นานาพระเครื่องและเครื่องรางของขลัง

องค์ นี้ ผมก็ชอบ เพราะมีผงของแม่ ชี บุญเรือน และ ผงอังคาร ของแม่ชีบุญเรือน ผสมด้วยนะถ้าจำไม่ผิด ใช้แทนกันได้แน่นอน จ้า
กระผมชอบจ้า

 

สวัสดีครับ พีุ่รุ่ง ถูกรางวัลเปล่าครับ

 

หลวงพ่อบุญเรือน วัดยาง เชื่อว่าในพลังจิตหลายคนเป็นศิษย์ท่าน
หลวงปู่อนันต์ วัดดอนมะเกลือ ลองหาประวัติท่านอ่านดูครับ สายหลวงพ่อเนียม วัดน้อย
หลวงพ่อท้าว เมื่อก่อนท่านดังนะครับ เคยอ่านประวัติในหนังสือ งานปลุกเสกขาดท่านไม่ได้เลย
หลวงพ่อคลี่ องค์นี้ก็ของจริง ที่ราคายังไม่ขยับ
หลวงพ่อผิว องค์นี้ก็คนปราจีนนับถือ สายหลวงพ่อจาด

 

รู้จักแ่ต่หลวงพ่อบุญเรือน ท่านสร้างเต่าเรือนด้วยใช่หรือเปล่าครับพี่

 

ใช่ครับ

 

หลวงพ่อบุญเรือน วัดยาง พรานนก ท่านเป็นพระที่เก่งจริงครับ

ผมเคยไปกราบและเยี่ยมอาการอาพาธของท่าน และเช่าวัตถุมงคล

มาด้วยครับ มีรูปถ่าย ผ้ายันต์ ยันต์ติดรถ เหรียญหลังม้า และ

พญาเต่าเรือนครับ หลังจากนั้นไม่นานท่านก็มรณะภาพครับ

 

พระสังขจาย หลวงพ่อดิษฐ์ วัดปากสระ ครับ

 

ว่าแล้วไงในเว็บนี้ต้องมีศิษย์หลวงพ่อบุญเรือน

 

เก่าได้ใจดีครับ

 

เค้าว่ายุคแรกๆอ่ะครับผม

 

ต่อๆดีกว่า
สมเด็จปรกโพธิ์ รุ่นแรก หลวงพ่อพาน วัดโป่งกระสังข์ เพชรบุีรี
ท่ามะปรางหลวงพ่อทวี วัดโรงช้าง พิจิตร

 

ครูบาอินตา วัดห้วยไซ
กับอาจารย์เปลี่ยน
ได้มาใหม่

 

สายสุพรรณฯ มาเป็นขบวน
หลวงพ่อเณร หลวงตาจวน วัดไก่เตี้ย
หลวงพ่อฮวด วัดดอนโพธิ์ทอง
หลวงพ่อวสันต์ วัดเสือ
มีเรื่องขำๆ จะเล่าให้ฟัง
คนที่รู้จักของผมคนหนึ่ง เอาพระไปเลี่ยมในตลาดศรีประจันต์ คนที่ผมรู้จักไม่เล่นพระเลยไม่ค่อยรู้จักเกจิเท่าไหร่ และพอดีกำลังมีปัญหาบางอย่างต้องการไปพึ่งพระ เลยถามลุงที่เลี่ยมพระดู เพราะคิดว่าแกคงจะรู้จักพระเยอะ

ลุงๆ พระแถวนี้มีองค์ไหนที่เก่งๆมั่ง
ลุงตอบมา "หลวงพ่อสันต์ วัดเสือ"


แล้วในศรีประจันต์ล่ะ องค์ไหนที่เก่งที่สุด
ลุงก็ตอบมาอีก "หลวงพ่อสันต์นั่นแหละ"



แล้วสุพรรณฯนี่หละ ในจังหวัดสุพรรณที่พอยังมีชีวิตอยู่ องค์ไหนเก่ง
ลุงทำหน้านึกๆ "ฉันก็เห็นแต่หลวงพ่อสันต์นี่แหละ"



ตกลงลุงแกคงจะรู้จักพระอยู่องค์เดียวมั๊งนี่

 

หลวงพ่อเงิน วัดกกสับ

เหรียญหลวงพ่อซุ้ย - หลวงพ่อเงิน วัดกกสับ ปี 2517 (ไ่ม่ทันหลวงพ่อเงิน)





