เรื่องเด่น นานาเรื่องราวหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย Wannachai001, 16 กันยายน 2014.

  1. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    61
    ค่าพลัง:
    +225,340
    IMG_0674.JPG

    138559.jpg

    สาธุขอโมทนากับคุณชัยด้วยครับ

    ที่แน่ๆเลยคือมีจี้ล๊อกเก็ต(คือมีหูกระต่ายห้อยก็ได้และมีเข็มกลัดด้านหลังไว้กลัดเสื้อก็ได้)ที่จะแจกในงานทำบุญวันเกิดหลวงพ่อต้นเดือนตุลาคมนี้ครับ
     
  2. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    61
    ค่าพลัง:
    +225,340
    IMG_20170731_161123.jpg IMG_20170731_160745.jpg
     
  3. berbapor

    berbapor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,850
    ค่าพลัง:
    +21,862
    สวัสดีครับพี่วรรณและเพื่อนๆสมาชิกทุกๆท่านเข้ามาติดตามข่าวสารหลวงพ่อครับเหมือนเดิมครับ
     
  4. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    61
    ค่าพลัง:
    +225,340
    20170311_121004.jpg zpsrvagsyuj.jpg
     
  5. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    61
    ค่าพลัง:
    +225,340
    993675_155230841339132_2059922336_n.jpg AD194E45-B8C0-438E-922C-4E46E9B8CD92_zpskhxcs8lr.jpg
     
  6. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    61
    ค่าพลัง:
    +225,340
    คำถามเรื่อง...หลวงพ่อฤาษีลิงขาว

    .....เนื่องจากจดหมายฉบับที่ ๗ เป็นการตอบจดหมายถึง พระครูสง่า วัดปิตุลาฯ จ.ฉะเชิงเทรา ในตอนท้ายหลวงพ่อได้ปรารภถึง "ฤาษีลิงขาว ลิงเขียว ลิงแดง" เป็นต้น เรื่องนี้เป็นที่สงสัยของผู้คนในสมัยนั้นเป็นอย่างยิ่ง เพราะกระแสในตอนนั้นมาแรงมาก จึงมีคนนำความสงสัยนี้ไปถามท่านที่บ้านสายลม (เรื่องมันผ่านไปนานแล้ว เอามาย้อนอ่านคลายความสงสัยก็แล้วกัน) ดังนี้

    ผู้ถาม : "หลวงพ่อคะ ที่เขาลือว่าหลวงพ่อฤาษีลิงขาวมา มาจริงหรือเปล่าคะ...?"

    หลวงพ่อ : จริงแต่ว่าคนละฝูง

    ผู้ถาม : "หน้าเหมือนคนจีนหรือเปล่าคะ...?"

    หลวงพ่อ : เหมือน ลิ้นมี ฟันมี ปากมี ตามี คล้ายๆ จีนนะ

    ผู้ถาม : "เขาว่าอยู่ใกล้บ้านหลวงพ่อ"

    หลวงพ่อ : อันนี้โฆษณานะ ถ้าไม่บอกว่าฤาษีลิงขาวจะดีกว่า หรือไม่บอกว่าอยู่ใกล้บ้านหลวงพ่อจะดีกว่า ความจริงถ้าบอกเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ปาน ก็ไม่มีใครรู้ได้ ลูกศิษย์หลวงพ่อปาน ถ้าถามว่ารู้จักไหม ก็รู้จักไม่หมด เพราะมีเยอะมาก รู้ไม่ได้

    แต่ว่าตัวท่านบอกว่าเป็นฤาษีลิงขาวหรือเปล่า เข้าใจว่าคนอื่นโฆษณามากกว่านะ ใช่ไหม ถ้าบอกอย่างนั้นก็พังเร็ว เขาว่ายังไงนะ ฤาษีลิงขาวอยู่ในป่า หายเงียบไป ออกมาเป็นเจ้าอาวาส เป็นไปได้ยังไง

    ท่านเจ้ากรมเสริมบอก มีคนโทรศัพท์มาถามเรื่อย ว่าหลวงพ่อฤาษีลิงขาวจริงหรือไม่จริง แล้วหลวงพ่อจะว่ายังไง รับว่าจริงก็โกหกชาวบ้าน ถ้าปฏิเสธก็หาว่าแกล้ง เพราะคนอยู่ด้วยกันมาก่อนย่อมรู้จักดี เคยเป็นทหารเกณฑ์ด้วยกันเป็นนักว่ายน้ำเหมือนกัน

    ฝึกวิ่งรอบกรมทุกวัน เช้ามืดก็วิ่ง ตอนเย็นก็วิ่ง วิ่งแล้วมาเตะฟุตบอลเข้าโกล์ เตะไปเตะมาเหนื่อยโดดลงน้ำตูม ว่ายไปว่ายมา ๘ เที่ยว ไป ๔ มา ๔ แล้วก็ขึ้นบก ตีระนาด เพื่อให้ข้อแข็ง ทั้งนี้ซ้อมไว้เมื่อยามเรือแตก วิ่งกันมาทุกวันอย่างนี้จำได้หรือไม่ ใช่ไหม

    ตอนไปบวชพร้อมกัน ๓ องค์ อุปัชฌาย์เคาะหัว โป๊กๆ ไอ้ ๓ ตัวนี้ท่านไม่เรียกองค์ อ้อ...นาคเขาเรียกตัวนี่นะ เพิ่งนึกได้เดี๋ยวนี้แฮ่ะ ท่านเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ได้ ๓ ตัวนี่ไม่ได้สึกจริงๆ

    ทีนี้ถ้าจะเขียนแบบนั้นก็ต้องให้หลวงพ่อตายก่อน แต่นี่หลวงพ่อยังอยู่ เข้าใจว่าคนเขียนโฆษณามากกว่า ถ้าตนเองไม่กล้าบอกอย่างนั้นหรอก ก็เป็นอันว่าที่โฆษณากันนั้นเป็นของปลอม ไม่ใช่ของจริง


