ธรรมะ จากเพจ พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย สายหลวงปู่มั่น, 4 กันยายน 2017.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    ธรรมโอวาท เกี่ยวกับการอยู่ร่วมกัน ในวงของผู้ปฏิบัติธรรม หลวงพ่อท่านได้ให้ โอวาทเตือนผู้ปฏิบัติไว้ว่า..

    “การมาอยู่ด้วยกัน ปฏิบัติด้วยกัน มากเข้า ย่อมมีเรื่องกระทบกระทั่งกันเป็นธรรมดา ตราบใดที่ยังเป็นปุถุชนคนธรรมดาอยู่ ทิฏฐิความเห็นย่อมต่างกัน ขอให้เอาแต่ส่วนดีมาสนับสนุนกัน อย่าเอาเลวมาอวดกัน”

    การปรามาสพระก็ดี การพูดจาจ้วงจาบในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือท่านที่มีศีล มีธรรมก็ดี จะเป็นกรรมติดตัวเรา และขัดขวางการปฏิบัติธรรมในภายหน้า ดังนั้น หากเห็นใครทำความดี ก็ควรอนุโมทนายินดีด้วย แม้ต่างวัด ต่างสำนักหรือแบบปฏิบัติต่างกันก็ตาม ไม่มีใครผิดหรอก เพราะจุดมุ่งหมายต่างก็เป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์เช่นกัน เพียงแต่เราจะทำให้ดี ดียิ่ง ดีที่สุดเท่านั้น

    ขอให้ถามตัวเราเองเสียก่อนว่า “แล้วเราล่ะ ถึงที่สุดแล้วหรือยัง ?”

    …หลวงปู่ดู่ พฺรหฺมปัญโญ…

    -เกี่ยวกับการอ.jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  2. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  3. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    เรื่อง “ติดสมาธิ ปัญญาไม่ก้าวเดิน”

    (คติธรรม หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)

    ทีนี้เวลาความสงบนี้มันมีคุณค่ามากกว่านั้นแล้ว มาครอบครองใจแล้ว ความคิดทั้งหลายจึงเป็นข้าศึกไปไม่อยากคิด นี่ขั้นสมาธิ ทีนี้พอก้าวออกทางด้านปัญญา ทางด้านปัญญาเป็นทางแก้กิเลสนะ สมาธิไม่ได้แก้กิเลส ตีกิเลสให้สงบลง เพื่อปัญญาจะได้ก้าวเดินหรือคลี่คลายสิ่งทั้งหลายที่มันหมอบตัวอยู่ด้วยสมาธิตีหัวมันนั้น คลี่คลายออกมาด้วยปัญญา จากนั้นฆ่ากิเลสละที่นี่ ฆ่ากิเลสด้วยปัญญา สมาธิเพียงทำใจให้สงบพอออกทางด้านปัญญาคลี่คลายออกแล้วยิ่งแจ้งยิ่งขาวดาวกระจ่าง ยิ่งละเอียดลออ กิเลสขาดลง ๆ ๆ เห็นชัด ๆ ในใจ

    เพราะฉะนั้น จึงได้กล้าพูดละซิว่า โอ้โห เรื่องสมาธิมันนอนตายอยู่เฉย ๆ ไม่เห็นแก้กิเลสได้สักตัว มันบอกชัด ๆ ในหัวใจเจ้าของเอง มันนอนจมอยู่อย่างนั้น กิเลสตัวไหนก็ไม่เคยขาด อยู่สบาย ๆ เพลินอยู่กับความสงบเย็นใจ พอก้าวออกทางด้านปัญญานี้ถอดถอนกิเลสเป็นลำดับลำดาไป มันก็เห็นคุณค่าของปัญญาแล้วก็มาโทษสมาธิ โอ๊ย.สมาธิมันนอนตายเฉย ๆ แก้กิเลสตัวเดียวก็ไม่ได้ ทีนี้ก็ฟัดทางด้านปัญญาละซิ เอ้า ทางปัญญาถ้าไม่มีผู้เตือนมันก็เตลิดเปิดเปิงได้เหมือนกัน ต้องมีผู้ห้ามล้อได้อีกนะ ผู้มีความรู้เหนือกว่าจะกระตุกให้รู้จักความพอเหมาะพอดีในการก้าวเดินปัญญา ถึงเวลาที่จะพักสมาธิให้พัก พอออกจากสมาธิแล้ว ถึงกาลเวลาที่จะก้าวเดินทางด้านปัญญาไม่ต้องห่วงสมาธิ เอ้า ก้าวเดินทางด้านปัญญาเรื่อยไป

    [​IMG]

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  4. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    -สังขารทั้.jpg

