นิพพาน คือ เหมือนในหนัง ไซอิ๋ว ใช่ไหม

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย pakung, 17 เมษายน 2008.

  1. keawnum Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +51
    สวัสดี

    บางทีบางสิ่งที่ผมกล่าวไปนั้นไม่ต้องเก็บไปคิดมากนะครับ

    บางคนอาจสงสัยว่าผมใช้สมมติ ติดสมมติรึเปล่า เห็นทักกันเยอะ เลยเอามาตอบครับ

    ก็ถ้าไม่ใช่คำว่าสมมติ ผมก็ไม่รู้จะใช้อะไร เพราะการบรรยายธรรมใดๆล้วนต้องใช้สมมติแทบทั้งสิ้น ก็ไม่ได้อยากใช้หรอกครับ แต่สิ้นสุดปัญญาผมที่จะหาคำมาใช้ให้เพื่อความใกล้เคียง อย่างที่กล่าวเอาไว้ จะเอาสิ่งที่คนไม่เห็นมาบรรยายเขาก็ไม่เห็น ผมเลยต้องเอาคำว่าสมมติมาให้เห็น

    การบรรยายธรรมบางครั้งก็ใช้ตัวหนังสืออย่างเดียวไม่ได้ มีกุศโลบายอีกมากมายครับ คิดว่ามีบางคนก็พอเข้าใจแล้ว เช่น คุณขวัญ คุณ jinny95

    ที่จริงก็เก่งๆกันทุกคนครับ ผมแค่เข้ามาขอคำชี้แนะจากท่านๆเท่านั้น

    ที่จริงตัวทุกข์เราคงหนีไม่ได้หรอกครับ แต่เราสามาถพิจารณาแล้ววางตัวทุกข์ได้ แล้วก็ปล่อยมันไปตามแต่เหตุปัจจัยของมัน ไม่ต้องไปเฝ้ามัน เหมือนที่หลายๆท่านกล่าวไว้ ปิด 5 ดู 1

    เพราะทุกข์เกิดที่ใจครับ ไม่ใช่ประสาทสัมผัสทั้ง 5 สังเกตุว่าประสาทสัมผัสทั้ง 5 สัมผัสตัวทุกข์ไม่ได้ ใจเท่านั้นที่สัมผัสได้ (ในใจก็ยังมีสัญญา อุปาทานอีก)

    สุดท้าย 6 ตัว ก็ยึดถือไปแล้วก็ทุกข์ นั่งตามดูก็ทุกข์ อะไรก็ทุกข์ เลยปล่อยตัวทุกข์ซะเลย ง่ายดี เพราะหนีมันไม่พ้น เลยพิจารณาที่ตัวทุกข์แทน

    การที่ปล่อยวาง ไม่ใช่ว่ามีอะไรแล้วทิ้งขว้างปล่อยวางเลยนะครับ กว่าจะวางได้ซักตัว นี่พิจารณาแล้วพิจารณาซ้ำไปมาหลายรอบมาก ว่ามันคืออะไรมีที่มาที่ไปอย่างไร ทำไมมันถึงสัมพันธ์ กับ สัมผัสอื่น

    อ๋อ ที่แท้เราไปเอามันมาสัมพันธ์กันเองแหละ เช่น เราเห็น มะนาว น้ำลายไหล มีกลิ่นเปรี้ยวๆ

    ถ้ามานั่งแยกแล้ว ได้กลิ่นเปรี้ยวก็ไม่เห็นต้องน้ำลายไหลเลย เอาตัวยึกมั่นออก มันก็ไม่เกี่ยวข้องกัน ถ้าคนพิจารณาดีก็คลายกำหนัดได้อัตโนมัติ ต้องแยกตัวมะนาวอีกว่าสีเขียว ทรงกลม แบบนี้เรียกมะนาว เกิดจากรวมตัวธาตุ สมมติมา สุดท้ายพิจารณาเสร็จก็ต้องทิ้งหมดอีก

