นี่คือสิ่งที่ต้องปฏิบัติสำหรับผู้ปฏิบัติเพื่อถูกทาง

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย นายวิชัย มณีรัมย์, 6 เมษายน 2017.

  1. นายวิชัย มณีรัมย์

    นายวิชัย มณีรัมย์ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2017
    โพสต์:
    670
    ค่าพลัง:
    +1
    อริยะสัจจ์ ผู้ปฏิบัติ จะต้องรู้
    น้อมเป็นครู รู้ถูกผิด คิดเหตุผล
    พรหมวิหารธรรม4 น้อมจิตสู่ตัวตน
    เป็นมรรคผล พ้นทุกข์โศก พ้นทุกข์ภัย
    ศรัทธามีความดีเกิด ปัญญาเกิดเมื่อจิตว่าง
    ทุกข์ไม่มี เมื่อจิตดี จิตสว่าง


    วาสนาดีบารมีถึง จึงพานพบ
    มาบรรจบ พบทานมหากุศล
    จิตเลื่อมใสใจศรัทธามหาชน
    เป็นสุขล้น พ้นทุกข์โศก พ้นโรคภัย
    แสงธรรมส่องดูที่ใจ แสงไฟส่องดูที่ทาง
    สว่างทั้งทางโลกแลทางธรรม
     
  2. นายวิชัย มณีรัมย์

    นายวิชัย มณีรัมย์ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2017
    โพสต์:
    670
    ค่าพลัง:
    +1
    เมื่อพ้นแล้วก็ไปอยู่กับปัจจุบัน
    ตรงนั้นแหละดีที่สุด
    เพราะไม่มีอดีตให้ต้องเหนื่อยล้า

    ไม่มีอนาคตที่จะต้องวิ่งตาม เพราะพ้นแล้ว
    รู้แล้ว เห็นแล้ว ตามความเป็นจริง
    ในสิ่งทั้งปวง ทุกสิ่งทุกอย่าง เกิดขึ้นที่ตัวเรา

    เรารู้ ทุกสิ่งทุกอย่าง ดับลงที่ตัวเรา เรารู้นั่งดูปัจจุบัน
    อย่างรู้ทันเหตุและผล ทุกลมหายใจเข้าออก
    สงบเย็นเบาสะบาย อนัตตา
     
  3. นายวิชัย มณีรัมย์

    นายวิชัย มณีรัมย์ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2017
    โพสต์:
    670
    ค่าพลัง:
    +1
    สติปัฎฐาน

    สติปัฎฐาน 4 มีให้จิตคิดมุ่งหมาย ไม่เสื่อมคลายกายเห็นกายนอกในขุมขน

    แข็งอ่อนร้อนเย็นเห็นสุขทุกข์ในตน หาเหตุผลจิตเห็นจิตคิดรู้ทัน

    เมื่อคิดเป็น เห็นเป็น รู้วิบากกรรม การกระทำ นำพาเหตุ ให้เป็นผล

    ผิดหรือถูก สุขหรือทุกข์อยู่ที่ตน มาจากผลแห่งเหตุที่เราทำ

    คนเราเมื่อพ้นแล้วดูลมหายใจเข้าออก ไม่ใช่ลมหายใจธรรมดา แต่เป็นลมหายใจ

    ที่มีพรหมวิหาร 4 สติปัฎฐาน 4 อริยะสัจจ์ 4 โลกธรรม 8 มรรคมีองค์ 8

    กฎไตรลักษณ์ ลมหายใจเข้าเห็น หายใจออกเห็น
     
  4. นายวิชัย มณีรัมย์

    นายวิชัย มณีรัมย์ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2017
    โพสต์:
    670
    ค่าพลัง:
    +1
    คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ไม่สั้นไม่ยาว ไม่มาก สำหรับผู้มีบุญ
    ไม่น้อย สำหรับ ผู้มีปัญญาน้อย
    ละ ชั่ว 3 ทาง ทางกาย ทางวาจา ทางใจ
    ประพฤติดี 3 ทาง ทางกาย ทางวาจา ทางใจ
    3ทาง นี้ เป็น ทาง สาย เอก
    เป็นทาง ของ การปฏิบัติ เป็นบทเรียน ของชีวิต
    ด้วยเหตุ และ ด้วยผล ของกรรมดี และ กรรมชั่ว ทั้งกรรมใหม่ และกรรมเก่า
    1 ทำดี ได้ดี มีความสุข คือ แดนของเทพบุตร เทพธิดา บนสรวงสวรรค์ เป็นแดนสุขขาวดี มีแต่ความ สะอาดกาย สะอาดใจ อยู่ร่มเย็น เป็นสุข มี ความเจริญ อยู่ทุกเมื่อไม่เสื่อมคลาย
    2 ทำชั่ว ได้ชั่ว มีความทุกข์ คือ สัตว์นรก ตกอยู่ใต้อำนาจ ของไฟคือกิเลส อันน้อย ไหญ่ทั่งหลาย แผดเผาอยู่ มีความทุกข์ ทรมารไม่เสื่อมคลาย
    3 ทำใจให้หมดจด สะอาด ปราศจากสิ่งใด เปรียบเป็นได้ ดั่งผ้าขาว อัน หมดจด ปราศจากมนทิน ที่สกปรกทั้งหลายทั้งปวง
    ไม่มีโลภ ไม่มีโกรธ ไม่มีหลง
    ทางสายที่ 3 นี้แหละดีที่สุด จะนำพา เราไปสู่ ประตู ของพระนิพพาน
    อย่างแน่นอน ผู้รู้ทั้งหลาย ท่านจะไม่อธิบาย เรื่องของพระนิพพาน
    ว่ามีรูปร่าง หน้าตา เป็นอย่างไร พระนิพพานเป็นอย่างนี้ พระนิพพาน เป็น อย่างนั้้น เพราะไม่ใช่หน้าที่ ที่จะมาพูดกัน ท่านจะพูดในสิ่งเดียวกัน ก็คือ
    กว่าจะเห็นพระนิพพานได้ กว่าจะรุ้พระนิพพานได้ ต้องปฏิบัติ กาย วาจา ใจ
    อย่างยิ่งยวด ในทานบารมี ศีลบารมี ภาวนาบารมี สมาธิบารมี ปัญญาบารมี
    มีศรัทธา คือความตั้งมั้น มีความเพรียรพยายาม มีใจมั้นคง ยอมตาย ถวาย ชีวิต ต่อคำสั่งสอน ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สุดชีวิต ทุกลม หายใจเข้าออก อย่างนี้แหละถึงเห็นพระนิพพาน รู้พระนิพพาน อย่างแท้จริง
    ดั่งคำที่ว่า ผู้ใดเห็นธรรม ที่เราตถาคต อบรมสั่งสอน ดีแล้ว ศรัทธาเชื่อมั้น ในพระธรรม คำสั่งสอนของเรา ผู้นั้นได้ชื่อว่า เป็นบุครของเรา

    ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ดังนี้แล จงอย่าประมาท ในกาลทุกเมื่อ

    อย่าเสียเวลากับอดีต เพราะสิ่งที่ร่วงมาแล้ว ก็เป็นอันว่า ละมาแล้ว
    อย่าเสียเวลา กับอนาคต เพราะสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ก็เป็นอันว่า ยังมาไม่ถึง
    จงทำปัจจุบันนั้นแหละ ให้อยู่กับตัวเรา รู้กับตัวเรา รู้กรรม รู้กับตัวเรา เห็นกรรม เห็นกับตัวเรา
    เพราะเราเป็นผู้ปฏิบัติ จะเข้าถึงพระนิพพานได้ จะรู้พระนิพพานได้ จะเห็นพระนนิพพาน ได้ ก็ปัจจุบันนี้แหละ รักษาใจให้มั้นคง เพราะใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ใจ ทำได้ทุกอย่าง ลงนรก ขึ้นสวรรค์ ไปสู่แดนพระนิพพาน ก็เพราะต้องอาศัย ใจนี้แล
     
  5. นายวิชัย มณีรัมย์

    นายวิชัย มณีรัมย์ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2017
    โพสต์:
    670
    ค่าพลัง:
    +1
  6. นายวิชัย มณีรัมย์

    นายวิชัย มณีรัมย์ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2017
    โพสต์:
    670
    ค่าพลัง:
    +1
    [​IMG]
     
  7. นายวิชัย มณีรัมย์

    นายวิชัย มณีรัมย์ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2017
    โพสต์:
    670
    ค่าพลัง:
    +1
    การเวลาทำลายชีวิตสัตว์ ผู้ประมาท คือ ผู้ ที่หลงทาง

    การเวลา ล่วงเลย ทำลายสัตว์
    นักปฏิบัติ อย่าเนิ่นช้า หาเหตุผล
    จิตเห็นจิต ค้นหาจิต ตนเตือนตน
    หาเหตุผล กรรมดีชั่ว ที่ตัวทำ
    อันถูกผิด คิดแล้ว เป็นของคู่
    ล้วนเป็นครู สูงต่ำ มีความหมาย

    เกิด คู่ ตาย จึงเป็นเรื่องของธรรมดา
    สิ่งนี้ มี จึงมีสิ่งนี้ เกิดเหตุผล
    มีตัวตน ก็มีโลก มี วัฏสงสาร

    มีรูป จึงมี เวทนา มี เวทนา จึง มี สัญญา มี สัญญา
    จึงมี สังขาร มี สังขาร จึง มี วิญญาณ
    สิ่งนี้ ไม่มี จึงไม่มี สิ่งนี้ ไม่มี ตัวตน ก็ ไม่มี โลก ไม่มี วัฏสงสาร
    ไม่มี รูป จึงไม่มี เวทนา ไม่มี เวทนา จึงไม่มี สัญญา ไม่มี สัญญา

    จึงไม่มี สังขาร ไม่มี สังขาร จึง ไม่มี วิญญาณ
    ไม่มี วิญญาณ จึงไม่มี การเวียนว่าย ตายแล้วเกิด
    เกิดแล้วตาย สิ่งทั้งหลาย ทั้งปวง เกิดขึ้น ที่แผ่นดิน
    จึงตั้งอยู่ ที่แผ่นดิน แต่ในที่สุด แล้ว ก็ต้อง ดับลง
    ที่แผ่นดิน ฉันใด ก็ฉันนั้น สิ่งทั้งหลาย ทั้งปวง
    เกิดขึ้นที่ ตัวเรา แต่ในที่สุด ก็ต้อง ดับที่ ตัวเรา

    แล้วเรา จะค้นหา ธรรมะ ที่อื่นทำไม ตัวเรา คือ
    ธรรมะ ธรรมะ คือ ตัวเรา
    เห็นตัวเอง แจ่มแจ้งเมื่อใด เมื่อนั้นแหละ
    ที่ท่าน เห็น ธรรมะ อย่างแท้จริง
    เพราะเราคือ ธรรมะ ธรรมะ คือเรา

    การเวลาทำลายชีวิตสัตว์ ผู้ประมาท คือ ผู้ ที่หลงทาง
     
  8. นายวิชัย มณีรัมย์

    นายวิชัย มณีรัมย์ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2017
    โพสต์:
    670
    ค่าพลัง:
    +1
    การขุดคลอง ถ้าไม่มีจอบ ไม่มีเสียม ไม่มีมีด ไม่มีขวาน ไม่มีชะแรง
    นั้นทำได้โดยยาก ยิ่งถ้าเราไม่มีกำลัง และสติปัญญาด้วยแล้ว ยิ่งทำได้ยากมาก

