สำหรับผมแล้ว ไม่ว่าจะตายแล้วสูญ หรือตายแล้วเกิดใหม่ไม่แตกต่างกัน
ถ้าผลกรรมไปรับผลเอาชาติหน้าแล้ว ตัวเราในชาติหน้าก็เหมือนกับเป็นคนอื่นไปเกิดใหม่ ไม่รู้เรื่องอดีตชาติที่แล้วมา เหมือนเป็นคนละคนไม่เกี่ยวกัน
ดังนั้น ถ้ามีคนคิดเหมือนผมเยอะๆ หลักสูตรเป็นแบบไหนก็ไม่มีความหมาย
น่าเป็นห่วง หลักสูตรพุทธศาสนา จากบางอาจารย์ สอนตายแล้วสูญ ( หลักสูตร ม.1- ม.6)
ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 24 มกราคม 2006.
?
-
ไม่เห็นด้วย (คิดว่าสอนผิด)
0 vote(s)0.0% -
เห็นด้วย (คิดว่าสอนถูก)
0 vote(s)0.0%
หน้า 3 ของ 104
-
555 ถ้านรกมีจริงพวกนี้คงไม่มีโอกาศได้เกิดเป็นมนุษย์อีกแน่ๆ
แต่ที่เห็นชัดๆ ก็คือ เด็กๆ สมัยนี้ไม่กลับบาป ดูซิมันเอากันแต่เด็ก
ถือว่าเซ็กเป็นแค่ของเล่น แล้วก็ฆ่าคนได้โดยไม่ต้องคิด
ควบคุมตังเองไม่ได้ ท่านวิษณุ น่าจะรู้เรื่องดีนะเรื่องนี้นะ 5555 -
ผมมีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง บ้านอยู่เชียงใหม่ เมื่อ 25 ปีที่แล้ว อุตส่าห์เดินทางไปอุปสมบทที่สวนโมกข์ สึกมาแล้ว มาถามผมว่าได้บุญแรงขนาดไหนที่ไปบวชมานี้
ผมตอบว่าที่เชียงใหม่เวลานั้นมี พระโพธิสัตว์ทรงบารมีสูง มีพระอริยเจ้าตั้งหลายองค์ แต่ไม่ไปบวชกับท่าน ดันเดินทางไปบวชเสียไกลถึงสวนโมกข์
เขาถามว่าจะได้บุญขนาดไหน ผมตอบเขาไปว่า
" ไปหาอาจารย์ที่เดินทางไปนรกก็ถือเสียว่าลงนรกตามอาจารย์ไปก็แล้วกัน "
เอวัง -
ถ้าผมถามคุณว่าเมื่อ 3 วันก่อนคุณกินอะไรเป็นมื้อเที่ยงคุณจำได้ไหมอาจจะได้เหรอไม่ได้เลย แต่ถ้าคุณจำไม่ได้แปลว่าคุณไม่ได้กินมื้อนั้นเข้าไปไหมก็ ไม่คุณได้กินเข้าไปแล้วทั้งๆที่คุณลืมแต่ก็เหตุการ์ณนั้น
คุณผู้กระทำได้ทำลงไปแล้ว
แล้วตัวรู้ปจุบันในตอนนี้กับคุณในตอนนั้นไม่ใช่คนเดียวกันยังงั้นหรือ
ก็ไม่ใช่อีกนั้นละเพราะฉะนั้น
คิดดูให้ดีๆนะครับ...
ปล.ถ้าคุณนอนแล้วตื่นขึ้นจำเหตุการ์ณเมื่อวานแปลว่าเป็นคนละคนกันยังงั้นหรือ !
นรกมีจริง สววรค์มีจริง กรรมมีจริง ชาติที่แล้วมีจริง ชาติหน้ามีจริง สัตว์โลกเป็นผู้รับกรรมของตนตราบจนกระทั่งพบสัจธรรมแล้ว...นิพพาน -
คนส่วนใหญ่ในนี้ไม่เห็นด้วยอย่างแรง
แต่ผมเห็นด้วยนะครับ ...เรามาดิสคัสกันดีกว่า
คุยกันด้วยเหตุผลนะครับ...ผมจะเป็นฝ่ายสนับสนุนหลักสูตรนี้
พวกคุณเป็นฝ่ายค้าน...เพราะถ้าทุกคนเอาแต่ค้านๆๆๆๆ
ปัญญาก็ไม่เกิด..เรามาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันดีกว่า
ย้ำนะครับว่าเราจะคุยกันด้วยเหตุผล
..............................................
อ่านแล้วสรุปสั้นๆอีกที
1. จิตกับกายแยกกันไม่ได้ เวลาคนตายแล้วสูญ จิตดับสูญไปด้วย
ตายแล้ววิญญาณไปเกิดใหม่ เป็นความเชื่อของพราหมไม่ใช่พุทธ
ชี้แจง ตายแล้ววิญญาณไปเกิดใหม่ เป็นความเชื่อของพราหมไม่ใช่พุทธ
อันนี้ถูกต้องครับ เป็นของพราหม ครับ พุทธศาสนาสอนว่า คนเราก็เกิด แก่ เจ็บ ตาย อนิจจังเป็นสิ่งไม่เที่ยง อย่าไปยึดติดกับวัตถุ
ซึ่งอาจจะสับสนถึง สงสารวัฏ (เวียน ว่าย ตาย เกิด)เป็นของพรามหมณ์ครับ
ซึ่งข้อนี้เองที่ไปขัดกับพรามหมณ์ ครับ แล้วก็มีเรื่องขัดแย้งกัน...ยาวครับ
ทั้ง องคุลีมาล โอ้ย เยอะแยะ
นิพพาน แปลว่า ความสงบเย็น หรือความเย็นใจ คือเมื่อใดที่จิตของเราเกิดอาการของกิเลสใดๆขึ้นมา จิตของเราก็จะไม่บริสุทธิ์ หรือจะเศร้าหมอง แล้วมันก็จะเกิดความทุกข์ชนิดต่างๆขึ้นมา ซึ่งจะรุนแรงบ้าง ไม่รุนแรงบ้างตามกิเลสที่เกิดขึ้น แต่ขณะใดที่จิตเรามีสมาธิและปัญญา จิตของเราก็จะบริสุทธิ์ จากกิเลส แล้วมันก็จะสงบ เยือกเย็น ปลอดโปร่ง แจ่มใสขึ้นมาทันที ซึ่งนี่คืออาการที่เรียกว่านิพพาน
ไม่ใช่ว่า ตายแล้วไม่เกิดใหม่ ที่เข้าใจผิดกันอยู่เนืองๆ
ย้อนไปถึง หลักคำสอนที่ว่า ทุกสิ่งล้วนเป็นของคู่กัน มีมืด ต้องมีสว่าง
มีดำต้องมีขาว มีเกิด-ต้องมีไม่เกิด ไง
2. สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผีเทวดา เป็นเรื่องงมงาย ไม่ให้เชื่อ
ชี้แจง ถูกต้องครับ ศาสนพุทธไม่สอนให้เชื่ออะไรง่ายๆตามหลักกาลามสูตร
พระพุทธเจ้ายังบอกกว่ายังไม่จำเป็นจะต้องเชื่อท่านจนกว่าจะได้พิสูจน์
"เอหิปัสสิโก เชิญมาพิสูจน์เถิด" แล้วก็ไม่สอนให้งมงาย เชื่อสิ่งศักดิ์ทั้งหลาย
แล้วพระเครื่องทั้งหลายที่ สงฆ์ ทำออกมา"เช่า" เราถามว่าใช่กิจของสงฆ์ฤา
ก่อนท่านปรินิพพาน ท่านได้ให้พระธรรมเป็นตถาคตแทนตัวท่านแล้ว
ท่านมิได้บอกว่า"ดูกรภิกษุทั้งหลาย หากเราดับขันท์ไปแล้ว ท่าทั้งหลายจงทำพระเครื่องขึ้นมาแทนตัวเรา" ไม่หรอก.....
