์ทิ้ง ทั้งยังสั่งให้ทำลายพระพุทธรูปทั้งหมดในวิหาร แต่ว่าอำมาตย์ที่เป็นชาวพุทธนั้น ไม่กล้าทำลายพระพุทธรูป เลยทำได้แต่เอาปูนมาโบกทับไว้เฉยๆ

    ต้นศรีมหาโพธิ์ต้นที่ ๒
    มีอายุได้ประมาณ ๘๗๑ ปี

    ♤ ต้นศรีมหาโพธิ์ ต้นที่ ๓

    หลักจากนั้นไม่นาน พระเจ้าปูรณวรมา กษัตริย์ชาวพุทธให้ขึ้นครองราช ท่านเสียพระทัยที่ได้เห็น ต้นพระศรีมหาโพธิ์ถูกทำลายล้มลง ก็ได้สั่งให้คน ค้นหาหน่อของต้นศรีมหาโพธิ์ ซึ่งได้ค้นพบหน่อที่ใต้บริเวณต้นศรีมหาโพธิ์เดิม ท่านจึงให้ปลูกสิ่งก่อสร้างดูแลต้นโพธิ์นี้ ภายหลังศาสนาพุทธได้เสื่อมไปจากอินเดีย ต้นศรีมหาโพธิ์จึงก็ถูกละเลยทอดทิ้ง

    ต้นศรีมหาโพธิ์ต้นที่ ๓
    มีอายุได้ประมาณ ๑,๒๕๘ ปี
    (ตายตามอายุขัย ตามกาลเวลา)

    ♤ ต้นศรีมหาโพธิ์ ต้นที่ ๔

    หลังจากที่ศาสนาพุทธถูกลืมเลือนไปจากอินเดียร่วม ๘๐๐ ปี ในปี พ.ศ.๒๔๔๓ เซอร์อเล็กซานเดอร์ คันนิ่งแฮม นักโบราณคดีชาวอังกฤษ ได้ขุดค้นพบพุทธสถานหลายแห่ง ที่พุทธคยาพบว่าต้นพระศรีมหาโพธิ์ได้ล้มลง แต่โชคดีมากที่มีหน่อโพธิ์งอกอยู่ ที่บริเวณใต้ต้นเดิมเดิม ๒ หน่อ

    หน่อแรก(สูง ๖ นิ้ว) ได้นำมาปลูกไว้ที่บริเวณต้นเดิม อีกหน่อ(สูง ๔ นิ้ว)ได้แยกไปปลูกทางด้านทิศเหนือ ห่างกัน ๒๕๐ ฟุต หน่อที่ ๔ นี้ ยังคงยืนต้นตั้งมาตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๔๓ จนถึงปัจจุบัน

    -ต้นพระศรี.jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  20. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    เรื่อง “พระนางรูปนันทา สตรีที่ได้รับการยกย่องว่ามีความสวยงามเป็นเลิศ ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์”

    (ธรรมประวัติ พระอริยสาวกในสมัยพุทธกาล)

    พระนางรูปนันทา ท่านเป็นพระน้องนางของพระพุทธเจ้า โดยมีพระบิดาองค์เดียวกัน แต่ท่านประสูติจากพระนางปชาบดีโคตมี ที่เป็นพระมารดาเลี้ยงของพระพุทธเจ้า แต่เมื่อพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้แล้วออกสอนเทศน์ให้ผู้คนบรรลุพระอรหันต์ไปเป็นจำนวนมาก แต่พระนางกลับไม่ยอมมาฟังธรรมของพระเชษฐาเลย ทั้งนี้ก็เพราะพระนางเป็นหญิงที่มีความสวยงามเป็นเลิศ แต่ได้ยินใครๆ ก็พูดว่าพระพุทธเจ้าไม่เคยยกย่องผู้ที่มีความสวยงาม พระนางจึงไม่อยากมาฟังธรรมของพระพี่ชายเลย แต่ก็ด้วยผลบุญที่พระนางได้เคยทำมาจึงดลบันดาลให้พระนางได้มีโอกาสฟังธรรมจากพระเชษฐาของพระองค์จนได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ในที่สุด