    และถ้าไม่มีความอดทน ความเพียร พยายามละก็จบกันแน่ ไม่มีทางที่จะขุด คลองได้เลย ไม่ว่าคลองเล็กหรือคลองใหญ่ จอบมีไว้ขุดดิน เสียมมีไว้ขุด และเจาะ

    มีดมีไว้ตัดกิ่งไม้ ขวานมีไว้ตัดต้นไม้ และรากไม่ ชะแรงมีไว้งัดก้อนหิน ข้อสำคัญที่สุด จะต้องมีกำลังและศรัทธา

    พระอรหันต์กับคนธรรมดา ดีเท่ากัน ร่างกายนี้ สังขารนี้ เท่ากัน หนาวร้อนอ่อนแข็งเท่ากัน หิวเท่ากัน อิ่มเท่ากัน มีความสูข ความทุกข์เท่ากัน แต่ต่างกันตรงที่ว่า รู้จักการปล่อยวาง ตามกาลเวลา คนธรรมดาเหนื่อย แต่ไม่ยอมหยุดวิ่ง พระอรหันต์เหนื่อย ท่านหยุดวิ่ง คนธรรมดา บอกว่าเหนื่อยมาก แต่หยุดวิ่งไม่ได้ เพราะเขาไม่ยอมหยุดวิ่ง พรางวิ่งไปร้องไป บอกว่าเหนื่อย บอกว่าเหนื่อย บอกว่าเหนื่อย

    เหนื่อยเหลือเกิน พระอรหันต์ ท่านจะบอกคนธรรมดาว่า ถ้าเหนื่อยก็จงหยุดวิ่งเถิด หยุดสร้างกรรม หยุดสร้างเวร ถ้าเราหยุดวิ่งเมื่อไหร่ เราก็จะหายเหนื่อยเมื่อนั้น

    ทุกสิ่งทุกอย่าง อยู่ที่ตัวเรา เราเป็นคนทำ เราเป็นคนวิ่ง แล้วเราจะไปโทษคนอื่นทำไม
     
  9. นายวิชัย มณีรัมย์

    นายวิชัย มณีรัมย์ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2017
    โพสต์:
    670
    ค่าพลัง:
    +1
    ความเห็นที่พร้อมกัน

    ความเห็นที่พร้อมกัน เท่ากัน ตรงกัน และเหมือนกัน
    ด้วยเหตุ และผล ที่ตรงกัน แต่คำอธิบาย คำสอน

    แตกต่างกัน ราวฟ้ากับดิน อุปมา ให้เห็นโดย แน่ชัด
    ดังนี้ ณะเวลาเดียวกันนี้ มีคน 5 คน ใช้ความเพรียรพยายาม

    อุตสาหะ อย่างแรงกล้า มีศรัทธา คือใจตั้งมั่น ด้วยแรงกาย
    แรงวาจา และแรงใจ เดินไปสู่ที่ตั้ง แห่งองค์พระพุทธรูป

    ที่ยืนเด่น เห็นตั้งตระง่าน อยู่ท่ามกลางทุ่ง ที่เป็นสาธารณะ
    มองเห็นพระพุทธรูป ที่อยู่แต่ไกล สุดสายตา พร้อมกัน เท่ากัน

    ตรงกัน และเหมือนกัน กับหมู่ชนทั้งหลาย ในเวลาเดียวกัน
    และขณะเดียวกันนี้ ชาย 5 คน ก็แหวกว่าย หมู่มหาชน ทั้งหลาย เพื่อไปสู่ที่ตั้ง

    แห่งองค์พระพุทธรูปนั้น ในที่สุด
    ก็ไปถึงที่หมาย ในเวลานั้น แล้วหมอบกราบลง พร้อมกัน
    ที่พระบาทมูล ขององค์พระพุทธรูปนั้น ต่างก็มองดูหน้ากัน
    ด้วยรอยยิ้ม ของความปิติ ปราโมทย์ ยินดี เหนือคำ อะธิบายใดๆทั้งสิ้น ในที่สุด คำอธิบายก็ตรงกัน คำสอนก็ตรงกัน ไม่ผิดเพี้ยน ในเวลานั้น แต่ในเวลาเดียวกันนี้ ในส่วนคำอะธิบายของมวลมหาชนทั้งหลาย ที่มีความเห็น ที่พร้อมกัน เท่ากัน ตรงกัน และเหมือกัน ด้วยเหตุและผล ที่ตรงกัน เห็นใกล้บ้าง เห็นไกลบ้าง แตกต่างกันออกไป ตามลำดับ แต่มาอธิบาย ในสิ่งที่เห็นพร้อมกัน ตรงกัน เท่ากัน ในเวลา

    เดียวกันนี้ ต่างคน ต่างเห็นพร้อมกัน ในสิ่งเดียวกัน แตกต่างกันออกไป ในที่สุดก็เถียงกันไม่รู้จบ เพราะต่างคน ต่างมีเหตุผล เป็นของตนเอง ฉันเห็นแบบนี้ เธอเห็นอย่างนั้น
    ฉันสิเห็นถูก เธอสิเห็นผิด ฟ้าและดิน ไม่สิ้นสุด จบที่ความเห็น
    ที่วุ่นวาย ต่างคน ต่างไม่ยอมกัน เพราะมีความเห็น ที่พร้อมกัน เท่ากัน ตรงกัน

    และเหมือนกัน ด้วยเหตุและผลที่ตรงกัน
    ส่วนที่อยู่ใกล้ที่สุดคือคน 5 คน ที่หมอบกราบลง ตรงพระบาทมูล แห่งองค์