3. ไม่ให้เชื่อ เรื่อง นรก สวรรค์ที่เป็นสถานที่ เพราะว่าไม่ใช่พุทธและเป็นเรื่องแต่งขึ้นมา..แต่ให้เชื่อว่า สวรรคในอก นรกในใจ แทน
ชี้แจง อันนี้ถูกต้องตามหลักศาสนาพุทธเปะ
เรื่องที่พระพุทธเจ้าไปโปรดพระมารดาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และอีกหลายๆเรื่องล้วนเป็นสิ่งที่ถูกปรุงแต่ขึ้นครับ(ยอมรับ ป่ะ ...ไม่ยอมรับละเซ่...)
4. ตามหลักพุทธศาสนาแล้วไม่สอนว่าตายแล้วไปไหน เพราะไม่สามารถพิสูจน์ได้
ชี้แจง ครับ..ไม่ได้สอนจริงๆครับ
5. พระอภิธรรมปิฎก คือ หลักปรัชญาที่สาวกรุ่นหลังๆแต่งขึ้นเอาไว้
ชี้แจง ถูกต้องนะคร้าบบบหมวดแห่งคำสอนของพระพุทธศาสนา ฝ่ายปรมัตถธรรมว่าด้วยจิต เจตสิก รูป นิพพาน, เป็นปิฎกที่สาม(หลังสุด)ในพระไตรปิฎก
6. พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้สอนเรื่องหลังจากตาย
ชี้แจง ก็ใช่อ่ะ
7. ทุกคนเคยสัมผัสนิพพานและนิพพานสูญ
ชี้แจง ก็ใช่ครับ แต่นิพพานั้นไม่ถาวร
8. ไม่ต้องไปสนใจเรื่อง การทำดีและชั่วที่จะได้รับผลดีและชั่วในอนาคตจริงหรือไม่ เพราะเป็นเรือ่งแต่งขึ้นมาแล้วไม่มีหลักฐาน
ชี้แจง ท่านสอนให้ทำดีโดยไม่หวังผล มากน้อยขึ้นอยู่กับเจตนา
บริจาค 1 ล้าน กะข้าวสาร1ถุง ข้าวสารเจ๋งกว่าถ้าให้ด้วยความบริสุทธ์ใจ
ให้ยึดมั่นในปัจจุบันเป็นหลัก
9. เรื่องกฏแห่งกรรม ไม่ใช่เรื่องสำคัญไม่ควรไปสนใจ ไม่ให้เชื่อเรื่องกฏแห่งกรรมเก่าส่งผลมาชาตินี้
ชี้แจง ถูกครับ พระพุทธเจ้าบอกว่าถ้ามัวแต่โทษโชคชะตา เป็นเรื่องของเวรกรรม คนก็จะมัวแต่รอฟ้าดิน....ทำนองเนี้ย ภาษาไม่สละสลวยเท่าต้นฉบับ(ผมจำได้ลางๆ)
10. ไม่ให้เชื่อเรื่องนรก-สวรรค์, ชาติก่อน, ชาติหน้า เพราะว่าเป็นเรื่อง มันเป็นเรื่องของการเล่าต่อๆกันมา
ชี้แจง จากข้อ9<!-- / message --><!-- sig --> -
เรียนคุณ Retung
ผู้คนส่วนมากในเว็บนี้เป็นผู้ปฎิบัติธรรมเสียส่วนใหญ่(ชาวพุทธแท้)
คือการภาวนา ทำสมถะ และ วิปัสสนา เพื่อให้เข้าถึงสภาวะจิต แห่งพุทธ คือ รู้ทุกอย่างตามความเป็นจริง
นี่เป็นการพิสูขน์หลักธรรมของพระพุทธเจ้าโดยตรงพระองค์ทรงเน้นไปที่การฝึกจิตเป็นมูลฐาณอันก่อเกิดกระบวนการรู้แจ้งในธรรมที่พระองค์ทรงแสดง
หากไม่ปฎิบัติธรรมแล้วไม่อาจบรรลุธรรม ไม่อาจยกระดับจิตใจให้ละเอียดถึงขั้น โสดาบัน ถึงขั้น สกิทาคามี ถึงขั้น อนาคามี และ ถึงขั้น อรหันต์ ได้เลิย
คือผู้ที่ศึกษาแต่ในทางปริยัติ จะไม่มีทางตีความได้อย่างถ่องแท้เลิยว่ามีสภาพธรรมเป็นเช่นไรหากไม่ปฏิบัติจนเห็นสภาวะนี้ด้วยตนเอง อุปมาเหมือนเราไม่เข้าใจว่าพริกนั้นเผ็ดอย่างไรถ้าไม่เคยลองรัปทานดู การอ่านอ่านผู้ที่เคยรัปทานพริกซึ่งพรรณาไว้ว่าพริกเผ้ดเช่นไรนั้น ผู้อ่านได้แต่จินตนาการเอ่านั้นเท่านี้ว่าน่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ตามประสบการณ์และสติปัญญาของตนเอง ทราบเพียงสภาวะโดยประมาณพอที่จะอธิบายเป็นภาษเขียนได้เท่านั้น เป็นสิ่งที่น่าขำขันน่าแปลกใจและน่าเป็นห่วงในเวลาเดียวกันว่า นักปริยัติไม่เคารพภูมิของนักปฏิบัติ ถืออัตตาเยอะในปรีชาญาณของตัวเองเยอะ กลับไปตั้งข้อสงสัยว่าสิ่งที่นักปฏิบัติ หรือผู้ที่มีทั้งปรีชาญาณและปัญญาญาณ เห็นนั้นเป็นไปไม่ได้ โดยการตีความตาม ความนึกคิดปรีชาญาณของตนเอง
ดังนั้นหากต้องการพิสูจน์ธรรมของพระพุทธเจ้าต้องลงมือปฏบัติธรรมเช่นเดียวกันกับการลงมือแก้โจทย์คณิตศาสตร์ หรือ พิสูจน์สูตรคณิตศาสตร์ ให้รู้ว่าคำตอบคือ เลขคู่ หรือ เลขคี่ หาใช่แค่การใช้ วิจารณญาณส่วนตัว เดาเอาว่าคำตอบเป็นเลขคู่หรือเป็นเลขคี่ นั่นไม่ใช่การพิสูจน์ตามหลักแห่ง พุทธปัญญา ของพุทธจริตชน
ผู้คนในเว็บนี้เมื่อปฏิบัติธรรมถึงจุดๆหนึ่งจึงเกิดประสบการณ์ร่วมกัน นั่นคือ การได้เห็นจริง ตามธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง คือ สัจธรรม คือ ของจริง
นอกเหนือจากธรรมทั้งหลายในการ ละซึ่งกิเลศ และ ดับทุกข์ เรายังได้พัฒนาจิต ถึงขั้นพัฒนาสมองซีกขวาให้เกิดปัญญาญาณ พลังจิต และ พลังใจ ซึ่งต่างกับปุถุชนทั่วไป เรายัง ได้พบ สิ่งที่วิทย์ศาสตร์ หรือ เครื่องมือเครื่องไม้ภายนอกการใช้จิตจะค้นพบได้ นั่นคือ การได้ พบเห็น พูด คุย สัมผัส ได้ยิน ติดต่อสื่อสารกับ จิตวิญญาณนอกมิติ หรือที่เรียกกันว่า วิญญาณ เทวดา อมนุษย์