เคยอ่านเรื่องราวของหลวงพ่อเงิน วัดกกสับ ในหนังสือเล่มหนึ่ง แล้วติดตรึงอยู่ในใจ
พอได้พบเหรียญนี้ในสนามพระ อ๋อเหรียญหลวงพ่อเงิน วัดกกสับที่เราเคยอ่านปาฎิหารย์ท่านมานั่นเอง

เคยอ่านเจอในเน็ตเมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว มีคนเอาเรื่องนี้ที่ผมเคยอ่านไปเขียนไว้ แต่ปัจจุบันเรื่องนั้น ไม่ทราบหายไปไหน เสริ์ชหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ

ผมเลยเอาเรื่องที่ได้อ่านมาเล่าใหม่ก็แล้วกัน กว่าจะนั่งพิมพ์จบ เล่นเอาเมื่อยไปเหมือนกัน

เรื่องนี้ต้นฉบับเล่าโดยคุณจตุพรหม ลงในหนังสือพระอภิญญาเล่มที่ 9 ปี 2529
เรื่องนี้ต้องย่อลงบ้าง เอาแต่ใจความสำคัญ ต้องขอโทษคุณจตุพรหม มา ณ ที่นี้

เมื่อประมาณ 20 กว่าปีผ่านมาแล้ว ในขณะนั้นผู้เขียนมีอายุราว 12 ปี ได้เป็นเด็กวัดอยู่กับหลวงพ่อเงิน
อยู่มาวันหนึ่งในตอนเช้า เมื่อหลวงพ่อเงินกลับจากบิณฑบาตและกำลังจะเดินไปล้างเท้ายังคลองท่าลาด ซึ่งอยู่หน้าวัด ขณะนั้นน้ำกำลังไหลเอื่อยๆ
มีเด็กสาวรุ่นชาวจีนผู้หนึ่ง กำลังลอยเรือเก็บผักตบชวาที่ลอยมาตามน้ำเพื่อนำไปเลี้ยงหมู
แต่คงจะเป็นคราวเคราะห์ ในขณะที่เธอเื้อื้อมมือหยิบกอผักตบอยู่นั้น พลันก็ต้องตกใจสุดขีดเมื่องูกะปะท้องแดงตัวหนึ่งฉกกัดเธออย่างเต็มที่
เธอร้องลั่นด้วยความตกใจและเจ็บปวด สายตาพลันสอดส่ายหาผู้ช่วยเหลือ
ด้วยสัญชาตญาณเธอจึงพายเรือเข้าหาฝั่ง แล้วรีบร้องขอความช่วยเหลือต่อหลวงพ่อเงินทันที
เธอหยุดยืนห่างจากหลวงพ่อเงินประมาณ 2 วาเศษ หลวงพ่อเงิน ยืนบริกรรมสงบหลับตานิ่งอยู่ราว 2 นาที จึงลืมตาขึ้นพร้อมเป่าพรวดออกไปยังร่งของเด็กสาว พร้อมกับร้องถามว่า
"เป็นไงบ้างอีหนู"
เธอตอบด้วยสีหน้าแบบคนปกติว่า "หายปวดแล้วจ๊ะ"
"เออ ดี งั้นเอ็งก็กลับไปได้แล้ว" หลวงพ่อเงินกล่าวกับเด็กสาวอีกครั้งหนึ่ง
จากเหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความงงงันให้แก่พระลูกวัดและผู้เขียนเป็นอย่างมาก เพราะงูกะปะท้องแดงนั้น จัดว่าเป็นงูที่มีพิษไม่ต้อยเลย สามารถกัดคนถึงตายได้
วันรุ่งขึนในตอนเพล เตีี่่ยและแม่ของเด็กพร้อมด้วยบุตรสาวได้นำอาหารคาวหวานมาถวายหลวงพ่อเงิน เพื่อเป็นการแสดงความกตัญญูกตเวที
ก็น่าแปลกที่แผลหายสนิท บวมแดงสักนิดก็ไม่ปรากฏให้เห็น
จากเหตุการณ์ดังกล่าวในครั้งนั้น สร้างความปลาบปลื้มศรัทธาให้แก่คฤหัสถ์และพระลูกวัดเป็นอย่างมากมาโดยตลอด

 

หลวงพ่อเงิน วัดกกสับ (ต่อ)