    เมื่อครั้งที่องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมมาพุทธเจ้า ทรงประกาศพระพุทธศาสนา พระองค์มีความสนิทสนมกับพระเจ้าปเสนทิโกศลบรมกษัตริย์เป็นอันมาก ทราบข่าวว่า สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปกรุงพาราณสีมากกว่าทุกประเทศ คือประเทศนี้องค์สมเด็จพระมหามุนีเสด็จไปถึง ๒๕ ครั้ง สำหรับประเทศอื่นๆ เสด็จไปน้อยกว่านั้น แต่ทว่าปรากฏในกาลไม่นานนัก อัครมเหสีของพระเจ้าปเสนทิโกศลบรมกษัตริย์ คือ พระนางมัลลิกาเทวีถึงแก่สิ้นชีพิตักษัย ฉะนั้นพระเจ้าปเสนทิโกศลปรารถนาใคร่จะได้มีความใกล้ชิด กับองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดามากขึ้น จึงได้ไปขอสตรีในราชนิกูลของกรุงกบิลพัสดุ์มหานครซึ่งเป็นหลาน จะกล่าวกันไปก็เป็นน้องสาวขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา คือเป็นลูกของพระเจ้าอา ชื่อว่ารูปนันทาเทวี

    ครั้นเมื่อนางได้เข้ามาอยู่ในสำนักของพระเจ้าปเสนทิโกศลนี้แล้ว ปรากฏว่าเธอเป็นคนสวยมาก ยากที่จะมีสตรีอื่นเทียบทันได้ แต่ทว่าได้ทราบข่าวว่าองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นพระเชษฐา เทศน์ทรงตำหนิความสวยของร่างกาย

    ฉะนั้นพระนางนี้จึงไม่ตั้งใจ คือไม่สนใจจะสดับรับรสพุทธพจน์เทศนา เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จมากรุงพาราณสีแต่ละคราวนานๆ จะมาสักทีหนึ่ง เพราะว่าพระพุทธเจ้าทรงประกาศพระพุทธศาสนาเป็นเวลา ๔๕ ปี แต่ก็มีโอกาสพักที่กรุงพาราณสีเพียง ๒๕ ครั้ง เป็นอันว่าไม่ได้มาทุกปี

    พระนางไม่ยอมไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า
    ฉะนั้นขณะที่องค์สมเด็จพระชินสีห์ เสด็จประทับยับยั้งสำราญอิริยาบทปรากฏอยู่ในพระราชอุทยานของพระเจ้าปเสนทิโกศล พระเจ้าปเสนทิโกศลและบรรดาประชาชนทั้งหลาย ต่างคนก็ต่างไปเฝ้าองค์สมเด็จพระจอมไตรเป็นปกติ เพื่อสดับพระธรรมเทศนา แต่ทว่าพระนางรูปนันทาไม่ยอมไปด้วย พระเจ้าปเสนทิโกศลจะช่วยชักชวนแนะนำประการใดก็ดี พระนางนี้ก็ไม่ยอมไป ที่ไม่ยอมไปก็เพราะว่า ไม่ได้โกรธพระพุทธเจ้า มีความรู้สึกว่า ตัวท่านเป็นคนที่มีความสวยสดงดงามมาก ยากที่จะมีบุคคลใดเทียบเท่าได้ แต่ทว่าองค์สมเด็จพระจอมไตร ข่าวว่าอย่างนั้นว่า พระพุทธเจ้าทรงตำหนิรูปสวยหรือรูปคนว่าไม่ดี พระนางนี้จึงไม่ยอมไป

    ต่อมาพระเจ้าปเสนทิโกศลจึงได้ให้คนแต่งกลอน เป็นกลอนพรรณนาถึงพระราชอุทยาน ว่ามีความงามเสมอด้วยสวนสวรรค์ และให้นางกำนัลขับร้องกล่อมให้พระนางรูปนันทาฟังทุกวัน พระนางรูปนันทาก็สงสัยถามเธอเหล่านั้นว่า การที่เธอขับร้องกันอยู่นี้ อยากทราบว่ามันเป็นสวนที่ไหน หญิงทั้งหลายเหล่านั้นก็กราบทูลว่า สวนของพระเจ้าแม่เองพระเจ้าค่ะ สวยสดงดงามเหลือเกินเวลานี้ นับตั้งแต่องค์สมเด็จพระมหามุนีพร้อมด้วยบรรดาพระอริยสงฆ์ทั้งหลายมาพัก พระเจ้าปเสนทิโกศลพระบาทท้าวเธอให้จัดการให้สวยสดงดงามเป็นพิเศษ มาวันรุ่งขึ้นเธอก็ไม่ได้ตั้งใจจะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ แต่ว่าอยากจะไปดูสวน เขาลือกันว่ามันสวย

    ในตอนเช้า เมื่อพระเจ้าปเสนทิโกศลเสวยพระกระยาหารเสร็จสิ้นแล้ว จึงได้เข้าไปหานางถามว่า รูปนันทาวันนี้จะไปชมสวนไหม นางก็บอกว่า วันนี้ตั้งใจจะไป วันนั้นพระเจ้าปเสนทิโกศลจัดกระบวนเป็นพิเศษ สวยงามมาก พอได้เวลาตอนบ่ายจึงได้พานางไปเฝ้าองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า แต่ทว่าขณะที่ไปเฝ้านั้นแล้ว ก็ปรากฏว่าองค์สมเด็จพระประทีปแก้วกำลังแสดงพระสัทธรรมเทศนาอยู่ นางเห็นองค์สมเด็จพระบรมครูเทศน์อย่างนั้น ก็เลยนั่งอยู่ไกลๆ ท้ายบริษัท เพราะว่าไม่ได้ตั้งใจจะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ นั่งอยู่ไกลที่สุด คือท้ายหมู่คน