หรือผู้ซึ่งได้รับการฝึกฝนในทางวิชามโนยิทธิ หรือ ในทางวิชาธรรมกาย สามารถ นำจิตนำกายละเอียด ไปเห็นนรก ไปเห็นสวรรค์ ไปเห็นพระนิพพาน แม้ผู้ฝึกขั้นต้นก็เห็นได้
บุคคลที่ได้พบประสบการณืเหล่านี้มีมากใน เว็บนี้ มีมากในประเทศนี้ และมีมากในโลกนี้ นี่เป็นการพิสูจน์ธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นจริง
ศาสนาพุทธคือการฝึกจิต เป็นศาสนาแห่งการยกระดับจิตใจให้บริสุทธิ์สูงขึ้น เรียกว่าเป็นศาสนาแห่งพลังจิต เว็บนี้จึงชื่อเว็บพลังจิต
เราได้พิสูจน์กันแล้วว่าสวรรค์นรกมีจริง ชาวพุทธ ที่แท้จริง พิสูจน์ รู้กันนานแล้ว เกิด ศรัทธา จากการพิสูจปฏิบัตินานแล้ว และยังคงทำกันอยู่เป็นนิจ
อย่าได้ลืมว่าพระถือศิลไม่โกหก ศาสนาพุทธคือศาสนาแห่งความจริง พุทธคือตื่นแล้วรู้แล้ว เมื่อคุณพูดว่า ได้มีเรื่องที่ได้แต่งขึ้นภายหลัง กุขึ้นภายหลัง สิ่งเหล่านี้ไม่มีจริง คุณเอาอะไรมาพิสูจน์ว่า เรื่องบางเรื่องแต่งขึ้นภายหลัง ธรรมบางธรรมและสิ่งบางสิ่งถูกกุขึ้ย การเสวนาของเรากับคุณกลายมาเป็นคำถามต่อไป คือคุณเป็นพุทธ(ผู้ตื่นผู้รู้ตามความเป็นจริง)หรือยัง?
พูดถึงเรื่องความรู้ คุณอ่านพระตรัยปิฏกไม่จบ ทั้งยังไม่เคนศึกษาศาสนาอื่นอย่างถ่องแท้ และขาดความเข้าใจในคำสอน เป็นต้นว่าเรื่องของภพภูมิไม่มีศาสนาใดๆในโลกนี้ที่สอนความจริงถึงมิติอื่นภพภูมิอื่นละเอียดเท่าพุทธศาสตร์สนาอีกแล้ว เช่นว่าสวรรค์มีกี่ชั้นนรกมีกี่ขุมกี่มิติ และที่ศาสนาอื่นไม่ได้สอนคือ พระนิพพาน สถานที่แห่งผู้หลุดพ้นซึ่งไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในทะเลแห่งกิเลศตัณหาอีกต่อไป
คุณยังขาดความเข้าใจในชีวิต และในโลกแห่งความเป็นจริง ในโลกนี้มีคนอยู่หลายจำพวกหลายจริตหากให้คิดเหมาว่าสวรรค์อยู่ในอกนรกอยู่ในใจนั้นกันทุกคนอะไรจะเกิดขึ้น? ไม่ต่างกับการมีกฏหมายระบุว่าอะไรถูกอะไรผิดแต่กลับปราศจากบทลงโทษ! คนเราจึงขาดหิริโอตัปปะ คนไร้การศึกษากล้าทำชั่วกันมากขึ้น การให้รู้ถึงผลของบุญของบาปนั้นเป็นประตูสายกลางสู่การมีใจเป็นธรรม คือเริ่มต้นทำให้กลัวบาปกลัวกรรม ชอบทำความดี เมื่อทำความดีจนชินแล้ว จึงเกิดสวรรค์ในอกนรกในใจขึ้น พอใจในความดีมีความสุขจากความดีที่ตนได้กระทำ
ทางด้านความรู้พวกคุณจงไปศึกษากันมาดีๆ อย่าได้ผิดพลาดกันอีก ให้เสียชื่อชาวพุทธ หากต้องการเรียกตัวเองเช่นนั้น อย่ากล่าวเอาลอยๆหรือเป็นไปเพียงนึกคิดโคยปราศจากความรู้แจ้ง
ยินดีเสวนาด้วยทุกเมื่อ ยินดีให้คำแนะนำทุกเมื่อ
ด้วยความห่วงใย ด้วยไมตรีจิต
ชาวเว็ปพลังจิต -
เป็นวิธีง่าย ๆ ในการทำให้ศาสนาพุทธหมดค่า และศาสนาอื่นจะขึ้นมาแทน ไม่ใช่เป็นการกระทำของผู้ไม่รู้ แต่เป็นการกระทำของผู้ที่รู้ลึก (แต่ไม่ซึ้ง)
ศาสนาพุทธสอนไว้ 84000 พระธรรมขันธ์ล้วนสรุปลงที่จุดเดียว คือพระพิพพาน การที่เราต้องไปพระนิพพานให้ได้ เพราะเป็นที่ๆ เดียวที่จะทำให้เราหลุดพ้นจากทุกข์ โดยสิ้นเชิง ทุกข์มาจากไหนมันมาจากขันธ์ เราเวียนว่ายตายเกิดไปตรมภพถูมิต่าง ๆ ก็เวียนว่ายอยู่ในขั้นแบบต่าง ๆ ตัดภพตัดชาติต้องตัดที่ขันธ์ แล้วจึงพบกับพระนิพพาน
ที่นี้เมื่อสอนกันว่าภพชาติไม่มี นิพพานไม่มี สวรรค์นรก ก็ไม่มี เป็นอันว่าศาสนาพุทธก็หมดประโยชน์ทันที ไม่มีทุกข์ต้องดับ เพราะจิตดับเมื่อกายดับ ถ้าเป็นผมใครมาสอนแบบนี้ ผมจะไม่ทำบุญทำทาน หาเงินเยอะ ๆ เพื่อให้ตัวเองสุขสบายมาก ๆ ในชาตินี้ให้เต็มที่ พอตายไปแล้วก็จบกันพ้นทุกข์เลย ท้ายสุดผมและมนุษย์ทั่วไปก็จะโง่เขลาเบาปัญญา รู้จักแต่สุขกับทุกข์ที่รู้สึกได้ด้วยขันธ์ ซึ่งเป็นสมมติทั้งนั้น อีกหน่อยปัญญามนุษย์จะเหลือแค่นี้ ไม่มุ่งหาวิมุติกันอีกต่อไป เพราะหาไปเดี๋ยวก็ตายแล้ว ตายไปจิตก็ดับ ไม่มีประโยน์
คำสอนแบบนี้ฟันธงได้เลยว่า ไม่ใช่คนเข้าใจศาสนาผิด แต่เป็นคนตั้งใจทำลายศาสนา
ปล. ผมไม่ได้กล่าวหาท่านพุทธทาสนะ เนื่องจากพิจารณาแล้วว่านี่ไม่ใช่ original ที่มาจากท่านพุทธทาส แต่มีผู้ตีความมาอีกที เดี่ยวศิษย์ท่านพุทธทาสจะเข้าใจผิด -
คุณ Retung ผู้เจริญ โปรดทราบ
พุทธศาสนาไม่เคยบอกว่า การเวียนว่ายตายเกิดไม่มีจริง
เรื่องภพชาติลึกลับปาฏิหาริย์ต่างๆ พิสูจน์ได้ด้วยตนเอง เจอกับตัวเองก่อนเถอะครับแล้วจะอึ้ง
----
