นี้ สิครับ ของจริง

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย atit deb, 3 สิงหาคม 2012.

  1. atit deb

    atit deb Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2011
    โพสต์:
    55
    ค่าพลัง:
    +75
    ไม่ว่าคุณ จะอ่านหนังสือหรือรับฟัง มาจากไหนก็แล้วแต่ ขอให้ ปัญญา เป็นตัวตัดสิน
    ปัญญาที่ สะสมมาแต่ 100 ชาติ 1000 ชาติ 10000 ชาติ 100000 ชาติ ในอดีตชาติ และปัจจุบัน
    ไปอ่านหนังสือเล่มโน้นมาเล่มนี้มา แล้วมาเจอคนพูดให้ฟัง ในเรื่องเดียวกัน เกิดสับสนครับ ว่าอันไหนถูกอันไหนผิด ปัญญา เท่านั้น ที่จะเป็นเครื่องตัดสิน อย่าเอา สัญญาขันธ์ มาตัดสิน

    นี้คือ ความ จริง อ่่านให้จบ แล้วลองใช้ปัญญาตัดสินสิครับ


    พระกัสสปพุทธเจ้า เป็นพระพุทธเจ้าในกัปป์นี้ และอุบัติขึ้นในโลกนี้ก่อนหน้าพระโคดมพุทธเจ้า (พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันคือพระโคดมพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ 4 ของกัปป์นี้ ส่วนพระกัสสปพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ 3 ของกัปป์นี้ ) เรื่องมีอยู่ว่ารัฐบาลภูฏานได้ให้ “พระทันตธาตุ (ฟัน) ของพระกัสสปพุทธเจ้า” มาแสดงในประเทศไทยเป็นการชั่วคราว ซึ่งเรื่องนี้คาดว่าคงจะมีการเข้าใจผิดอย่างแน่นอน เพราะตามหลักฐานที่ปรากฏในอรรถกถา ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค สัมปสาทนียสูตร [1] (อรรถกถาคือคัมภีร์ที่น่าเชื่อถือรองจากพระไตรปิฎก) กล่าวไว้ชัดเจนว่า

    “อนึ่ง ระยะเวลานับแต่ปรินิพพานจนกระทั่งพระธาตุทั้งหลายแม้เท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาดยังดำรงอยู่ ก็ไม่พึงเข้าใจว่าเป็นเวลาภายหลัง (หลังสมัยของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นๆ). เพราะเมื่อพระธาตุทั้งหลายยังดำรงอยู่ พระพุทธเจ้าทั้งหลายก็ชื่อว่ายังดำรงอยู่ทีเดียว. เพราะฉะนั้น การอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้าพระองค์อื่นในระหว่างนี้ จึงเป็นอันห้ามแล้ว. แต่เมื่อการปรินิพพานของพระธาตุเกิดขึ้น การอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้าพระองค์อื่นเป็นอันไม่ห้ามแล้ว.”