    “อย่าไปยึดติด สังขารทั้งหลายก็ไม่เที่ยงแท้แน่นอน เกิดมาแล้วให้สร้างคุณงามความดีให้ประเทศชาติบ้านเมือง อย่าไปก่อความเดือดร้อนให้ประเทศชาติบ้านเมืองนะลูกหลานเอ้อ”
    .
    คำสอน พระเทพวิทยาคม (หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ) ก่อนมรณภาพ
    .
    ขอบคุณคลิปจาก: PR.KHONKAEN ปชส.ขอนแก่น
    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  5. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    ถวายเพลิงจริงสรีรสังขาร พระเทพวิทยาคม (หลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ) พร้อมเมรุลอยนกหัสดีลิงค์ ณ ฌาปนสถานชั่วคราว วัดหนองแวง พระอารามหลวง จังหวัดขอนแก่น

    .jpg
    .jpg
    .jpg
    .jpg
    .jpg
    .jpg
    .jpg
    .jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  6. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    .. ๑๐ คำสอน ..
    “ หลวงพ่อคูณ พ่อคูณ ปริสุทโธ ”

    ๑. ยิ่งเอา .. มันยิ่งอด
    ยิ่งสละให้หมด .. มันยิ่งได้

    ๒. กูให้พวกมึงรู้จัก..
    “ พอเพียง ”

    ๓. กูทำดี .. เขาจึงให้ของดีกูมา

    ๔. กูไม่เคยยินดี .. ยินร้าย
    ใน..“ ลาภยศสรรเสริญ ”..

    ๕. กูดีใจ .. ที่เกิดมาเป็นคนจน
    เพราะ.. ได้สร้าง “ ทานบารมี ”
    ถ้ากู.. เกิดมาเป็นคนรวย ป่านนี้…
    คำว่า.. “ บุญ ”..ก็ไม่รู้จักกัน

    ๖. เงินเป็นทาสกู .. กูไม่ยอมเป็น “ ทาสเงิน ”

    ๗. การทำตัว .. ให้เป็นผู้ยิ่งใหญ่นั้น.. ง่าย
    แต่.. จะสร้างสมบุญให้มีบารมีนั้น.. เป็นเรื่องยาก
    ต้อง.. เป็น “ ผู้ให้ด้วยธรรมอันบริสุทธิ์จริง ”

    ๘. กู .. จะทำให้ชาวบ้าน เพื่อตอบแทน…
    ข้าว,น้ำ ที่เขา .. ให้กูกินทุกวัน

    ๙. เกิดมาแล้ว.. “ รักความสงบ ”..
    ให้มี..“ ศีลธรรม ”..ไว้ประจำใจทุกๆ คน
    โลกจะได้ .. อยู่ชุ่ม กินเย็น

    ๑๐. พระ .. ไม่ได้อยู่กับ “ คนชั่ว ”
    แต่.. อยู่กับ “ คนดี ”
    คนดี.. ให้นึกว่า.. “ พระมากับเราจะทำชั่วไม่ได้ ”
    อย่าทำตัว .. ผิดศีลธรรม ผิดจารีตประเพณี …
    โดยเฉพาะ.. การทำ “ ผิดกฎหมายบ้านเมือง ”..
    ให้ตั้งอยู่ .. “ ในความไม่ประมาท ” ..

    ธรรมทาน : ๛ หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ ๛
    ภาพโดย : ผศ.ดร.นงนุช. ภู่มาลี

    -คำสอน.jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  7. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  8. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    เรื่อง “หลวงพ่อปาน ประลองวิชากับหลวงปู่คำคะนิง”

    (ปกิณกธรรม หลวงพ่อปาน โสนันโท)

    เรื่องหลวงปู่คำคะนิงประลองฤทธิ์หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ย้อนไปสักยี่สิบกว่าปีที่อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี มีพระหลวงปู่รูปหนึ่งเป็นที่ศรัทธาของชาวบ้าน ท่านมีนามว่า “คำคะนิง จุลมณี” แห่งวัดถ้ำคูหาสวรรค์ หลวงปู่คำคะนิงนั้น ท่านเป็นพระที่ไม่เหมือนใคร กล่าวคือท่านเคยผ่านการเป็นฤาษีชีไพรมาก่อนถึง ๑๕ ปีก่อนที่จะค่อยบวชเป็นพระ เมื่อบวชเป็นพระแล้วก็มักแสวงหาธรรมอันแปลกๆ ด้วยการธุดงค์ไปตามที่ต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่ก็อยู่ตามป่าเขานั่นเอง

    และแล้วครั้งหนึ่งที่เมืองเชียงตุง หลวงพ่อปานแห่งวัดบางนมโค จ.พระนครศรีอยุธยา ท่านได้พาคณะศิษย์ท่องธุดงค์ในเขตป่าของเมืองแห่งนี้และได้มาปะทะหน้ากับชีปะขาวคำคะนิง หลวงพ่อปานเห็นสารรูปของคนผู้นี้แล้ว ถึงกับตะลึงเลยทีเดียว เพราะตอนนั้นหลวงปู่คำคะนิงมีผมยาวถึงเอว หนวดเครารกรุงรัง ห่มผ้าขาดวิ่น มองไม่ออกว่าเป็นสีอะไร

