ดูเหมือนว่า ดวงดาวบนฟากฟ้าจะเป็นต้นกำเนิดของเทพนิยายปรัมปราชั้นดีให้กับผู้คนหลายๆ ชาติ คนสมัยก่อนมีจินตนาการเต็มเปี่ยมเมื่อได้เห็นกลุ่มดาวที่อยู่ใกล้เคียงกัน และเรียกขานชื่อเป็นสัตว์ เป็นมนุษย์ และเป็นเทพเจ้า สะสมเข้าจนเป็นนิทานแห่งดวงดาว
เมื่อโลกดาราศาสตร์ยุคใหม่ได้เผยให้เห็นความจริงว่า แสงสว่างลิบลับบนท้องฟ้านั้นแท้จริงแล้วเป็นการอุบัติขึ้นโดยธรรมชาติ และดาวที่เห็นส่องสว่างเรียงรายกันเป็นรูปปู รูปเต่า นั้น หาได้ตั้งอยู่ใกล้กันไม่ ซ้ำแสงที่มองเห็น ณ ปัจจุบัน กลับเป็นแสงในอดีตของดวงดาวที่อยู่ห่างไกลไปหลายปีแสง
ถึงแม้วิทยาศาสตร์จะเฉลยความจริงของจักรวาลออกมาเป็นระยะๆ แต่ดวงดาวและจักรวาลยังคงเก็บงำความลับไว้มากมาย และยังเก็บเป็นปริศนาให้นักวิทยาศาสตร์ได้ครุ่นคิดกันตลอดมา
เรื่องราวต่อไปนี้เป็นความลี้ลับ ความจริง และนิยายที่เกิดจากการรับรู้ข่าวสารผิดๆ บางเรื่องเป็นสิ่งที่กุขึ้นมาให้คนหลงเชื่อ และแน่นอนบางเรื่องเป็นปริศนาที่รอวันเฉลย
ความลึกลับแห่งห้วงอวกาศในห้วงอวกาศยังคงเก็บงำความลับอยู่ไม่น้อยที่ทำเอานักวิทยาศาสตร์มึนหัว
ชีวิต
กำเนิดของชีวิตเป็นความลับที่ยิ่งใหญ่ที่นักวิทยาศาสตร์เพียรหาคำตอบ ทุกคนอยากรู้ว่าชีวิตกำเนิดขึ้นมาอย่างไร แล้วยังมีสิ่งมีชีวิตอื่นนอกโลกหรือไม่ นี่เองที่ทำให้เกิดโครงการสำรวจสิ่งมีชีวิตในดาวเคราะห์ดวงอื่น และตั้งสมมติฐานว่า ในจักรวาลยังมีสิ่งมีชีวิตที่มีภูมิปัญญาอาศัยอยู่นอกเหนือจากโลกของเรา ปัจจุบัน นักดาราศาสตร์ได้ค้นพบระบบดาวเคราะห์โคจรรอบดวงฤกษ์แล้วหลายแห่ง และผู้ที่จะตอบคำถามนี้ได้คงจะเป็นนักชีวดาราศาสตร์ ซึ่งเป็นศาสตร์แขนงใหม่ที่เกิดขึ้นมา นักชีวดาราศาสตร์เหล่านี้ต้องตกอยู่ในสภาพที่มืดมนกว่านักชีววิทยาทั่วไป เพราะว่าคนเหล่านี้มีคำถามสองคำถามใหญ่ๆ ข้างต้น ซึ่งยังคงไม่สามารถหาคำตอบได้ ขณะที่นักชีววิทยาส่วนใหญ่มีข้อมูลสำหรับไขคำตอบข้อแรกอยู่เต็มมือ
เพศ
นึกไม่ถึงใช่ไหมว่าจะมีรายการนี้อยู่ในหัวข้อเกี่ยวกับอวกาศ แต่ที่ถูกจัดให้เป็นหนึ่งในปริศนาของจักรวาลก็ด้วยเหตุผลบังคับ และเป็นเหตุผลที่จำเป็นเสียด้วย เพราะเราไม่รู้ว่าทำไมสิ่งมีชีวิตถึงมีการแบ่งเพศ นักวิทยาศาสตร์สงสัยกันมานานแล้วว่า ทำไมรูปแบบของสิ่งมีชีวิตในยุคแรกถึงเปลี่ยนจากการให้กำเนิดด้วยการไม่อาศัยเพศมาเป็นการให้กำเนิดด้วยการมีเพศสัมพันธ์ จากการศึกษาเมื่อปี ค.ศ.2001 ระบุว่า ความเครียดจากเหตุการณ์อุกกาบาต หรือดาวหางพุ่งชนโลกซ้ำแล้วซ้ำเล่าอาจส่งผลให้สิ่งมีชีวิตในรูปของจุลชีพเกิดตัณหา และมีการแบ่งเพศขึ้น
