พอนั่งไปเรื่อยๆจนพัฒนาเข้าสู่ญาณระดับต่างๆ แล้วจำเป็นต้องเห็นผีด้วยหรือ?
เห็นหลายคนฝึกนั่งสมาธิกรรมฐานแล้วมักจะเห็นผี ถ้าไม่อยากเห็นได้ไหม..กลัว อยากฝึกสมาธิเพื่อมุ่งทางธรรมอย่างเดียวเลย อภิญญาตาทิพย์ หูทิพย์ ท่องภพภูมิ นรก สวรรค์ พรหมโลก เจ้ากรรมนายเวร มนุษย์ต่างดาว วิชาอาคมไสยศาสตร์ อะไรไม่อยากเห็นไม่อยากพบไม่อยากได้ อยากค้นพบสัจธรรมอย่างเดียวเพียวๆเลยได้ไหม???
นั่งสมาธิแล้วต้องเห็นผีด้วยหรือ?
ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย userx, 13 พฤศจิกายน 2007.
-
เด็กอนุบาลคิดว่า ถ้าจะเห็นหรือไม่เห็นก็ไม่เป็นไร ไม่จำเป็นต้องเร่าร้อน อยากหรือไม่อยากนะครับ เราปฏิบัติไปเรื่อยๆดีกว่า บางครั้งถ้าจำเป็นต้องเห็นจากการที่มีกรรมเนื่องกันมา ก็ไม่เป็นไรหรอกครับ
คิดซะว่าผีเป็นสัจธรรมหนึ่ง ที่พุทธองค์ทรงเห็นแจ้งว่า เป็นอาทิสมานกายรูปแบบหนึ่ง การเห็นผีแล้วถ้ายังกลัวอยู่ แสดงว่าเราเองก็ยังไม่เข้าใจสัจธรรมด้วย
- ที่เรากลัวผี ว่าเค้ามีรูปที่น่าเกลียดน่ากลัวนั้น แล้วการที่คนเราเองที่มีร่างกายภายในหนังกำพร้าที่เต็มไป เลือด เนื้อ อวัยวะ โครงกระดูก ไม่น่ากลัวหรือ ถ้าเราเข้าใจสัจธรรมตรงนี้จริง ก็จะเห็นคนเดินผ่านไปมา มีสภาพเหมือนซากศพไม่ต่างจากผีเท่าไหร่ ถ้าจะค้นหาสัจธรรมเพียวๆ ก็ต้องผ่านขั้นตอนที่เห็นคนเหมือนผีนี่แหละ เป็นการฝึกจิตใน กายคตานุสสติกรรมฐาน-พิจารณาให้เห็นสัจธรรมของร่างกาย
-การได้ญาณวิเศษจนสามารถพิสูจน์เรื่องกฏแห่งกรรม ภพภูมิ การเวียนว่ายตายเกิดได้นั้น จริงอยู่ว่าไม่ใช่แค่หลักสูตรเดียวของการบรรลุธรรม แต่ก็ถือว่าหลักสูตรอภิญญานี้ ทำให้ความเข้าใจของผู้ปฏิบัติ ในธรรมและเหตุแห่งธรรมต่างๆชัดเจน กระจ่างขึ้น สลายวิจิกิจฉา ในคำสอนของพุทธองค์เรื่องกฏแห่งกรรมได้ง่ายขึ้น เกิดนิพิทาญาณ ความเบื่อหน่ายในการเวียนว่ายตายเกิดได้ง่าย เกิดสังขารุเปกขาญาณ ความวางเฉยในธรรมที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปได้ง่าย ถ้าใช้เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสูงนี้เป็น ไม่ไปยึดติดในเครื่องมือ ก็จะตัดกิเลสได้ง่ายและเร็ว
ผู้ที่ปฏิบัติในแนวที่ไม่ต้องการรู้เห็นอะไร แต่ต้องการทำสมาธิและพิจารณาข้อธรรมเพื่อสร้างปัญญาตัดกิเลสอย่างเดียวนั้น พระพุทธเจ้าท่านก็มีหลักสูตร สุขวิปัสโก รองรับคนที่มีจริตมาทางนี้ให้ปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์ได้เช่นกัน แต่ผู้ปฏิบัติแนวนี้ ถ้าปฏิบัติได้ก้าวหน้าจริงก็จะไม่ปฏิเสธสัจธรรมการมีอยู่ของภพภูมิต่างๆ ไม่กลัวผี ไม่กลัวสัจธรรม -
