๒.
ขอไม่พูดเรื่องมหาปเทสละกันครับ
ผมจะบอกว่าคนที่อ้างพระพุทธเจ้าน่ะเป็นพระสงฆ์ที่ควรสึกไปซะ
เหมือนเวลานักเลงที่มีลูกพี่ แต่นักเลงคนนั้นไปเกะกะละลานคนอื่นเพราะคิดว่าตัวเองแน่ และสร้างความเดือดร้อนให้ลูกพี่ตัวเอง โดยอาศัยบารมี เพราะเมื่อนับถือจริงๆจะไม่ทำให้เดือดร้อน
น่าเป็นห่วง หลักสูตรพุทธศาสนา จากบางอาจารย์ สอนตายแล้วสูญ ( หลักสูตร ม.1- ม.6)
ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 24 มกราคม 2006.
?
-
ไม่เห็นด้วย (คิดว่าสอนผิด)
0 vote(s)0.0% -
เห็นด้วย (คิดว่าสอนถูก)
0 vote(s)0.0%
หน้า 11 ของ 104
-
-
-
-
-
พอดีคนที่ตกระกำลำบาก เป็นพวกไหนก็ดูก่อนจะพูดดีกว่ากระมังครับ
พุทธศาสนาที่แท้จริง... ตลกครับ...
พุทธศาสนาไม่มีแท้จริง คนที่พูดว่าแท้จริงคือคนที่พูดเพื่อหวังผล เพื่อให้สิ่งนั้นเป็นจริง...
คงเห็นว่าพระพุทธศาสนาเป็นเครื่องมือหาประโยชน์ เพื่อให้สังคมเปลี่ยนแปลงตามใจตัวเอง มันก็โลภละครับ -
-
-
1) ท่านที่ยังไม่ได้อ่าน ลองกลับไปอ่านกระทู้ตั้งแต่แรกดูครับ
ผมไม่โกรธหลวงพี่นะครับ ที่ไม่ฟัง แต่มองว่าเป็นกรรมเก่าของหลวงพี่ และเป็นการสร้างกรรมหนักอันใหม่ของหลวงพี่เอง
ผมไม่มีปัญญาพอ จะเปลี่ยนความคิดหลวงพี่หรอกครับ แต่สงสัยว่าคนๆเดียวค้านยังต้องฟัง แต่นี่ทำไม 244 คนค้านหลวงพี่ไม่สะกิดใจเลย หลวงพี่คิดว่าคนเหล่านี้ โง่กว่าหลวงพี่ทุกคนหรือ หลวงพี่คิดดีๆนะครับ
การย้ำเอาเหตุผลเดิมๆ มาพูดใหม่ เหตุผลที่หลวงพี่บอกมาทั้งหมดคิดว่าพวกผมไม่เข้าใจหรืออย่างไร
มันไม่ใช่แค่เรื่องเถียงกับหลวงพี่ชนะหรือไม่ชนะ
ซึ่งผมว่าไม่มีทางชนะหรอกครับ
หลวงพี่เล่นนับ 1 ไปถึง 10 พอหมดมุขแล้วก็กลับมาเริ่ม 1 ใหม่
ประวัติศาสตร์ พระไตรปิฎกถูกแก้ไข (ไม่น่าเชื่อถือ พิสูจน์ไม่ได้ แต่ก็อ้างแล้วอ้างอีก)
วิทยาศาสตร์ (ศาสตร์วัยอนุบาล ศาสตร์ของอัตตา ศาสตร์ของทุนนิยม)
พระไตรปิฎกว่าอย่างนี้ (ผมว่าหลวงพี่ไม่ได้อ้างพระไตรปิฎกหรอกครับ เป็นตำราที่แปลงแล้วโดยท่านพุทธทาสมากกว่า)
2)ถ้าจะสอนโดยไม่เชื่อพระไตรปิฎก ไม่ควรอ้างพระพุทธเจ้า ไม่ควรอ้างว่าเป็นพระธรรม และไม่ควรอ้างตัวว่าหลวงพี่เป็นพระสงฆ์ด้วย
(หลวงพี่ก็บวชโดยพระไตรปิฎกไม่ใช่หรือ พระวินัยที่ปฎิบัติก็มาจากพระไตรปิฎกไม่ใช่หรือ)