    ที่มา : จาก ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ ๑๘๒ หน้า ๑๐

    จากหนังสือธุดงค์

    ฝึกอตีตังสญาณ ในป่าศรีประจันต์
    เล่าเมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๓๓
    ......ตอนนั้นขอยอมรับว่า ไม่เข้าใจเรื่องนิพพานจริง ๆ แต่ ๒ องค์นั่นเขาไม่มีอะไร ปั๊บเขาจับพระนิพพานเป็นอารมณ์ มันต่างกันตั้งเยอะ ทั้ง ๒ องค์ท่านเก่งกว่าตั้งเยอะ ลิงขาวกับลิงเล็ก(แต่ลิงขาวตัวจริงนะ ไม่ใช่ลิงขาวปลอม ๆ ลิงขาวที่เป็นช่อดอกไม้นั่นไม่ใช่ มันคนละตัว)

    ถ้าลิงขาวจริงๆ ท่านเก่ง ท่านเป็นพระอริยเจ้า คือ อย่างที่ลุงวิบอกท่าน ท่านตัดสังโยชน์ ๓ ได้แล้ว (ลิงขาว กับลิงเล็ก) นั่นหมายถึงเป็น พระโสดาบัน หรือสกิทาคามี ท่านบอกว่า ได้โสดาบันอย่างหยาบ ก็หมายถึง อย่างต้น ก็ยังดีกว่าเราเยอะ อาตมายังไม่ได้อะไรเลย อย่าลืมนะ อย่างนี้ยังอยู่ในขั้นเลวนะ ญาติโยมนะ ยังเลวอยู่ ยังมีนิวรณ์ ๕ อยู่ แต่ว่าที่อยู่ได้เพราะอดกลั้น

    หลังจากนั้นเวลาที่ทำไป เมื่อคลายจากอารมณ์จากสมถะ ก็เข้ามาจับวิปัสสนาญาณทีนี้ต่อไปก็จับวิปัสสนาญาณ บวกสมถะนั่นหมายความว่าใช้วิปัสสนาญาณนำหน้า ใช้สมถะตามหลัง คือ ใช้กำลังวิปัสสนาญาณพิจารณา และใช้อานาปานสติควบ ทำทั้ง ๒ อย่างประเดี๋ยวเดียวจิตตก.."


    .....อย่างที่ว่าเรื่องมันผ่านมานานแล้ว ไม่จำเป็นต้องรื้อฟื้นกันอีก แต่ก็สร้างความสับสนให้คนรุ่นก่อนไม่ใช่น้อย ต่างก็พากันวิพากย์วิจารณ์กัน เอาไปสนทนาในเว็บดังๆ หลายแห่ง บ้างก็ว่าใช่ บ้างก็ว่าไม่ใช่ คนที่ไม่เชื่อก็อ้างว่า คณะที่บวชพร้อมกันสมัยนั้นมี ๔ รูป ต้องเป็นทหารเรือและต้องมีอุปฌาย์องค์เดียวกัน คือ

    ๑. หลวงพ่อฤาษีลิงดำ (วีระ ถาวโร, เรือตรีสังเวียน สังข์สุวรรณ กรมแพทย์ทหารเรือ)
    ๒. หลวงพ่อฤาษีลิงขาว (ฤาษีโพธิวัตร, เรือตรีสวัสดิ์ กรมอู่ทหารเรือ)
    ๓. หลวงพ่อฤาษีลิงเล็ก (ฤาษีพนมไพร, เรือตรีน้อม กรมดุริยางค์กองทัพเรือ)
    ๔. หลวงพ่อฤาษีลิงเผือก (หลวงประธานถ่องวิจัย)


    สรุปแล้วก็เหมือนกับเป็นการลองภูมิปัญญาของลูกศิษย์เหมือนกัน สมัยนั้นว่าใครจะเข้าใจลีลาของครูบาอาจารย์กัน บางคนแค่ฟังเพียงคำเดียวว่า "ลิงคนละฝูง" ก็ตามทันแล้ว แต่บางคนก็ยังห่างอีกไกลนัก ท่านพูดชัดขนาดนี้ยังฟังไม่ออกอีก

    เพราะคนที่เป็นลูกศิษย์ที่แท้จริง จะต้องรู้ถึงนิสัยของครูบาอาจารย์ คือคำสั่งของหลวงปู่ปานสั่งว่าอย่างไร ท่านสั่งให้อยู่ป่าตลอดชีวิตไม่ให้ออกมาใช่ไหม ลูกศิษย์ที่ดีท่านต้องเชื่อฟังคำสั่ง ไม่ใช่อ้างว่าแก่แล้วต้องออกมาอยู่ในบ้านในเมือง

    แม้แต่เรื่องของ หลวงพ่อฤาษีลิงเล็ก ก็เหมือนกัน ต้องเอาเหตุผลที่ท่านเล่าไว้ใน หนังสือประวัติหลวงพ่อปาน มาประกอบในการพิจารณาเป็นสำคัญ จนมาถึงเรื่อง "หลวงปู่คำคะนิง" ก็เช่นกัน ที่มีคนอ้างว่าคือ "พระอภิญญา" ในป่าเชียงตุง

    ฉะนั้น ถ้ามีความสงสัยอย่างใด ไม่มีอะไรที่จะดีกว่าหลักฐานที่ท่านพูดเอาไว้นั่นแหละ บางคนไม่ค่อยสังเกตกันว่า พระที่อยู่ในวัดท่าซุงมีความเห็นเป็นอย่างไร ท่านไปหาหรือไปกราบไหว้หรือเปล่า เพราะความเป็นเพื่อนของหลวงพ่อ ก็เหมือนเป็นครูบาอาจารย์เหมือนกัน ลูกศิษย์ที่ดีก็ต้องให้ความเคารพนับถือ ในฐานะที่เป็นเพื่อนของครูบาอาจารย์