เห็นไม่เห็นอันนี้ห้ามไม่ได้ค่ะ แต่ให้ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระสงฆ์องค์ไหนก็ได้ให้เป็นอารมณ์ แต่ส่วนใหญ่เมื่อจิตนิ่งจนสงบที่สุด มักจะไม่มีความกลัวใดๆแล้ว ( จากประสปการณ์นะคะ) แต่คนส่วนใหญ่จะกลัวก่อนที่จะเห็นด้วยซ้ำเลยเข้าไม่ถึงซักที ส่วนใหญ่จะคิดไปก่อนคิดไปเอง คิดนำไป ดิฉันก็เคยเป็น เป็นเพราะอย่างนี้เพราะจิตใจยังไม่เข้มแข็งพอ กลัวถอดจิตไป ถอดร่างไปวิญญาณอื่นจะมาเข้าแทน กลัวโน่นกลัวนี้ กลัวเห็นภาพ อสุภะ ถ้าอย่างนี้ต้องสวดมนต์ไหว้พระ หลายๆบทก่อน ระลึกถึงคุณความดีของพระพุทธเจ้า หรือพระสงฆ์องค์ไหนที่ท่านชอบ หารูปพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่ท่านบูชามาไว้ที่ท่านจะนั่ง พูดกับรูปหรือรูปสัการะว่าท่านว่าขอฝากฝังบารมีท่านช่วยปกป้องดูแลขณะปฎิบัติธรรม หรือหามาคล้องคอไว้ จากนั้นก็ไปเดินจงกรมซักพักจนจิตกับสติเป็นหนึ่งเดียว จากนั้นก็เริ่มเข้าสมถกรรมฐาน ฝึกทุกวันจนชิน อย่าไปกลัวถ้าจะเริ่มทำ ถ้าจะเห็นจริงๆนั้นหมายถึงอาจจะเป็นญาติพี่น้องชาติก่อนๆเค้ามาขอบุญก็ตั้งสติไว้ บอกว่านั่งสมาธิอยู่ยังไงจะแผ่ให้ หรือก่อนจะนั่งก็อธิฐานไว้ว่าตอนนี้กำลังจะฝึกวิปัสสนากรรมฐาน ท่านใดที่มาขอส่วนบุญโปรดรออยู่เงียบๆ ถ้าจิตมีพลังแห่งบุญแล้วก็อนุโมทนาบุญไปได้เลย ถ้าท่านใดมีทุกข์ก็ขอให้หายทุกข์ ขออย่างเดียวว่าอย่ารบกวน (ส่วนใหญ่เขาเหล่านั้นจะทำตามนอกจากเขาต้องการเตือนภัย เพราะถ้ายังรบกวนเขาจะบาปหนัก) หรือถ้าบอกไปแล้วยังเห็นอยู่ อันนี้เข้า case อุบายของจิต ตามที่เคยอ่านจากคำสอนของหลวงตามหาบัวท่านกล่าวว่า คนปกติถ้านั่งสมาธิแล้วเห็นนิมิตไม่ดี ส่วนใหญ่พวกนี้ชอบเก็บของไม่ดี ของเน่า ของเหม็น นั่นหมายถึงชอบคิดมาก คิดฟุ้งซ่าน คิดอกุศล คิดลามกอะไรทำนองนี้ กองไว้ที่ก้นบึ้งของจิต พอเราจะเข้าไปมองจิตก็อย่างว่าเหมือนเดินไปดูกองขี้ จิตมันก็ฉายภาพอสุภะมาให้ดูแบบโปรเจคเตอร์ในรูปแบบต่างๆ พอเราเห็นจิตของเราเป็นแบบนั้นก็เกิดกลัว อ้าวกลัวตัวเอง กลัวจิตตัวเอง ก็เลยสติแตกไป วิธีแก้มีวิธีเดียวเท่านั้น ต้องทำจิตใจให้กล้าหาญผ่านไปให้ได้เพราะนั่นเป็นเพียงภาพฉายและที่สำคัญอย่าลืมพาสติเค้าไปด้วย เค้าคือฮีโร่ของเรา แล้วก็หมั่นแผ่เมตตาให้จิตตัวเองบ่อยๆ หมั่นตรวจจิต เช็คอาการเขาว่าป่วยหรือไม่ มีโรคกิเลสมาคุกคามหรือป่าว ถ้ามีก็รีบรักษา อันนี้แหละค่ะคือตัวยาที่ชื่อว่าวิปัสสนา ยังไงลองไปอ่านคำสอนของหลวงตามหาบัวดูนะคะ ดีมากๆเลย อันนี้แค่คร่าวๆ โชคดีทุกคนนะคะ