    นอกจาก อรรถกถาสัมปสาทนียสูตร แล้วยังมีอีกคัมภีร์หนึ่งที่กล่าวถึง การสิ้นไปแห่งพระธาตุ คือ อรรถกถาพหุธาตุกสูตร [2] โดยทั้ง 2 คัมภีร์นี้กล่าวไว้ตรงกันว่าการปรินิพพานของพระพุทธเจ้ามี 3 อย่างคือ 1. กิเลสปรินิพพาน คือ วันที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ ใต้ต้นโพธิ 2. ขันธปรินิพพาน คือ วันที่พระพุทธเจ้าละสังขาร ในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ ใต้ต้นสาละ ในอีก 45 ปีต่อมาจากกิเลสปรินิพพาน ซึ่งขันธปรินิพพาน คือ การดับขันธ์ในส่วนที่เป็นนามธรรมได้แก่ ความรู้สึก ความจำได้หมายรู้ ความคิดปรุงแต่ง การรับรู้ในสิ่งต่างๆ แต่ในส่วนขันธ์ที่เป็นรูปธรรมคือส่วนที่เป็นร่างกายยังปรากฎอยู่ในโลก แต่ก็ไม่เกี่ยวข้องกับขันธ์ในส่วนที่เป็นนามธรรมในครั้งที่ดำรงพระชนม์ชีพอยู่อีกต่อไปแล้ว 3. ธาตุปรินิพพาน คือ วันที่พระธาตุหรือส่วนรูปธรรมที่ยังเหลือจากการถวายพระเพลิงพระพุทธเจ้า ได้อันตรธานหายไปจากโลกนี้ ซึ่งอรรถกถาทั้ง 2 ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ตอนนี้ไว้ดังใจความว่า “เมื่อศาสนาเสื่อมมากๆจนใกล้จะสิ้นศาสนาแล้ว พระธาตุทั้งหลายจะเสด็จไปที่ มหาเจดีย์ (อรรถกถาสัมปสาทนียสูตร บอกว่าอยู่ที่ เกาะตามพปัณณี ทวีปนี้ แต่ในอรรถกถาพหุธาตุกสูตร บอกว่าอยู่ที่ เกาะลังกา) หลังจากนั้นพระธาตุที่มหาเจดีย์ก็จะเสด็จย้ายไปอยู่ที่ ราชายตนเจดีย์ที่อยู่ในนาคทวีป แล้วก็จะเสด็จย้ายไปที่ โพธิบัลลังก์ เป็นที่สุดท้าย ซึ่งพระธาตุทั้งหมดที่กระจายไปที่อยู่ตามสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าจะ เป็น โลกมนุษย์ นาคพิภพ เทวโลก พรหมโลก ไม่ว่าจะมีขนาดเล็กเท่าเมล็ดผักกาดก็จะไม่หายหรือตกหล่นไปไหนเลย ทั้งหมดต่างก็ไปรวมเป็นก้อนเดียวกันเหมือนแท่งทองคำ อยู่ที่ โพธิบัลลังก์ ทั้งสิ้น หลังจากที่พระธาตุรวมกันทั้งหมดแล้วก็จะเปล่ง ฉัพพรรณรังสี (รัศมีที่มีสี 6 สี) แผ่ไปทั่วโลกธาตุ (โลกธาตุคือกลุ่มของ galaxy) เทวดาทั่ว 10,000 จักรวาล (galaxy) ก็จะมาชุมนุมกันที่โพธิบัลลังก์ แล้วแสดงความโศกเศร้าเสียใจ ยิ่งกว่าวันที่พระพุทธเจ้าดับขันธปรินิพพาน ว่า วันนี้พระธาตุพระศาสดาจะเสด็จปรินิพพาน วันนี้พระศาสนาจะสิ้นไป นี่เป็นการเห็นครั้งสุดท้ายของพวกเรา ในเวลานั้น นอกจาก พระอรหันต์ขีณาสพและพระอนาคามี พวกที่เหลือก็ไม่อาจดำรงอยู่ตามสภาวะของตนได้ (เสียใจอย่างมากจนทนไม่ได้) และแล้ว ก็จะเกิดเปลวไฟลุกขึ้นในพระธาตุทั้งหลายแล้วพลุ่งขึ้นไปจนถึงพรหมโลก. เมื่อพระธาตุแม้มีประมาณเท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาดยังมีอยู่ ไฟก็ยังไม่ดับ เมื่อพระธาตุทั้งหลายหมดไป เปลวเพลิงจึงมอดหมดไป. เมื่อพระธาตุทั้งหลายแสดงอานุภาพใหญ่อย่างนี้แล้วอันตรธานหายไป. พระศาสนาชื่อว่าเป็นอันตรธานไปจากโลกแล้ว. พระศาสนาชื่อว่าเป็นของอัศจรรย์ ตราบเท่าที่ยังไม่อันตรธานไปอย่างนี้ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะมีพระพุทธเจ้าองค์อื่นเสด็จอุบัติขึ้น” ถามว่า ก็เพราะอะไร ตอบว่า เพราะถ้ามีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นพร้อมกันในสมัยเดียวกันเช่นนี้ก็พระพุทธเจ้าก็จะกลายเป็นสิ่งที่ไม่น่าอัศจรรย์ไป ซึ่งผิดจากหลักความจริงที่ พระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นมนุษย์ผู้อัศจรรย์. เหมือนอย่างที่พระองค์ตรัสไว้ใน เอกบุคคลบาลี ว่า