    แต่ปรากฏว่าหัวรถจักรเงียบ ไม่มีข่าวว่าพระวัดท่าซุงไปที่ไหนเลย มีแต่บางคนยกขบวนแห่กันไปเอง หลังหลวงพ่อมรณภาพคงมีแต่ข่าวว่าไปกราบไหว้ หลวงพ่อดาบส ที่เชียงราย ปรากฏว่าท่านยกย่องสรรเสริญหลวงพ่อของเราเป็นอย่างมาก เหมือนกับรู้จักกันเป็นอย่างดี ส่วนที่หลวงพ่อแนะนำพระดีที่กรุงเทพฯ ก็มี ๒ องค์ คือ หลวงพ่อฟื้น (สมเด็จวัดสามพระยา) หลวงพ่อเกี่ยว (สมเด็จวัดสระเกศ)

    แต่เพื่อนของหลวงพ่อเอง ๒ องค์ตามที่กล่าวอ้างนั้น ต่างองค์ต่างก็ไม่รู้จักกันเลย เรียกว่าไปคนละทาง โดยเฉพาะหลวงพ่อฤาษีลิงขาว เป็นเรื่องที่เกิดทันสมัยหลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่ ส่วนหลวงพ่อฤาษีลิงเล็กนี่มาเกิดเป็นข่าวทีหลัง จึงมีพระผู้ใหญ่วัดท่าซุง ๒ รูปไปสอบถามท่านถึงวัดท่านที่ อ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์

    คือขออนุญาตท่านเข้าไปคุยในกุฏิเป็นการส่วนตัว เพื่อสอบถามท่านให้แน่ใจอีกที ท่านบอกว่าเป็นความเข้าใจผิดของญาติโยมเอง ท่านก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ครั้นถามชื่อและประวัติก็ไม่ตรงกับเพื่อนของหลวงพ่อแต่อย่างใด เรื่องนี้ก็ผ่านไปนานแล้วนะ เพราะท่านมรณภาพไปหมดแล้ว จึงขอย้อนเอาคำสอนของ หลวงพ่อฤๅษีโพธิวัตร สมัยก่อนมาให้อ่านกันอีกสักครั้งว่า...

    บทพิสูจน์นักบุญ

    โดย ฤๅษีโพธิวัตร (หลวงพ่อฤาษีลิงขาว)
    กลางดงดิบ จังหวัดกาญจนบุรี
    .....๑. เมื่อพบกันในระยะแรก "จงย่อตัวลง" (คือถ่อมปฏิปทาที่ทรงอยู่นั้น) พยายามยกย่องสรรเสริญท่านด้วยถ้อยคำ "สัมโมทนียคาถา" คือชมเชยในปฏิปทาของท่าน แล้วคอยสังเกตุว่า ท่านผู้นั้นจะพอใจในคำสรรเสริญเยินยอนั้นหรือไม่ ถ้าเห็นว่าท่านผู้นั้นพอใจในคำสรรเสริญเยินยอนั้น จนออกนอกหน้า ควรวงเล็บไว้พลางก่อนว่า "หมอนี่ ถ้าจะดีไม่แท้" เพราะยังติดในสรรเสริญที่เป็นโลกธรรม เป็น มนุษย์บ้ายอคบยาก


    ......๒. เพื่อความแน่ใจในปฏิปทาที่แท้จริง ในบางโอกาสควรหาทาง "ตักเตือนโดยธรรม ควรตักเตือนบ่อยๆ" เพื่อให้มองเห็น โทสะ ของตนเอง ควรใช้ลีลาในการตักเตือนทั้ง แบบขู่ และ แบบปลอบ ถ้าเป็นคนดีมีใจเป็นนักบุญจริง จะยอมรับคำตักเตือนทุกระยะ แต่ถ้าเป็น "นักบุญจอมปลอม" แล้วไม่ช้าก็จะแสดงความไม่พอใจให้ปรากฏ เท่านี้ก็พอจะเห็นเขี้ยวชาติภูมิได้บ้างเฉพาะบางราย

    ......๓. ถ้าแบบตักเตือนเค้นเอาความจริงไม่ได้ ต่อไปควร"ขยายปฏิปทา" ตามความสามารถที่มีอยู่ขึ้น เอาเพียงชั้นที่เห็นว่า พอจะ "ไล่เลี่ยกัน" ออกมาใช้ จงสังเกตุความพอใจและปฏิกิริยาแสดงออกของเขา หากเขาดีจริงก็ไม่ปรากฏกิริยาใดๆ เกิดขึ้น ถ้าความเลวสิงใจ แต่เก็บซ่อนไว้ด้วยกลมายาแล้ว เขาจะเริ่มการมึนชา หรือมีการซึมเซาให้ปรากฏ ควรสังเกตไว้

    ......๔. เมื่อเห็นว่าดีอยู่ หรือซึมเซาไปก็ตาม เพื่อเค้นเอาความแน่ชัดให้แจ่มแจ้ง ควรขยับ "ขยายปฏิปทาที่เหนือกว่า" ออกมาใช้ให้เห็นชัด หากท่านผู้นั้น แสดงความยินดีด้วยความจริงใจ พลอยโมทนาและสนับสนุนด้วยใจจริง และสม่ำเสมอแล้ว ก็ควรวันทนาด้วยความเคารพ เพราะแม้อายุกาลผ่านวัยน้อยกว่า หรือมีคุณธรรมบางประการหย่อนกว่าก็ตาม แต่ท่านผู้นั้นก็มี "พรหมวิหาร" ควรแก่การบูชา