    พระพุทธเจ้าเนรมิตหญิงสาวที่สวยกว่า
    ครั้นเมื่อองค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดา ทรงทราบว่าน้องสาวเสด็จมา สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเห็นว่าวิสัยของรูปนันทานี้ จะได้อรหัตผล เป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนาในวันนี้ ฉะนั้น องค์สมเด็จพระมหามุนีขณะที่เทศน์อยู่ สมเด็จพระบรมครูจึงได้ทรงเนรมิตผู้หญิงคนหนึ่งที่มี ความสวยสดงดงามมากว่าพระนางรูปนันทา รูปร่างก็สวยกว่า ทรวดทรงก็ดีกว่า ผิวพรรณก็ดีกว่า เครื่องประดับก็ดีกว่าพระนางรูปนันทามาก ยืนอยู่ใกล้ๆ องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าถวายงานพัด ก็หมายความว่าองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์เทศน์ ฝ่ายหญิงนั้นก็ยืนพัดเรื่อยไป เป็นเหตุให้พระนางรูปนันทามองดูหญิงคนนั้น แล้วก็มองดูสมเด็จพระภควันต์ แล้วก็ดูตัวเอง

    ก็นึกในใจว่า ข่าวเขาลือกันว่าสมเด็จพระเจ้าพี่ทรงตำหนิสตรีผู้มีความงาม แล้วผู้หญิงคนนั้นก็สวยกว่าเรา แล้วเครื่องประดับประดาก็ดีกว่าเรา ถวายงานพัดอยู่ใกล้ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็คือพระเจ้าพี่ แล้วทำไมข่าวลือจึงลือกันไปว่า พระเจ้าพี่นี้ทรงตำหนิความงามของร่างสตรีใดๆ เป็นอันว่าข่าวคราวที่ลือกันไม่เป็นความจริง ฉะนั้น เจ้าหญิงรูปนันทาจึงตั้งใจสดับรับรสพุทธพจน์เทศนาของสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า เพราะมีความเบาใจว่า เธอเป็นคนสวย แต่ว่าสวยน้อยกว่าหญิงคนนั้น เมื่อหญิงคนนั้นองค์สมเด็จพระภควันต์ให้อยู่ใกล้ถวายงานพัดได้แสดงว่าไม่รังเกียจฉันใด เธอซึ่งมีความงามต่ำกว่า องค์สมเด็จพระศาสดาก็คงไม่รังเกียจในรูปฉันนั้น เธอก็ตั้งใจฟังเทศน์

    พระนางรูปนันทาฟังเทศน์พระพุทธเจ้าวันนั้นเทศน์ใน ไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรือเกิด แก่ เจ็บ ตาย ต่อมาองค์สมเด็จพระจอมไตรก็เทศน์เป็นใจความสั้นๆ ว่า เวลามันสั้นนะ ท่านกล่าวว่าชีวิตเป็นของไม่เที่ยง เกิดขึ้นมาแล้วก็มีความเสื่อมไป เดิมเป็นเด็ก แล้วต่อมาก็เป็นหนุ่มเป็นสาวร่างกายสมบูรณ์แบบมีความงามทุกอย่าง แต่ความงามของทรวดทรงทั้งหลายเหล่านี้ มันไม่ทรงตัวอยู่ แล้วสมเด็จพระบรมครูก็ตรัสว่า หลังจากความเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้ว ร่างกายก็จะร่วงโรยลงทีละน้อยๆ จนไปถึงวัยกลางคน มาตอนนี้เอง หญิงสาวคนสวยที่ถวายงานพัดอยู่ เมื่อสมเด็จพระบรมครูเทศน์ไปแบบไหน ร่างกายเธอก็ทรุดโทรมไปตามนั้น ค่อยๆ คลายความสวยไปทีละน้อยๆ จนถึงวัยกลางคน