    “ภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้เป็นเอกเมื่อจะอุบัติขึ้นในโลก ย่อมอุบัติขึ้นเป็นมนุษย์อัศจรรย์ บุคคลเป็นเอกอย่างไร คือ พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า”

    และนอกจากนี้พระพุทธเจ้ายังตรัสไว้ใน อัฏฐานบาลีว่า

    “ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าสอง พระองค์ จะพึงเสด็จอุบัติขึ้นพร้อมกันในโลกธาตุ (เอกภพ<universe> ทั้งหมด) เดียวกัน นั้น มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาสที่จะมีได้ (เป็นไปไม่ได้) ดูกรภิกษุทั้งหลาย แต่ข้อที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์เดียว จะพึงเสด็จอุบัติขึ้นในโลกธาตุอันหนึ่งนั้น เป็นฐานะที่จะมีได้ (เป็นไปได้)”

    ซึ่งจากรายละเอียดทั้งหมดในพระไตรปิฎกและอรรถกถา สรุปได้ว่า “ในช่วงเวลาตั้งแต่ที่พระโพธิสัตว์ในชาติสุดท้ายปฏิสนธิในครรภ์พุทธมารดาจนกระทั่งพระธาตุของพระพุทธเจ้าองค์นั้นๆอันตรธานหายไปจนหมด จะไม่มีพระพุทธเจ้าองค์อื่นๆเลย ที่จะมาอุบัติขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว” นอกจากนี้ ใน อรรถกถาเหมวตสูตร ยังกล่าวไว้อีกว่า พระธาตุของพระกัสสปพุทธเจ้าจะไม่กระจัดกระจายเหมือนพระธาตุของพระโคดมพุทธเจ้า แต่จะรวมอยู่เป็นก้อนเดียวกัน ดังรายละเอียดต่อไปนี้

    ในภัทรกัปนี้นั่นแล มนุษย์ทั้งหลายได้กระทำสรีรกิจด้วยการบูชาอย่างใหญ่ แด่พระผู้มีพระภาคสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสป ผู้ทรงอุบัติในสมัยคนทั้งหลายมีอายุ ๒๐,๐๐๐ ปี ทรงดำรงพระชนมายุได้ ๑๖,๐๐๐ ปีแล้วปรินิพพาน. พระธาตุทั้งหลายของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่ากัสสป นั้นไม่กระจัดกระจาย ตั้งอยู่เป็นก้อนเดียวกันดุจก้อนทองคำฉะนั้น เพราะนั่นเป็นธรรมดาของพระพุทธเจ้าผู้ทรงมีพระชนมายุยืนทั้งหลาย. ส่วนพระพุทธเจ้าผู้ทรงมีพระชนมายุน้อยทั้งหลายอันชนจำนวนมากยังไม่ทันเห็น ก็เสด็จปรินิพพานก่อน เพราะฉะนั้น จึงทรงอธิษฐานว่า ขอพระธาตุทั้งหลายจงกระจัดกระจาย ด้วยทรงอนุเคราะห์ว่า ชนทั้งหลายในที่นั้นๆ ทำแม้การบูชาพระธาตุแล้วจักประสบบุญ ด้วยเหตุนั้น พระธาตุทั้งหลายของพระพุทธเจ้าผู้ทรงมีพระชนมายุน้อยเหล่านั้น จึงกระจัดกระจายไปดุจเศษส่วนของทองคำ เหมือนพระธาตุทั้งหลายของพระผู้มีพระภาคเจ้าของพวกเรา ฉะนั้น

    และ อรรถกถา มหาปรินิพพานสูตร ในส่วน อุปปวาณตฺเถรวณฺณนา ก็กล่าวไว้ ตรงกันกับ อรรถกถาเหมวตสูตร ว่า

    “พระกัสสปะผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จอุบัติในโลกแล้วปรินิพพาน. พระธาตุสรีระของพระองค์ก็มีแห่งเดียวเท่านั้น. ผู้คนทั้งหลายนำพระธาตุสรีระนั้น สร้างพระเจดีย์โยชน์หนึ่ง”