    พระพุทธรูป โดยพร้อมเพียงกัน ย่อมมีคำ
    อธิบาย ที่แจ่มแจ้ง เด่นชัด ถูกต้องตามความเป็นจริง ว่าเห็นอย่างนี้ ไม่มีใคร

    เถียงใคร ไม่มีใครผิด ไม่มีใครถูก ไม่มีความวุ่นวาย นี้คือคำตอบที่เด่นชัดที่สุด ความเห็นที่พร้อมกัน เท่ากัน ตรงกัน และเหมือนกัน ด้วยเหตุและผล ที่ตรงกัน

    แต่คำอธิบาย แตกต่างกัน ราวฟ้ากับดิน ที่มวล มหาชน
    ต่างคน ต่างอธิบายแตกต่างกัน ดั่งนี้แล ที่ไม่เหมือนกัน
     
  10. นายวิชัย มณีรัมย์

    นายวิชัย มณีรัมย์ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2017
    โพสต์:
    670
    ค่าพลัง:
    +1
    ความงอกงามในธรรม เจริญในธรรม

    ข้าพเจ้าเป็นผู้มีความรู้ในสายธรรมน้อย ขอผู้รู้ทั้งหลาย ทุกท่าน ที่มีความรู้มาก
    ขออโหสิกรรม ให้แก่ข้าพเจ้าด้วย ในสิ่งที่เขียน เป็นบทความ สนทนาธรรมกับท่าน เพราะความตั้งใจก็ดี ไม่ได้ตั้งใจก็ดี ขอท่านผู้รู้ทั้งหลาย จงช่วยชี้แนะ ตามแนวทางที่ถูกต้องด้วยเถิด ข้าพเจ้าขอนอบน้อม ด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ เพื่อนำมาปฏิบัติ แก้ไขในสิ่งที่ผิด เพื่อความเห็นถูก เพื่อความเจริญ ต่อไป ผิดเป็นครู
    เพื่อรู้ถูก ในภายหน้า ธรรมนำพา เปลี่ยนให้รู้อยู่เสมอ ถูกวันนี้ วันหน้าผิด อย่าพลั้งเผลอ ทุกคนเจอ ในสายธรรม ตามพลังของศรัทธา
    ผิดอยู่ตรงไหน ถูกก็จะอยู่ตรงนั้น สูงอยู่ตรงไหน ต่ำก็จะอยู่ตรงนั้น ทุกข์อยู่ตรงไหน สุขก็จะอยู่ตรงนั้น หนักอยู่ไหน เบาก็อยู่นั้น เกิดอยู่ไหน ตายอยู่นั้น คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็สอนให้คนเป็น เห็นพระนิพพาน รู้พระนิพพาน ขันธ์ทั้ง 5 เป็นของหนัก พระพุทธองค์ ทรงกล่าวย้ำ สั่งสอน พระภิกษุสงฆ์ ทั้งหลายอยู่เสมอ ในกาลทุกเมื่อ เพื่อให้คนเป็น เห็นพระนิพพานก่อนตาย เมื่อตายแล้วก็เข้าถึงพระนิพพาน ไม่เวียนเกิด ไม่เวียนตาย ความว่างเปล่า ไม่มีค่า แต่มีค่ามหาศาล เหนือสิ่งใดในจักรวาล อยู่ในท่ามกลาง ความว่างเปล่า
     
  11. นายวิชัย มณีรัมย์

    นายวิชัย มณีรัมย์ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2017
    โพสต์:
    670
    ค่าพลัง:
    +1
    พลังแห่งความศรัทธา

    พลังแห่งความศรัทธา
    พระพุทธทาส เป็นนักปราชฌ์ ยอดเยี่ยมสุด
    เป็นเอกบุตร พุทธธรรม นำคำสอน
    ศิษย์ถ้วนหน้า พิจารณาธรรม ตามบทกลอน
    เพื่อคลายถอน เหตุและผล ในอัตตา
    รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
    อายตนะ ทั้งหลาย ทั้งภายนอก และภายใน
    ขอนอบน้อมสุดเศียรเกล้า ในองค์ของท่าน พระพุทธทาสภิกขุ
     
  12. นายวิชัย มณีรัมย์

    นายวิชัย มณีรัมย์ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2017
    โพสต์:
    670
    ค่าพลัง:
    +1
    สิ่งที่ใหญ่ต้องอาศัยสิ่งที่เล็ก

    ศีล 5 มาจากไหน ใครก็รู้ พุทธศาสน์
    ศีล 10 ที่องค์อาจ พุทธศาสน์ย่อมต้องรู้
    ศีล 227 พุทธศาสน์ ต้องตามดู
    เพื่อจะรู้ ศีล 5 มาจากใคร
    ศีล 227 นั้นมากล้น
    คนค้นคนเท่านั้นที่ตามหา
    ศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 นั้นธรรมดา
    มีคุณค่า มหาศาล สำหรับตน

    พูดถึงญาณพูดได้ 3 ญาณ
    ญาณในอดีต ญาณในปัจจุบัน ญาณในอนาคต
    พูดถึงกาล พูดได้ 3 กาล
    กาลในอดีต กาลในปัจจุบัน กาลในอนาคต
    พูดถึงศีล
    ศีล 5 ศีล 8 ศีล 10
    เป็นที่ตั้งของศีลทั้งหลาย 227 ศีล
    ถูกขึ้นตามลำดับของศีล 227
    ก็ต้องมีศีล 5 รวมอยู่ด้วย
    ถ้าศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ผิด
    ศีล 227ศีลจะเหลืออะไร
    สิ่งนี้มี ก็จึงมี ไม่มีสิ่งนี้ ก็จึงไม่มี
    สาระมี ก็จึงมีสาระ
    สาระไม่มี ก็จึงไม่มีสาระ
     
