+++ ยินดีด้วยนะ ตรงนี้ "ถูกต้องแล้ว" มันจะเหมือน "หิน 2 ก้อน ตั้งซ้อนกัน"
+++ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม "มันเป็น หินคนละก้อนแน่นอน"
+++ หินก้อนหนึ่ง "เป็นเนื้อทุกข์เวทนา" จะมีความหนาแน่นสูงสุด ตรงนี้คือ "เวทนา"
+++ หินก้อนที่สอง คือ "เนื้อความรู้สึกกาย เป็น พื้นที่ หินก้อนเจ็บตั้งอยู่" ความหนาแน่น เบากว่า
+++ ส่วน "เรา" รู้อยู่เฉย ๆ รู้หินทั้ง 2 ก้อน และ "มันไม่เกี่ยวกับเราเลย"
+++ การ "เห็นการแยกออกจากกัน" นี้ บาลีเรียกว่า "วิมุติญาณทัศนะ"
+++ การเรียกชื่อบาลีนั้น ไม่สำคัญเท่ากับที่ เราทำได้
+++ ยินดีด้วยนะ
+++ คุณ Supop เพ่งจี้เข้าไปที่ "จุดศูนย์กลาง" ของมัน จึงได้อาการนี้
+++ ส่วนของ "ปวี" ใช้วิธี รู้การ "จำกัดขอบเขตเวทนา" มันจึงแยกออก
+++ ตรงนี้เป็น "จุดกำเนิด ทุกข์เวทนา (สมุทัย)" แต่ตัวมัน "ไม่ใช่ทุกข์"
+++ ตรงนี้ "ขึ้นกับ น้ำหนัก ของ การเพ่ง" ไม่ได้ขึ้นกับ "ตัวกำเนิดเวทนา"
+++ ตรงนี้ "เป็นแบบเดียวกันกับ ปวี" เพียงแต่ "ใช้ภาษาต่างกัน" เท่านั้น
+++ ยินดีด้วยนะครับ ทั้งคู่เลย ที่สามารถ "แยกเวทนา" กันได้แล้ว
นั่งข้ามเวทนา
ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย jumook, 6 มีนาคม 2011.
หน้า 3 ของ 3
-
-
ขออนุโมทนาด้วยความเคารพในธรรมทุกท่านครับ
ข้าพเจ้าต้องขอขอบคุณ คุณธรรมชาติที่ช่วยแนะนำเพิ่มเติมครับ
ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปทุกท่านครับ -
-
+++ ตรงของ ปวีรัศมิ์ชา ที่กล่าวว่า
+++ ให้ "พิจารณา แบบนักปฏิบัติ" ดังนี้
+++ 1. ต้องใช้วิธีนี้ ณ ขณะที่ "เวทนา ยัง ไม่แยกตัวออกไป"
+++ 2. ให้ทำการ "จ่อ แบบคุณ Supop" จะเกิดปรากฏการณ์ ของการ "เข้าหา"
*** หมายเหตุ ตรงนี้เรียกว่า "โอปนยิโก" ส่วนการ เข้าหา เรียกว่า "อนุโลม"
+++ 3. จากนั้น ให้ทำการ "โอปนยิโก" ด้วยอาการ "ถอยออก"
*** หมายเหตุ ตรงนี้เป็น "โอปนยิโก" ด้วยการ "ถอยออก" เรียกว่า "ปฏิโลม"
+++ 4. ให้สังเกตุดี ๆ ถึง การ เพิ่ม/ลด ใน "อิทธิพล" ของเวทนา
+++ 5. ก็จะรู้ได้ "ชัดเจน" เองว่า ณ ขณะที่เข้าสู่ (อนุโลม) นั้น เวทนา "เพิ่มขึ้น"
+++ 6. แล้วจะรู้ได้ "ชัดเจน" เองว่า ณ ขณะที่ถอยออก (ปฏิโลม) นั้น เวทนา "ลดลง"
+++ ให้ทำ อาการ "อนุโลม VS ปฏิโลม" แล้ว รับรู้ ถึงผลลัพธ์ ของอาการให้ดี ๆ
+++ การทำ "อนุโลม VS ปฏิโลม" ใน โอปนยิโก นี้เท่านั้น ที่เรียกว่า "พิจารณา"