เรื่องนี้ผมขอเป็นอีกแรงหนึ่ง ผมส่งจดหมายไปถึงคนรู้จักที่ทำงานที่สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา -
เรียนคุณ retung
ใช่ครับ คุณกล่าวถูก ว่าศาสนาพุทธท้ามาให้พิสูจน์
ใช่ครับ, แล้ว, คุณพิสูจน์แล้วหรือยัง? ถ้ายัง อย่าเพิ่งกล่าวสิ่งใดออกไป หากสิ่งนั้นที่คุณคัดค้านเป็นจริง จะกลายเป็นโทษภัยแก่ตนเองเสียเปล่า
เรียนคุณ pr99
ขอเรียนเชิญคุณมาพิสูจน์อีกคนนะครับ
ศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาที่กล่าวถึงความเชื่อที่พิสูจน์ไม่ได้ ทุกเรื่องนั้น พิสูจน์ได้นะครับ ความคิดที่คุณคิดว่า ชาติหน้าเป็นอีกคนหนึ่ง ไม่เกี่ยวข้อง ผมคิดว่าคุณคงคิดทบทวนเรื่องนี้ไว้เยอะพอควรทีเดียว แต่, ก็มีผู้แก้ให้คุณได้อ่านด้วยอุบายอันแยบคายแล้ว
ผมขอเสริมว่า ชาติหน้าคุณอาจจะรำพันได้ว่า ทำไมเราถึงเป็นแบบนี้
ขอโมทนากับคุณ websnow ที่ช่วยแจ้งเรื่องนี้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบ สาธุ -
สงสารเด็ก เข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้าผิดไป แล้วเผยแพร่ผิดๆ ต้องตกนรก
ทุกข์สาหัสเนิ่นนาน -
มันก็เป็นไปตามธรรมชาติอยู่แล้วครับ เอาเป็นว่าใครอยากจะทำอย่างไรก็ทำไป แต่ผมคิดว่า อย่างน้อยที่สุด ผมจะกลับไปสนใจลูกหลานญาติพี่น้องที่ยังเรียนอยู่เข้าไปพูดคุยและชี้แจงทำความเข้าใจให้เขาเลยดีกว่า การจะแก้เหตุที่เรามีกำลังยังไม่มากพอ(อำนาจ) ก็จะเปล่าประโยชน์ซะเปล่าๆ คิดอย่างนี้ดีกว่าว่าถ้าอย่างน้อยทุกคนรู้เรื่องนี้แล้วกลับไปแก้ไขกับลูกหลานของตน ให้เข้าใจอย่างถูกต้องไม่แน่ ในอนาคต อนาคตของชาติเหล่านี้อาจกลับมาเปลี่ยนแปลงความผิดพลาดเหล่านี้ให้ถูกต้องเหมือนเดิมก็ได้ อย่างน้อยตัวผมเองคงต้องกลับไปคุยกับเด็กๆ ในการปกครองว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไง และชี้แจงให้ถูกต้องให้เข้าใจ อย่างน้อยก็มีเด็กที่จะเข้าใจไม่ผิดไปตามหลักสูตรอยู่คนนึงล่ะ
-
ตอบข้อข้องใจ จาก เตชปญฺโญ ภิกขุ
เจริญพรมายังทุกท่านที่โพสข้อความเข้ามาในกระทู้นี้
อาตมาคือเตชปญฺโญ ภิกขุ แห่งอาศรมพุทธบุตร เกาะสีชังที่คุณโยมทุกท่านกล่าวถึงนั่นเองซึ่งบังเอิญมากที่อาตมาได้พบข้อความจากเวบบอร์ดที่กล่าวโจมตีอาตมาแล้วจากทุกท่าน
อาตมาเข้าใจในสิ่งที่ทุกท่านโพสไว้อาตมาไม่โกรธคุณโยมทุกท่านหรอกเพราะอาตมาเข้าใจดีว่าทุกท่านก็หวังดีต่อพุทธศาสนาและต่อประเทศชาติจึงโกรธเคืองถ้าจะมีใครจะมาทำร้าพุทธศาสนาและประเทศไทย
แต่อาตมาอยากจะทำความเข้าใจสักหน่อยว่าอาตมาก็หวังดีต่อพุทธศาสนาและประเทศไทยเหมือนกันดังนั้นอาตมาจึงได้เขียนหลักสูตรและหนังสือ"พุทธศาสนาระดับเริ่มต้น"นี้ขึ้นมาและสร้างเวบไซต์นี้ขึ้นมาด้วยเพียงเพื่อหวังให้มีคนเข้าใจพุทธศาสนาถูกต้องยิ่งขึ้นและจะมาช่วยกันสร้างความดีเพื่อสังคมไทยของเรา
หนังสือของอาตมาที่เรียบเรียงขึ้นมานี้ อาตมาจะใช้เหตุผลอย่างที่สุดและเป็นประโยชน์อย่างที่สุดมีจุดใดบ้างที่ไร้เหตุผลและไม่เป็นประโยชน์ หรือมีโทษ? ถ้าคุณโยมท่านใดคิดว่าผิด หรือไม่ดี หรือเห็นว่ามีโทษตรงไหน? ถ้าเป็นไปได้คุณโยมแต่ละท่านจะช่วยกรุณาส่งอีเมล์แจ้งไปยังอาตมาพร้อมทั้งบอกเหตุผลไปด้วยเพื่ออาตมาจะได้พิจารณา ถ้าเห็นว่าผิดและไม่เป็นประโยชน์อาตมาก็จะรีบแก้ไขปรับปรุงใหม่ทันที(พร้อมคำขอขมาอย่างเป็นทางการ)แต่ถ้าเห็นว่าดีแล้วถูกต้องแล้วอาตมาก็จะส่งอีเมล์ตอบกลับมาบอกเหตุผลให้
อาตมาอยากจะขอให้ทุกคนใจเย็นๆใช้เหตุใช้ผล ค่อยๆพูด ค่อยๆจากัน เราจะเอาเหตุผล และความถูกต้องโดยมีผลเป็นความสงบสุขของสังคมเป็นหลัก อย่าเอาแต่อารมณ์ (กิเลส)ซึ่งนั่นไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้าเลย
อาตมายินดีรับโทษเต็มที่(แม้จะให้สึกและติดคุก)หากอาตมาผิดจริงแต่ขอ
อย่างเดียวคือขอให้ทุกท่านอ่านหนังสือและบทความของอาตมาให้ละเอียดเสียก่อนแล้วจึงแจ้งข้อหา
อาตมาจะรอคอยอีมล์จากทุกท่าน และจะค่อยๆทะยอยตอบโดยเฉพาะเวบมาสเตอร์ซึ่งก็อยากให้คนที่มีความรู้ในพุทธศาสนาจริงๆมาช่วยกันแก้ข้อสงสัยในเรื่องเหล่านี้ ส่วนคนที่รู้ครึ่งๆกลางๆหรือรู้บ้างไม่รู้บ้าง หรือรู้ผิดๆถูกๆ ก็ช่วยอยู่เงียบๆ ฟังดูก่อนอย่าเพิ่งเอาแต่อารมณ์ที่เป็นอคติ(ลำเอียงเพราะโง่)ไปตัดสิน เดี๋ยวจะกลายเป็นคนโง่แล้วอวดฉลาดไปโดยไม่รู้ตัว.