    เพราะการพิจารณาก็ปรุงแต่งเหมือนกัน

    ตอนนอนผมก็พิจารณาอาการง่วง สรุปคือ นอน ทั้งคืน รู้ตัวทั้งคืน แต่นอนอิ่ม แถมสามารถคุมร่างกายไม่ให้ง่วงได้อีก เพราะง่วงก็ นะ อาการธาตุ สมมติ เอามาโยงกับตัวทุกข์อีก

    บางทีฝันรู้ตัวอีก บังคับให้หยุดฝันได้ หลายๆคนถ้าตามสติทันผมมั่นใจว่าทำได้ทุกคนครับ

    ใครเจ็บป่วยก็หายโดยง่าย

    สมัยก่อนผมนิสัยไม่ดีมากนะ ปฏิบัติเข้าใจบางส่วนแล้วก็คนละคนทันที จนคนรอบข้างตกใจ

    ถามว่าเราเห็นคนรอบข้างเป็นธาตุแล้วไม่เมตตานี่ไม่จริงนะ เราจะยิ่งเมตตามากขึ้น ถ้าใครเคยทำจุดนี้มาแล้วจะเข้าใจ ซึ่งผมคิดว่าหลายคนที่นี้คงเป็น และอาจทำได้ดีมากกว่าผม

    โดยเฉพาะคนที่ชี้แนะผมในหลายๆเรื่อง ขอบคุณคุณ เอกวีร์ สันโดษ คุณหลง คุณจินนี่ คุณ ขวัญ คุณ ขันธ์ วัชรพงษ์ ถานัด และทุกๆคนที่เกี่ยวข้องครับ ที่ชี้แนะผมและเตือนสติในอีกหลายๆเรื่อง

    สุดท้ายเกิดที่ใจครับ ทุกอย่างอยู่ที่ใจจริงๆ วางแล้ววางอีก พิจารณาแล้วอีก พิจารณาทั้งๆลืมตานี่แหละ พิจารณาเสร็จวางอีก เก็บตัวพิจารณาไว้ก็ไมได้ ยึดไมได้ซักอย่าง ตัวเองก็ยึดไม่ได้ ก็สักแต่ว่า...ไป

    พิจารณาเสร็จก็ไม่เห็นความต่างของอะไรซักอย่าง

    อย่างผมปฏิบัติแรกๆนี่ ร้อนมาก แค่อยากกินของอร่อย นี่ตัวร้อนเหมือนโดนไฟเผา โกรธนิดก็ร้อน ทรมานมาก ทุกข์มาก เห็นเก้าอี้เป็นเก้าอี้นี่ทุกข์ร้อน ต้องเห็นเป็นธาตุ ถอยออกมา ถึงหายร้อน เห็นเป็นธาตุแล้วไม่วายยังร้อนอีก เลยปล่อยเฉยถึงไม่ร้อน

    คนที่ปฏิบัติมาจุดหนึ่งแล้ว เจอกิเลส จะร้อนแบบนี้ครับ ร้อนมาก จนอยากปล่อยไปเอง เพราะใจเห็นความจริงของธาตุของสมมติแล้วก็ไม่อยากเอา ไม่ยึด ดีไม่ดีไม่ยึดหมด

    ใครมาตีหัวแตกตอนนั้นก็ไม่โกรธไม่ทุกข์มันเลย ไม่งั้น เดี๋ยวเหมือนโดนไฟเผาอีก มันเหมือนถือของหนักมากๆ มากจริงๆ ตามใจกิเลสตัวเองนิดเดียวใจแทบไหม้ ตายก็ตายเลย ไม่สนมัน กลัวอีกก็ทุกข์อีก ไหม้อีก

    ฟังเสียงดังทั้งวันทั้งคืนก็ไม่ทุกข์ ทั้งๆที่ไม่ใช่เสียงที่เราชอบ ได้ฟังเพลงก็ไม่รู้สึกอะไร เหมือนเป็นเสียๆงหนึ่ง ไม่ต่อเนื่อง เพราะตามสัญญาทัน ทิ้งสัญญาทันทุกขณะ