ควรจะเรียกว่าเป็น หลักจริยธรรม หลักการดำเนินชีวิต ปรัชญา อะไรก็ว่าไป คราวนี้หลวงพี่จะเผยแพร่ไปทั่วโลกก็ไม่มีใครค้านหรอกครับ
(หรือกลัวว่าหนังสือจะขายไม่ดี ถ้าไม่ได้อ้าง)
สงสัยอีกนิดนึงครับ ว่าหลวงพี่บอกว่าพระไตรปิฎกถูกแก้ไปเยอะมากไม่คิดว่าพระวินัยถูกแก้ไปด้วยหรือ แล้วหลวงพี่เลือกปฏิบัติพระวินัย เฉพาะข้อที่เห็นด้วยเท่านั้นรึเปล่า
3) ทางแก้ ผมว่าเห็นด้วยกับหลวงพี่ครับ ว่าเราควรจะล่ารายชื่อแล้วร้องเรียนไปที่มหาเถระสมาคม เพราะไม่เพียงแต่หลวงพี่คนเดียวที่เผยแพร่คำสอนแบบนี้ พระที่มีความคิดแบบนี้อีกมากมายที่ไม่เปิดเผยตัว ยังสอนคนแบบนี้อยู่เรื่อยๆ ถึงแม้ไม่มีคนสอน ก็มีหนังสือ เทป ของท่านที่เป็นต้นเหตุของมิจฉาทิฐิเหล่านี้ เต็มร้านหนังสือไปหมด คนสนใจจะปฏิบัตธรรม ยังต้องเสี่ยงว่าจะได้หนังสือที่เป็นสัมมาทิฐิ หรือมิจฉาทิฐิ มาอีก กรรมของใครของมันจริงๆครับ -
ตอบข้อข้องใจ จาก เตชปญฺโญ ภิกขุ
เจริญพรมายังทุกท่านที่เข้ามาอ่านข้อความในกระทู้<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
จากปัญหาที่เกิดความไม่เข้าใจกันอยู่นี้ อาตมาสรุปได้ว่า เกิดมาจาก <o:p></o:p>
๑ .ความเชื่อที่แตกต่างกัน <o:p></o:p>
๒. ความเห็นที่แตกต่างกัน <o:p></o:p>
ความเชื่อที่แตกต่างกันก็สรุปอยู่ที่ว่า<o:p></o:p>
๑ .ฝ่ายหนึ่งเชื่อพระไตรปิฎก กับอีกฝ่ายหนึ่งเชื่อในความคิดเห็นของตนเอง<o:p></o:p>
๒.ฝ่ายหนึ่งเชื่อในครูอาจารย์ของตนเอง กับอีกฝ่ายหนึ่งเชื่อในความรู้ของตนเอง<o:p></o:p>
ส่วนความเห็นที่แตกต่างกันนั้นก็สรุปอยู่ที่ว่า<o:p></o:p>
ฝ่ายหนึ่งเห็นว่ามีตัวตนที่หมายถึงจิตใจหรือวิญญาณของคนเรานี้ไปเกิดใหม่ได้ไม่รู้จักจบสิ้น(เป็นอมตะหรืออัตตา)กับอีกฝ่ายหนึ่งที่เห็นว่าไม่มีตัวตน(อนัตตา)ที่จะไปเกิดใหม่ได้<o:p></o:p>
สรุปว่า ต้นตอของปัญหาจะอยู่ที่ว่าจะมีตัวตนจริงหรือไม่มีตัวตนจริงนี่เอง ซึ่งความเชื่อเรื่องตัวตนนั้นก็จะอ้างพระไตรปิฎกกับครูอาจารย์เป็นหลัก โดยเรื่องตัวตนนั้นแม้จะไม่มีของจริงมายืนยัน แต่ก็ท้าให้ไปลองปฏิบัติเอาเองจึงจะเห็นแจ้ง ดังนั้นจึงควรยุติการโต้แย้งในเรื่องตัวตนนี้เสีย จะเหลือก็แต่เรื่องไม่มีตัวตน(อนัตตา)ที่ว่าต้องหาเหตุผลและความจริงมายืนยันให้ได้ ถ้าทำได้ปัญหาทั้งหมดก็จะยุติลงด้วยดี.<o:p></o:p>