    หากท่านผู้นั้น เป็นนักบุญจอมปลอม เมื่อโดนไม้หลังเข้าอย่างนั้น เท่าที่เคยพิสูจน์มา ไม่ช้าเขี้ยวก็งอกออกนอกปาก สำรากถ้อยคำที่ไม่เป็นธรรมออกมาให้ปรากฏ กล่าววาจาเสียดสี ถากถาง ด้วยถ้อยคำที่ที่เป็นดิรัจฉานคาถา กระทบกกระแทก แดกดัน เปรียบเปรยนานาประการ บางโอกาสเป็นศิษย์เคยเรียนอรรถธรรม เคยได้รับความช่วยเหลือมา ก็ลืมความดีของเราผู้มีคุณเสียสิ้น แสดงความอกตัญญูให้ปรากฏ เป็นการขยายความเลวทรามออกให้ปรากกชัด

    ตามแนวที่นำมาเล่าไว้นี้ เคยพิสูจน์นักพรตผู้วิเศษมาหลายสิบรายแล้ว ที่ท่านดีจริงแล้วก็เอาอะไรท่านไม่ได้เลย แต่ที่เป็นพวกจอมปลอมแล้วไม่เกินสอง พ.ศ. เขี้ยวก็งอกออกนอกปาก แสดงความเป็น "อบายบุคคล" ให้ปรากฏชัด

    ที่มา : หนังสือพิมพ์แจกในงานบำเพ็ญกุศล
    ที่วัดสะพาน อ.เมือง จ.ชัยนาท เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๙
    (หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑ โดย พระชัยวัฒน์ อชิโต )


    ......................................................................................................................................

    บทความด้านบนนี้นำมาจากเวบวัดท่าซุงตามลิงค์ด้านล่างนี้ครับ

    http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=2379#8
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กันยายน 2020
  7. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    61
    ค่าพลัง:
    +225,340
    DSC_0077_1.jpg DSC_0078_1.jpg

    เหรียญพระพุทธประทานพร สร้างเป็นที่ระลึกในงานผูกพัทธสีมา วัดทองทรงธรรม จ.อยุธยา เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2525

    เข้าพิธีพุทธาภิเษกในอุโบสถวัดทองทรงธรรมวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2525 ในช่วงงานพิธีตัดลูกนิมิตพร้อมพระพุทธรูปบูชาและเหรียญต่างๆ มีหลวงพ่อและสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ร่วมพิธีพุทธาภิเษกในครั้งนั้นด้วยครับ
     
  8. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    61
    ค่าพลัง:
    +225,340
    DSC_0056-2.jpg IMG_20170731_160842.jpg IMG_20170731_160931.jpg
     
  9. berbapor

    berbapor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,850
    ค่าพลัง:
    +21,862
    สวัสดีครับพี่วรรณและเพื่อนๆสมาชิกทุกๆท่านเข้ามาติดตามข่าวสารหลวงพ่อครับเหมือนเดิมครับ
     
  10. Yimnine

    Yimnine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    70
    ค่าพลัง:
    +1,123
    สวัสดีค่ะ วันนี้ มีวัตถุมงคลที่ใส่อยู๋มาให้ชมกันจ้า พระหางหมากปิดทอง เอามาใส่กับหยกขาว
    //พุทธบูชา พุทธานุสสติ สาธุๆๆ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  11. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    61
    ค่าพลัง:
    +225,340
    20638470_10159061918770697_114140398011913896_n.jpg

    งดงามครับน้องไนน์
     
  12. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    61
    ค่าพลัง:
    +225,340
    บ้านซอยสายลมโฉมใหม่ครับ

    IMG_20170804_133223.jpg IMG_20170804_133709.jpg IMG_20170804_133727.jpg IMG_20170804_133845.jpg IMG_20170804_133758.jpg IMG_20170804_133832.jpg
     
  13. berbapor

    berbapor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,850
    ค่าพลัง:
    +21,862
    สวัสดีครับพี่วรรณและเพื่อนๆสมาชิกทุกๆท่านเข้ามาติดตามข่าวสารหลวงพ่อครับเหมือนเดิมครับ
     
  14. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    61
    ค่าพลัง:
    +225,340
    อ่านข่าวเจอว่าเมื่อวาน 4 สิงหาคมเป็นวันพระราหูย้ายราศี เลยขอนำเรื่องนี้มาลงอีกรอบนะครับ


    Rahu_3.jpg IMG_20170623_160321.jpg IMG_20170623_160351.jpg IMG_20170623_160351.jpg
     
  15. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    61
    ค่าพลัง:
    +225,340
    IMG_20170805_124256.jpg IMG_20170805_124404.jpg
     
  16. berbapor

    berbapor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,850
    ค่าพลัง:
    +21,862
    สวัสดีครับพี่วรรณและเพื่อนๆสมาชิกทุกๆท่านเข้ามาติดตามข่าวสารหลวงพ่อครับเหมือนเดิมครับ
     
  17. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    61
    ค่าพลัง:
    +225,340
    บทความเรื่องด้านล่างนี้นำมาจากเวบวัดท่าซุงครับ

    http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=981#5


    "คาถาล้างกรรม" เป็นของหลวงปู่ปานจริงหรือ ?


    .....ก่อนอื่นผู้เขียนต้องขอทำความเข้าใจกันก่อน เพราะคำว่า "คาถา" ย่อมเป็นของดี ท่องเพื่อระลึกถึงพุทธคุณ ธัมมคุณ และสังฆคุณ เป็นอนุสติที่ดีย่อมมีผล ตามความเชื่อที่มีต่อครูบาจารย์นั้นๆ ตัวอย่างเช่น คาถาพระปัจเจกโพธิ์ ที่หลวงปู่ปานได้เรียนมาจากครูผึ้ง แล้วมอบให้นายประยงค์ ตั้งตรงจิตร ท่องจนได้ผล ต่อมา หลวงพ่อพระราชพรหมยาน ก็เพิ่มจากเดิมบ้าง สมัยนี้เรียกกันว่า "คาถาเงินล้าน" จนเป็นที่รู้จักและนิยมท่องกันอย่างแพร่หลาย

