นี่ศี ; รับศีลปาณาติปาตานี้กี่ร้อยครั้ง ไม่เห็นมีศีลสักที

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย gratrypa, 11 มกราคม 2013.

  1. gratrypa

    gratrypa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,285
    ค่าพลัง:
    +1,506
    .

    นี่ไม่ใช่เทคนิคการหลอกคนเข้ากระทู้นะครับ เพียงแต่คำว่า
    นี่ศีลจริง ไม่ใช่ศีลปาณาติปาตา ว่าตั้งร้อยครั้งพันครั้งแล้ว ไม่เห็นมีศีลสักที
    คำนี้ผมว่ามีค่ามากพอที่จะบอกกับท่านทั้งหลายอีกรอบให้ได้ทราบกันแยะๆ
    หารายละเอียดเพิ่มเติมได้ีที่กระทู้ ความลับของ-ของคำว่า-จิตตภาวนา-จากธรรมโฆษณ์-เรื่องธรรมะเล่มน้อย



    "ธรรมะเล่มน้อย" ธรรมโฆษณ์ หน้า 93-99 (ลอก-ย่อ-ย่น-ตัดต่อ)

    บรรยายวันเสาร์ แห่งภาคมาฆบูชา ครั้งที่ 3 15 มกราคม 2526


    "การพัฒนาจิต ต้องมีศีล สมาธิ ปัญญา ไม่แยกกัน"


    ขอย้ำ การพัฒนาจิต หรือจิตตภาวนา ในรูปแบบของศีล สมาธิ ปัญญา ชนิดที่ไม่แยกกัน
    ซ้ำอีกทีหนึ่ง, จิตตภาวนาที่แท้จริง ที่จริงแท้ ที่เป็นพื้นฐานที่สุด ก็คือ ศีล-สมาธิ-ปัญญา
    ชนิดที่ไม่แยกกัน
    เราเล่าเรียนจดจำไว้ชนิดที่มันแยกกัน เป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา
    นั้นมันสำหรับเรียนและสำหรับพูด แต่ถ้าสำหรับการปฏิบัติแล้ว มันไม่อาจจะแยกกัน
    ถ้าแยกกัน มันก็เป็นไปไม่ได้ มันก็ล้มเหลวหมด

    ในชีวิตประจำวันของเราแต่ละวัน จะต้องอยู่ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา ชนิดที่ไม่แยกกัน
    นับตั้งแต่ที่เป็นธรรมชาติธรรมดา ในบ้านเรือนชีวิตประจำวัน จะต้องมีความเป็นระเบียบ
    เรียบร้อยถูกต้อง

    ถูกต้องทางศีล คือ พัสดุสิ่งของ เนื้อหนังร่างกาย มารยาท การพูดจา นี้ต้องถูกต้องนะ
    นี่ส่วนศีล คือความถูกต้องของทุกเรื่องที่เป็นฝ่ายร่างกาย, วัตถุสิ่งของทรัพย์สมบัติที่มี
    ในบ้านแรือน ต้องมีอย่างถูกต้อง ใช้คำว่าถูกต้อง พอดีไม่มากไม่น้อย ไม่เกิน ไม่เป็นบ้า
    ต้องมีต้องกินต้องใช้อย่างถูกต้อง, บ้านเรือนต้องมีต้องใช้อย่างถูกต้อง เนื้อหนังร่างกาย
    ต้องบริหารอย่างถูกต้อง มารยาททางกาย มารยาททางวาจาต้องถูกต้อง นี่ขาดไม่ได้แน่
    ช่วยดูให้ดีว่าชีวิตประจำวันของคนระดับธรรมดาทั่วไปนี้ จะต้องมีศีลอย่างนี้,
    นี่ศีลจริง ไม่ใช่ศีลปาณาติปาตา ว่าตั้งร้อยครั้งพันครั้งแล้ว ไม่เห็นมีศีลสักที
    รับศีลปาณาติปาตานี้กี่ร้อยครั้ง ไม่เห็นมีศีลสักที
    แล้วมันก็ไม่มีความถูกต้องทางวัตถุ ทาง
    บ้านเรือน ทางสิ่งของ ทางมารยาท ทางการพูดจา