จักรวาลคู่ขนาน
เมื่อไม่นานมานี้ ฮอวกิ้น นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ชาวอังกฤษ ชื่อดังได้ออกมายอมรับแล้วว่า ข้อมูลที่หายเข้าไปในหลุมดำมีโอกาสที่หลุดออกมา ไม่ได้หายแล้วหายลับไปโผล่เป็นจักรวาลคู่ขนานอยู่อีกฝั่ง ล้มความเพ้อฝันของนักแต่งนิยายวิทยาศาสตร์ ซึ่งหลังจากนี้ไปพล็อตเรื่องในไซไฟทั้งหลาย คงเลิกอ้างถึงจักรวาลคู่ขนานกันอีกต่อไป แต่เคยฉุกคิดกันบ้างไหมว่า จักรวาลที่โลกเราเป็นแค่ธุลีนี้อาจเป็นเพียงโมเลกุลเล็กๆ บนปลายนิ้วโป้งของยักษ์ปักหลั่น ซึ่งเดินแกว่งแขนไปข้างหน้าเรื่อยๆ นับตั้งแต่เกิดบิ๊กแบง ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เราไม่มีเบาะแสให้ติดตามได้เลยว่าจักรวาลของเรามีเพียงหนึ่งเดียว หรือเป็นสมาชิกหนึ่งของหลายๆ จักรวาล อย่างดีคงได้แต่หวังว่าเจ้ายักษ์คงไม่เซ่อถึงกับเอาค้อนตอกทับนิ้วโป้งของตัวเองก็แล้วกัน
สสารมืด และพลังงานมืด
เวอร์จิเนีย ทริมเบิ้ล จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียลั่นว่า "เรื่องนี้รู้กันมานานกว่า 25 ปีแล้ว เพียงแต่เราไม่รู้มันเป็นเหวอะไรต่างหาก" นักดาราศาสตร์รู้ว่า มีอะไรบางอย่างอยู่ในอวกาศที่รู้ว่ามันมีอยู่ก็เพราะถ้าไม่มีเจ้าสิ่งที่มองไม่เห็นนี้ กาแล็กซีก็รวมตัวอยู่ด้วยกันไม่ได้ แต่ถ้าพูดถึงพลังงานมืดแล้ว สสารมืดเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยไปเลย โดยเครก โฮแกน นักดาราศาสตร์จากมหาวิทยาลัยวอชิงตันในซีแอตเติลบอกว่า "พูดตามตรง เราไม่เข้าใจมันเลย เราไม่มีเบาะแสอะไรเลยเกี่ยวกับพลังงานมืด" จักรวาลมีอัตราเร่งในระดับที่เพิ่มขึ้นมาตลอด เพราะมีบางอย่างที่มองไม่เห็นทำตัวเป็นพลังต้านแรงดึงดูดคอยดึงให้เอกภพแยกตัวออก
ดาวเคราะห์ดวงที่ 10
เรื่องราวเกี่ยวกับดาวเคราะห์ดวงที่ 10 น่าจะเป็นเรื่องที่ปรากฏอยู่ในส่วนของเรื่องหลอกลวงที่จัดไว้ตอนท้ายเรื่อง แต่เหตุที่มันถูกจัดไว้ในส่วนปริศนาของจักรวาลก็เพราะมีข้อเท็จจริงปรากฏให้เห็นเกี่ยวกับดาวเคราะห์ดวงที่ 10 ซึ่งโคจรอยู่ไกลออกไปจากดาวพลูโต โดยล่าสุดเมื่อเดือนมีนาคมนักดาราศาสตร์ได้ประกาศการค้นพบวัตถุคล้ายดาวเคราะห์อยู่นอกวงแหวนไคเปอร์ (ลงใน The Universe ฉบับที่แล้ว) แต่ก็ยังไม่สามารถฟันธงได้เต็มไม้เต็มมือว่า เจ้าวัตถุที่พบนี้จะเรียกว่าดาวเคราะห์ดวงที่ 10 ดีหรือไม่
ไฮเปอร์โนวา
นานมาแล้ว นักดาราศาสตร์ได้ตรวจพบการปล่อยประจุพลังงานออกมาจากอวกาศที่อยู่ไกลออกไปมาก แรงระเบิดที่พบนี้เกิดขึ้นเพียงช่วงสั้นๆ นักดาราศาสตร์พยายามหาอยู่ว่าอะไรเป็นต้นเหตุของแรงระเบิดนี้ โดยได้ตั้งข้อสมมติฐานว่า เมื่อเกิดการระเบิดซูเปอร์โนวา พลังงานจำนวนมหาศาลจะถูกปล่อยออกมาเป็นแท่งลำแสงยาวตลอดแกนกลางของดาว