  13. นายวิชัย มณีรัมย์

    นายวิชัย มณีรัมย์ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2017
    โพสต์:
    670
    ค่าพลัง:
    +1
    การเกิดขึ้นของทุกสิ่ง ทุกอย่าง ต้องอาศัยพึ่งพาซึ่งกันและกัน

    ทุกสิ่งทุกอย่าง ในมหาอนันตจักรวาลนี้ ทุกสิ่งทุกอย่าง ต้องพึ่งพาอาศัย
    ซึ่งกันและกันเป็นแดนเกิด เพราะมีเมล็ดผักกาด เพราะมีดินที่อุดมสมบูรณ์
    เพราะมีแสงสว่าง เพราะมีน้ำ เพราะมีลม จึงจะเกิด ผักกาดขึ้นมาได้
     
  14. นายวิชัย มณีรัมย์

    นายวิชัย มณีรัมย์ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2017
    โพสต์:
    670
    ค่าพลัง:
    +1
    สิ่งที่ขาดจากกันไม่ได้ เพราะมีความเกี่ยวเนื่อง อาศัยพึ่งพาซึ่งกันและกัน

    ทาน คือน้ำใส ชำระใจ ให้สะอาด
    ศีล คือนักปราชญ์ คอยหนุนช่วย อวยพรชัย
    ภาวนา คือเสาหลัก ปักจิตมั่น ไม่ไปไหน
    สมาธิ คือห้องใจ น้อมมาไว้ แต่สิ่งดีๆ
    ปัญญา คือไฟดวงใหญ่ มีไว้ใช้ ส่องดูเหตุผล
    เห็นแจ่มแจ้งชัด ในสิ่ง ผิด ถูก ดีชั่ว ถูกต้องตามความเป็นจริง ในสิ่งทั้งปวง
    ทานตาย ศีล ภาวนา สมาธิ ปัญญา จบ
    ศีลตาย ทาน ภาวนา สมาธิ ปัญญา จบ
    ภาวนาตาย ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา จบ
    สมาธิตาย ทาน ศีล ภาวนา ปัญญา จบ
    ปัญญาตาย ทาน ศีล ภาวนา สมาธิ จบ
    ตาย 1 อย่างจะไม่เหลืออะไร ใน 4 อย่าง
    เพราะทุกสิ่งทุกอย่างต้องอาศัย พึ่งพา ซึ่งกันและกัน
    คอยอบรม คอยสั่งสอน คอยช่วยเหลือ คอยตำหนิ ติเตือน
    ในสิ่งที่ผิด ต่อเหตุผล คอยให้กำลังใจ กันอยู่เสมอ ต้องอาศัย
    ซึ่งกันและกัน นี่คือสัจจะธรรม ดิน น้ำ ลม ไฟ ต้องอาศัย ซึ่งกัน
    และกัน ทุกสิ่งทุกอย่าง ต่างก็มีหน้าที่ ไม่เหมือนกัน ทุกสิ่งทุกอย่าง มีความสำคัญ มีความยิ่งใหญ่ อยู่ในตัวของมันเอง
    สิ่งยิ่งใหญ่ ต้องอาศัย สิ่งยิ่งใหญ่ เป็นแดนเกิด ทานใหญ่
    ศีลใหญ่ ภาวนาใหญ่ สมาธิใหญ่ ปัญญาใหญ่
    อุปมา ดังว่านี้ ตรองให้ดี จะมีผล รู้สิ่งใหญ่ สิ่งทั้งหลาย
    ในสากล จะเห็นตน ในนิพพาน ได้ทันที
     
  15. นายวิชัย มณีรัมย์

    นายวิชัย มณีรัมย์ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2017
    โพสต์:
    670
    ค่าพลัง:
    +1
    ตายก่อนตาย ก็เห็นได้ ในความเป็น ปรกติ นิพพาน คือ ปรกติ ปรกติคือนิพพาน

    อยู่ไหนท่าน ตายก่อนตาย หมายดู รู้ทันโลก ตายก่อนตาย รู้ทุกข์โศก
    โลกทั้งผอง ตายก่อนตาย รู้เห็นได้ ใจตรึกตรอง สิ่งทั้งผอง เกิดดับ อยู่ที่เรา
    ตายเห็นตาย เห็นได้ ปัญญาเห็น เป็นเห็นเป็น เห็นได้ปัญญาเกิด ปัญญาเห็น

    ปัญญาเกิด อยู่ที่เรา เราเห็นทาน ทานเห็นเรา เราเห็นศีล ศีลเห็นเรา เราเห็นภาวนา
    ภาวนาเห็นเรา เราเห็นสมาธิ สมาธิ เห็นเรา เราเห็นปัญญา ปัญญาเห็นเรา
    ทุกสิ่งทุกอย่าง เราเป็นคนเรียนรู้ ในเหตุผล เราก็จะรู้ ในเหตุผล ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนกัน

    ฉันใดก็ฉันนั้น สงบว่างเบาเย็น ตายเห็นตาย สงบว่างเบาเย็น เป็นเห็นเป็น นิพพานเห็นเรา
    ถ้าเราเห็นนิพพาน เมื่อใดก็เมื่อนั้น เพราะเราเห็นเรา เรารู้ที่ตัวเรา เราพ้นที่ตัวเรา
    เราเกิดที่ตัวเรา เราก็ดับที่ตัวเรา ในที่สุด สงบว่างเบาเย็น ก็ได้เห็น อยู่ที่เรานั้นแล
     