เตชปญฺโญ ภิกขุ<o:p></o:p> -
ตอบข้อข้องใจ จาก เตชปญฺโญ ภิกขุ
เจริญพรมายังทุกท่านที่เข้ามาอ่านข้อความในกระทู้นี้<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
เหตุผลที่ว่าทุกสิ่งเป็นอนัตตา(ไม่ใช่อัตตาหรือไม่ใช่ตัวตน)นั้นก็ต้องไปศึกษากฎสูงสุดของจักรวาลที่ควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลอยู่(เทียบได้กับพระเจ้า) ที่ชื่อว่า -
ตอบข้อข้องใจ จาก เตชปญฺโญ ภิกขุ
เจริญพรมายังทุกท่านที่เข้ามาอ่านข้อความในกระทู้นี้<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
จากกฎอิทัปปัจจยตานี้แสดงให้เราได้เข้าใจกฎไตรลักษณ์(อนิจจัง,ทุกขัง,อนัตตา)ได้อีกทีหนึ่ง และนี่คือเหตุผลที่แสดงว่าแท้จริงมัน -
-
เข้าใจความหมายของ"อนัตตา"ผิดแล้วละครับ
เพราะชาตินั้นเปลี่ยนไปตามสังสารวัฏ มันจึงเป็นอนัตตา
(๑) หมวดเห็นว่าเที่ยง ( สัสสตวาทะ) ๔
๑. เห็นว่าตัวตน ( อัตตา) และโลกเที่ยง เพราะระลึกชาติได้ ตั้งแต่ชาติได้ ตั้งแต่ชาติเดียว จนถึงแสนชาติ.
๒. เห็นว่าตัวตน และโลกเที่ยง เพราะระลึกได้เป็นกัปป์ ๆ ตั้งแต่กัปป์เดียวถึง ๑๐ กัปป์.
๓. เห็นว่าตัวตน และโลกเที่ยง เพราะระลึกชาติได้มากกัปป์ ๆ ตั้งแต่ ๑๐ กัปป์ถึง ๔๐ กัปป์.
๔. นักเดา เดาตามความคิดคาดคะเนว่า โลกเที่ยง.
เอาเป็นว่าผมปล่อยละกันอยากอวดภูมิก็ตามสบายครับ -
เพราะดูท่าว่าจะไม่เข้าใจว่าถ้าไม่ได้วิชาของผู้เป็นอาจารย์ตัวเองก็ไม่สามารถรู้ได้เหนืออาจารย์
คิดว่าตัวเองรุ้...
เมื่อคิดว่ารู้ก็อวดภูมิ...
อนิจจัง... -
ตอบข้อข้องใจ จาก เตชปญฺโญ ภิกขุ
เจริญพรมายังทุกท่านที่เข้ามาอ่านข้อความในกระทู้นี้<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
ขอตอบปัญหาของ คุณโยมToutou<o:p></o:p>
1. ท่านคิดอย่างไรกับคำกล่าวที่ว่า ". วัฏฏสงสาร เป็นภัยอันใหญ่หลวง"- วัฏฏะสงสาร หมายถึงการที่จิตเวียนว่ายอยู่ในลักษณะวงกลม ๓ ประการ คือ ๑.กิเลส -
๔) หมวดพูดซัดส่ายไม่ตายตัวแบบปลาไหล ( อมราวิกเขปิกะ) ๔
๑. เกรงว่าจะพูดปด จึงพูดปฏิเสธว่า อย่างนี้ก็ไม่ใช่, อย่างนั้นก็ไม่ใช่ , อย่างอื่นก็ไม่ใช่ , มิใช่ ( อะไร) ก็ไม่ใช่.
