สวัสดียามเย็น มะมีเรื่องเล่า ครับ
นิทาน เรื่อง "พญานาค"
ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย คุรุวาโร, 31 ธันวาคม 2011.
หน้า 767 ของ 1157
-
มาแอบดูว่ามีพี่ๆจะเล่านิทานให้ฟัง
-
คนเล่านิทานหนีไปหมดแล้วค่ะ คงต้องให้น้องแตเล่าแทนแล้วล่ะ
รออ่านหนอ....:cool:
ถ้าพี่เล่าก็ไม่ใช่เรื่องพญานาค เพราะไม่ถนัดค่ะ
เรามันธรรมดาอ่ะนะ เรื่องอื่นพอได้ค่ะ -
มีอยู่เรื่องหนึ่งน่าสนใจค่ะ มาจากหนังสือประวัติพระโพธิสัตว์ หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด
"พุทธะ" อยู่ในกายมนุษย์
อีกจุดหนึ่งที่มนุษย์ไม่ยอมสนใจ คือไม่สนใจค้นในกายของตนเอง สิ่งหนึ่งที่เรียกว่า "พุทธะ" นั้นอยู่ในกาย ถ้าจิตของผู้นั้นสามารถค้นเข้าไปถึงกายในกายอันบริสุทธิ์ สิ่งนี้ภาษาทางโลกเรียกว่า "พลัง" ชนิดหนึ่งที่ยอดเยี่ยมอยู่ในตัวเรา แต่เราไม่รู้จักค้นออกมาใช้ เพราะอะไรเล่า ทำไมเราจึงถามว่า เหตุใดองค์สมณโคดมจึงสามารถระลึกชาติได้ เพราะมีบุพเพนิวาสานุสติญาณ มีอนาคตญาณ หรือมีญาณอะไร สิ่งเหล่านี้ เราไม่ต้องไปรับรู้ เราไม่ต้องยุ่ง เราไม่ต้องคิดถึงว่าเราจะได้ฌานโน้นฌานนี้
หลักการปฏิบัติอันหนึ่งมีอยู่ว่า เราจะยึดอะไรเป็นสรณะของการเริ่มปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน คำว่า "กรรมฐาน" นั้นหมายถึงการกำหนดจิตของเราให้จดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เพื่อรวมพลังจิตไม่ให้ฟุ้งซ่าน เมื่อรวมจนได้อารมณ์แห่งการปิติ คือนิ่งเฉยแห่งจุดนั้น เมื่อนั้นให้ขึ้นวิปัสสนา "วิปัสสนา" คือให้พิจารณาในทุกสิ่งทุกอย่างว่าเป็น อนัตตา "อนัตตา" คือการเดินไปสู่โลกแห่งนิพพาน โลกแห่งอรหันต์ โลกแห่งโพธิสัตว์ โลกแห่งอนาคามี โลกเรานี้เป็นโลกแห่งอัตตา ทำอย่างไรเราจึงจะไปสู่จุดแห่งการเป็นอนัตตาได้ (ไม่ใช่อัตตา)
เหนือธรรมชาติ
กฏแห่งกรรมมีอยู่ว่า มนุษย์ทุกคนต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏสงสาร ไม่รู้จักกี่ภพกี่ชาติ ไม่มีที่สิ้นสุดแห่งการเป็นมนุษย์ เมื่อไม่มีที่สิ้นสุดแห่งการเป็นมนุษย์มันก็เวียนอยู่นี่ วนอยู่นี่โดยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรจึงจะหลุดออกจากคลื่นอันนี้ มันแสนจะลำบาก และจะเหนื่อยยาก จึงหาวิธีปฏิบัติ พูดง่ายๆ ก็คือ ธรรมชาติเคลื่อนไปสู่ธรรมชาติ แต่เราจะบำเพ็ญไปสู่นิพพาน คือสามารถทำจุดใดจุดหนึ่งให้เหนือธรรมชาติ นี่คือภาษาของหลักแห่งธรรมะ