    ถูกต้องทางสมาธิ คือคนธรรมดาในบ้านเรือนนี้ คนๆนี้ เจ้าของบ้านนี้ จะต้องมีจิตปรกติ
    เขาต้องมีจิตปรกติ มีจิตที่อยู่ในความถูกต้องของจิต มีความมั่นคงของจิตเพียงพอ
    มีสมาธิในการทำงานทุกๆอย่าง ไม่ว่างานเล็กงานใหญ่ มีสมาธิในการทำ แม้ที่สุดแต่
    ไถนากับควาย คนนั้นก็ต้องมีสมาธิเพียงพอสำหรับไถนาให้ดีที่สุด นี่มันแยกจากศีลไม่ได้
    ในส่วนศีลก็ถูกต้องอย่างที่ว่ามาแล้ว ในส่วนสมาธิก็ต้องถูกต้องอย่างที่กำลังว่า

    ถูกต้องทางปัญญา ทีนี้ทางปัญญา เขาก็ต้องได้ยินได้ฟังมา ได้รับการศึกษาเล่าเรียนมา
    อย่างถูกต้อง ว่าเราจะต้องทำอย่างไร อย่าได้มีมิจฉาทิฏฐิ ชนิดเห็นกงจักรเป็นดอกบัว
    แล้วก็ไปทำสิ่งที่ไม่ควรทำ ไปสะสมสิ่งที่ไม่ควรสะสม ไม่ควรจะเอามา นี่เพราะว่า มันขาด
    ปัญญาสำหรับจะควบคุมการกระทำการงาน ในที่ทุกแห่งในที่ทุกสถาน ทุกเวลา เราจะ
    ต้องมีปัญญา รู้จักความถูกต้องทุกอย่างทุกประการ ที่มันเกี่ยวข้องกับบ้านเรือนของเรา
    ครอบครัวของเรา ชีวิตของเรา

    นี่คือศีล สมาธิ ปัญญา ที่แท้จริง จริงยิ่งกว่าที่พูดที่ท่องกันอยู่ สวดมนต์กันอยู่ นั้นก็เป็น
    เรื่องท่อง แล้วก็ไม่เห็นจะเอามาทำให้เป็นประโยชน์ได้, ส่วนที่จะทำให้เป็นประโยชน์ได้
    ในชีวิตประจำวัน ในบ้านเรือน มันก็ไม่ได้ทำ

    พุทธบริษัทที่ดีจงพยายามทำความเข้าใจในข้อนี้ ให้มีศีลจริง สมาธิจริง ปัญญาจริง
    ประกอบอยู่ในชีวิตประจำวัน ในบ้านในเรือนของเรา คือมีศีล สมาธิ ปัญญา ชนิดที่แฝด
    ติดกันอยู่ไม่แยกกันได้


    ชีวิตประจำวันจะต้องมีศีล เช่น มารยาทก็ดี การพูดจาก็ดี นี้เป็นศีล ต้องมี เว้นไม่ได้
    ขาดไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว แล้วมี สมาธิ มีจิตใจถูกต้อง มีจิตใจที่ถูกต้อง ไม่วิปริต
    ไม่บ้าบอ แล้วมีความแน่วแน่มั่นคง ไม่วอกแวกไม่ฟุ้งซ่าน แล้วก็มี ปัญญา หลักเกณฑ์
    ต่างๆ อย่างถูกต้อง ถือเป็นหลักประจำใจอยู่

    นี่ชีวิตชนิดนี้ เรียกว่ามีศีล สมาธิ ปัญญา แท้จริงครบถ้วนอยู่ในตัวมันเอง อันนี้เป็น
    จิตตภาวนาอยู่ในตัวมันเอง
    เมื่อเป็นอยู่อย่างนี้แล้ว มันก็มีความเจริญทางจิตใจ อยู่ใน
    ตัวมันเอง
    นี่คือศีล สมาธิปัญญาที่แท้จริง ไม่ใช่ที่สอนกันอยู่ตามโรงเรียน ตามวัด แล้วก็เลิกกันไป ไม่เอามาใช้อะไรได้