เสียงพิลึกกึกกือจากฝนดาวตก
เวลาที่เกิดฝนดาวตกมีบางคนได้ยินเสียงวี๊ด หรือเสียงหึ่งๆ ดังลั่น จากนั้นจึงสังเกตเห็นลูกไฟสีเขียววิ่งตัดขอบฟ้าไป นักวิทยาศาสตร์ที่ได้ชมภาพจากวิดีโอที่บันทึกไว้ยังไม่สามารถหาคำตอบเรื่องนี้ได้ และยังมีคนอ้างถึงเรื่องเสียงประหลาดที่มาพร้อมกับฝนดาวตกอีกไม่น้อยเหมือนกัน
มีดาวเหนือแล้วทำไมไม่มีดาวใต้
มีสิ พบแล้วนะ
เทพตำนานในอวกาศ
เรื่องต่อไปนี้เป็นเรื่องที่ผูกกันขึ้นมาแค่นั้น หาความจริงไม่ได้ และมักเกิดจากจินตนาการเหมือนมองก้อนเมฆเป็นรูปร่าง
"สุดปลายขอบจักรวาลคือ ... "
ปัญหาข้อเดียวของวลีนี้ก็คือ จักรวาลไม่มีขอบเขต เมื่อเป็นเช่นนี้จะวัดหยั่งได้อย่างไร ก็คงต้องบอกว่าไม่ต้องวัด ให้นึกถึงบอลลูนที่ขยายตัวพองขึ้นเรื่อยๆ แล้วเอามดไปวางไว้หนึ่งตัว จากนั้นถามมดที่อยู่บนบอลลูนว่า ไหนลองหาขอบของลูกโป่งสิ มันอาจจะเดินไต่ไปเรื่อยๆ แต่ก็ไม่มีวันหาขอบลูกโป่งเจอ
ดวงอาทิตย์มีเพื่อนเหมือนกันคือ เนมีซิส
เรื่องนี้เกือบตกลงไปอยู่ในหัวข้อว่าด้วยเรื่องหลอกลวงเหมือนกัน เพราะว่านักเขียนบทความมักจะอ้างถึงสิ่งที่เคยพบกันก่อนหน้านี้ แต่ก็ยังไม่มีข้อเท็จจริงยืนยันในเรื่องนี้ นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่ามีความเป็นไปได้ที่ดวงอาทิตย์จะมีดาวคู่บริวาร แต่ที่สำคัญคือ ไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่า ใกล้กับดวงอาทิตย์มีดาวฤกษ์แสงริบหรี่อยู่จริง ซึ่งถ้ามีอยู่ก็คงเป็นพวกดาวแคระสีน้ำตาล โคจรรอบดวงจันทร์ ดาวแคระสีน้ำตาลเป็นดาวฤกษ์ที่มีพลังงานไม่พอที่จะสร้างปฏิกิริยานิวเคลียร์ แต่ก็ยังจัดเป็นดาวอยู่ดี พลังงานที่มีอยู่ค่อนข้างจำกัดจำเขี่ย และเกือบจะมองไม่เห็นแสง จึงไม่ง่ายนักที่จะมองเห็น
ดวงอาทิตย์พุงป่องขึ้นเมื่อใกล้ตกดิน
ไม่จริงเลย มันแค่ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้นแค่นั้น อยากรู้ไหมว่าทำไมมันจึงเป็นอย่างนั้น เวลาที่พระอาทิตย์คล้อยลงมาใกล้ขอบฟ้า การหักเหของแสงจากดวงอาทิตย์จะสังเกตได้ง่ายขึ้น เพราะว่าแสงจะต้องเดินทางผ่านบรรยากาศมากขึ้น หมายความว่า แสงจากด้านล่างของดวงอาทิตย์ต้องเดินทางผ่านชั้นบรรยากาศมากขึ้นกว่าแสงจากส่วนบน ดังนั้น มันจึงหักเหขึ้นไปข้างบนเล็กน้อย จึงดูเหมือนว่าดวงอาทิตย์ละลาย หรือม้วนขึ้นเหมือนกับบังตาหน้าต่าง คนเลยเห็นไปว่าดวงอาทิตย์อ้วนเผละ มันเป็นแค่ภาพลวงตา ซึ่งเกิดกับดวงจันทร์เหมือนกัน