    หลวงพ่อปานท่านได้กล่าวขึ้นลอยๆ ว่า
    “เออ…นี่ พระหรือคนเนี่ย ”
    หลวงปู่คำคะนิงในเพศชีปะขาวได้ยินเกิดอยาก
    ลองภูมิกับหลวงพ่อปานดู จึงถามกลับออกไปว่า
    “ไอ้พระนั่น… มันอยู่ที่ไหนล่ะ”
    “ก็เห็นผมยาว เสื้อผ้าขาดปุปะมองไม่ออก
    ว่าเป็นสีอะไร แล้วใครเขาจะรู้ล่ะว่าพระหรือคน”
    หลวงพ่อปานโต้กลับ
    หลวงปู่คำคะนิงตั้งคำถามใหม่
    “พระมันอยู่ที่ผมหรือไง”
    “ไม่ใช่ ”
    “พระมันอยู่ที่ผ้านุ่งหรือเปล่า”
    “ไม่ใช่”
    “อ้าว แล้วพระมันอยู่ที่ไหนกันล่ะ”
    หลวงปู่คำคะนิงใช้คำถามจี้
    หลวงพ่อปานตอบฉับพลันทันที
    “พระน่ะอยู่ที่ใจสะอาด”
    หลวงปู่คำคะนิงยิ้มเยาะก่อนบอกออกไป
    “แล้วมาถามทำไมว่าพระหรือคน”
    “เห็นผมเผ้ายาวรุงรัง ใครจะไปรู้ว่าพระหรือคนกันแน่” หลวงพ่อปานก็ยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
    “พระบ้านพระเมือง พระกินข้าวชาวบ้าน
    แบบนี้อวดดี เห็นทีต้องเห็นดีกัน

    หลวงปู่คำคะนิงกล่าวเสร็จก็คว้าหวายยาวร่วมวาเห็นจะได้ ขว้างไปเบื้องหน้าหลวงพ่อปาน จากหวายมันก็กลายเป็นงูใหญ่ท่าทางดุร้ายเตรียมฉกกัด หลวงพ่อปานเห็นเช่นนั้น ท่านก็ทำจิตเป็นสมาธิแล้วหยิบใบไม้ขว้างขึ้นสู่อากาศ กลายเป็นนกอินทรีย์ขนาดใหญ่ โฉบเฉี่ยวเอางูขึ้นไปสะบัดฟัดเหวี่ยงบนอากาศอยู่พักใหญ่

    ในที่สุด งูก็พลัดตกลงดินกลายเป็นช้างตัวมหึมากำลังตกมัน ส่วนนกอินทรีย์ก็ถลาลงสู่พื้นดิน กลายเป็นเสือโคร่งใหญ่มีความดุร้ายไม่แพ้กัน สัตว์ทั้งสองชนิดเข้าโรมรันพันตูจนฝุ่นคลุ้งไปหมด แต่แล้วจู่ ๆ สัตว์ทั้งสองกลับสลายหายไป ฝ่ายหนึ่งกลายเป็นลูกไฟเข้าเผาผลาญ ในขณะที่อีกฝ่ายกลายเป็นพายุฝนเข้าแก้ทางกัน ทั้งหลวงพ่อปานและชีปะขาวคำคะนิงต่างหัวเราะด้วยความชอบใจในอิทธิอภิญญาของกันและกัน ต่างฝ่ายชมกันและกันและถ่อมตนใส่กัน แต่ศิษย์ของหลวงพ่อปานที่ร่วมธุดงค์มาด้วย รู้ดีว่าท่านทั้งสองต่างก็มีอภิญญาด้วยกันทั้งคู่ ลูกศิษย์หลวงพ่อปานซึ่งหนึ่งในนั้นคือ พระราชพรหมยานหรือหลวงพ่อฤาษีลิงดำ แห่งวัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

    [​IMG]

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  9. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    เรื่อง “หลวงพ่อจง พระผู้เชี่ยวชาญในอสุภกรรมฐาน”

    (จากธรรมประวัติ หลวงพ่อจง พุทธสโร)

    หลวงพ่อจงจึงได้รับขนานนามเป็นผู้เชี่ยวชาญทางเจริญกรรมฐาน ประเภท “อสุภปฏิกูล” โดยที่ท่านมีบุคลิกภาพเปี่ยมพร้อมสมบูรณ์ สำหรับการปฏิบัติเจริญภาวนา เหมาะสมกับสภาวะนั้นได้ ด้วยปราศจากอารมณ์หวาดหวั่น หวาดไหว เป็นต้น เปี่ยมพร้อมด้วย มีองค์คุณอันเหมาะสมที่เรียกว่า สัปปายะ (สี่) และมี องค์คุณอันเป็นที่ตั้งของความเพียร (ห้า) ที่เรียกว่า ปธานิยังคะ

    ในขบวนการใช้อุบายอันแยบคาย อบรมบ่มจิตให้ได้รับความสงบจนบังเกิดเป็นสมาธิและฌาน (สมถะกัมมัฏฐาน หรือเรียกว่าสมถะกรรมฐาน) กับอาการบอรมจนให้ดวงจิตบังเกิดปัญญาที่เรียกว่า วิปัสสนากรรมฐาน (กัมมัฏฐาน) หลวงพ่อจงพอใจชอบใช้ฝึกจิตในแนวทางเรียกว่า “อสุภะ”