-
อะไรจะเกิด ก็ปล่อยให้เกิด
อะไรจะดับ ก็ปล่อยให้ดับ
อะไรจะตั้งอยู่ในจิต ชั่วคราว ก็ปล่อยให้ตั้งอยู่
เราจะยึดจิตให้นิ่งๆ โดยยึด รูป หรือ อรูป
เราจะปล่อยวางให้จิตอยู่นิ่งๆ โดยวางอุเบกขา หรือ พิจารณาเพื่อละ หรือ ระงับ
สัจธรรมก็คือ สิ่งที่เราได้ประสบอยู่ในจิตนั่นหละ
ไม่ต้องหลีกเลี่ยง หรือ ค้นหา อะไรๆ เพราะมันคือสิ่งๆนั้น
มองดู ด้วยปัญญา แล้วจะได้รู้ว่า จริงแท้นั้น คืออะไร
อนุโมทนาครับ -
พี่เด็กอนุบาลกับพี่ nutnun_k เข้าใจดีค่ะขออนุโมทนาด้วยค่ะ แล้วก็อนุโมทนาพี่คนตั้งกระทู้และผู้อ่านผู้ตอบกระทู้ทุกๆท่านเลยนะค่ะ
-
ไม่ต้องเป็นห่วงเลยจ๊ะ เมื่อเข้าสมาธิได้แล้วความกลัวเข้าถึงเรายากจ๊ะ เมื่อมีสมาธิแล้ว จะไม่ กลัว ตกใจ ง่ายๆหรอกจ๊ะ
แต่ตอนนั่งใหม่ๆก็ต้องฝืนหน่อยจ๊ะ ที่สำคัญเวลานั่งแล้วมีเสียง ตกใจ ก็อย่าลืมตา พยายามคุมสติไว้ ทำไปเรื่อยๆก็จะชินเองจ๊ะ
เรื่องผีนั้นก็คิดซะว่า "เมื่อก่อนเขาก็เหมือนกับเรา ต่อไปเราก็เหมือนกับเขา"นะจ๊ะ -
ขอบคุณทุกท่านที่แนะนำครับ เวลาที่รู้สึกเงียบสงบมากๆแล้วความรู้สึกวังเวงมันเข้ามาทุกครั้ง จนไม่กล้าทำสมาธิต่อ แต่ความจริงชอบความรู้สึกสงบนั้นมากๆ
-
ผมก็คิดเหมือนกับคุณ iofeast ครับ "เมื่อก่อนเขาก็เหมือนกับเรา ต่อไปเราก็เหมือนกับเขา" เพราะถ้าเรายังกล้าๆกลัวๆอยู่ การทำสมาธิก็จะไม่ก้าวหน้าครับ ขออนุโมทนาด้วยครับ
(b-deejai) -
คติธรรมของหลวงปู่ดู่
"การปฏิบัติ ถ้าอยากให้เป็นเร็วๆ มันก็ไม่เป็น หรือไม่อยากให้เป็น มันก็ประมาทเสีย ไม่เป็นอีกเหมือนกัน อยากเป็นก็ไม่ว่า ไม่อยากเป็นก็ไม่ว่า ทำใจให้เป็นกลางๆ ตั้งใจให้แน่วแน่ในกัมมัฏฐานที่เรายึดมั่นอยู่นั้น แล้วภาวนาเรื่อยไป เหมือนกับเรากินข้าวไม่ต้องอยากให้มันอิ่ม ค่อยๆ กินไปมันก็อิ่มเอง ภาวนาก็เช่นกัน ไม่ต้องไปคาดหวังให้มันสงบ หน้าที่ของเรา คือ ภาวนาไป ก็จะถึงของดี ของวิเศษในตัวเรา แล้วจะรู้ชัดขึ้นมาว่าอะไรเป็นอะไร ให้หมั่นทำเรื่อยไป"
<O:pขออนุโมทนาสาธุการในบุญวิทยาทานของผู้ตั้งกระทู้ และทุกๆท่านที่ร่วมอนุโมทนาครับ
สาาาาา...ธุ
สาาาาา...ธ
สาาาาา...ธุ
</O:p> -