ซึ่งฟังแล้วก็ไม่เข้าใจ เมื่อผู้ใดปฏิบัติ ผู้นั้นจะรู้เอง สิ่งใดที่เราแทงทะลุปรุโปร่ง มีจุดเริ่มแรกจุดหนึ่งซึ่งเรียกว่า จิตได้ฌาน เมื่อจิตได้ฌานแล้ว เราจะทำสิ่งใดเราก็สามารถรู้โดยจิตที่ได้ฌาน คือสภาวะแห่งธรรมชาติอันนั้นมีให้เราใช้ เพราะอะไรเล่า เพราะธรรมชาติมีกฏของมัน กฏแห่งการลงโทษ กฏแห่งการปลดปล่อย กฏแห่งความอิสระ ฉันใดฉันนั้น วิธีการอันนี้แหละ จึงทำให้รู้ว่า การที่จะเดินตามรอยองค์สมณโคดมที่แท้จริงนั้น ไม่ใช่อยู่ที่ตำรา ไม่ใช่อยู่ที่เป็นนักพูด เราพูดมากแล้วเราเก่ง หาใช่สิ่งเหล่านี้ไม่ -
นิทาน เรื่อง เป้าหมายแห่งความแน่วแน่
ครั้งหนึ่งมีธรรมนิยายเรื่องหนึ่ง "เป้าหมายแห่งความแน่วแน่" ของพระโพธิสัตว์ พระพุทธเจ้าได้เกิดเป็น "อีแต" หรือนางแตอยู่ในป่าแห่งหนึ่ง เกิดน้ำท่วมและท่วมลูกทั้งหมดพัดลงไปสู่น้ำทะเล
ความแน่วแน่ของพระโพธิสัตว์ที่เสวยชาติเป็นนางแตนั้น ก็เลยพยายามใช้หางฟาดในน้ำทะเลเพื่อให้น้ำทะเลแห้ง เป็นการที่จะช่วยลูกของตนที่อยู่ในกลางทะเลแห่งความบ้าคลั่ง
จนกระทั่งร้อนถึงพระอินทร์ต้องลงมา ถามนางแตว่า "หางอันนิดหนึ่งของท่านจะตวัดน้ำในทะเลทั้งทะเลแห้งนั้น จะต้องใช้เวลากี่กัปกี่กัลป์
จึงสามารถทำให้น้ำทะเลทั้งทะเลแห้งได้ นางแตก็ตอบพระอินทร์ว่า "ถึงแม้ทะเลจะลึกจะใหญ่ขนาดไหน ฉันมีความแน่วแน่ที่จะช่วยลูกฉันที่ตกอยู่ในทะเลนี้
ให้ขึ้นจากการจมน้ำตาย ถึงแม้จะใช้หางน้อยๆ ตวัดน้ำขึ้นสู่บนบกได้ทีละไม่กี่หยด ฉันก็ตั้งเป้าหมายไว้แล้วว่า ถึงตวัดน้ำจนฉันตายฉันก็ขออธิษฐานเกิดมาเป็นอีแตอีก
เพื่อมาตวัดน้ำในทะเลทั้งทะเลให้แห้ง เพื่อช่วยลูกให้พ้นจากการจมน้ำตาย" -
-
-
คืนนี้ จะเล่าแต่เรื่องของพระโพธิสัตว์ หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด ให้อ่านก่อนนอนนะ
ไม่ยึดติดเสียง
ผู้ใหญ่ไม่ใช่อยู่ที่เกิดก่อน ผู้ดีไม่ใช่อยู่ที่เรียนสูง มารยาทจรรยาของการเป็นผู้ใหญ่ก็คือ ต้องสุขุมรอบคอบ และจะต้องไม่ยึดติด "เสียง" เป็นหลัก "เสียง" นี่ไม่มีตัวตน แต่เสียงสามารถทำให้มนุษย์ฆ่ากันได้ เสียงสามารถทำให้มนุษย์รักกันได้ ถ้ามนุษย์ผู้ใดคิดจจะทำงานเพื่อส่วนรวมก็ดี จะอวดตนเป็นผู้ใหญ่ก็ดี ควรจะต้องไม่ติด "เสียง" เป็นจุดแรกก่อน