๒. เกรงว่าจะยึดถือ จึงพูดปฏิเสธแบบข้อ ๑.
๓. เกรงว่าจะถูกซักถาม จึงพูดปฏิเสธแบบข้อ ๑ .
๔. เพราะโง่เขลา จึงพูดปฏิเสธแบบข้อ ๑ และไม่ยอมรับหรือยืนยันอะไรเลย.
-
(๕) หมวดเห็นสภาพบางอย่างเป็นนิพพานในปัจจุบัน ( ทิฏฐิธัมมนิพพาน) ๕
๑. เห็นว่าการเพียบพร้อมด้วยกามคุณ ๕ เป็นนิพพานอย่างยอดในปัจจุบัน. ๒, ๓, ๔, ๕ เห็นว่าการเพียบพร้อมด้วยฌานที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ เป็นนิพพานอย่างยอดในปัจจุบัน. -
(๓) หมวดเห็นว่ามีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ ( เนวสัญญีวาทะ) ๘
เห็นว่าตั้งแต่ข้อ ๑ ถึงข้อ ๘ ข้างต้น คือตนมีรูป จนถึงตนมีที่สุดก็มิใช่ ไม่มีที่สุดก็มิใช่ ทั้งแปดประเภทนี้ ตายไปแล้ว มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่.
ทั้งสามหมวดนี้ รวมเรียกว่า อุทธมาฆตนิกา แปลว่า พวกที่มีความเห็นเกี่ยวกับสภาพเมื่อตายไปแล้วจเป็นอย่างไร. -
ในที่สุดได้ตรัสสรูปว่า สมณพราหมณ์ทุกพวกที่ทิฏฐิความเห็นความเห็นต่าง ๆ รวม ๖๒ ประการเหล่านี้ ย่อมได้เสวยอารมณ์ เพราะอาศัยอายตนะสำหรับถูกต้อง ๖ อย่าง ( คือตา, หู , จมูก, ลิ้น, กาย, ใจ,), เพราะเหตุที่เสวยอารมณ์จึงเกิดตัณหาความทะยานอยาก, เพราะเหตุที่มีความทะยานอยาก จึงมีความยึดมั่นถือมั่น, เพราะเหตุที่มีความยึดมั่นถือมั่น จึงมีภพ คือความมีความเป็น, เพราะเหตุที่มีความมีความเป็น ( ภพ) จึงมีชาติ คือความเกิด , เพราะเหตุที่มีความเกิด จึงมีความแก่ ความตาย ความเศร้าโศก คร่ำครวญ ความไม่สบายกายไม่สบายใจ และความคับแค้นใจ. สมณพราหมณ์เหล่านั้น ย่อมติดอยู่ในข่ายแห่งความเห็นทั้งหกสิบสองนี้เหมือนปลาติดข่ายฉะนั้น.
ส่วนตถาคตเป็นผู้ถอนตัญหาอันจะนำให้เวียนอยู่ในภพได้แล้ว กายยังดำรงอยู่ตราบใด ก็มีผู้แลเห็นเมื่อกายทำลายไปแล้ว ก็ไม่มีผู้แลเห็น. -
ตอบข้อข้องใจ จาก เตชปญฺโญ ภิกขุ
เจริญพรมายังทุกท่านที่เข้ามาอ่านข้อความในกระทู้นี้<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
ขอตอบปัญหาของ คนไม่ธรรมดา บรรพต อ. สักนิด น่าสนใจดีจากคำถามที่ว่า <o:p></o:p>
หน้า 11 ของ 104