ดาวตกเสียดสีบรรยากาศจนไหม้เป็นจุณ
ความเข้าใจคลาดเคลื่อนนี้มักจะถูกสื่ออ้างมั่วอยู่บ่อยๆ แต่ความจริงแล้ว ดาวตกจะระเหยเป็นไออันเนื่องมาจากแรงกดดันที่เกิดจากการพุ่งไปข้างหน้า อากาศที่อยู่ด้านหน้าของหินอวกาศจะมีแรงอัดและความร้อน เหมือนกับเวลาใช้ปั๊มมืออัดอากาศสูบล้อรถ
ดาวหางมาเยือนทำให้ความรุ่งเรืองล่มสลาย
เรื่องที่ปรากฏเป็นตำนานมันมีพื้นเพมาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง แต่พจนานุกรมระบุว่า ตำนานอาจจะอิงจากเรื่องจริงหรือไม่ก็ได้ กรณีนี้ก็เช่นกัน ไม่มีใครรู้ว่าดาวหางหรืออุกกาบาตลูกสุดท้ายมาเยือนโลกเมื่อไร หรือเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้และได้เปลี่ยนประวัติศาสตร์มนุษยชาติไปอย่างมหันต์ แต่เมื่ออ่านเรื่องราวจากคัมภีร์ไบเบิล การทำนายเกี่ยวกับวันสิ้นโลก ศิลปะโบราณ และข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์ล่าสุด พอเห็นเค้าว่ามีเหตุการณ์หลายครั้งเกิดขึ้นต่อเนื่องช่วงประมาณ 2350 ก่อนคริสตกาล ซึ่งได้ทำลายล้างความรุ่งเรืองในยุโรป เอเชีย และแอฟริกา เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นประจวบเหมาะนี้จะเป็นผลพวงจากดาวหางพุ่งชนโลกหรือเปล่า อย่างน้อยเรารู้กันในตอนนี้ว่า นั่นแหละตำนานปรัมปรา
สถานีอวกาศไม่มีแรงโน้มถ่วง
มันก็ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้น แต่จริงๆ แล้วเป็นแค่มายากลอย่างหนึ่ง สถานีอวกาศอย่างพวกดาวเทียม จะมีสภาวะที่คล้ายกับหล่นสู่โลกอยู่ตลอดเวลา แต่มันจะคอยปรับตัวให้ขยับอยู่ในวงโคจรอยู่ตลอดเช่นกัน ทำให้สถานีอวกาศและดาวเทียมไม่ตกลงมายังชั้นบรรยากาศโลก และทำให้เกิดภาวะสมดุลเหมือนกับภาวะไร้แรงโน้มถ่วงที่นักบินอวกาศล่องลอยตัวอยู่
ภาพจากกล้องฮับเบิลเป็นภาพถ่ายจริงๆ
เรื่องนี้ต้องอธิบายอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้เป็นการโกหกกันอย่างหน้าด้านๆ ภาพของกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิลเป็นภาพจริงๆ แต่ไม่ได้หมายความว่ามันอวดให้เห็นความเป็นจริง วัตถุสวยงามที่บันทึกภาพโดยฮับเบิล เป็นเพียงกลุ่มก๊าซที่ไม่มีวันที่สายตาของมนุษย์ปุถุชนจะมองเห็น แต่กล้องฮับเบิลทำหน้าที่รวบรวมแสงเป็นเวลาหลายวินาที หรือหลายนาทีเพื่อสร้างรูปลักษณ์ของเนบิวลาขึ้นมา จากนั้นหน่วยประมวลผลภาพจะใช้โปรแกรมโฟโต้ชอป ซึ่งเป็นโปรแกรมตัดแต่งภาพยอดนิยมเพื่อแยกภาพที่ฮับเบิลจับภาพไว้ออกเป็นสามสี (รวมถึงแสงด้วยซึ่งจะยิงลงมาที่โลกเป็นเฉดสีเทา ไม่ใช่ภาพสี) แล้วถึงนำภาพมาซ้อนกันเพื่อให้เกิดเป็นภาพที่สวยงาม ซึ่งนักวิทยาศาสตร์สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้มากกว่าเมื่อได้เห็นสีสันที่แตกต่างกันของภาพอวกาศ ในการบันทึกภาพอินฟราเรด จำเป็นต้องใช้สีจากแถบสีสเปคตรัมที่มองเห็นได้ ไม่อย่างนั้นแล้วจะไม่เห็นอะไรเลยเหมือนกับมองอวกาศด้วยตาเปล่า