    แต่ด้วยความมีชื่อเสียงโด่งดังนี้แหละ เป็นเหตุให้นักฉวยโอกาสจากความนิยม สร้างฉากใหม่ให้น่าเลื่อมใสยิ่งขึ้น โดยการนำเอา คาถาล้างกรรม จากเดิมเป็นของ หลวงปู่บุญถา ถาวโร แล้วคัดลอกต่อกันไปเป็น หลวงปู่บุญมา ถาวโร คือพิมพ์ชื่อท่านผิด ส่วนในเว็บพระเครื่องเป็น หลวงปู่บุญทา ถาวโร

    จากนั้นก็มีมือดีเปลี่ยนไปเป็นของ หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ซะงั้นแหละ คงเห็นฉายา "ถาวโร" เหมือนกับหลวงพ่อมหาวีระ ถาวโร มั้ง เลยหัวแหลมขึ้นมาทันที

    ผู้มีพฤติกรรมเช่นนี้ยังปรากฏอยู่ในหมู่นักก้อปปี้ข้อมูลทั้งหลาย แล้วก็เติมไข่ใส่สีไปสารพัด จะบอกว่ามีเจตนาดีแต่ก็ฟังไม่ขึ้น เพราะเห็นๆ อยู่ว่าต้นฉบับเดิมเป็นของใคร ผู้ใดเป็นคนเขียน เป็นต้น

    หนังสือเล่มนี้ก็มีการประกาศขายของเก่าทาง "เว็บขายของมือสอง"

    http://www.b2s.co.th/products_detail.php?proid=2841

    พร้อมถ่ายภาพปกหนังสือ และ ผู้เขียน : ดามภ์-เหม ไว้เป็นหลักฐาน
    โดยมีการอธิบายไว้อย่างละเอียด ดังนี้
    7098876_250.jpg
    .....หลวงปู่บุญถา ถาวโร เป็นอีกพระอริยะสงฆ์แห่งอีสานตอนกลาง ที่มีชื่อเสียงในจังหวัดละแวกใกล้เคียง ท่านเป็นคนจังหวัดร้อยเอ็ด ซึ่งท่านเคยเป็นอาจารย์สอนเวทมนตร์ให้ หลวงพ่อคูณ แห่งวัดบ้านไร่ มาแล้วในอดีต ด้วยหลวงปู่บุญถาเป็นพระเกจิผู้เรืองเวทย์อีกรูปหนึ่ง และยังเป็นพระฝีปากกล้าทางเทศนาธรรม มีความแตกฉานทางธรรมะยิ่งนัก

    ทุกครั้งที่ไปเทศนาธรรมโปรดสัตว์แก่ญาติโยม จะสอดแทรกธัมมะและคำสอนที่ลึกซึ้ง หลวงปู่บุญทามีรูปร่างสูงใหญ่ ได้ศึกษาพระธรรมทางไทยและเขมร จึงมีความสามารถพูดและใช้ภาษาเขมรได้คล่อง ยามที่หลวงปู่บริกรรมคาถามักจะนำภาษาเขมรมาใช้ประจำ แต่มิได้ละทิ้งภาษาไทย (อีสาน) ยังคงเอกลักษณ์ความเป็นไทยอยู่มิเสื่อมคลาย

    .....หลังจากหนังสือต้นฉบับที่ประกาศขาย แต่ยังไม่มีรายละเอียดของพระคาถา ต่อมาก็มีการนำเอามาโพสต์ในเว็บไซด์
    www.bloggang.com/viewdiary.php?id=baimaisisuay&month=11-2011&date=19&group=4&gblog=23


    - โพสต์เมื่อ : 19 พฤศจิกายน 2554 ข้อความมีดังนี้

    เอามาจากหนังสือ คาถาล้างกรรม หลวงปู่บุญมา ถาวโร ครับ

    พระคาถาล้างกรรมล้างเวรให้บรรเทา

    แต่เดิมนั้นพระคาถานี้ได้จาก
    "คนที่ตายแล้วฟื้น" กลับมามีชีวิตอีกครั้ง ได้บอกกับพวกดวงวิญญาณทั้งหลาย ที่มีความทุกข์ทรมานอยู่ในขุมนรกภูมิว่า

    ให้สวดพระคาถานี้เรื่อยๆ จะช่วยให้พ้นจากความทุกข์ทรมาน และคนที่
    สวดพระคาถานี้จะมีความสุข สิ่งชั่วร้ายทั้งหลาย จะไม่มากล้ำกรายในชีวิต อายุจะยิ่งยืนยาวนาน

    ก่อนบริกรรมพระคาถานี้ให้ตั้งนะโม 3 จบ แล้วท่องมนต์นี้ว่า

    พุทโธ อะระหัง อะระหัง พุทโธ ท้าวเวสสุวรรณโณ พุทโธ อะระหัง
    กัมมะโตเมตัง กัมมะภันทะนัง ชีวิตตังให้ไปจุติ ให้ทุกชีวิตทุกวิญญาณจงไปผุดไปเกิดด้วยเทอญ


    ให้บริกรรมพระคาถานี้ 3 คาบ จากนั้นให้กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลไปให้
    เจ้ากรรมนายเวร และดวงวิญญาณเหล่านั้น


    .....ท่านผู้อ่านจะสังเกตได้ว่า ผู้โพสต์นั้นได้นำเอารายละเอียดของพระคาถามาให้ท่องกัน แต่พิมพ์ชื่อ หลวงปู่บุญถา ถาวโร ผิดเป็น หลวงปู่บุญมา ถาวโร ส่วนคำว่า "คนที่ตายแล้วฟื้น" ผู้เขียนเน้นให้เห็นชัดๆ เป็นตัวหนังสือสีแดงนั้น เพื่อให้ผู้อ่านสังเกตไว้ก่อนว่า ต่อไปเขาจะนำไปแต่งเป็นเรื่องเป็นราว คือจะกลายเป็น "คุณยายฟื้น" อยู่ข้างวัดบางนมโคนี่เอง จึงขอย้ำว่าจำไว้แม่นๆ นะ..สวัสดี
     
  18. berbapor

    berbapor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,850
    ค่าพลัง:
    +21,862
    สวัสดีครับพี่วรรณและเพื่อนๆสมาชิกทุกๆท่านเข้ามาติดตามข่าวสารหลวงพ่อครับเหมือนเดิมครับ
     
  19. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    61
    ค่าพลัง:
    +225,340
    IMG_20170731_160813.jpg
     
  20. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    61
    ค่าพลัง:
    +225,340
    บทความด้านล่างนี้นำมาจากเวบวัดท่าซุงตามลิงค์ด้านล่างนี้ครับ

    http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=2348#20

    ...........................................................................................................................................