+++ การสอนของ "พระพุทธเจ้า" ที่ท่านให้ "พิจารณา" ต่าง ๆ นั้น คือ "ตรงนี้" เท่านั้น
+++ ไม่มีอาการ "คิดมั่ว มโนมั่ว" แล้ว เข้าใจเอาเองแบบ "ทางโลก"
+++ ดังนั้น "บทสวดมนต์ชนิดย้อนกลับ" ทั้งหลาย ต้องระวังให้ดี
+++ เพราะมันไม่ใช่ "อนุโลม VS ปฏิโลม" ของพระพุทธเจ้า
+++ เมื่อสามารถ "ฝึก โอปนยิโก" กับ เวทนา รวมถึง "รับรู้อิทธิพล" ของมันได้
+++ ไม่นาน ก็จะเริ่มรู้ได้เองว่า "การออกจาก สภาวะที่เป็น ทุกข์" มีวิธีการทำ อย่างไร
+++ และจะรู้ได้เองว่า "การฝึก ให้พ้นทุกข์" นั้น ทำอย่างไร ตรงกับ บทสวดนี้ไหม
=================================================
ธรรมคุณ 6
ธรรมคุณ หมายถึง คุณของพระธรรมมี 6 ประการ ดังนี้
1.สวากขาโต ภควตา ธัมโม พระธรรมเป็นคำสอนอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว เป็นความจริงแท้ เป็นหลักครองชีวิตอันประเสริฐ
2.สันทิฏฐิโก พระธรรมนี้ผู้ปฏิบัติตามจะเห็นได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องเชื่อคำผู้อื่น ผู้ที่มิได้ปฏิบัตินั้นแม้จะมีใครมาบอกและอธิบายให้ฟังก็ไม่อาจเห็นได้
3.อกาลิโก ไม่เนื่องด้วยกาลเวลา ไม่ขึ้นอยู่กับเวลาปฏิบัติตามได้พร้อมบริบูรณ์เมื่อใดก็เห็นผลเมื่อนั้น เป็นจริงตลอดเวลาไม่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลสมัย สิ่งที่เนื่องด้วยเวลาเป็นสิ่งที่มีเกิด มีเปลี่ยนแปลง มีดับไปตามเวลา แต่พระธรรมเป็นจริงอยู่เสมอเป็นนิจ
4.เอหิปัสสิโก ควรเรียกให้มาดู คือ พระธรรมเป็นคำสอนที่ควรจะเชิญให้ใครๆ มาดู มาพิสูจน์ มาตรวจสอบ เพราะเป็นของที่จริงตลอดเวลา
5.โอปะนะยิโก ควรน้อมเข้ามา คือ เป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้าไว้ในใจเพื่อยึดถือเป็นหลักปฏิบัติในชีวิต จะได้บรรลุถึงความหลุดพ้น
6.ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ คือวิญญูชนรู้ได้เฉพาะตน คือพระธรรมนี้เป็นสิ่งที่วิญญูชนจะรู้ได้ และการรู้ได้นั้นเป็นของเฉพาะตน ต้องปฏิบัติตามจึงจะรู้ ทำแทนกันไม่ได้ แบ่งปันให้กันไม่ได้ ต้องประจักษ์ด้วยตนเอง
=================================================
+++ ตรง "โอปนยิโก" นั้น ให้ทำทั้ง "อนุโลม VS ปฏิโลม" ไปด้วยเสมอ
+++ จึงจะ "รู้แจ้ง" ได้ด้วยตน (ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ) นะครับ
หน้า 3 ของ 3