    นี่เราจะเรียกได้ว่า เรามีชีวิตพัฒนา มีการภาวนาของชีวิต จิตตภาวนาก็คือชีวิตพัฒนา
    การพัฒนาชีวิตก็คือการพัฒนาจิต การเจริญของจิตก็คือการเจริญของชีวิต
    มันประกอบ
    อยู่ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา ที่ถูกต้อง เพียงพอ แล้วไม่แยกกัน, นี่เราจะได้ชีวิตที่ถูกต้อง
    จะเรียกว่าชีวิตใหม่ก็ได้ พระพุทธเจ้าท่านก็ได้ตรัส ข้อความไว้มากมายในความหมาย
    อย่างนี้
    ว่า เราจะบอกชีวิตใหม่ให้แก่พวกเธอ ชีวิตที่เต็มไปด้วยศีล สมาธิ ปัญญา อยู่ตาม
    ธรรมชาติ อย่างสมบูรณ์ อย่างถูกต้อง แล้วก็ได้ชีวิตใหม่

    ก่อนนี้ชีวิตไม่เป็นอิสระ กิเลสมาเรียกร้องมาเรียกตัว เอาไปให้ทำอะไรก็ได้ แม้แต่แค่
    นิวรณ์ ไม่ต้องถึงกับกิเลส เป็นโลภะ โทสะ โมหะ เต็มตัวดอก
    แม้แต่นิวรณ์ซึ่งเป็น
    อุปกิเลส เป็นเพียงอุปกิเลส เป็นเพียงธรรมดาสามัญตามธรรมชาติ มันยังเรียกร้องได้
    ยังมาสะกิดหลังรบกวนได้

    นิวรณ์เรื่องกามฉันทะ เดี๋ยวก็มาเรียกร้อง เอาจิตไปวุ่นอยู่กับเรื่องกามารมณ์ มันเรียกร้อง
    กิเลสมันเรียกร้องเอาตัวไปได้ ให้ไปขลุกอยู่กับกามารมณ์ เดี๋ยวก็เรียกร้องไปขลุกอยู่กับ
    ความพยาบาท เกลียดชังศัตรู, เดี๋ยวถีนมิทธะ ก็เอาไปทำให้จิตหดหู่ ห่อเหี่ยว แฟบเกือบ
    จะไม่มีอะไรเหลือ, เดี๋ยวอุทัจจะ กุกุกจะ ก็เรียกร้องเอาไปทำให้ฟุ้งซ่านเหมือนกับเป็นบ้า
    เดี๋ยววิจิกิจฉา ก็เรียกร้องเอาไปทำให้เป็นคนลังเล จนไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม, เกิดมาทำไม
    ก็ไม่รู้ จนไม่รู้ว่าจะทำอะไร นี่กิเลสชั้นเล็กตัวเล็กที่เรียกว่านิวรณ์นี้ ก็ยังมาเรียกร้องได้
    มาสะกิด มาบอก มาพาไป, เป็นชีวิตที่ไม่มีอิสระอย่างนี้ เดี๋ยวนี้เราจะอยู่เหนืออำนาจ
    ของสิ่งเหล่านี้ ไม่มีอะไรมารบกวนได้ แม้ในเวลาที่ควรจะเกิดกิเลส


    จบตอนที่สามซึ่งยังไม่จบ ของธรรมะเล่มน้อย
    ชื่อตอน ผลของจิตตภาวนา คือมรรค ผล นิพพาน

    ธรรมโฆษณ์เล่มนี้ ท่านพุทธทาสบรรยายมุ่งหมายให้เป็นธรรมะเล่มน้อย
    เล่มเดียวจบ คือได้สรุปรวมหลักการศึกษาพุทธธรรมไว้อย่างรวบรัด
    ทั้งปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ
    ท่านผู้ใช้หนังสือเล่มนี้ จะได้รับประโยชน์สะดวกในการค้นคว้าต่อไป


    กระต่ายป่า ข้างวัด

    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มกราคม 2013

แชร์หน้านี้

Loading...