    พุทธศาสนาตั้งมั่นใน "สุวัณณภูมิ" แล้ว

    .....คำว่า "สุวัณณภูมิ" ตามความเข้าใจเดิม คิดว่าเป็นดินแดนในแหลมทอง โดยรวมคือ ไทย พม่า ลาว เขมร ญวน เป็นต้น ส่วนชาวพม่าต่างก็เข้าใจว่าเป็น เมืองสะเทิม (สุธรรมวดี) ปัจจุบันคนพม่าเรียก "ตะโท" (Thaton) คนแถวนี้เป็นชาวมอญมาแต่โบราณ

    แต่ครั้นเมื่อได้พบหลักฐานนี้แล้ว "สุวัณณภูมิ" ต้องโฟกัสให้แคบเข้าไปอีกว่า ได้แก่ดินแดนประเทศไทยแน่นอน ในส่วนที่เป็น ราชบุรี เพชรบุรี นครปฐม กาญจนบุรี สุพรรณบุรี ในปัจจุบัน ไม่ได้เป็นเกาะเป็นเกะอย่างที่วิเคราะห์กันไป

    และเดิมที่เข้าใจว่า "พระโสณะ" และ "พระอุตตระ" มาที่สุวัณณภูมิเพียง ๒ รูปเท่านั้น ความจริงท่านมากันครบ ๕ รูป มีสามเณรและอุบาสกอุบาสิกามาด้วย เหมือนกับคณะของ "พระมหินทเถระ" ที่ไปลังกา

    สมัยก่อนกเบื้องจารเหล่านี้พิมพ์ออกมาเป็นหนังสือ "พุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ" จึงสวนกระแสกับประวัติศาสตร์เดิม ถึงแม้จะมีข่าวว่าทำปลอมขึ้นมาก็ตาม แต่เรื่องราวก็ไม่น่าจะทำปลอมกันได้ง่าย เพราะประวัติความเป็นมา สามารถตรวจสอบเทียบเคียงกันได้

    อนึ่ง หลวงพ่อเจ้าคุณอ่ำได้ให้ลูกศิษย์ของท่าน นำหนังสือเล่มนี้ทูลเกล้าถวายในหลวง รัชกาลที่ ๙ หากเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมาเอง ก็คงจะมิบังควรเป็นอย่างยิ่ง แต่ผู้เขียนเชื่อในศักดิ์ศรีความเป็นพระของท่าน เชื่อที่หลวงพ่อวัดท่าซุงยืนยันว่า หลวงพ่ออ่ำเป็นช้างปาเลไลยกโพธิสัตว์ ผู้เขียนขอเอาความเชื่อไว้แค่นี้ก็พอ นี่ประการหนึ่ง

    ส่วนประการที่ ๒ ถามว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงรู้เรื่องนี้มาก่อนไหม คำตอบว่าท่านรู้มาก่อนแล้ว โดย คุณเดือนฉาย (ต้อย) คอมันตร์ อดีตประธานศูนย์สงเคราะห์ฯ ซึ่งได้นำเรื่องจาก "กเบื้องจาร" ลงใน "หนังสือพระราชทานเพลิงศพ" ของคุณพ่อ คือ ศ.ดร.เดือน บุนนาค ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๕

    พี่ต้อยได้เล่าให้ผู้เขียนฟังว่า เคยกราบเรียนเรื่องนี้ถวายหลวงพ่อฯ พร้อมกับ
    ถามหลวงพ่อว่า "พระเจ้าตะวันอธิราช" เป็นใคร หลวงพ่อบอกว่าเป็นท่านเอง

    โดยเฉพาะชื่อ "เดือนเด่นฟ้า" หรือ "จันทร์แจ่มฟ้า" นี่หลวงพ่อพูดถึงมานานแล้ว แม้ในกลุ่มลูกศิษย์หลวงพ่อรุ่นเก่าที่บ้านสายลมก่อนปี ๒๕๒๐ จะพูดถึงกันอยู่เสมอ เพราะว่าชื่อนี้หลวงพ่อพูดที่ "พระธาตุจอมกิตติ" หลังกลับมาจาก "ท่องเชียงแสน" เมื่อปี ๒๕๑๗ มีใจความตอนหนึ่งว่า

    "...ใจมันลอยๆ เลยล่อไปนึกถึงความดี อุทิศความดี หรือสนองความดีของพระมหากษัตริย์องค์นี้ ที่ทรงพระนามว่า ภูมิพลอดุลยเดช กลายเป็นบอกว่า เป็นกษัตริย์ที่ทรงพระนามว่า จันทร์แจ่มฟ้า เข้าให้ นี่ไปนึกถึงความดีของพระองค์ ที่ฉายแสงให้คนมีความสุขเหมือนพระจันทร์เต็มดวง.."