อีเมล์ของอาตมาคือwhatami@thai.com
เวปไซต์คือ www.whatami123.com
เตชปญฺโญ ภิกขุ
อาศรมพุทธบุตร เกาะสีชัง ชลบุรี .
๒๕ ตุลาคม ๒๕๔๙
ป.ล.อาตมาจะขออนุญาตตอบข้อข้องใจในเวบบอร์ดนี้ด้วย เพื่อความยุติธรรม ก็หวังว่าคำตอบของอาตมาจะไม่ถูกลบทิ้งเพราะเวบมาสเตอร์กลัวความจริง หรือแอบปิดเวบบอร์ดหนีเสียก่อนนะ.<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p> -
ตอบข้อข้องใจ จาก เตชปญฺโญ ภิกขุ
เจริญพรมายังทุกท่านที่สนใจเรื่องหลักสูตรพุทธศาสนาที่อาตมาเรียบเรียงขึ้น
ก่อนอื่นอาตมาก็จะขอทำความเข้าใจสักเล็กน้อยก่อนที่จะแก้ข้อข้องใจในเรื่องบางเรื่องที่สำคัญๆที่กำลังโจมตีอาตมาอยู่ในเวบบอร์ดนี้
อาตมาให้อภัยกับทุกๆท่านที่โจมตีอาตมา ซึ่งก็จัดว่าเป็นสิ่งดี เพราะจะช่วยทำให้ความจริงปรากฏ คือทองแท้ย่อมไม่กลัวไฟ อาตมาเสียใจอยู่นิดเดียวว่าทำไม่แจ้งให้อาตมาทราบเสียก่อน อาตมาจะได้รีบแก้ข้อกล่าวหาให้เสียก่อนที่จะเป็นเรื่องใหญ่โต ซึ่งอาจจะทำให้ไม่ใครก็ใครต้องเสียหน้าก็ได้
<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
ในเรื่องนี้ทุกอย่างจะยุติลงด้วยการทำความเข้าใจ ซึ่งก็อาจจะยากอยู่บ้าง เพราะมันเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาในการศึกษามาก อาตมาใช้เวลาในการศึกษามานานนับ ๑๐ ปี จึงเรียบเรียบหนังสือและหลักสูตรนี้ขึ้นมาสำเร็จ มิใช่จะทำขึ้นมาอย่างชุ่ยๆโดยขาดเหตุผลและหลักการที่ชัดเจน และอาตมาก็เตรียมรับการถูกกล่าวหาอยู่แล้วตั้งแต่เริ่มทำ ดังนั้นผู้ที่จะมาแจ้งข้อหาอาตมาก็อยากให้เป็นคนที่มีความรอบรู้จริงๆเท่านั้น ถ้าเป็นคนที่รู้บ้างไม่รู้บ้างถึงมาแจ้งข้อหาก็เปล่าประโยชน์ เพราะเขาจะไม่ใช้เหตุผล เขาจะเอาแต่กิเลสเท่านั้น
<o:p></o:p>
สิ่งสำคัญคืออยากให้ทุกฝ่ายมีใจที่บริสุทธิ์ คือทำเพื่อพระศาสนาจริงๆ ไม่ใช่ทำเพื่อผลประโยชน์หรือชื่อเสียงตามอำนาจของกิเลส ดังนั้นจึงไม่ควรยุยงให้คนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวเกิดความเข้าใจผิด จนเกิดความโกรธเคืองขึ้นมา แล้วก็แสดงอาการของกิเลสขึ้นมาจนเป็นที่เสื่อมเสียทั้งแก่ผู้ทำเองและครูอาจารย์ที่เขานับถือ
<o:p></o:p>
สรุปว่าเราจะมาจับเข่าคุยกันด้วยเหตุผล อาตมาจะอธิบายเรื่องต่างๆที่คุณโยมตั้งเป็นประเด็นขึ้นมา ซึ่งก็อยู่ที่ว่าคุณโยมทั้งหลายจะเป็นคนมีเหตุมีผลและยอมรับความจริงหรือเปล่าเท่านั้น? ส่วนทางอาตมานั้นเต็มที่อยู่แล้ว ขออย่างเดียวอย่าเป็นมวยล้มเท่านั้น ซึ่งก็จะได้อธิบายแก้ข้อข้องใจต่อไป
<o:p></o:p>
เตชปญฺโญ ภิกขุ
อาศรมพุทธบุตร เกาะสีชัง ชลบุรี .