  16. นายวิชัย มณีรัมย์

    นายวิชัย มณีรัมย์ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2017
    โพสต์:
    670
    ค่าพลัง:
    +1
    สาธุ ด้วยตานอก อันฟ้าฟาง ด้านขวา
    สาธุ ด้วยตาใน ดวงใหญ่ อันใสบริสุทธิ์ อยู่ตรงกลาง ระหว่างใจ
    สาธุ ด้วยตานอก อันฟ้าฟาง ด้านซ้าย ขอนอบน้อม กับปัญหา เชาว์ปัญญา ของท่าน อิอิอิอิ ด้วยแรงศรัทธา
    กาย วาจา ใจ ของเรา โลกทั้งโลกของเรา สงบ ว่าง เย็น เบาสบาย
    ของเรา ได้สั่นสะเทือน หวั่นไหว ไปหมดทั้งโลก
    ปัญหาของท่านนั้น สูงมาก น้อยคนนัก ที่จะขึ้นไปถึง
    แม้เราเอง ก็ยังหวั่นไหว ขอตอบท่าน เท่าที่เรามีปัญญา
    ผิดเพื่อแก้ไข ขอท่านจงอภัย ให้ด้วย ถูกสว่างไสว เราท่านได้ ปัญญา ญาณ ของจริงนั้น บริสุทธิ์ ไม่มีใครแพ้ ไม่มีใครชนะ
    ไม่มีใครถูก ไม่มีใครผิด ต่างคนต่างช่วยกัน อาศัยพึ่งพา ซึ่งกัน และกัน สงบ ว่าง สว่าง เย็น เห็นนิพพาน ที่อยู่ในตน
    ชื่อว่าปราชญ์ ฉลาดเลิศ ประเสริฐศรี
    ปัญญาดี มีเหตุผล ค้นปัญหา
    มีแนวคิด ตั้งคำถาม ตรงปัญญา

    เป็นปัญหา อันยิ่งใหญ่ ในโลกิยะธรรม และ โลกุตตระธรรม
    ทุกสิ่งล้วน มีตา เป็นปรกติ อยู่ในตัว และไม่ปรกติ อยู่ในตัว
    อันว่า ทาน ศีล ภาวนา สมาธิ ปัญญา นั้น มีตาภายนอก 2ตา
    ตาภายใน มี 1 ตา รวมกันแล้ว ก็มี 3 ตา จึงเป็นตา ที่ปรกติ
    ฉันใดก็ฉันนั้น ทานมี 3ตา ศีลมี 3 ตา ภาวนามี 3 ตา สมาธิมี 3 ตา
    ปัญญามี 3 ตา เมื่อขาดภาวนาไป ก็จึงไม่ปรกติ เก้าอี้ ที่เป็น ปรกติ ย่อมต้องมีครบ 4 ขา ถ้าขาดไป 1 ขา ก็ย่อมไม่ ปรกติ
    ฉันใดก็ฉันนั้น ขึ้นชื่อว่าเห็น เราเห็น ขึ้นชื่อว่ารู้ เรารู้ ตาภายนอก
    ตาภายใน ก็อยู่กับเรา เกิดที่เรา เราจึงต้องเอาใจเรา เป็นใหญ่ที่สุด
    เราตามดูตัวเรา เห็นตัวเรา รู้ตัวเรา แล้วเราจะเอา ใจคนทั้งโลก ทำไม ตามดูคนทั้งโลก ทำไม ตามเห็น คนทั้งโลกทำไม ตามรู้
    คนทั้งโลกทำไม เพราะ เหตุว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่อยู่นอก ตัวเรา
    ล้วนเป็นมายาธรรม ที่หาความจริงไม่มี ตัวเราเองนั้นและ
    คือของจริง สงบ ว่าง เบา เย็น เราจึงเอาใจ ของเรา
    แต่เพียงผู้เดียว เราไม่เอาใจคน ทั้งโลก เหตุเพราะว่า
    คนทั้งโลก ล้วนมี ความคิดดี รู้ดี ปัญญาดี แต่ก็เต็มเปี่ยม
    เพรียบแปล้ ไปด้วยความวุ้นวาย โต้เถียงกัน ไปมา ถึงเรื่องถูก
    ถึงเรื่องผิด ฉันถูก เธอผิด ฉันคือผู้ชนะ เธอคือผู้แพ้ ฉันคือผู้ฉลาด
    เธอคือผู้โง่เขลา มีแต่ความวุ่นวาย ไม่มีที่สิ้นสุด
    หาสิ่งจบ ในแดนสงบไม่มี
     
  17. นายวิชัย มณีรัมย์

    นายวิชัย มณีรัมย์ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2017
    โพสต์:
    670
    ค่าพลัง:
    +1
    เล็ก ใหญ่ คือความหมายเดียวกัน มีค่าเท่ากัน

    สิ่งที่ใหญ่ ในโลกนี้ ที่มองเห็น
    ล้วนแต่เป็น เหตุและผล ให้ค้นหา
    นักปฏิบัติ ทั้งหลาย น้อมนำพิจารณา
    เกิดปัญญา เห็นสิ่งเล็ก เพื่อรู้จริง

    ทาน ศีล ภาวนา สมาธิ ปัญญา
    จะเล็ก หรือ ใหญ่ อยู่ที่เราปฏิบัติ
    ต้นไม้ใหญ่ ที่เราเห็น เมล็ดพันธุ์ ที่เรารู้
    นั้นและครูของจริง ในสิ่งทั้งปวง
     
  18. นายวิชัย มณีรัมย์

    นายวิชัย มณีรัมย์ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2017
    โพสต์:
    670
    ค่าพลัง:
    +1
    สายรุ้งรัศมีแห่งพระนิพพาน