    การที่เอาคำพูดของหลวงพ่อมายืนยันก็เพื่อเปลื้องความสงสัย จึงขอให้อ่านด้วยความตั้งใจเถิด แล้วจะเกิดผลมหาศาล ขอให้เชื่อความสามารถของหลวงพ่อเจ้าคุณอ่ำ ถ้าท่านไม่มีทิพจักขุญาณจริง หลวงพ่อของเราคงไม่พูดเช่นนี้ ท่านรู้จักกันมาก่อนปี ๒๕๒๐ อย่างแน่นอน

    ต่อมาปี ๒๕๓๒ ผู้เขียนและท่านเจ้าอาวาสไปกราบท่าน ขออนุญาตลงหนังสือธัมมวิโมกข์ ภายหลังหลวงพ่อบอกว่า ชาตินี้หลวงพ่ออ่ำลงมาเกิดเพื่อทำหน้าที่โดยเฉพาะ พระโพธิ์สัตว์ระดับนี้มีเทวดาตามอารักขามาก หลังจากนั้นข่าวนี้ได้แพร่สะพัดออกไป จึงมีคนไปกราบท่านมากขึ้น

    จนกระทั่งหลวงพ่อใกล้มรณภาพ ท่านยังได้ปรารภเรื่องนี้ที่ตึกรับแขกว่า ต้องการทำหนังสือเล่มนี้ให้เป็นเล่มเล็กๆ (เพราะหนังสือเดิมเป็นเล่มหนามาก) เรื่องนี้พระที่ตึกรับแขกท่านเล่าให้ฟัง
    การที่ผู้เขียนนำเรื่องนี้ออกเผยแพร่อีก จากกเบื้องจาร ๑,๒๐๐ แผ่น มีเพียง ๒ แผ่นที่เอาไปพิสูจน์ จึงไม่ควรเหมาทั้งหมด เราควรมุ่งเอาเนื้อหาสาระเป็นสำคัญ เพื่อสนองเจตนารมย์ของพระโพธิสัตว์ใหญ่ทั้งสองพระองค์ ที่ท่านต้องมรณภาพไปก่อนในปีเดียวกัน

    ฉะนั้น ถ้าได้อ่านเรื่องราวเหล่านี้แล้ว จะได้ประโยชน์เป็นอย่างมาก แม้แต่ชื่อของพระสมณทูตทั้ง ๕ รูปที่มาสุวัณณภูมิ ก็ไม่เคยมีใครทราบมาก่อน หลวงพ่อเจ้าคุณอ่ำก็พยายามนำประวัติของ "พระปุณณะ" และ "พระสัจจพันธ์" จาก "กเบื้องจาร" มาเทียบเคียงกับอรรถกถาในพระไตรปิฎกไปด้วย ดังนี้


    คนไทยเป็นพระอรหันต์ ๒ รูป ในสมัยพุทธกาล

    .....๑ พระปุณณเถระ อรหันต์ไทยองค์แรก ที่ได้ไปรับ "เอหิภิกขุ" จากพระบรมศาสดา ณ กรุงสาวัตถี เมื่อวันขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๗ พุทธพัสสา ๑๙ ได้ชื่อว่า ปุณณเถระ ปฏิบัติอยู่ ๓ ปีไม่ได้มรรคผล จึงกลับมาบ้านเกิดที่ สูนาปรันตะ (สุวัณณภูมิ)

    ในพุทธพัสสา ๒๑ (ตรงกับ ปีโลที่ ๑๑๖๖) ได้นำพระศาสนาเผยแพร่ที่สุวัณณภูมิ โดยพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสาวก ๔๔๙ รูป ถึงเขาสัจจพันธคีรี (สระบุรี - สุวัณณภูมิ) เมื่อวันขึ้น ๘ ค่ำเดือนอ้าย พุทธพัสสา ๒๒

    .....๒ พระสัจจพันธะเถระ อรหันต์ไทยรูปที่ ๒ ที่ได้รับ "เอหิภิกขุ" จากพระศาสดา เป็นรูปแรกในประเทศไทย ณ เขาสัจจพันธคีรี และได้ทูลขอรอยตีนพุทธ (รอยพระพุทธบาท) ไว้ที่เขาสัจจพันธคีรี

    หลวงพ่อเจ้าคุณอ่ำบอกว่า เรื่องนี้มีผู้รู้บางคนอธิบายว่า พระพุทธเจ้าทรงทราบว่า พระพุทธศาสนาจะเสื่อมในอินเดียหลังพุทธกาล ๑,๐๐๐ ปี สาวกทั้งหลายจึงทูลขอให้พระองค์หาทางยืดเวลาออกไป ทรงเห็นว่ามีอยู่ ๒ แห่ง ที่พระพุทธศาสนาจะยั่งยืนต่อไปได้อีกระยะหนึ่ง (๕,๐๐๐ ปี) คือที่ลังกา (สิงหล) และเมืองทอง (สุวัณณภูมิ)

    เมื่อพระปุณณเถระมาทูลเชิญเสด็จโปรดชาวเมืองทอง พระองค์จึงรับคำเชิญเสด็จพร้อมทั้งพระอรหันต์ ๔๙๙ รูป ประทับบนพระมณฑปเรือนยอดลอยมาทางอากาศ นับว่าพระองค์ให้ความสำคัญต่อแผ่นดินทอง หรือเมืองไทยเป็นอย่างยิ่ง เหมือนกับพระราชาเสด็จมากับเหล่าอำมาตย์ข้าราชบริพาร พร้อมด้วยกองเกียรติยศฉะนั้น ผู้เขียนพอจะสรุประยะเวลาไว้ง่ายๆ ดังนี้