    ดังนั้นจากข้อมูลที่บางฝ่ายอ้างว่าเป็นพระธาตุของพระกัสสปพุทธเจ้า จึงไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด เพราะถ้าหากว่ายังปรากฏพระธาตุของพระกัสสปพุทธเจ้าอยู่แสดงว่ายังไม่หมดสมัยของพระกัสสปพุทธเจ้า ซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้แล้ว พระโคดมพุทธเจ้าที่เรานับถือกันอยู่ในปัจจุบันซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าองค์ถัดมาจะอุบัติขึ้นมามิได้เลย และที่อ้างว่าเป็นพระธาตุที่เคยเป็นฟันของพระกัสสปพุทธเจ้าก็ไม่เป็นความจริงเช่นกันเพราะพระธาตุของพระกัสสปะนั้นจะรวมเป็นก้อนเดียว และบัดนี้เป็นสมัยของพระโคดมพุทธเจ้าแล้วพระธาตุของพระพุทธเจ้าองค์อื่นจะอันตรธานไปไม่มีเหลือ ดังนั้นถ้ามีผู้ใดอ้างว่า “นี่เป็นพระธาตุของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นพระองค์นี้“ ถ้าไม่ใช่พระธาตุของพระสมณโคดมพุทธเจ้าแล้ว ก็อย่าเชื่อ พึงทราบว่านั่นไม่ใช่ความจริง!!!

    อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่พระธาตุองค์จริง แต่ถ้าผู้ใดกราบไหว้ด้วยจิตศรัทธาเลื่อมใส ก็นับได้ว่าเป็นบุญเป็นกุศลอยู่ดี (แม้จะไม่มากเท่าการกราบให้พระธาตุองค์จริง) จากหลักฐานในพระไตรปิฎกและอรรถกถา มีกล่าวถึงเรื่องสถานที่สำคัญในสมัยพระกัสสปพุทธเจ้าอยู่เหมือนกัน เช่นซากวิหารในสมัยที่พระกัสสปพุทธเจ้าเคยประทับดังรายละเอียดใน อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท พุทธวรรคที่ ๑๔ เรื่องพระเจดีย์ทองของพระกัสสปทสพล กล่าวคือเมื่อครั้งหนึ่งพระโคดมพุทธเจ้าพร้อมภิกษุสงฆ์หมู่หนึ่ง เสด็จจากเมืองสาวัตถีไปที่เมืองพาราณสี ระหว่างทางนั้นพระพุทธเจ้าประทับแรมบริเวณเทวสถานโบราณใกล้หมู่บ้านโตเทยคาม และส่งพระอานนท์ไปบอกพราหมณ์ที่อยู่บริเวณนั้นมาเฝ้าพระพุทธเจ้า แต่เมื่อพราหมณ์เหล่านั้นมาแล้วแทนที่จะมากราบไหว้พระโคดมพุทธเจ้า กลับไปกราบไว้โบราณสถานนั้นแทนเนื่องจากเป็นประเพณีของพวกเขาที่ไหว้เจดีย์สถานนี้ แต่พระโคดมพุทธเจ้ากลับบอกว่าเป็นการดีแล้วเพราะ โบราณสถานนั้น เคยเป็นวิหารในสมัยที่พระกัสสปพุทธเจ้าเคยประทับ และเล่าเรื่องของพระกัสสปพุทธเจ้าดังรายละเอียดใน ฆฏิการสูตร แล้วทรงเนรมิตเจดีย์ทอง 2 องค์ไว้ในอากาศสูง 16 กิโลเมตร ไว้ 7 วัน พร้อมกับเทศสอนพราหมณ์ว่าการบูชาบุคคลที่ควรบูชาย่อมสมควรแล้ว เมื่อบูชาด้วยความเลื่อมใสแห่งใจ สัตว์ทั้งหลาย ย่อมไปสู่สุคติ และเทศนาธรรมจนพราหมณ์เหล่านั้นบรรลโสดาปัตติผล พึงสังเกตุว่า แม้พระธาตุของพระพุทธเจ้าจะอันตรธานหายไปหมด (การปรินิพพานของพระธาตุ) สถานที่สำคัญบางแห่งที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าอาจจะยังไม่หายไปก็ได้ ถ้าหากว่ายังอยู่ในกัปป์เดียวกัน