๒๕ ตุลาคม ๒๕๔๙ -
ตอบข้อข้องใจ จาก เตชปญฺโญ ภิกขุ
แก้ข้อกล่าวหาเรื่องที่ ๑ เรื่องสอนว่าตายแล้วสูญ
ความจริงแล้วพระพุทธองค์ทรงสอนเรื่องการดับทุกข์ โดยเน้นให้ใช้ศีล สมาธิ ปัญญามาดับทุกข์ โดยหัวใจของการดับทุกข์ก็คือให้ยกเอาขันธ์ทั้ง ๕ มาพิจารณาให้เห็นถึงกฎไตรลักษณ์ คืออนิจจัง(ความไม่เที่ยง)ทุกขัง(ความเป็นทุกข์)และอนัตตา(ความไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง) เพื่อให้เกิดปัญญาที่แท้จริง แล้วก็จะเข้าใจได้เองว่าชีวิตเกิดขึ้นมาได้อย่างไร รวมทั้งตายแล้วเป็นอย่างไร แต่นี่เรากลับมาสนใจเรื่องว่าตายแล้วไปไหนเสียก่อน ไม่สนใจพิจารณาขันธ์ ๕ ให้เกิดปัญญาอย่างแท้จริง จึงทำให้เกิดการถกเถียงกันขึ้นมา เพราะแต่ละคน แต่ละครูอาจารย์ก็สอนตามความคิดเห็นของตนเอง โดยไม่สอนให้ลูกศิษย์พิจารณาขันธ์ ๕ อย่างถูกวิธี <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
เรียกว่ามันข้ามขั้นตอน เหมือนกับการจะรู้ว่าภาพที่เกิดขึ้นในจอโทรทัศน์นั้นเมื่อปิดโทรทัศน์แล้วภาพมันหายไปไหน ซึ่งคนป่าคนดงก็คงคิดว่าภาพมันไปเกิดที่อื่นได้ เพราะเขาไม่เข้าใจถึงระบบต่างๆของโทรทัศน์ แต่คนที่เขามีความรู้เรื่องโทรทัศน์ดีเขาก็จะรู้ได้เองว่าแท้จริงภาพจากโทรทัศน์นั้นมันไม่มีอยู่จริง มันเป็นเพียงแสงที่ถูกสร้างขึ้นอย่างเป็นระบบเท่านั้น เมื่อปิดโทรทัศน์ ภาพมันก็จะหายไปเท่านั้นเอง<o:p></o:p>
ดังนั้นในเรื่องนี้ เราจึงควรมาทำความเข้าใจกับคำว่า -
แก้ข้อกล่าวหาเรื่องที่ ๒ เรื่องความเชื่อเรื่องเวียนว่าย ตายเกิด หรือนรก-สวรรค์ที่เป็นสถานที่
ไม่ทราบว่าใครเคยศึกษา “หลักกาลามสูตร”มาก่อนบ้าง เพราะหลักนี้สำคัญมาก ถ้าใครยังไม่เคยรู้จักก็ยังนับว่าอยู่ห่างไกลพุทธศาสนาที่แท้จริงมาก คือหลักกาลามสูตรจะสอนให้เรารู้จักใช้วิจรณะญาณในการสร้างความเชื่อ พุทธศาสนาเป็นศาสนาของผู้รู้ ดังนั้นผู้นับถือก็จำเป็นที่จะต้องเป็นผู้ที่มีปัญญาอยู่สักหน่อย
หลักกาลามสูตรจะสอนไม่ให้เราเชื่ออะไรอย่างงมงายโดยขาดเหตุผลและการพิสูจน์ทดลองมาก่อน(ลองไปเปิดหนังสือของอาตมาดูก่อนก็ได้ถ้าใครยังไม่เคยอ่าน)หลักกาลามสูตรนั้นสอนแม้กระทั่งว่า"อย่าด่วนเชื่อแม้ผู้บอกผู้สอนนี้เป็นครูอาจารย์ของเราเอง" (นี่แสดงว่าทรงสอนไม่ให้เชื่อแม้ในตัวพระองค์เองด้วย)<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
แน่นอนว่าบางคนหรือส่วนมากจะรับไม่ได้เพราะเขาอาจบูชาครูบาอาจารย์ของเขามากกว่าบูชาพระพุทธเจ้าเสียอีก แต่มันก็มีอยู่จริงในพระไตรปิฎก เพราะนี่จะเป็นการสร้างอิสรภาพให้กับสติปัญญาของเราอย่างเต็มที่ ถ้าหากครูอาจารย์ของเราเกิดมีความเห็นหรือความเชื่อที่ผิดขึ้นมาก่อน แล้วมาสอนเรา ก็จะทำให้เราพลอยเกิดความเห็นและมีความเชื่อที่ผิดตามไปด้วย ซึ่งมันอันตรายมาก แต่แม้ครูอาจารย์จะสอนถูก ท่านก็จะไม่สอนให้เราเชื่อท่านเลยเสียตะพึด ท่านต้องสอนให้เราเกิดความเชื่อขึ้นด้วยสติปัญญาของเราเอง แต่นี่กลับเป็นว่าเรานับถือครูอาจารย์กันยิ่งกว่านับถือพระพุทธเจ้าเสียอีก แล้วอย่างนี้จะเรียกว่านับถือพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริงได้อย่างไร???
พวกที่ชอบอ้างว่า"ให้ไปปฏิบัติแล้วจะเห็นเอง"นั้นตัวเองปฏิบัติได้จริงแล้วหรือยัง ? หรือพูดตามครูอาจารย์เท่านั้น หรือแอบอ้างว่าตัวเองเห็นแล้วรู้จริงแล้ว แล้วมาหลอกคนอื่น สอนคนอื่น ขออย่าได้ใช้คำพูดแบบนี้ มันเหมือนคนสิ้นหนทางจะโต้แย้ง เอะอะก็อ้างว่าให้ไปปฏิบัติ หรืออ้างว่าครูอาจารย์สอนไว้อย่างนี้ พอคนอื่นไม่เชื่อตามก็โกรธ<o:p></o:p>
พุทธศาสนาที่แท้จริงควรเป็นสากล หรือเป็นของจริงๆที่เป็นวิทยาศาสตร์ ที่มีเหตุผลพร้อมมูล ที่ชนต่างชาติที่มีสติปัญญาเขาจะรับได้ ไม่ใช่เป็นเรื่องแคบๆเฉพาะคนบางกลุ่มอย่างที่กำลังเป็นอยู่ในประเทศไทย ที่พอคนต่างชาติเขาจะมาศึกษา ก็เจอแต่เรื่องเพ้อเจ้อ ไร้เหตุผล ทำให้เขาหัวเราเยาะเอาได้ว่าเราไม่ยอมใช้สติปัญญาในการนับถือ