    พระนางรูปนันทานั่งมองดูฟังเทศน์ขององค์สมเด็จพระบรมครู แล้วก็มองดูหญิงกลางคนนั้นแล้วก็แปลกใจว่า หญิงคนนี้เมื่อกี้นี้เป็นหญิงสาวที่สวยกว่าเรา แต่เวลานี้ก็แก่ไปทีละน้อยๆ จนถึงวัยกลางคน ผมเริ่มเป็นดอกเลา ต่อมาสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงเทศน์ต่อว่า กลายจากความเป็นคนกลางคนแล้ว ร่างของบุคคลนั้นก็จะต้องแก่ไปทีละน้อยๆ ทรุดโทรมไปทีละน้อยๆ ถึงวัยแก่ชราร่างของหญิงนั้นก็แก่ไปตามวาจาของสมเด็จ พระสัมมาสัมมาพุทธเจ้าเทศน์ ท่านก็บอกว่า เมื่อความแก่เข้ามาถึง ผมที่ดำสนิทก็กลับค่อยๆ ขาวเริ่มเป็นดอกเลา แล้วก็ขาวหมดทั้งศีรษะ ผมของหญิงคนนั้นก็เริ่มคลายตัวไปทีละน้อยๆ ในที่สุดก็ขาวหมดหัว พระนางรูปนันทาก็แปลกใจ

    ต่อไปองค์สมเด็จพระจอมไตรก็บอกว่า หนังที่เคยเปล่งปลั่งมันก็เหี่ยวย่นกลายเป็นคนที่ไม่มีความสวย ร่างกายของหญิงนั้นก็เป็นตามนั้น แล้วสมเด็จพระภควันต์ก็ตรัสว่า แม้แต่ฟันที่อาศัยอยู่เต็มปากทั้ง ๓๒ ซี่ นี้มันก็ยังหลุดไปทีละซี่สองซี่ ในที่สุดองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเทศน์อย่างนี้ปั๊บ ฟันของหญิงนั้นก็หลุดไปทีละซี่สองซี่จนหมดปาก ปากบุ๋มเข้าไป เวลาต่อไปองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาก็ตรัสว่า นอกจากความแก่จะเข้ามาถึงแล้ว โรคภัยไข้เจ็บก็เข้ามาเบียดเบียนมีอาการต่างๆ มีอาการเสียดท้อง ปวดท้อง ปวดศีรษะ มีอาการอาเจียน เป็นต้น แล้วองค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดากล่าวแบบไหนหญิงนั้นก็ มีสภาพแบบนั้น ผลที่สุดก็อาเจียนเกือบล้มก็เกือบตาย ในที่สุดองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาก็กล่าวว่า ที่สุดของชีวิตนั้นก็ถึงความตาย หญิงคนนั้นก็ล้มลงมาทันทีถึงแก่ความตาย

    แล้วองค์สมเด็จพระจอมไตรก็ตรัสต่อไปว่า ความตายมันไม่หยุดเพียงแค่นี้ ในเมื่อธาตุลมหมดไป ธาตุไปหมดไป เหลือแต่ธาตุน้ำกับธาตุดิน ธาตุดินไม่มีอะไรเป็นเครื่องประคับประคอง คือไม่มีไฟประคับประคอง ในที่สุดธาตุน้ำก็ละลายดิน ดินละลายแล้วเกิดอาการเน่าขึ้นมา บรรดาอสุภะ คือของที่น่าเกลียดทั้งหลายในร่างกายก็ผุด ขึ้นมามีกลิ่นเหม็นฟุ้ง ขึ้นอืด สภาพของหญิงนั้นก็เป็นสภาพแบบนั้น

    ในที่สุดองค์สมเด็จพระภควันต์ก็กล่าวว่า เมื่อน้ำหมดไปร่างกายก็โทรมลง เนื้อหมดไปเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ภาพของหญิงนั้นก็เป็นตามนั้น ในที่สุดท่านก็บอกว่า กระดูกเรี่ยรายหายไปจากสภาพร่างกาย หายไปในพื้นปฐพี ครั้นเมื่อองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธ เจ้าเทศน์ตามนี้ ร่างกายของหญิงนั้นมีสภาพไปตามนั้น

    พระนางรูปนันทาก็มองดูตามภาพนั้นตามลำดับ ในที่สุดก็มีความคิดว่า หญิงคนนี้สาวกว่าเรา หญิงคนนี้สวยกว่าเรา รูปร่างหน้าตาดีกว่าเรา เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมมาพุทธเจ้าทรงเทศน์เธอก็มีสภาพดีกว่าเรา พอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมมาพุทธเจ้าทรงเทศน์จบ พระนางรูปนันทาพิจารณาร่างกายหญิงคนนั้นแล้วก็พิจารณาร่างกายของตัวเองว่า สภาพต่อไปในเบื้องหน้าก็มีสภาพเป็นอย่างนี้ เมื่อองค์สมเด็จพระชินสีห์เทศน์จบ พระนางรูปนันทาก็บรรลุอรหัตผลในพระพุทธศาสนา

    (ข้อมูลจาก www.palangjit.org)

    -พระนางรูปนันทา-ส.jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...