    เจ้าหน้าที่ระดับสูงกระทรวงวัฒนธรรมแห่งภูฏาน ว่า พระบรมสารีริกธาตุองค์นี้เป็นส่วนพระทันตธาตุของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า (ทว่าไม่ได้ระบุว่าเป็นพระทันตธาตุส่วนไหนบน ล่าง ซ้าย ขวา) มีอายุราว 3,000 ปี และเป็นองค์เดียวในโลกที่เหลืออยู่
    ลองคิดดูว่าราว 3,000 ปี ก่อนพุทธกาลปัจจุบัน แค่ 400 – 500 ปี เอง เร็วไปหรือเปล่า ? พระกัสสปพุทธเจ้า ท่านอายุ 16,000 ปี แต่คนยุคนั้นอายุขัยเฉลี่ย 20,000 ปีดังปรากฏใน อรรถกถาเหมวตสูตร

    “พระผู้มีพระภาคสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสป ผู้ทรงอุบัติในสมัยคนทั้งหลายมีอายุ ๒๐,๐๐๐ ปี ทรงดำรงพระชนมายุได้ ๑๖,๐๐๐ ปีแล้วปรินิพพาน”

    ดังนั้น ถ้าพระกัสสปพุทธเจ้าปรินิพพานเมื่อ 3,000 ปีก่อนตอนท่านอายุ 16,000 ปี ก็จะต้องมีคนร่วมสมัยที่เกิดในปีเดียวกับ พระกัสสปพุทธเจ้า แต่ยังไม่ตาย ซึ่งถ้าอยู่มาถึงปัจจุบันก็จะมีอายุ 19,000 ปี และจะตายในอีก 1,000 ปีข้างหน้า เมื่อเขาอายุครบ 20,000 ปี ซึ่งถ้าเป็นจริงคนเหล่านี้จะต้องจำเหตุการณ์สมัยพระกัสสปพุทธเจ้า ได้แน่นอน ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่ศาสนาพุทธของพระกัสสปพุทธเจ้าจะหายไป ภายใน 400-500 ปี หลังพระกัสสปพุทธเจ้าดับขันธปรินิพพาน และนอกจากนี้ ลองคิดดูว่าในโลกเรานี้มีมนุษย์หน้าไหนบ้างที่ไหนบ้างที่อายุ 19,000 ปีและยังมีชีวิตอยู่? (อย่าว่าแต่คนเลยแค่สัตว์ยังหาไม่ได้เลย) ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาดที่ พระทันตธาตุของภูฎาน (รวมวัตถุอื่นๆที่มีคนเอามาอ้าง) นั้นจะเป็น พระธาตุของพระกัสสปพุทธเจ้า!!!

    นอกจากนี้ในเวปดังกล่าวได้ระบุถึงที่มาของพระธาตุไว้ว่า

    เจ้าหน้าที่ระดับสูงคนดังกล่าวเปิดเผยถึงการได้มาซึ่งพระทันตธาตุว่า เกิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 8 ได้มีพระลามะรูปหนึ่งเดินทางลี้ภัยมาจากประเทศอินเดียเข้ามาในดินแดนของภูฏานและได้นำพระทันตธาตุมาด้วย
    ซึ่งผู้เขียนคิดคงเป็นการเข้าใจผิดของผู้ปกครองภูฏานสมัยนั้น ถ้าเป็นพระธาตุจริง (อันนี้ผู้เขียนไม่รู้ว่าจริงหรือไม่จริง) ก็น่าจะเป็นพระธาตุของ พระโคดมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน หรือไม่ก็เป็นพระธาตุของ พระกัสสปที่เป็นสาวกของพระโคดมพุทธเจ้า มากกว่า และสาวกของพระโคดมที่มีชื่อว่า “กัสสป” ก็มีหลายองค์ เช่น
    1) พระมหากัสสป ที่เป็นเอตทัตคะสาวกด้านธุดงควัตร
    2) พระอุรุเวลากัสสป ที่เคยเป็นชฎิลบูชาไฟ เอตทัคคะในทางผู้มีบริวารมาก
    3) พระกุมารกัสสป เอตทัคคะในทางเป็นผู้แสดงธรรมอันวิจิตร