ทีนี้การเป็นคน ท่านยึดเสียงหรือไม่ ท่านยึดคำพูดดีหรือไม่ ท่านยึดคำพูดเลวหรือไม่ ถ้าท่านยังยึดสิ่งเหล่านี้แล้ว ท่านจะเป็นนักพรตที่ดีไม่ได้ มนุษย์ถ้ายังติดเสียง ติดคำชม และด่า มนุษย์ผู้นั้นยังมีใจไม่ถึงธรรม "สัจธรรมเป็นธรรมอันประเสริฐ" เป็นสิ่งที่แน่แท้ก็เพราะว่า ความจริงย่อมเป็นความจริง สิ่งที่เลวก็เป็นความจริงแห่งความเลว สิ่งดีก็เป็นความจริงของความดีที่จะกล่าวต่อไปในยุคต่างๆ ของมันเอง โดยไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงได้ ธรรมชาติของโลกียะและโลกุตระมันเดินของมันเอง เราจะชนะความเลวด้วยความดี เราต้องมีอุเบกขา -
ฉันใด พระโพธิสัตว์เป็นได้ทั้งชายและหญิงจ้ะ เว้นแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้น จึงจะเป็นชาย -
:z8:z8:z8:z8ไปหาอะไรกินก่อนค่ะแล้วจะมาแอบอ่านอีก
-
อุเบกขา
ธรรมะข้อ "อุเบกขา" สำคัญอย่างไร สำคัญเพราะหมายถึงปลงตก โดยยอมรับสภาพความจริงตามกฏธรรมชาติ
กฏแห่งอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้วต้อง "อุเบกขา" ต่อสิ่งที่เกิดขึ้น เราต้อง "อุเบกขา" ต่อสิ่งที่กำลังจะเสื่อมลง
เราต้อง "อุเบกขา" ต่อสิ่งที่สลาย เราต้อง "อุเบกขา" ต่อการเกิดแก่เจ็บตาย
เราต้อง "อุเบกขา" ต่ออายตนะที่เข้ามาทางหู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ
เราต้อง "อุเบกขา" ต่อสิ่งที่เข้ามากระทบ เราต้อง "อุเบกขา" ต่อวันเวลาที่ผ่านไป
เราต้องอุเบกขาต่อความตายที่ตามเราเข้ามาทุกขณะ เราต้อง "อุเบกขา" ที่พร้อมที่จะตาย
และเราต้อง "อุเบกขา" ที่ตายแล้ว ไปใช้กรรมที่ไหน แล้วเราต้อง "อุเบกขา" พร้อมที่จะไปอยู่นรกหรือสวรรค์
ถ้าเราเข้าถึงธรรมะข้ออุเบกขาอย่างถ่องแท้ได้แล้ว เราก็มีความสุข มีความสุขโดยไม่ต้องมีความเสียดาย
ไม่มีความเสียใจ ไม่มีความพอใจ ไม่มีความชอบ ไม่มีความเกลียดชัง ไม่มีความว่าจะต้องทำ
และไม่มีความว่าไม่ต้องทำ นั่นคือ อารมณ์แห่งความอุเบกขาที่แท้จริง
แต่เราเข้าไม่ถึงตัวอุเบกขาแล้ว เราย่อมปล่อยให้อารมณ์อ่อนไหวไปตามการมาของอายตนะ
เราย่อมปล่อยให้อารมณ์เป็นไปตามการเข้าออกของ โทสะ โลภะ โมหะ ความพอใจ ไม่พอใจ
จิตนิ่ง
"จิตแห่งความนิ่ง" คือไม่มีการถืออารมณ์ใดๆ เป็นหลัก อารมณ์ของการชมไม่ใช่เป็นสิ่งที่ดี คำชมก็จับออกมาดูไม่ได้
เพียงแต่เป็นอารมณ์ของอายตนะที่ผ่านไป คำชมหรือคำด่าก็จับออกดูไม่ได้ เพียงแต่เป็นอารมณ์ของอายตนะที่ผ่านไปว่าเป็นคำด่า
เพราะฉะนั้น คำสรรเสริญหรือคำนินทา ถ้าเรายึดไว้เป็นหลักแล้ว จิตก็ย่อมไม่สงบ ถ้าเราไม่ยึดคำสรรเสริญ คำนินทาเป็นหลัก