    มีอารมณ์นิดเดียวทุกข์ ร้อน แสบ เลยกลายเป็นคนไร้อารมณ์ไปเลย

    อันนี้ฝากคุณขวัญไว้ อีกหน่อยคงได้เจอ

    การคิดนี่คิดได้ แต่อย่าไปยึด คิดแล้วปล่อยทันที ไม่เป็นไรอย่าไปยึดความคิดก็เป็นพอแล้ว

    ถึงจุดๆหนึ่งมันจะเบาโล่งทันทีแบบฉับพลัน แต่ก็คงไว้ไม่นานหรอกครับ 2-3 วันถ้าประมาทนี่ ก็มีหลุด ทุกข์กันใหม่ แต่จะจับหลักได้ ก็ทำแบบนี้สลับไปมาง่ายๆ(ตอนนี้เกือบลืมไปแล้ว)

    ผมก็ฝากไว้แค่นี้ครับ สติหลุดมามากแล้ว อารมณ์มันก็ตามมาง่าย

    ผมไม่ใช่อริยะนะ หุหุ อ่านแล้ว... แซวซะ ก็เหมือนคุณๆทุกคนน่ะแหละ เผลอๆจะด้อยและโง่กว่ามากด้วย

    ผมยังขอบคุณเลยที่สติหลุด ไม่งั้นผมคงไม่คิดจะเอาความรู้ กับไหวพริบที่มี(ซึ่งเล็กน้อยมาก) มาผนวกเข้ากับวิทยาศาสตร์ได้(ถึงจะน้อยมากก็ตาม)

    ถ้าไม่ทุกข์มากจริงๆ ผมคงไม่อยากศึกษาธรรมะหรอกครับ สถาณการณ์มันบังคับ

    ไอกระทู้ที่ผมตั้งไปนี่ ไม่ได้วางแผนล่วงหน้าเลย อยู่ดีๆก็ ลุกขึ้นมานั่งพิมพ์สดๆ กินข้าวเสร็จ ดึกๆมานั่งพิมพ์ต่อีก ก็ไม่รู้ตัวเองเหมือนกัน กระทู้ผมก็ไม่อยากให้ซีเรียสมากนะคับ(ก็คงไม่มีใครซีเรียสหรอก เท่าที่ดูๆ)

    เข้าใจเลยทำไมก่อนปรินิพพาน พระพุทธเจ้าถึงเน้นเรื่องความประมาท

    ฝากไว้แค่นี้ครับ ลาก่อนครับ เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป ผมล่วงเกินใครไว้ก็ขอโทษด้วยนะครับ หวังว่าให้อภัยกัน อโหสิกรรมครับๆ
     
  2. บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    บรรยายซะยาวเลยคุณแก้วน้ำ

    คุณ บรรยายคำ ทุกข์ ผิดไปจากพุทธศาสนานะ

    * * * *

    ลืม

    แต่ บรรยายได้เยอะขึ้น และหลากหลายขึ้น แต่ยังเป็นทางเดียวอยู่

    ธรรมะ ถ้าแบบ ท่าน ป.อ.ปยุตต ปยุตตโต ท่านจะจับ ไตรสิกขา เป็นพื้นรอง

    ธรรมะ ถ้าแบบ หลัก จะบรรยายด้วยองค์ธรรม เช่น พละ 4 ก็จะบรรยาย สี่ตัว
    ไปตามลำดับ ใช้ศัพท์ตรงอ้อมแล้วแต่ความสามารถ

    ถ้าของพระพุทธองค์ นะ คงไม่ต้องบอก

    * * * *

    อ้าว มีบอกอารมณ์ตัวเองอย่างจริงใจด้วย แจ่ม อันนี้ชอบเป็นการส่วนตัว
    ยังงี้คุยกันได้นาน ผลัดกันสอนกันและกันเนอะ

    :)
     
  3. pakung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,625
    ค่าพลัง:
    +429
  4. jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    สวัสดี ปังคุง ^_^
     

แชร์หน้านี้