    อสุภะ ตามความหมายก็คือ หมายความถึง สิ่งอันเป็นซากของวัตถุหรือซากร่างปราศจากชีวิต อันไร้ความน่าดู ปราศจากความสวยงามตรงข้ามกลับน่ารังเกียจ น่าเบื่อหน่าย และน่าขยะแขยงสะอิดสะเอียน หลวงพ่อจงพอใจใช้วิธีการ เพ่งอสุภะ เป็นแนวทางอบรมบ่มจิต ก็เพราะได้ความคิดว่า มันเป็นการช่วยให้ตนสามารถมองเห็นชัดด้วยตา และบังเกิดความรู้สึกในใจให้คิดสังเวชอย่างซาบซึ้งถึงความจริงในข้อที่ว่าตนและสรรพสัตว์ เมื่อต้องมีอันต้องตายไปแล้วก็ต้องมีสภาพน่าอเนจอนาถไม่น่าดู ไม่น่ารัก แต่น่าชัง น่ารังเกียจ ทุเรศ อุจาดตา ดังนี้ด้วยกันทั้งนั้นและเป็นสิ่งที่ไม่มีใครหนีพ้น ซึ่งจากข้อคิดนี้ จะทำให้ดวงจิตแห้งแล้งหดหู่ ปราศจากความร่านยินดีในรูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ ปราศจากความหลงงมงาย คิดว่าร่างกายเป็นสิ่งสวยงาม จะได้เป็นเครื่องบรรเทาอัสมิมานะ คือ ความสำคัญผิด เพ้อเห็นไปว่าร่างกายนั้นมันเป็นตัวตนของเขาของเราจริงแท้ ซึ่งความจริงมันมิใช่ ความจริงมันเป็นเพียง อัตตะปราศจากตัวตน เป็นที่รวมอยู่ของธาตุทั้งห้าชั่วครั้งคราว โดยสภาวะปรุงแต่งแวดล้อม ครั้นถึงกาลเวลาก็แตกดับล่วงลับสลายไป ไม่เป็นเขาไม่เป็นเรา ดังนั้น หลงและโลภในรูปรส กลิ่น เสียง

    หลวงพ่อจงชอบเพ่งมอง อสุภะ คือ รูปเน่าเปื่อยของศพที่มีผู้เอามามอบให้ และท่านเก็บไว้ในห้องที่จัดไว้พิเศษโดยเฉพาะอย่างซ่อนเร้น มิให้ประเจิดประเจ้อต่อการรู้เห็นของผู้อื่น ท่านจะใช้เวลายามปลอดและสงัดจากผู้คนเข้าไปในห้องพิเศษพร้อมด้วยดวงเทียนที่มีแสงสว่างเพียงมองเห็น ท่านจะนั่งเฝ้าเพ่งมองดูรูปศพคนตาย ไม่เลือกว่าจะเป็นศพขึ้นอืดจนเป็นน้ำเหลืองหยด มีกลิ่นเหม็น หรือเป็นซากศพแห้งเหี่ยวจนหน้าตาน่าเกลียดเพียงใด ท่านก็จะเฝ้าจ้องมองเพ่งดูอย่างจริงจัง เพ่งมองให้เป็นภาพติดตา จนจำขึ้นใจว่า ศพนั้นท่าทางรูปร่างเป็นอย่างนั้น แห้งเหี่ยวเป็นรอยย่นผิดหน้าตามนุษย์ธรรมดายังงั้นยังงี้ หรือมีน้ำเหลืองหยดเพราะอาการเน่าเปื่อยตรงนั้นตรงนี้ พร้อมกันนั้นก็กระทำจิตใจให้บังเกิดอารมณ์สังเวช ว่ารูปกายที่เกิดมาแล้วก็ต้องถึงวาระมีอันเป็นไปให้เจ็บป่วย ถูกทำร้ายหรือยังเกิดอุบัติเหตุเป็นภัยอันตรายถึงตาย ตายแล้วก็มีอาการน่าอเนจอนาถต่าง ๆ นานา เป็นเช่นนี้เสมอไป ร่างกายหนอ… ชีวิตหนอ… ต่างล้วนเป็นภาพน่าอนาถ น่าสังเวช น่าชิงชัง น่าเบื่อด้วยกันทั้งนั้น

    เมื่อมีผู้สงสัยถามว่า ทำดังนี้และปลงอารมณ์ได้ดังนี้แล้ว จะบังเกิดประโยชน์อะไร หลวงพ่อจงให้คำตอบว่าได้ประโยชน์คือ ทำให้ไม่หลงใหลรักตัวตนว่าเป็นตัวตนของเขาของเรา มันเป็นแค่ชีวิตกายเกิดที่ก่อสารรูปขึ้นได้ด้วยสภาวะแวดล้อมของธาตุทั้งสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ เช้ารวมตัวกัน ความคิดเห็นแก่ตนเอง เอาเปรียบเบียดเบียนผู้อื่น จะหย่อนหายไปจากสันดานโลภโมโทสัน เป็นเครื่องเหนี่ยวรั้งขัดเกลาสันดานจิตใจ ให้ผ่องใสสะอาด หากมนุษย์อันเป็นตัวสมมติของกาย เกิดไม่หลงนึกแยกประเภทของกายเกิดว่านั่นเป็นเขา นี่เป็นเรา ดังนี้แล้วการอยู่ร่วมกันในสังคมบ้านเมืองตลอดทั่วโลก ก็จะมีแต่ความสงบสุข ไม่ต้องมีการดิ้นรนจองล้างจองผลาญย่ำยีต่อกันและกัน