    พุทธพัสสา ๒๒ เดือนอ้าย

    ...ขึ้น ๘ - ๙ ค่ำ - เสด็จถึงสุนาปรันตะ (บ้านมกุน) นายจุลปุณณะ (น้องชายพระปุณณะ) สร้างเรือนไม้จันทน์หอมไว้ต้อนรับพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ ๕๐๐ รูป ปัจจุบันนี้แถว วัดเพชรพลี (เดิมชื่อวัดพริบพรี) จ.เพชรบุรี พักอยู่ ๒ วัน แถวถ้ำเขางู จ.ราชบุรี เทศน์โปรดชาวบ้านชื่อ "ผันทอง" ที่มาถวายภัตตาหารด้วยคำไทย
    ...ขึ้น ๑๐ ค่ำ - เสด็จผ่านเมืองทอง (แถวคูบัว) พบพระเจ้าทับไทยทอง จึงเชิญให้ไปแคว้นมคธ
    ...ขึ้น ๑๑ - ๑๒ ค่ำ - พระปุณณเถระนำเสด็จสู่ "เกาะแก้ว" ทรงแสดงธรรมโปรดคนชาวน้ำ (ชาวเล)
    ...ขึ้น ๑๓ ค่ำ - ประทานรอยพระพุทธบาทไว้ที่เกาะแก้ว (นัมทานที บางแห่งเรียก นิมมทานที) ปัจจุบันนี้คือ เกาะแก้วพิสดาร จ.ภูเก็ต
    ...ขึ้น ๑๔ ค่ำ - เสด็จย้อนกลับมาถึงบ้านมกุน คนไทยเรียก "บ้านแม่กุน" (แม่กุน เป็นแม่ของพระปุณณะ)
    ...ขึ้น ๑๕ ค่ำ - เสด็จไปส่งพระสัจจพันธเถระ ที่เขาสัจจพันธคีรี ตรัสสั่งให้อยู่สอนคนแถวนั้น แล้วประทานรอยพระพุทธบาทไว้เป็นแห่งที่ ๒ จากนั้นจึงเสด็จกลับถึงพระเชตวัน ณ กรุงสาวัตถี ในวันเดียวกัน

    รอยพระพุทธบาทเกิดขึ้น ๒ แห่ง ในประเทศไทย

    พระพุทธเจ้าประทับอยู่ในแผ่นดินทองถึง ๘ วัน ตามหลักฐานชิ้นนี้ (ปุณโณวาทสูตร และ กเบื้องจาร) จะเห็นได้ว่า มีภิกษุชาวไทย ๒ รูปที่ได้รับการบวชจากพระพุทธเจ้าโดยตรง คือ พระปุณณเถระ และ พระสัจจพันธเถระ ซึ่งเป็นพระอรหันต์ที่เกิดขึ้นในแผ่นดินไทย พร้อมกับเกิดขึ้นของ รอยพระพุทธบาท ในประเทศไทยอีก ๒ แห่งด้วย

    ถ้าจะถามความเห็นของชาวพุทธส่วนใหญ่ เชื่อว่ารอยที่ปรากฏ ณ ฝั่งน้ำนัมทานที อยู่ที่อินเดียหรือไม่ก็ลังกาไม่ใช่หรือ แต่ถ้าได้อ่านรายละเอียดวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จแล้วจะเห็นว่า รอยทั้งสองแห่งอยู่ไม่ไกลกันเท่าใดนัก

    หากอยู่ห่างไกลคนละประเทศอย่างที่เข้าใจกันแล้ว พระพุทธองค์คงไม่เวียนไปเวียนกลับให้เสียเวลา (ตามอรรถกถากล่าวว่า "สาวัตถี" กับ "สุนาปรันตะ" ห่างไกลกัน ๓,๐๐ โยชน์ ประมาณ ๔,๘๐๐ ก.ม.)

    .....๓ พระโสณะเถระ พระอุตตระเถระ พระฌานียะเถระ พระภูริยะเถระ พระมูนียะเถระ พระอรหันต์ทั้ง ๕ รูปนี้ เป็น "คณะสมณทูต" ที่พระเจ้าอโศกมหาราช ส่งมาเผยแพร่พระศาสนา สายที่ ๙ ขึ้นฝั่งที่นครศรีธรรมราช (สมัยนั้นเรียก ช้างค่อม)

    แวะพักอยู่ระยะหนึ่ง จึงเดินทางต่อมาทางเรือยังสุวัณณภูมิเมื่อ เดือนอ้าย ขึ้น ๑๔ ค่ำ พ.ศ. ๒๓๕ ปีฉลู ตรงกับพระสมณทูต ๕ รูป เหมือนกันที่เดินทางไปลังกา อันมี พระมหินทะ พระอิฏฏิยะ พระอุตติยะ พระสัมพละ พระภัททสาละ

    .....๔ พระญาณจรณะเถระ เดิมชื่อ "ทองดี" พระโสณะเถระเป็นพระอุปัชฌาชย์ พระอุตตระเถระ สวดญัตติจตุตถกรรมวาจา ต่อมาเป็น พระสังฆราช องค์แรกของสุวัณณภูมิ

    .....๕ พระกัจจายนะเถระ เดิมชื่อ "ผิว" เป็นพระสงฆ์ไทยที่ไปช่วยพระโสณะเผยแพร่ศาสนาในอินโดนีเซีย (จอกตากอ) และอยู่ "ชวา" ช่วยเจ้าเมือง "ขุนลตูสุวาเทียน" สร้าง "วัดพุทธภูมิ" จนเสร็จ

    ......๖ พระธัมมสุนันโท เดิมชื่อ "ทองวน" เป็นโอรสของ "พระเจ้าโลกลว้า" กับ "นางหวานชื่นใจ" (น้องชายต่างมารดาของตะวันอธิราช) บวชเป็นสามเณรรูปแรกของไทย ขณะอายุ ๑๒ ปี เมื่อขึ้น ๒ ค่ำ เดือน ๔ พ.ศ. ๒๓๖ สามารถท่องพระไตรปิฎกจบ ภายในระยะเวลา ๘ เดือน ต่อมาเป็นสังฆราชองค์ที่ ๒ ของไทย เมื่อ พ.ศ. ๓๑๔


    จบสมัย "พระเจ้าโลกลว้า" ครองกรุงสุวัณณภูมิ

    ...........................................................................................................................................

    ตอนก่อนหน้านี้สามารถหาอ่านได้จากเวบวัดท่าซุงตามลิงค์ด้านล่างนี้ครับ

    http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=2348

    13.jpg
     

แชร์หน้านี้

Loading...