น่าประหลาด
ตามปกติแล้วผู้เขียนจะมีหน้าที่พิเศษอยู่อย่างหนึ่งก็คือ คอยปิดเปิดประตูโบสถ์เลาที่พระท่านลงทำวัตรเช้า-เย็น
เหตุการณ์ดำเนินเป็นปกติเรื่อยมา จนกระทั่งในตอนเย็นวันหนึ่ง เมื่อได้เวลาผู้เขียนจึงหยิบลูกกุญแจแล้วเดินลงบันไดไปเพื่อไขกุญแจเปิดโบสถ์ตามปกติ
ขณะนั้นเหลือบเห็นหลวงพ่อเงินกำลังนั่งตำหมากอยู่อย่างขะมักเขม้น
เมื่อไขกุญแจเปิดโบสถ์เข้าไป ผู้เขียนก็ต้องตกใจเป็นที่สุด เมื่อแลเห็นหลวงพ่อเงินนั่งเคี้ยวหมากจั๊บๆอยู่หน้าพระประธาน
ต่างคนต่างเฉยอยู่ครู่หนึ่ง ผู้เขียนจึงอดถามด้วยความแปลกใจไม่ได้ว่า "หลวงพ่อเข้ามาตอนไหนครับ"
หลวงพ่อหัวเราะแล้วพูดขึ้นว่า "ก็เข้ามาพร้อมๆกับเอ็งนั่นแหละ"

ปาฏิหารย์
ขณะนั้นพระลูกวัดยังไม่มีใครเข้ามาในโบสถ์ หลวงพ่อเงินได้เรียกผู้เขียนเข้าไปใกล้ๆ พร้อมพูดขึ้นว่า
"หลวงพ่อจะทำอะไรให้ดู คอยดูให้ดีนะ"
ว่าแล้วหลวงพ่อเงินก็อ้าปากแล้วคายพระผงรูปสามเหลี่ยมหน้าจั่วสีแดงอ่อนๆใส่มือ แล้วขว้างไปที่ผนังโบสถ์
ผลที่ปรากฏก็คือ พระผงองค์นั้นติดแน่นอยู่ที่ผนังโบสถ์ดั่งติดกาวเอาไว้ แล้วหลวงพ่อเงินก็ใช้ให้ผู้เขียนไปหยิบมาให้ท่าน
พอรับพระไปท่านก็หลับตาพนมมือขึ้นไหว้พระองค์นั้น คล้ายขอสมาอภัยแล้วก็กลืนเข้าปากไปอย่างหน้าตาเฉย

แบงค์ขาดซื้อขนมได้
มีอยู่คราวหนึ่งในขณะที่ผู้เขียนกำลังต้มน้ำร้อนอยู่ หลวงพ่อเงินได้เรียกลูกศิษย์อายุราว 6-7 ขวบ เข้าไปหาสองคนพร้อมล้วงลงไปในย่ามคว้าแบงค์บาทขึ้นมาหนึ่งใบ แล้วฉีกออกเป็นสองท่อนยื่นส่งเด็กวัดคนละท่อน
แล้วบอกให้ไปซื้อขนมเจ๊กที่กำลังลอยเรือบีบแตรเสียงปู๊นๆอยู่ที่หน้าวัด
เด็กสองคนก็ทำตามคำสั่งด้วยความไร้เดียงสา
หลวงพ่อหันมาร้องบอกผู้เขียนว่า เอ็งไปดูมันซิเดี๋ยวจะตกน้ำตกท่าไป ผู้เขียนจึงรีบวิ่งตามลงไปก่อนที่เด็กทั้งสองจะถึงเรือขนม
ผลที่ปรากฏกับตาก็คือ แบงค์บาทสองส่วนนั้นกลับกลายเป็นแบงค์เต็มใบด้วยกันทั้งสองใบ ซื้อขนมเจ๊กได้สบาย สร้างความงุนงงให้แก่ผู้เขียนเป็นอย่างยิ่ง

 

หลวงพ่อเงิน วัดกกสับ (ต่อ)

โดนคุณไสย
อีกสองปีต่อมา ในขณะนั้นผู้เขียนได้ออกจากวัด หลวงพ่อเงิน มาอยู่บ้านกับพ่อแม่และกำลังเรียนอยู่ในระดับมัธยม
ในปีนั้นเองมารดาผู้เขียนก็ได้ล้มป่วยลงด้วยโรคที่ชาวบ้านเขาเรียกกันว่า "ลมเพ-ลมพัด" เพราะถูกของด้านไสยศาสตร์ที่ผู้มีวิทยาคมปล่อยล่องลอยไปในอากาศ ใครเคราะห์หามยามร้ายก็มักจะถูกคนนั้นเข้า
ในวันนั้นมารดาผู้เขียนออกสวนเพื่อตัดต้นกล้วยมาผสมกับรำและปลายข้าวเพื่อเลี้ยงไก่
ขณะนั้นบ่ายจัดมากแล้ว ฝนลมเริ่มโปรยปราย บางครั้งลมกรรโชกแรง มีเสียงหวีดหวิวลอยเข้ามาจนต้องหยุดยืนดูและช่วงนั้นเองที่โดนคุณไสยเข้าเต็มที่
เรื่องนี้ท่านได้เล่าให้ฟังเมื่อหายเป็นปกติแล้ว