เราก็มีความสงบของจิตได้ เมื่อจิตสงบได้ดีก็เกิดความประภัสสร เมื่อเกิดความประภัสสรก็เกิดปัญญา ปัญญาที่ดีก็ทำให้จิตเอิบอิ่ม
จิตเอิบอิ่มก็ทำให้ร่างกายผ่องใส ไม่มีทุกข์ไม่มีร้อน
สากลจักรวาลโลกมนุษย์นี้ ทุกคนมีกรรม จึงมาเกิดเป็นสัตว์โลก สัตว์โลกทุกคนจะต้องใช้กรรมตามวาระ ตามกรรม
ถ้าทุกคนจะถืออารมณ์ก็เกิดการเข่นฆ่า เกิดการฆ่าฟันกันเพราะอารมณ์แห่งการยึดอายตนะ
สิ่งเหล่านี้แหล่ มนุษย์ไม่สอนไม่พูดไม่พิจารณากัน จึงทำให้เกิดความฟุ้งซ่านขึ้นในโลกมนุษย์มากขึ้น
เพราะฉะนั้น ถ้าอยากจะเป็นคนที่มีอายุ วรรณะ ผิวพรรณผ่องใสก็อย่าไปถืออารมณ์ของคนอื่นมาปรุง จะต้องพิจารณาให้ถ่องแท้ว่า
สิ่งใดทำไปแล้วสัตว์โลกมีความสุข สิ่งนั้นควรทำ นี่คือหลักความจริงของธรรมะ -
สวัสดีค่ะ ท่านประทาน และสมาชิกทุกท่าน ฝนแก้วนะค่ะ
อยากถามท่านประธานค่ะ ว่าลูกแก้ว ขององค์แม่ย่าศรีุสุดาจันทร์ทิพย์ ลูกแก้วท่านใหญ่ประมาณขนาดไหนได้ค่ะ และท่านพอทราบหรือเปล่าค่ะ ว่าสีอะไร ^^
รบกวนด้วยค่ะ ขอบคุณค่ะ -
มัวไปหมกมุ่นอยู่ที่ไหนมา นานๆ เข้ามาที แล้วก็ลืม
การบริโภคข้อมูลมากไปไม่ดีนะคะ ทำให้สับสน
ต้องถามตัวเองก่อนว่าจะเชื่อใคร แล้วค่อยมาถามใหม่นะคะ
สำหรับเราไม่เคยถามใครมาก่อนในเรื่องนี้
ตั้งแต่เด็กๆ ก็ถามแต่ตัวเอง ว่าเป็นใคร มาจากไหน
ความคิดความอ่านก็ไม่ค่อยเหมือนใคร
ไม่เคยเล่าให้ใครฟัง กลัวเค้าจะว่าเราบ้า เพราะความจริงก็บ้า
พอมาเจอกระทู้นี้ เหมือนได้มาเจอพวกเดียวกัน ดีใจค่ะ
555 บ้าเหมือนกัน เลยคุยกันได้ เรื่องราวของเรา
ยังไม่จบง่ายๆ จิ๊กซอร์ที่ได้รับมันขาดหายไปเยอะเลย
เรามีแต่ท่อนแรกกับท่อนสุดท้าย ท่อนกลางหายไป
โยงยังไงก็ไม่ติด การรู้ของเรามักจะมาจากที่เราปฏิบัติเอง
แล้วรู้เอง แต่จะรู้เป็นตอนๆ ไม่ปะติดปะต่อ เหมือนไม่อยากให้รู้
สิ่งที่เคยเห็นเองจากนิมิต ก็คือภาพตัวเองและพี่น้องผู้หญิง
ส่วนคู่ครอง บุตรบริวารไม่เคยเห็นเลย แล้วก็ท่านแม่
เป็นหญิงสูงวัยที่งดงาม ผมขาวเกล้าสูง เราเห็นเมื่อจิตสงบ
ภาพนั้นลอยขึ้นมาเพียงชั่วอึดใจเดียว -
เส้นหัวใจโลเล ขาดความเชื่อมั่นในตัวเองค่ะ
สวยค่ะ สีเหลืองทองให้คุณทางโชคลาภทรัพย์สินค่ะ
จะเลี่ยมแล้วใส่สร้อย หรือทำหัวแหวนก็ได้คะ
หรือจะบูชาก็ได้ค่ะ ให้แช่น้ำลอยดอกมะลินะคะ
สัมผัสแล้วเปรียบเทียบกับวัตถุที่มีขนาดเดียวกัน จะหนักกว่านะคะ
และจะร้อนค่ะ แค่จับก็รู้แล้วว่าร้อน ที่มีเคยได้มาก็ขนาดเดียวกันนี้
พอจับก็ร้อนค่ะ และรู้สึกหนัก ภายในจะเหมือนมีน้ำกลิ้งอยู่