เป็นคำสอนของหลวงตาประสิทธิ์ ถาวโรที่ท่านเคยกล่าวเอาไว้ครับ -
กรณีนี้ผมเคยเป็นครับ ทำให้ผมเลิกฝึกสมาธิไปเลยสิบกว่าปี เพราะกลัวผีมันมาสวมร่าง ความจริงมันสวมร่างเราไม่ได้หรอก แต่เรากลัวเองตะหาก
แล้วไอ้เห็นผีไม่เห็นผี ถ้าจิตมันไม่สน เห็นมันก็เหมือนไม่เห็น บางคนเค้ายังบอกว่าดีเสียอีก จะได้เอามาพิจารณา เห็นว่าร่างกายสังขารไม่เที่ยง ดูตัวอย่างที่เราเห็นสิ
มันขึ้นอยู่กับแต่ล่ะที่ที่สอนกรรมฐาน เค้าจะแนะนำกัน บ้างถ้าเห็นเป็นตัวเป็นตนเลย ก็บอกอุทิศส่วนบุญให้เลย (ขอบุญบารมี ที่ข้าพเจ้าทำตั้งแต่ต้นชาติ.......อะไรนั้นนะ)ให้เค้าเลย บางที่ก็บอกเค้าดีๆ บอกว่าเรามาฝึก มาหาความสงบอย่าได้กวนเราเลย บางที่ก็ใช้ไม้แข็ง(ขู่) บางที่ก็เอามาพิจารณา บางที่ก็ปล่อยผ่านไปเฉยๆ ปล่อยมันอยากทำอะไรก็เรื่องของมัน
(เลือกเอาเอง ตามจริต)
มีบางคนมีวิญญาณเจ้ากรรมนายเวรมาบีบคอตอนทำสมาธิ(คนนั้นเป็นผู้ชาย แต่ผีเป็นผู้หญิง) แต่คนนี้ค่อนข้างจิตแข็ง บอกไปเลย นั่งทำสมาธิอยู่ ถ้ามันจะตายก็ปล่อยมันตายเลย ผีมันปล่อยครับ มันก็ไม่กล้าทำเหมือนกัน เหมือนมันจะขู่ให้ตกใจเล่น หรือลองใจ อันนี้เราก็ไม่รู้กับผีมัน(evil2) -
ผมเคยไปถามพระธุดงค์รูปนึงเรื่องเห็นผี ท่านก็บอกว่ามันเรื่องปกติ
อย่าไปสนใจเลย ตั้งใจปฎิบัติไปเรื่อยๆ อย่าไปสนเขา
ไม่ใช่มีอะไรมาก ก็แค่มาให้เห็น แลบลิ้นปริ๊นตา มันเฉยๆแล้ว
แต่มีกรณีนึง ที่น้ำหนาว ผีมันหวงของ คิดว่าหลวงพ่อจะมาเอาของมัน มันก็มาแกล้งใหญ่เลย แกล้งไปแกล้งมาไม่สำเร็จ แกก็มาเลียหลวงพ่อเลย(เลียในจิต) หลวงพ่อก็อดไม่ได้ล่ะสิ จะขำก็จะขำ ก็เลยบอกไปว่าทำอย่างนี้กับพระมันบาปนา มันเลยหยุด หลังๆหลวงพ่อท่านบอกว่า ถ้าเขารู้ว่าเราไม่ได้มาเอาของเค้า นานๆเข้า เค้าจะมาเป็นเพื่อนเรา บางทีก็เล่นตลกให้ดูบ้าง ไอ้เราก็ขำหยุดไม่ได้ (เล่นได้ตลกกว่าคนอีก) อันนี้เป็นสไตล์หลวงพ่อท่านนึง -
มันเป็นเรื่องปกติอ่ะคะ
ข้าพเจ้าเองก็ติดอันดับกลัวผีเหมือนกัน ไม่เคยดูหนังผีเลยอ่ะ
ดูแล้วมันหลอน .... โหยๆๆ -.-
แต่ยิ่งเกลียดเหมือนยิ่งเจอนะ เมื่อจิตเราละเอียด
สามารถเข้าถึงความเป็นทิพย์ นับตั้งแต่การได้อุปจารสมาธิ
การเห็นผีเป็นสิ่งพื้นฐานเลยนะคะ
แต่มันก็ไม่น่ากลัวอย่างที่คิดหรอกคะ
เราเขานั้นเท่ากัน
ตั้งสติ แล้วมองผ่านภาพที่น่ากลัวเหล่านั้น
แล้วจะเห็นธรรม คะ -
ทำไมเราถึงไม่เคยเจอเลยคะ ยิ่งเวลาที่เรานั่งสมาธิมาก ๆ เราจะยิ่งไม่ฝัน นอนหลับเป็นสุขค่ะ