    หลวงพ่อจงเป็นผู้มีกำลังหนุนมั่นคงด้วยการใช้แรงอิทธิบาทสี่ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา เข้าปฏิบัติกระทำในกิจการไม่ว่าสิ่งใดที่สนใจ ท่านได้พากเพียรกระทำสม่ำเสมออยู่เป็นนิจ ด้วยความมานะแรงกล้า ยิ่งนานวันนานคืนล่วงไป ภูมิจิตของท่านก็เพิ่มพลังความชำนาญจนเข้าขั้นนับว่าเป็นผู้ได้ฌานสมาบัติขั้นสูงผู้หนึ่ง

    [​IMG]

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  10. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    เรื่อง “ฤทธิ์ของยักษ์ ผู้เฝ้าทรัพย์สมบัติ”

    (จากธรรมประวัติ หลวงปู่จง พุทธสโร)

    เมื่อราวปี พ.ศ.๒๔๗๐ ท่านสมภารวัดหนึ่งในละแวกใกล้เคียงกับวัดหน้าต่างนอก ไปรื้อวิหารของวัด ซึ่งวัดนี้เป็นวัดเก่าแก่สร้างเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีอยู่ มี “ลายแทงใบหนึ่ง” ระบุว่า มีสมบัติพระทองคำซ่อนอยู่ใต้วิหารนี้ สมภารเกิดความโลภ จึงสั่งให้พระลูกวัดช่วยกันรื้อพระวิหาร เพื่อหวังขุดเอาพระทองคำไปขาย พอวิหารถูกรื้อเสร็จ ท่านสมภารวัดก็ถึงกับล้มป่วยมีอาการเพียบหนักมาก บรรดาลูกศิษย์ลูกหาของสมภารรูปนั้นก็พากันมากราบไหว้ หลวงพ่อจงถึงวัดหน้าต่างนอก พร้อมกับเล่าให้ฟังว่า สมภารวัดมีอาการประสาทหลอน ร้องโวยวายคล้ายถูกผีหลอกตลอดเวลา หลวงพ่อจงจึงรีบเดินทางไปยังวัดนั้น ขณะยังเดินไปไม่ถึงวัดดี หลวงพ่อจงก็บอกแก่พระลูกวัดที่มาตามท่านว่า “สมภารไม่ได้โดนผีหลอกดอก ไม่ได้เจ็บป่วยเป็นอะไรด้วย แต่ยักษ์ที่เฝ้าพระวิหารทำเข้าแล้ว ไปรื้อวิหารโดยไม่ประสงค์จะสร้างให้ดีกว่าเก่า เป็นเพราะอยากได้สมบัติใต้วิหาร มันถึงเป็นเช่นนี้”

    พอไปถึงวัด ท่านเห็นสมภารเอะอะโวยวายฟังไม่ได้ศัพท์ มีอาการดิ้นพรวดพราด หลวงพ่อจงเดินเข้าไปใกล้แล้วบริกรรมอยู่ครู่หนึ่ง สมภารวัดรูปนั้นถึงกับล้มตึงแน่นิ่งไป บรรดาพระลูกวัดเห็นดังนั้น ก็รีบเข้าไปประคอง ปากก็ละล่ำละลักขอให้หลวงพ่อช่วย ท่านก็บอกว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวก็ฟื้น พอจะเอ่ยปากพูดต่อ หลวงพ่อจงท่านเอามือป้องคล้ายจะบอกว่าไม่ต้อง ท่านหยุดนิดหนึ่งจนสมภารฟื้น แล้วพูดขึ้นว่า “พรุ่งนี้เช้าตั้งเครื่องขอขมาลาโทษเขาเสียนะ เขาเอาจริง เวลานี้เขามาอยู่ที่นี่ด้วย เขาถามฉันว่า ท่านรื้อวิหารต้องการขุดสมบัติใช่ไหม เขาให้ท่านรับปาก ท่านต้องเลิกหาสมบัติ และวิหารนั้นจะต้องสร้างใหม่ให้สวยงามและใหญ่กว่าเก่า ท่านทำได้ไหม ถ้าท่านทำไม่ได้ เขาจะเอาชีวิตท่าน”

    สมภารวัดหน้าซีดเหมือนไก่ต้ม รีบพยักหน้าหงึก ๆ เหงื่อกาฬแตกพลั่กเป็นเม็ดโต ๆ รีบรับปากแต่โดยดี พอวันรุ่งขึ้นก็รีบจัดตั้งเครื่องขอขมาลาโทษ แล้วจัดการสร้างวิหารให้งามใหญ่กว่าเดิม