เรื่องหลอกลวงแห่งจักรวาล
มีเรื่องมากมายที่ถูกปั้นแต่งขึ้นมา และที่ฮือฮามากที่สุดเห็นจะเป็นเรื่องที่บอกว่า มนุษย์ไม่เคยไปย่ำดวงจันทร์ ซึ่งความคิดดังกล่าวจัดว่าเป็นความคิดที่เหลวไหลที่สุดแห่งยุคอวกาศ และคนที่เชื่ออย่างนั้นมีแนวโน้มที่จะพูดให้เปลี่ยนใจได้ยาก อีกเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องที่พูดกันว่า ถ้าดาวเคราะห์มาเรียงตัวกันเมื่อไร หายนะมาเยือนแน่ ซึ่งไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นเลยสักครั้ง ดูอย่างคำทำนายเมื่อครั้งดาวเคราะห์เรียงตัวกันเมื่อปี 2000 นักโหราศาสตร์ต่างทำนายกันยกใหญ่ว่าปฐพีจะสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น และมนุษย์จะตายกันเป็นใบไม้ร่วง ดวงอาทิตย์จะมีอิทธิพลให้แกนโลกเอียง แต่ที่สุดแล้วโลกก็ผ่านพ้นมาโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้นสักอย่าง
มีอีกเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นเพราะจินตนาการของมนุษย์ล้วนๆ ซึ่งก็คือ ภาพพื้นผิวบนดาวอังคารที่เผยแพร่โดยองค์การนาซา เป็นภาพที่ดูแล้วมีลักษณะคล้ายกับใบหน้ามนุษย์ ทำเอาหลายคนหลงเชื่อว่าเป็นจริง และก็ยังเชื่ออยู่อย่างนั้น เมื่อปี ค.ศ.1976 นาซาได้เผยแพร่ภาพที่บันทึกโดยยานสำรวจไวกิ้ง เป็นภาพบริเวณไซโดเนียบนดาวอังคาร จนในที่สุดนาซาต้องออกมาแถลงอย่างเป็นทางการว่า " ... ความผิดพลาดส่วนหนึ่งเป็นเพราะประสาทรับรู้ของมนุษย์เมื่อมองเห็นภาพหินที่ชำรุดบนดาวอังคาร ซึ่งเมื่อมองแล้วดูคล้ายกับมีใบหน้ามนุษย์อยู่กลางภาพ"
เรื่องโกหกหลอกลวงที่สร้างความสนใจได้มากที่สุดหนีไม่พ้นเรื่องวันสิ้นโลก เห็นได้ง่ายๆ ภาพยนตร์เรื่องไหนที่จับเอาวันสิ้นโลกมาเป็นจุดขาย มักโกยรายได้ถล่มทลายทุกที่ ไม่ว่าจะเป็น ID4 , Deep Impact หรือล่าสุด คือ The Day After Tomorrow ไม่ว่าจะสมัยไหนเป็นได้ผล แต่ก็ยังไม่เคยเกิดขึ้นจริงสักครั้ง ก็ได้แต่หวังว่า อย่าได้เกิดขึ้นเลย
จาก
http://www.bangkokbiznews.com/scitech/2004/1202/news.php?news=column_15630493.html
นิทานดาว และมหัศจรรย์แห่งจักรวาล
ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Kamen rider, 6 มกราคม 2005.