เมื่อกลับถึงบ้าน อาการเริ่มเหม่อลอย คล้ายคนวิกลจริต มีสติสัมปชัญญะไม่สมบูรณ์
บางครั้งหัวเราะ บางครั้งร้องไห้ อาการไข้ก็ขึ้น ข้าวปลาอาหารก็ทานน้อยลงจนร่างกายผ่ายผอมเหลือแต่กระดูก น่าเวทนายิ่งนัก แม้ลูกตัวเองก็ยังจำไม่ได้
แม้ว่าบิดาผู้เขียนเป็นหมอแผนโบราณที่มีชื่อเสียง รักษาคนไข้แบบช่วยเหลือเปล่าไม่คิดเงินคิดทอง ช่วยชีวิตคนเอาไว้ไม่ถ้วน
จะทุ่มเทชีวิตรักษาเพียงใด ก็ไม่หาย เพราะเก่งแต่ยา แต่ด้านไสยเวทหาเก่งไม่
ดังนั้นท่านจึงไปขอความเมตตามจากหลวงพ่อเงินให้ช่วยรักษาให้
หลวงพ่อเงินไม่เคยมาดูคนไข้เลย แต่กลับเสกแป้งกับน้ำมนต์มาให้เพื่อผสมกันแล้วพอกบริเวณเจ็บปวด พอแป้งหมาดๆก็แกะออกดู
ปรากฏว่าในครั้งแรกพบสิ่งของมากมายปะปนอยู่ ได้แก่ กระดูกหัก ถ่าน เส้นผม หนามแหลม ขนหมู ทั้งๆที่ก่อนพอกแป้งนั้นไม่มีอะไรปะปนอยู่เลย
ได้กระทำเช่นนี้หลายครั้ง หลายหน จนแกะแป้งออกมาดูแล้วไม่พบอะไร จึงจะหยุดการพอกแป้งได้
เมื่ออาการดีขึ้นมากแล้วจึงพามารดาไปหาหลวงพ่อเงิน เพื่อให้ท่านรดน้ำมนต์ให้ พร้อมทำมงคลคล้องคอ
และจะต้องไปให้ท่านรดน้ำมนต์ให้ทุกๆวันพระ ถึงห้าวันพระ จึงจะหายขาด และปกติดีทุกอย่าง
ปัจจุบันมารดาของผู้เขียนก็ยังมีชีวิตอยู่ อายุได้ 73 ปีแล้ว

 

หลวงพ่อเงิน วัดกกสับ (ต่อ)

เป็นที่อัศจรรย์
หลังจากนั้นไม่นานนัก บิดาผู้เขียนได้เดินทางไปที่วัดของหลวงพ่อเงินในตอนเย็นวันหนึ่ง โดยมีผู้เขียนติดตามไปด้วย
ทั้งสองพูดคุยกันอยู่จนดึกดื่น พระและเด็กวัดนอนหลับกันหมดแล้ว ผู้เขียนก็หลับจนเต็มอิ่มแล้วตื่นขึ้นมานอนฟังเขาคุยกัน
ช่วงหนึ่งของการสนทนา บิดาของผู้เขียนได้กล่าวว่า
"หลวงน้าไหนลองปลุกพระให้ผมดูหน่อยเถอะ ผมอยากดูให้เห็นกับตามานานแล้ว"
หลวงพ่อเงินพูดว่า "เอาซิวะ"
ว่าแล้วก็ลุกขึ้นเดินหายไปในกุฏิและกลับออกมาพร้อมบาตร 1 ใบ มีพระเครื่องทั้งพระผง พระทองเหลือง รวมกันแล้วประมาณ 4-5 องค์ ผู้เขียนลุกขึ้นนั่งดูด้วยความสนใจ

หลวงพ่อเงินนั่งขัดสมาธิหลับตาบริกรรมอยู่ครู่หนึ่ง พลันบังเกิดสิ่งผิดปกติขึ้นภายในบาตร
โดยพระเครื่องเหล่านั้น เริ่มเคลื่อนไหวได้ จากช้าจนเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็วิ่งวนเวียนอยู่ภายในบาตรเหมือนรถไต่ถังไม่มีผิด
และที่สุดของที่สุดก็คือ พระเครื่องทุกองค์กระเด็นออกนอกบารตมาวางแปะอยู่กับพื้นแล้วก็กลับกระโดดเข้าบาตรตามเดิมโดยอัตโนมัติ
สร้างความมหัศจรรย์ในหัวใจและสายตาให้กับผู้เขียนและบิดาจนหาที่สุดมิได้