เรื่องการเวียนว่ายตายเกิดหรือเรื่องนรก-สวรรค์ที่เป็นสถานที่นั้นก็คงไม่ต้องอธิบายอะไรมาก มันเหมาะสำหรับเอาไว้สอนคนป่าคนดงที่ไม่รู้หลักวิทยาศาสตร์ สมัยนี้ผู้คนมีความรู้มากแล้ว จะมาเอาวิธีเก่าๆไปสอนเขานั้นทำไม่ได้แล้ว เราต้องเอาของจริงมาสอนเขาให้เขาโต้แย้งไม่ได้ คือสอนว่าเมื่อทำความดีมันก็เป็นสวรรค์ในใจทันที แต่ถ้าทำชั่วมากๆมันก็เป็นนรกในใจทันที ถ้าสอนอย่างนี้จะไม่มีใครโต้แยงได้ ถ้าหากนรก-สวรรค์อย่างที่เป็นสถานที่มีจริง ถ้าเราทำความดี เมื่อตายไปเราก็ต้องได้รับผลดีอยู่แล้ว ถ้าทำชั่วในตอนนี้ ตายไปก็ต้องตกนรกนั้นอีก ซึ่งมันเป็นเรื่องอนาคตที่ยังมาไม่ถึง ถึงแม้มันจะมี เราก็ยังต้องทำดีและไม่ทำชั่วในปัจจุบันอยู่ดี จึงจะได้ขึ้นสวรรค์และไม่ไปตกนรก แต่ถึงมันจะไม่มีเราก็ได้รับอยู่แล้วในขณะที่มีชีวิตอยู่นี้
ส่วนที่จะอ้างว่าถ้าไม่สอนเรื่องนรก-สวรรค์อย่างที่เป็นสถานที่จะทำให้ผู้คนไม่ทำความดี จะทำแต่ความชั่วเพราะไม่กลัวนรกและไม่มีสวรรค์ให้ขึ้นนั้นคงไม่จริง เพราะคนที่เชื่อเรื่องนรก-สวรรค์อย่างที่เป็นสถานที่นั้นก็ยังทำความชั่วกันอยู่มากมาย ส่วนคนที่เขาไม่เชื่อเรื่องเหล่านี้เขาก็ยังทำความดีกันอยู่มากมาย ถ้าไม่สอนเรื่องนี้คนที่จะเดือดร้อนก็คงเป็นพวกที่ขาดรายได้จากการให้ผู้คนที่เชื่อมาทำบุญเสียมากกว่า คนสอนความจริงนั้นอาจอดตาย หรือถูกทำร้ายได้ แต่เพื่อความจริงอาตมายอมอดตายหรือถูกทำร้าย ดีกว่าจะมา"เอาสวรรค์มาล่อ เอานรกมาขู่" เพื่อให้ตนเองร่ำรวบสุขสบาย -
แก้ข้อกล่าวหาเรื่องที่ ๓ เรื่องอภิธรรมปิฎกว่าแต่งขึ้นภายหลัง
เรื่องนี้อยากให้ลองสอบถามท่านผู้รู้ทางประวัติศาสตร์ว่ามันจริงแท้แค่ไหน หรือจะลองอ่านดูและวิเคราะห์ดูง่ายๆก็ได้ว่าพระพุทธเจ้าจะทรงมานั่งจำแนกจิตออกเป็นดวงๆให้เสียเวลาตั้งมากมายทำไม?ซ้ำส่วนใหญ่ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องการดับทุกข์เลย
การเชื่อจากตำรานั้นหลักกาลามสูตรก็บอกอยู่แล้วว่าอย่าด่วนเชื่อจากตำรา เพราะตำรามันอาจถูกเขียนขึ้นใหม่ และบอกว่าใครพูด ใครเขียนก็ได้ ยิ่งถ้าคนเขียนโง่ ตำรานั้นก็จะมีแต่เรื่องโง่ๆทั้งนั้น ขอให้ทุกคนเป็นผู้ใหญ่รู้จักใช้ความคิดกันบ้าง อย่าเอาแต่เชื่อตะพึดโดยไม่ใช่สมองคิด เหมือนเด็กๆ -
ตอบข้อข้องใจ จาก เตชปญฺโญ ภิกขุ
แก้ข้อกล่าวหาเรื่องที่ ๔ เรื่องสอนว่านิพพานสูญ <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
น่าแปลกที่ชาวพุทธไทยส่วนใหญ่เขาเชื่อว่านิพพานนั้นคือตายแล้วสูญไปเลย แต่ทางอาจารย์บางท่านกลับสอนว่านิพพานนั้นเป็นนคร หรือเมืองที่เป็นอมตะนิรันดร ที่มีแต่ความสุข ซึ่งก็มีผู้คนเชื่อถือกันอยู่แต่ไม่มากเท่าพวกแรก ซ้ำนิพพานนั้นยังอาจซื้อได้ด้วยเงินอีกด้วย ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นวิจรณะญาณของทุกท่านว่าจะเชื่อกันอย่างไร เชื่อแล้วมีประโยชน์หรือโทษอย่างไร การที่บางคนบอกว่าไม่สนใจหรือไม่เชื่ออะไรเลยก็ยังไม่ถูกต้อง เพราะนั่นเท่ากับไม่ยอมศึกษาอะไรบ้างเลย เอาหลักเกณฑ์อะไรไม่ได้เลย ก็เลยทำให้ไม่รู้ความจริงว่ามันเป็นอย่างไรกันแน่ แล้วก็ลูบๆคลำๆศาสนากันไปวันๆโดยไม่ได้รับประโยชน์อะไรจากศาสนาอย่างแท้จริงเลย<o:p></o:p>
ส่วนอาตมาไม่ได้สอนอย่างนั้นเลยทั้งสองอย่าง(เพราะไม่สอนเรื่องหลังจากตายแล้ว) อาตมาสอนให้ทำจิตให้ว่างจากกิเลสในปัจจุบันนี้ แล้วจิตก็จะสงบเย็น ซึ่งทางศาสนาเขาเรียกว่า นิพพาน ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้เองว่า "ที่ใดไม่มีกิเลส ที่นั่นมีนิพพาน"ใครที่จิตไม่เคยว่างจากกิเลสบ้างเลยจึงไม่รู้จัก นิพพานจึงเป็นสภาวะที่ว่างจากกิเลส หรือความรู้สึกว่ามีตัวตนมันหายไปในขณะที่จิตกำลังนิพพาน ส่วนเรื่องที่ว่านิพพานต่อเมื่อตายไปแล้วนั้นไม่เป็นประโยชน์แก่เราในปัจจุบันเลย ช่วยดับทุกข์ในปัจจุบันก็ไม่ได้ มีแต่จะให้เราเพ้อฝันถึงเท่านั้น <o:p></o:p>
ส่วนเรื่องการกล่าวว่าให้ไปปฏิบัติดูแล้วจะรู้ได้เองนั้นก็จริง เมื่อรู้แล้วก็จะหายสงสัยและมีดวงตาเห็นธรรม แต่ไม่ควรตัดบทบอกให้ไปปฏิบัติโดยไม่สอนเหตุผลหรือหลักเกณฑ์ก่อน ถ้าหากรู้มาผิด การปฏิบัติก็จะผิดตามไปด้วย ถ้ายังยึดติดอยู่ไม่ยอมละวางก็จะติดอยู่อย่างนั้นจนตาย เรียกว่าเสียชาติเกิด<o:p></o:p>
<o:p></o:p>
-
ตอบข้อข้องใจ จาก เตชปญฺโญ ภิกขุ
แก้ข้อกล่าวหาเรื่องที่ ๕ เรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าไม่มีจริง <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