    [​IMG]

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  11. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  12. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  13. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  14. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  15. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    เรื่อง “ศีลธรรมคุ้มกันภัย เหนือกว่าวัตถุมงคลใดๆ”

    (คติธรรม หลวงพ่อจง พุทธสโร)

    ขอให้รักษาตัว รักษาใจไว้ให้จงดี ศีลธรรมอย่าลืม หากหมั่นบูชาพระ รำลึกถึงพระ และหมั่นศรัทธาปฏิบัติพระธรรมคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่เป็นนิตย์แล้ว ยากนักจะมีโพยภัยเหล่าใดเบียดเบียนบีฑาราวี ขอให้ท่องไว้ในใจเสมอว่า เวรย่อมมีขึ้นเฉพาะเมื่อได้มีการก่อเวร มีหนี้ก็หนีไม่พ้น จะต้องชดใช้เขาในเวลาหนึ่ง คนเราไม่ทำบาปพึงไว้ใจได้ว่า ต้องไม่มีบาปใดติดตามสนองปองผลาญ จงหมั่นแจกจ่ายเมตตา อย่าให้ขาดสาย คงต้องได้กุศลแรงกว่ากุศลอื่นใดหลายเท่านัก

    [​IMG]

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  16. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  17. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  18. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    เงินแถบ

    เรื่องของการบุญทานกุศลนั้น ท่านเล่าว่าที่บ้านของท่านบิดามารดาใส่บาตรเป็นประจำทุกวัน เมื่อท่านยังเล็ก มารดาก็จะอุ้มมาใส่บาตรด้วย

    พอโตขึ้นหน่อยก็จะให้ยืนอยู่ข้างๆ คอยใส่ข้าว หรือหย่อนขนมลงในบาตรพระ ทุกวันพระ บิดามารดาก็จะพาไปวัดด้วย สอนลูกให้รู้จักทำบุญแต่เล็กแต่น้อย

    ท่านเล่าว่า ใส่บาตรเป็นประจำทุกวัน และไปวัดในวันธรรมสวนะทุกครั้งไม่เคยขาด เว้นแต่เจ็บป่วยเท่านั้น

    ท่านสังเกตว่าของที่ใส่บาตรมารดาของท่านจะต้องจัดอย่างประณีตเลือกเฟ้นแต่ของที่ดีที่สุดในบ้านมาใส่บาตรก่อน ที่เหลือจึงจะให้สามีและลูกๆ ต่อไป ไม่ว่าเป็นอาหารคาวหวาน หรือส้มสูกลูกไม้ใดๆ ที่ปรุงหรือหาซื้อมาได้

    แม้ของที่ญาติหรือเพื่อให้มาก็จะต้องเก็บไว้ใส่บาตร เก็บไว้ถวายพระ หากมีจำนวนมากพอดอก จึงจะเหลือให้ทางบ้านได้ลิ้มรส

    ท่านเป็นเด็ก ยังไม่รู้จักการทำบุญสุนทานอย่างถ่องแท้ พ่อแม่เพียงพาทำ ก็ไม่เคยเห็นประโยชน์ประจักษ์ใจ มองดูการกระทำของมารดาอย่างรำคาญนิดๆ อิจฉาหน่อยๆ

    รำคาญ ที่ทำไมในบ้านจึงได้กุลีกุจอแต่การบุญ จะไปเที่ยววิ่งเล่น แม่ก็เรียกให้ถือของไปวัดเสียแล้ว! ข้าวของอาหารอย่างดีเลือกสรรไปถวายพระหมด น่าที่บิดาจะห้ามปราม หรือมีทีท่าไม่พอใจ แต่ท่านก็กลับเออออเห็นด้วย บางครั้งช่วยเลือกให้เสียด้วยซ้ำ

    ิจฉา นั้นก็น่าคิดอยู่บ้าง เพราะของดีๆ อย่างนั้น น่าที่ให้ลูกได้กินได้ชิมบ้าง กลับไปทำบุญหมด ถวายพระนั้นลูกก็ไม่ว่า แต่ถวายหมด ถวายแต่ของดีๆ ความจริง พ่อแม่นั่นแหละควรจะแบ่งไว้กินเองบ้าง

    คิดอยู่ในใจไม่นาน ปากก็อดเปรยออกมาไม่ได้สองสามครั้ง มารดาก็จะห้ามทุกครั้ง อย่าคิดอย่างนั้นนะลูก บาป อิจฉาพระ…! หลายครั้งเข้า มารดาก็จะอธิบายต่อ บุญมีซีลูก ถ้าไม่มี พ่อแม่จะทำไปทำไม

    ที่จริง ท่านก็มิได้จะตั้งใจค้าน เพราะจิตใจท่านเองก็พอใจการทำบุญอยู่มาก แต่ที่พูดไปนั้น ปรารถนาจะให้บิดามารดาได้กินอาหารดีๆ บ้างเท่านั้น
    วันนี้ก็คิดจะยอมแพ้แล้ว แต่วิสัยเด็กก็อยากจะใช้คารมอวดเก่งกับผู้ใหญ่บ้างจึงแกล้งบ่น