    เป็นประกายแสงที่สาดส่องลงมาจากพระนิพพาน ยอดภูเขาแห่งความว่างเปล่าซึ่งเป็นที่อยู่ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ปุถุชนคนสามัญทั้งหลาย ไม่สามารถที่จะขึ้นไปดู ไปชมได้ มีเพียงยานวิเศษลำเดียวเท่านั้น ที่สามารถนำพา ปุถุชนคนสามัญทั้งหลายขึ้นไปดูไปชมได้ โดยใช้เวลาเดินทางเท่ากันกับเวลาในการอ่านหนังสือเล่มนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ
     
  19. นายวิชัย มณีรัมย์

    นายวิชัย มณีรัมย์ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2017
    โพสต์:
    670
    ค่าพลัง:
    +1
    การเดินทางของยานวิเศษลำนี้ มีจุดตรวจ ๕ ด่าน คือ

    ๑.ด่านของทาน มีนายตรวจ ๒ นาย ชื่อ ๑) อามิสทาน คือ การให้สิ่งของที่ร่างกายต้องการ มีอาหาร เครื่องนุ่งห่มเป็นต้น ๒) ธรรมทาน คือ การให้กำลังใจ ให้ความเมตตา ให้ความสงสาร ชี้ทางให้ความสว่างแก่ดวงจิตของผู้อื่น คือ การให้ธรรมมะหรือสอนธรรมมะนั่นเอง
    มีผู้ช่วย ๒ นาย คือ ๑. สังฆทาน ให้ทานกับพระสงฆ์ ๒. บุคคลิกทาน ให้ทานกับบิดา มารดา ครู อาจารย์ ทานที่สมบูรณ์ที่สุด มีอานิสงค์สูงสุดต้องครบองค์ประชุม ๘ อย่าง คือ ๑. สะอาด ๒. ประณีต ๓. พอสมควร ๔. ตามกาลเวลา ๕. ผู้ที่สมควรได้รับ ๖. ให้เนืองนิตย์ ๗. ให้ด้วยศรัทธาไม่เสียดาย ๘. ให้แล้วมีความสุข
    ๒.ด่านของศีล มีนายตรวจ ๓ นาย ชื่อ ๑) นายผู้รักษาความดีทางกาย ๒) นายผู้รักษาความดีทางวาจา ๓) นายผู้รักษาความดีทางใจ
    ๓.ด่านของการเจริญภาวนา มีนายตรวจ ๓ นาย ชื่อ ๑) นายทุกขัง สังขารนี้เป็นทุกข์ ๒) นายอนิจจัง เป็นของไม่เที่ยงเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับลง ๓) นายอนัตตา เป็นของไม่มีตัวตน หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งคือนายแห่งดวงจิต ดวงวิญญาณ
    ๔.ด่านของสมาธิ มีนายตรวจ ๔ นาย ชื่อ ฌานที่ ๑ ฌานที่ ๒ ฌานที่ ๓ ฌานที่ ๔
    ๕.ด่านของปัญญา มีพระอรหันต์เป็นผู้ตรวจการ เป็นด่านสุดท้ายที่ยานวิเศษลำนี้จะลงจดเพื่อให้ปุถุชน คนสามัญ ได้กราบไหว้บูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจากนั้นก็จะได้เดินเที่ยวชมยอดภูเขาแห่งพระนิพพาน และที่อยู่ของพระอรหันต์ทั้งหลาย จนกว่าจะถึงเวลากลับ
    พอถึงเวลากลับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จะถามปุถุชน คนสามัญที่อยู่บนยอดภูเขาแห่งพระนิพพานว่าจะอยู่กับพระพุทธองค์ หรือว่าจะไปกับพระอรหันต์ ถ้าอยู่กับพระพุทธองค์ จะไม่ได้ลงมาอีกเลยแต่ถ้าจะไปกับพระอรหันต์ก็จะมียานวิเศษอีกลำหนึ่ง นำพาปุถุชน คนสามัญ ส่งกลับลงมายังที่เดิม สำหรับคนที่ขับยานวิเศษนั้นขึ้นลงอยู่เสมอดั่งคำที่ว่า เมื่อขึ้นได้ย่อมลงได้เป็นธรรมดา
     
  20. นายวิชัย มณีรัมย์

    นายวิชัย มณีรัมย์ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2017
    โพสต์:
    670
    ค่าพลัง:
    +1
    พระศีลอริยะเวทไตร

    พระศีลอริยะเวทไตร คือ ปรัชญาธรรม ๕ ประการ อันเป็นแนวทางแห่งการปฏิบัติธรรม เพื่อนำท่านผู้ปฏิบัติธรรมเดินทางเข้าไปสู่สัจจะธรรมแห่งความเป็นจริง โดยการปฏิบัติตามคำสอนของปรัชญาธรรมนั้นอย่างละเอียดถี่ถ้วนทุกขั้นตอน ในปรัชญาธรรม ๕ ประการจะขาดธรรมข้อใดข้อหนึ่งนั้นมิได้ เป็นปรัชญาธรรมอันทรงค่ายิ่งของการปฏิบัติธรรม เพื่อเข้าถึงที่สุดแห่งธรรมนั้นคือพระนิพพาน เพื่อความเข้าใจในการปฏิบัติธรรม เพื่อให้เข้าถึงหนทางไปสู่ธรรมอย่างถูกต้อง เพื่อความเป็นไปตามลำดับขั้นของผู้ปฏิบัติธรรมอย่างแท้จริง