ตอนนั้นก็อธิษฐานจิตเหมือนกันค่ะ แต่พอได้มาจริงๆ แล้ว
ก็ไม่อยากเก็บไว้เป็นสมบัติส่วนตน ก็เลยอธิษฐานเชิญท่าน
ไปช่วยสร้างวัดค่ะ และนำไปถวายวัด -
-
เหล่า นาคี นาคา ทุกท่าน และที่ไม่ใช่นาคา ไม่ใช่นาคี ทุกท่าน หลับฝันดีครับ
-
-
ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ;welcome3 -
ขอบคุณมากค่ะ คุณนุ๊ก ไว้จะถามพี่รั้งดูค่ะ ^^ -
สวัสดีค่ะเช้าวันอาทิตย์ วันหยุดงานของทุกคน
วันนี้ก็เลยพากันนอนตื่นสายนะ หรือไม่งั้นก็คงไปเที่ยวผ่อนคลายกันหมด
แต่เราไม่มีที่ไปแถมถูกทิ้งอีกต่างหาก....แง:'(
เมื่อคืนนอนสมาธิค่ะ เพราะอยู่บ้านกับสุนัขตัวโปรด เงียบเหงาดีจัง
ไม่ได้เข้าห้องพระ เพราะว่าดึกเกินไป เดี๋ยวไปนั่งหลับอีก
ก็เลยนอนกำหนดพร้อมอธิษฐาน เมื่อหลับไปแล้ว
ฝันค่ะ....ฝันเยอะแยะเลย แต่จำได้แค่หน่อยเดียว
ไปสถานที่แห่งหนึ่ง (อีกแล้ว) ก็ไม่รู้จักว่าเป็นที่ไหน
ก็เลยต้องใช้คำว่า "แห่งหนึ่ง" แต่เป็นป่าเต็มไปด้วยหญ้าที่สูงท่วมหัวคน
เดินไปค่ะ ตอนที่เดินไม่ได้คิดว่าเป็นป่าหญ้า พอไปได้สักพัก
นึกได้ว่าป่าหญ้า ให้ระวังงูเพราะหญ้ารกมาก ก็เลยก้มมองที่ทางเดิน
เห็นลูกกระต่ายหนึ่งตัวอยู่ในโพรงหญ้าแล้วก็กบหนึ่งตัว เฮ้อ...โล่งอก
ไม่มีงู ขณะที่เดินอยู่มีคนเดินสวนมาและบอกว่าอย่าเข้าไปในป่าข้างหน้านะ
เพราะว่าอันตรายมาก มีคนเข้าไปแล้วกลับออกมาไม่ได้ ตอนนี้ก็หายเข้าไป
สี่ห้าคนแล้ว
อ้าว...แล้วทำไมไม่บอกเค้าล่ะ ทำไมไม่เรียกพวกเค้าออกมา (คิดในใจ)
สี่ห้าคนนี้เป็นผู้หญิงทั้งหมดที่หายเข้าไป ไม่ได้การต้องเข้าไปช่วยพวกเค้า
นั่น...แม่คนดีศรีสังคม เอาอีกแล้ว จะเข้าไปช่วยพวกเค้าค่ะ
ก็เลยเดินไปตามทางที่เค้าห้ามไว้ พอไปถึงมองไม่เห็นทางค่ะ
เพราะว่าหญ้าที่สูงท่วมหัวและรกมาก แต่มีผู้หญิงเดินสวนทางมา
เราไม่ได้สนใจ ข้างในดูน่ากลัวลึกลับเพราะมองทางไม่เห็นเลย
เห็นแต่ต้นหญ้ากับต้นไม้ใหญ่ๆ สี่ห้าคนนั้น คงเดินเข้าไปลึกแล้วหละ
เอาไงดี อยากจะเข้าไปช่วยแต่ก็กลัว เพราะไม่รู้ว่าข้างหน้ามีอะไร
ยืนลังเลค่ะ จะเข้าให้รู้แล้วรู้รอดเลยดีมั้ย แต่คนนั้นเค้าบอกว่ามีอันตราย
อยู่ด้านใน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าคืออะไร...ขณะที่กำลังลังเลและตัดสินใจจะเข้าไป
เจ้าหมูหยองก็ดันเห่าขึ้น เพื่อให้เปฺิดประตูห้องออกไปทำธุระ ทำให้เราตื่นซะนี่
ก็เลยไม่ได้เข้าไปค่ะ ตกใจตื่นจากเสียงเจ้าหมูหยอง จนลืมฝันไปบางส่วนค่ะ
หน้า 767 ของ 1157