    “บุญ…มีเป็นอย่างไร ไม่เห็นนี่ครับ ตัวบุญเป็นอย่างไร จับได้ ถูกต้องได้ไหมครับ”

    คิดว่าคงจะถูกมารดาเงื้อมือซัดสักผาง ซึ่งท่านตั้งใจจะกระโดดหนี แล้วพ่อแม่ลูกก็จะหัวเราะกันที่ลูกยั่วแม่สำเร็จ

    คราวนี้ผิดคาด ท่านทั้งสองสบตากัน อาจจะเป็นเพราะเห็นว่า ลูกชายมีวันเติบโตพอจะรู้ความควรไม่ควรแล้ว ท่านจึงเล่าความให้ลูกน้อยฟัง …บิดาท่านเองเป็นผู้เล่า ท่านเริ่มต้นว่า

    ดีแล้วที่ลูกพูดขึ้นมาเช่นนี้ ถามว่า บุญ ที่ว่ามี… มีนั้นเป็นอย่างไร ตัวบุญเป็นอย่างไร จับต้องได้ไหม ถูกต้องได้ไหม ตัวบุญ…นั้นแน่นอน จับไม่ได้ ถูกต้องไม่ได้ แต่ลูกลองฟังเรื่องนี้ดู,,,,

    ระหว่างนั้นบ้านเรายังไม่มีฐานะพอมีพอกินเช่นอย่างเดี๋ยวนี้

    ถึงจะมีความรู้ทางหมออยู่บ้าง แต่ก็ยังไม่ได้เปิดร้านยา อาชีพหลักคือทำไร่ ทำสวน แต่ก็พยายามหาของใส่บาตรทุกวัน ส้มหน่วยกล้วยใบก็ใส่บาตรไปตามมี…มิได้ขาด

    วันหนึ่งมันเข้าตาจนจริงๆ เงินไม่เหลือติดบ้านเลยสักสตางค์ ที่บางครั้งเคยมีคนมาขอซื้อยาบ้าง วันนั้นเงียบหาย รุ่งขึ้นเป็นวันพระตั้งใจจะไปทำบุญที่วัดไม่มีเงินเลยจะทำอย่างไร ทุกครั้งว่าลำบากๆ ยังพอหยิบฉวยกล้วยอ้อยในสวนไปวัดได้บ้าง วันนี้อับจนไปหมด เคยทำบุญ เคยไปวัด ก็ไม่ได้ไป มันคับแค้นแน่นใจจริงๆ

    บ่น ปรึกษากันจนตีหนึ่ง ตีสอง สองคนสามีภรรยา รำพันว่า เกิดมาชาติหนึ่ง ทำไมจนเหลือเกิน

    อดีตเราคงไม่เคยทำบุญทำทาน หรือทำก็เล็กน้อยไม่สม่ำเสมอ ไม่เคยสงเคราะห์คนอื่น ชีวิตชาตินี้จึงได้ลำบากยากเข็ญนัก น้ำตาคลอร้องไห้กันด้วยความคับแค้นใจ

    ..เทวดาฟ้าดินไม่เห็นใจเราบ้างเลย เราอยากจะไปวัด ก็จะไม่ได้ไป!

    รุ่งสว่าง บิดาก็คิดว่า ไปไร่อ้อยดีกว่า คิดเอาเสื้อมาใส่ จะถีบจักรยานไปไร่ไปสวน พอหยิบเอาเสื้อจากที่แขวนข้างฝา กระเป๋าเสื้อก็ดังกรุ๋งกริ๋งๆ ท่านก็คิดประหลายใจว่า เสียงอะไร เหมือนเสียงโลหะกระทบกันขยับเสื้อ เสียงดัง กรุ๋งกริ๋งก็ยังคงอยู่

    ิดาเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อได้เงินมา๒แถบ!

    …สมัยนั้นทางภาคเหนือยังใช้เงินแถบอยู่ที่ลำปางก็เช่นเดียวกัน ท่านพลิกเงินแถบไปมาอยู่ในมือ เอ…มันเหมือนเงินแถบ ใช่หรือเปล่านี่ รูปร่างก็เงินแถบจริงๆ เคาะ…ดีก็ดังเหมือนเสียงโลหะเงิน เอ…เป็นเงินจริงหรือเงินปลอมกันนี่…เสียงดังก็คล้ายเงินจริงๆ

    ว่าแต่ว่า…ใครเอาเงินมาให้นะ แม่คำก็ไม่ใช่บ่นอยู่ด้วยกันจนดึกดื่น คนอื่นจะเอามาก็ไม่มีทาง เสื้อตัวนี้แขวนอยู่ตั้งแต่เย็น ตอนจะหาเงินมาทำบุญก็แทบจะพลิกกระเป๋าตลบกลับออกดู ไม่มีวี่แวว…ไม่มีเลย เราปิดประตูบ้านแต่หัวค่ำ เสื้อก็แขวนอยู่ตรงนั้น ใครจะเอาเงินมาใส่ในกระเป๋าเสื้อได้…!