    ปรัชญาธรรม ๕ ประการ

    ๑.มีศรัทธา เคารพ รัก อย่างมั่นคงต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยการให้ทาน
    ๒.มีใจมั่นคงอยู่ในศีลชั่วนิรันดร เพื่อชำระดวงจิตให้บริสุทธิ์อยู่เสมอ โดยการเจริญภาวนา
    ๓.มีสติไตร่ตรองอยู่ในอริยสัจจ์ ๔ คือ การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับลงของสิ่งต่างๆ โดยการปฏิบัติตาม มรรคมีองค์ ๘
    ๔.มีความรู้รอบด้านในโลกธรรม ๘ ประการ ด้วยโลกธรรมเป็นทุกข์ ไม่ยึดมั่น ไม่ถือมั่น ปล่อยวาง ส่งคืนเพื่อความหลุดพ้น ในท่ามกลางของเวทไตร
    ๕.เอาพระคุณของเวทไตร รื้อถอนโลกธรรม ๘ ประการทีละ ๓ ๆ พร้อม ๓ ถึง ๙ ครั้ง และ ๓ ในคุณอันอื่น แล้วรวมความรู้สึก ความนึกคิดตั้งอยู่ครั้งสุดท้ายเข้าสู่รูปฌานทั้ง ๔
    นี่คือปรัชญาธรรมของพระพุทธศาสนาโดยย่อที่ให้คุณประโยชน์ คือความสงบสุขอันยิ่งใหญ่แก่มวลมนุษย์ทั้งหลายทั้งปวง ผู้ปฏิบัติตามทุกข้อของปรัชญาธรรม ๕ ประการ ถ้าหากแม้นว่าผู้ปฏิบัติธรรมขาดธรรมข้อใดข้อหนึ่ง ในปรัชญาธรรม ๕ ประการนั้น ก็จะไม่สามารถได้รับคุณประโยชน์ คือความสงบสุขในพระพุทธศาสนานี้ได้
    ดังจะเปรียบให้เห็นถึงความสำคัญในปรัชญาธรรม ๕ ประการนั้นว่า ในโลกนี้จะมีต้นไม้ใบหญ้าเกิดขึ้นได้ก็จะต้องอาศัยสิ่งต่างๆ ที่มีความเกี่ยวเนื่องกัน เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ธรรมชาตินั้นได้สร้างสิ่งต่างๆ ด้วยความเกี่ยวเนื่องกัน คือ มีปัจจัยปรุงแต่งโดยแบ่งภาระ หน้าที่ความสำคัญของสิ่งต่างๆ เพื่อความต่อเนื่องกัน เพื่อความอาศัย พึ่งพาซึ่งกันและกัน จะขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งมิได้เลย ปรัชญาธรรม ๕ ประการก็เช่นเดียวกัน เหมือนกันกับธรรมชาติ จะขาดธรรมข้อใดข้อหนึ่งนั้นมิได้เลย ต้องอาศัย พึ่งพา มีความเกี่ยวเนื่องซึ่งกันและกัน จึงจะเกิดธรรมอันเลิศ ธรรมอันประเสริฐ ธรรมอันสมบูรณ์ และเป็นสุดยอดแห่งธรรมคือพระนิพพาน ดังจะเปรียบให้เห็นได้ดังนี้คือ โลกเต็มใบนี้อันอุดมสมบูรณ์ที่สุด มีสิ่งต่างๆ เกิดขึ้น มีต้นไม้ใบหญ้าเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยธรรมชาติ โดยมีปัจจัยปรุงแต่ง พึ่งพาอาศัยกัน มีความเกี่ยวเนื่องกัน จึงเกิดขึ้นได้เป็นปรัชญาธรรมข้อที่ ๑ บริเวณหรือสถานที่ที่เป็นดินและมีน้ำเป็นสิ่งประกอบต้องอาศัยซึ่งกันและกันเป็นปรัชญาธรรมข้อที่ ๒ ดวงอาทิตย์ให้ความสว่าง ให้ความร้อนไปตามกาลเวลาที่เหมาะสมเป็นปรัชญาธรรมข้อที่ ๓ ฤดูกาลต่างๆ ที่ให้ดอกให้ผลเป็นปรัชญาธรรมข้อที่ ๔ เมล็ดพันธุ์พืชต่างๆ เป็นปรัชญาธรรมข้อที่ ๕ ความสำคัญที่ยกขึ้นมาเปรียบให้เห็นนี้นับได้ว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ถ้าขาดเสียข้อใด ข้อหนึ่งก็จะไม่มีต้นไม้ ใบหญ้า หรือสิ่งต่างๆ ให้เราได้เห็น เพราะขาดปัจจัยปรุงแต่งข้อใด ข้อหนึ่งนั่นเอง
    ดังจะได้อธิบาย ขยายข้อความของปรัชญาธรรม ๕ ประการ เพื่อเป็นประโยชน์ เพื่อความเข้าใจในการปฏิบัติธรรมอย่างถูกต้อง เพื่อความเป็นไปตามลำดับขั้นของผู้ปฏิบัติธรรมอย่างแท้จริง
    การปฏิบัติธรรมที่ถูกต้องตามความจริงมี ๓ ทาง คือ ปฏิบัติทางกาย ปฏิบัติทางวาจา และ ปฏิบัติทางใจ กายดี วาจาดี ใจดี คือลักษณะของผู้ปฏิบัติธรรมในเบื้องต้น ฝึกกาย ฝึกวาจา ฝึกใจ คือ ลักษณะของผู้เข้าสู่
    ธรรมมะในเบื้องต้น
    ท่านผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย บัดนี้ท่านได้เข้าสู่ธรรมโดยสมบูรณ์แล้ว ขอให้ท่านจงตั้งจิตให้ตรงแล้วพิจารณาสิ่งต่างๆ ตามตัวอักษร คือหัวข้อธรรมในปรัชญาธรรม ๕ ประการ ที่อยู่ในยานวิเศษลำนี้ เพื่อขึ้นไปสู่ยอดภูเขาแห่งความว่างเปล่า คือ พระนิพพาน ซึ่งเป็นที่อยู่ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลาย ดั่งพุทธพจน์ของพระองค์ที่ตรัสไว้ว่า “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา”
     

แชร์หน้านี้

Loading...