 

หลวงพ่อเงิน วัดกกสับ (ต่อ)

เมื่อผู้เขียนบวช
และในปี พ.ศ. 2521 เมื่อผู้เขียนลาบวชได้ก็ได้ไปบวชที่วัดหลวงพ่อเงิน
แต่ในขณะนั้นหลวงพ่อเงินได้มรณภาพไปหลายปีแล้ว คงพบแต่รูปหล่อเท่าองค์จริงของท่านที่ตั้งประดิษฐานอยู่บนกุฏิหลังใหญ่
ซึ่งท่านพระครูสุนทรเทวธรรม เจ้าอาวาสศิษย์เอกหลวงพ่อเงินพำนักอยู่
ในปีนั้นพระบวชกันมากจนกุฏิเต็มเกือบหมด ผู้เขียนได้บวชก่อนเข้าพรรษาเพียงวันเดียว จึงต้องอยู่กุฏิที่เหลือซึ่งใกล้กับกุฏิของเจ้าอาวาสและใกล้รูปหล่อหลวงพ่อเงิน
ด้วยเหตุนี้ผู้เขียนจึงกลายเป็นผู้ดูแลทำความสะอาดบริเวณที่ประดิษฐานหลวงพ่อเงินไปโดยปริยาย

มาสอนสมาธิ
หนึ่งเดือนผ่านไป...จนคืนหนึ่งขณะผู้เขียนหลับสนิท ก็พลันนิมิตเห็นองค์หลวงพ่อเงินปรากฏขึ้น
รอบๆกายของท่านมีรัศมีสีทองแผ่ออกโดยรอบ จนห้องนั้นสว่างไสวไปทั้งห้องดุจกลางวัน
หลวงพ่อเงินได้พูดกับผู้เขียนขึ้นว่า "ต่อไปนี้ให้นั่งสมาธิทุกคืน ตอนกลางวันเวลาว่างให้ท่องมนต์เสมอๆ"
หลวงพ่อเงินจะมาสอนให้ผู้เขียนนั่งสมาธิเป็นประจำทุกคืนและคืนหนึ่งท่านได้สอนให้พิจารณาอาหารว่าเป็นของปฏิกูลก่อนฉันพร้อมบอกให้ว่า
"ก่อนฉันให้ตักข้าวเปล่าขึ้นมา 1 คำ โตพอประมาณ แล้วกลั้นหายใจเสกว่า จิ ปิ เส คิ เก้าจบแล้วกลืนลงไปเลยโดยไม่ต้องเคี้ยว"
ท่านว่าสติปัญญาและความจำจะดีขึ้น ซึ่งผู้เขียนก็ถือปฏิบัติเรื่อยมาโดยตลอดในพรรษานั้น

 

หลวงพ่อเงิน วัดกกสับ (ต่อ)

ผม(คนชอบพระ)เคยไปวัดกกสับ 1 ครั้ง ได้สอบถามเจ้าอาวาสถึงวัตถุมงคลของหลวงพ่อเงิน ท่านเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน คือหลวงพ่อณรงค์ เป็นศิษย์ของหลวงพ่อเงิน ท่านเล่าว่า วัตถุมงคลที่ทันหลวงพ่อเงิน มีเพียง ตะกรุด ผ้ายันต์ และพิรอดแขวน
ซึ่งปัจจุบัน วัตถุมงคลเหล่านี้ หาชมแทบไม่ได้แล้ว แม้แต่ท่านยังไม่มี เพราะสูญสลายตามกาลเวลา และคนที่มีอยู่ก็หวง ไม่มีหมุนเวียนในท้องตลาด
หลวงพ่อเงิน มรณภาพปี 2508 เหรียญรุ่นแรก ปี 2511 หลวงพ่อณรงค์ได้จัดสร้างขึ้น โดยพุทธาภิเษกหมู่ มีพระมาหลายองค์จากจังหวัดชลบุรี ส่วนพระของแปดริ้วเองก็มีหลวงพ่อทอง วัดก้อนแก้ว

 

พระพนัสบดี หลวงปู่เหล็ง วัดโคกเพลาะ พระเก่งๆ ที่กำลังจะ........ถูกลืมอีกองค์หนึ่ง