    สุดท้ายท่านก็นำเงินไปซื้อของ ใจไม่ค่อยดีเวลาเขาห่อของให้แล้ว ท่านส่งเงินให้เขาเป็นการชำระค่าของ เกรงเขาจะคืนมา …แต่เอ…เขาก็รับเงินดิบดีขายของให้เป็นปกติ

    บิดาจึงได้เงิน ๒ แถบที่มาปรากฏในกระเป๋าเสื้ออย่างแปลกประหลาดนี้ เอาไปซื้ออาหารไปวัดได้

    ได้เงินวันละ ๒ แถบ ทุกเช้าหยิบเสื้อมา จะมีเงินมาปรากฏขึ้นวันละ ๒ แถบ ให้ได้นำไปจับจ่ายซื้อข้าวของไปใส่บาตรไปวัด ท่านปิดปากเงียบ รู้อยู่คนเดียว ยังไม่กล้าเล่าให้ภรรยาฟังเกรงจะว่า เพ้อ หรือ ฝันไป

    ได้เป็นเดือนเลย ทุกวัน ในที่สุดเย็นวันหนึ่งก็อดใจเก็บความลับอยู่ต่อไปไม่ไหว ก็เล่าให้คู่ชีวิตฟัง ในชนบทนั้น ตกเวลาเย็นกลับจากไร่จากสวนก็จะกลับบ้านมาคุยกัน มีอะไรก็เล่าสู่กันฟัง เย็นวันนั้น ท่านก็เล่าเรื่องเงินแถบแปลกประหลาดที่มีอยู่ในกระเป๋าเสื้อทุกเช้านี้ให้ฟัง เธอไม่ได้นำมาใส่ให้ไม่ใช่หรือ สุดท้ายถามซ้ำ

    ภรรยายืนยันว่า ไม่เคยนำมาใส่เลย ไม่ทราบด้วยซ้ำ ยังคิดเหมือนกันว่า หมู่นี้มีเงินทำบุญอย่างไม่ขาดแคลน คิดว่าคงจะขายอ้อยได้เงิน หรือก็มีคนไข้ให้เงินเป็นพิเศษ

    ไม่ใช่หรอก เงินแปลก มาอยู่ในกระเป๋าเสื้อทุกวันไม่ทราบมาได้อย่างไร

    มารดาท่านเป็นหญิงชนบท คงเคยได้ฟังนิทานเล่าต่อๆ กันมาเรื่องพระสังข์ทองที่ออกจากหอยสังข์ไปเอาอาหารผลไม่มาให้ตายายที่อาศัยอยู่ทุกวัน แม่ก็เลยว่า…พระสังข์ทองหอยสังข์คงจะไปขโมยมาให้กระมัง

    พอว่า ขโมย รุ่งขึ้นก็หายไปเลย ล้วงในกระเป๋าเสื้อก็ไม่มี จากวันที่มารดาพูดล้อเล่นว่า คงจะไปขโมยมา จากวันนั้นก็ไม่มีอีกเลย

    บิดาเล่าแล้ว มารดาซึ่งนั่งอยู่ด้วยฟังบิดาเล่าความเก่าให้ลูกฟัง ก็เสริมว่า แม่คงปากไม่ดี พูดไม่เป็นมงคล เงินก็เลยไม่มีมาอีก

    แล้วทั้งบิดามารดาก็สรุปให้บุตรชายซึ่งนั่งฟังนัยน์ตาแป๋วว่า นี่แหละลูก บุญมีไหม!

    จะจับไม่ได้จะถูกต้องไม่ได้ก็ตาม แต่หลังจากนั้น พ่อแม่ก็ยิ่งมีใจเชื่อมั่น มีศรัทธา พยายามทำบุญ ไม่ให้ขาด มีน้อยทำน้อย มีมากทำมาก ฐานะบ้านเราก็ค่อยกระเตื้องขึ้น สบายขึ้น พอมีเงินทองใช้ไม่ขาดมือ มีฐานะอย่างที่ลูกเห็นอยู่นี้

    ท่านอาจารย์เล่าว่า ท่านก้มกราบเท้าบิดามารดาด้วยความรักและเคารพอย่างสูง

    ต่อมาในภายหลังเมื่อได้บวชเรียนท่องบ่นสวดมงคลกถา ตอนที่ว่า

    “สุภาสิตา จ ยาวาจา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ..วาจาใดอันชนกล่าวแล้วด้วยดี ข้อนี้เป็นมงคลอันสูงสุด”

    คราใดท่านจะระลึกถึงพระคุณของโยมมารดาอย่างซาบซึ้งครานั้นทุกครั้งไป

    หลวงปู่ไพบูลย์ สุมงฺคโล
    ี่มา สุมงฺคลปูชา

    ขออนุโมทนาสาธุบุญกับเจ้าของภาพพ่อแม่ครูอาจารย์ นี้ด้วยนะคะ

    .jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  19. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  20. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...