    ซึ่งชื่อ “กัสสป” ที่เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ไปพ้องกับ พระนาม “กัสสป” ที่เป็นพระนามของพระพุทธเจ้าองค์ที่แล้ว

    สรุป
    1) พระธาตุของพระกัสสปพุทธเจ้า ไม่กระจัดกระจายเป็นส่วนๆ เช่น เป็นฟัน หรือเป็นเม็ดเล็กๆ แต่จะรวมกันก้อนเดียว
    2) พระธาตุใดๆของพระกัสสปพุทธเจ้า บัดนี้ไม่เหลืออยู่ในโลกนี้อีกต่อไปแล้ว
    3) พระธาตุหรือวัตถุใดๆที่มีคนอ้างว่า เคยเป็นส่วนหนึ่งของพระกัสสปพุทธเจ้า นั้นมีความเป็นไปได้ดังนี้
    3.1) สิ่งนั้นไม่ใช่พระธาตุ
    3.2) สิ่งนั้นเป็นพระธาตุจริงแต่อาจเป็น
    - พระธาตุของพระโคดมพุทธเจ้า หรือไม่ก็เป็น
    - พระธาตุของพระสาวกของพระโคดมพุทธเจ้า ที่ชื่อ กัสสปะ (ซึ่งมีอยู่หลายองค์)
     
  2. tanatep

    tanatep เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +118
    พระกัสสปพุทธเจ้า ท่านทรงอุบัติมาแล้วเมื่อประมาณ 8 อันตรกัป ที่แล้ว เทียบเป็น ปีไม่ได้คับ

    ถ้าเค้าบอกว่าใช่พระบรมสารีริกธาตุ ขององค์สมเด็จพระมหากัสสป พุทธเจ้า ก็น่าจะใช่นะครับ
    เพราะ พระบรมสารีริกธาตุ ส่วนมาก ท่านจะเสด็จเอง คือ ปรากฎขึ้นเอง และ หายไปเอง

    อย่าว่าแต่พระพุทธเจ้าองค์ก่อนพระสมณโคดมของเราเลยครับ

    พระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปฐม ที่ทรงอุบัติขึ้นในโลกธาตุใบนี้ และทรงขันธ์เป็นมนุษย์
    "สมเด็จองค์ปฐม" ที่มีชื่อว่า พระพุทธสิกขี หลวงพ่อฤาษีลิงดำกล่าวว่า ได้ทรงอุบัติในโลกมนุษย์ ซึ่งขณะนั้นคนมีอายุไข ประมาณ 8 หมื่นปี พระพุทธองค์ทรงผนวช ออกมหาภิเนษกรมณ์ เมื่อพระชนมายุได้ 4 หมื่นปี หลังจากผนวชได้ 2 หมื่นปี จึงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณตรัสรู้ เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์แรกของโลก พระพุทธองค์ทรงโปรดเวไนยสัตว์ ประมาณ 2 หมื่นปี จึงได้เสด็จดับขันธปรินิพาน

    พระบรมสารีริกธาตุของพระองค์ยังทรงเสด็จมาโดยองค์สมเด็จพระสมณโคดมพระพุทธเจ้า
    เพื่อให้บรรจุไว้ในพระพุทธปฏิมา สมเด็จองค์ปฐมที่วัดท่าซุงเลยครับ

    ประเทศไทยเรามีพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าที่อุบัติขึ้นพระองค์แรกในโลกธาตุใบนี้ ยังไม่แปลกเลยครับ

    ถ้าที่ภูฏานเอามาประดิษฐานเป็นการชั่วคราวไว้ที่ไทย ไม่ใช่ ไม่จริงอย่างที่เขาว่า ก็คงมีพระท่านออกมาบอกแล้วล่ะครับ เพราะพระอริยเจ้าในประเทศไทย มีมากมายครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...