เรื่องนี้ก็เด็กเกินไป ถ้าสอนเหตุผลเด็กจะรับไม่ได้ ถ้าสอนว่าเดี๋ยวผีหลอก เด็กก็จะกลัวและไม่กล้าไปในที่มืดที่อาจมีอันตรายได้ ซึ่งก็เพียงเอาไว้หลอกให้เด็กปลอดภัยโดยพ่อแม่ไม่ต้องคอยดูแลให้ลำบากเท่านั้น แต่ว่ากลับปลูกฝังทำให้เด็กโง่โดยไม่รู้ตัว ซึ่งพ่อแม่ก็ต้องโง่มาก่อนด้วย<o:p></o:p>
ส่วนเรื่องเครื่องรางของขลังหรือเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นขอให้คิดดูง่ายๆว่า ถ้าทำได้จริงป่านนี้ประเทศไทยคงส่งเครื่องรางของขลังออกไปขายต่างประเทศกันจนร่ำรวยกันหมดแล้ว เพราะลงทุนน้อยนิด แต่กำไรมหาศาล หรือชาวต่างประเทศเขาคงมาแอบจดลิขสิทธิ์เอาไปผลิตขายตัดหน้าเรากันหมดแล้วอย่างที่เคยทำกับสินค้าบางอย่างของเรา<o:p></o:p>
เรื่องของเรื่องก็คือ"มันทดลองให้เห็นจริงไม่ได้" มันไม่เป็นวิทยาศาสตร์ เอาเข้าจริงมันพึ่งพาอะไรไม่ได้เลย มีแต่เรื่องเล่าๆปากต่อปาก แล้วปากคนก็ยาวกว่าปากกาเสียด้วย คนเชื่อก็เชื่อโดยไร้เหตุผล แต่มันก็มีส่วนดีตรงที่เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของคนที่อ่อนแอได้บ้างในบางโอกาส และทำให้คนผลิตร่ำรวยไปตามๆกัน ถ้าใครต่อต้านก็ต้องถูกด่าหรืออาจถูกทำร้ายเอาได้ง่ายๆ เพราะไปขัดผลประโยชน์ของเขาโดยตรง<o:p></o:p> -
ตอบข้อข้องใจ จาก เตชปญฺโญ ภิกขุ
แก้ข้อกล่าวหา เรื่องที่ ๖ เรื่องทำลายพุทธศาสนา <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
พุทธศาสนาคืออะไร? พุทธศาสนาคือหลักคำสอนให้ละเว้นการทำความชั่วทั้งปวง สอนให้ทำแต่ความดีให้พร้อมมูล และสอนให้ทำจิตให้บริสุทธิ์จากกิเลส นี่เป็นหลักโดยสรุป โดยสองข้อแรกนั้นมีผลเป็นความสงบสุขทั้งแก่ส่วนตัวและส่วนรวม ส่วนข้อหลังมีผลเป็นความพ้นจากทุกข์โดยส่วนตัว<o:p></o:p>
มีหนังสือหรือบทความส่วนไหนของอาตมาบ้างที่เห็นว่าทำลายพุทธศาสนา? มีส่วนไหนบ้างที่สอนให้คนทำความชั่ว และไม่สอนให้ทำความดี? รวมทั้งไม่สอนให้ทำจิตให้บริสุทธิ์? ลองไปอ่านดูให้ละเอียดเสียก่อน ก่อนที่จะมากล่าวหาอาตมา<o:p></o:p>
ก็เป็นธรรมดาที่บางคนไม่รู้จักหลักพุทธศาสนามาอย่างถูกต้อง คือเอาแต่เชื่อจากตำราบ้าง เชื่อจากครูบาอาจารย์บ้าง เชื่อจากสื่อต่างๆบ้าง เมื่อไม่รู้จริง พอมีคนที่ตนเองเชื่อถือมาบอกว่าคนนั้นคนนี้สอนผิด ทำลายพุทธศาสนาก็เลยพาลโกรธเขาไปโดยไม่รู้ตัว และก็อาจถึงขั้นด่าทอและไปทำร้ายเขาได้ด้วยความรักหวงแหนในพุทธศาสนาอย่างหลับหูหลับตา ซึ่งแต่ก่อนอาตมาก็เคยเป็นมาก่อนเหมือนกันจึงรู้เรื่องนี้ดี<o:p></o:p>
พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า "ถ้ามีใครมาชมเชยพระพุทธเจ้าหรือพระธรรม ก็อย่าเพิ่งตื่นเต้นยินดี หรือถ้าใครมากล่าวจาบจ้วงพระพุทธจ้าหรือพระธรรมก็อย่าเพิ่งไปโกรธเขา ให้เราศึกษาหลักคำสอนของเราให้ดี แล้วไปชี้แจงแถลงไขให้เขาเข้าใจ "อย่างนี้จึงจะถูกต้องและเกิดประโยชน์สูงสุด คนที่เอาแต่ด่าคนอื่นหาว่าทำลายศาสนานั้น ตนเองนั่นแหละระวังให้ดีว่าจะกลายมาเป็นคนทำลายพุทธศาสนาเสียเองด้วยความไม่รู้ จริง<o:p></o:p> -
ตอบข้อข้องใจ จาก เตชปญฺโญ ภิกขุ
แก้ข้อกล่าวหาเรื่องที่ ๗ เรื่องเวรกรรมจากชาติปางก่อนว่าไม่มีจริง <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
คนไทยเราเชื่อเรื่องเวรกรรมจากชาติปางก่อนกันมาช้านานแล้ว ดังนั้นเมื่อใครมาสอนว่านี่ไม่จริงก็ต้องหาว่าสอนผิดเป็นธรรมดา ซึ่งลองไปศึกษาคำสอนของศาสนาพราหมณ์ดูก็จะเห็นว่ามันเหมือนกับของเราเป๊ะ ลองคิดดูง่ายๆว่าพระพุทธเจ้าจะมาตรัสรู้ตามที่พวกพราหมณ์เขาสอนกันมาก่อนหรือ?มันง่ายเกินไป พระพุทธเจ้าจะต้องตรัสรู้อะไรที่มันสูงกว่านี้ (ตามประวัติศาสตร์ พระพุทธเจ้าต่อสู้กับลัทธิพราหมณ์มาโดยตลอด แต่มารุ่นเรากลับรับเอาลัทธิพราหมณ์มาเชื่อและปฏิบัติเสียเอง น่าเศร้ามาก)<o:p></o:p>
การสอนให้ทำความดีนั้นศาสนาไหนๆเขาก็มีสอนกันอยู่แล้ว ซึ่งก็ไม่พ้นให้รักษาศีล ให้ทาน มีความกตัญญูกตเวที มีเมตตาเหล่านี้เป็นต้น ส่วนการสอนให้ละเว้นความชั่วก็สอนไม่ยาก คือเอานรกมาขู่ก็กลัวกันไม่กล้าทำชั่วแล้ว เพราะคนสมัยนั้นยังโง่กันอยู่มาก(ซึ่งก็ยังพอมีหลงเหลือมาถึงปัจจุบันด้วยเหมือนกัน) เรื่องเหล่านี้มันต่ำเกินไปที่พระพุทธเจ้าจะมาสอน<o:p></o:p>
เราก็รู้อยู่ว่าเจ้าชายสิทธัตถะทรงตรัสรู้อริยสัจ ๔ จึงกลายมาเป็นพระพุทธเจ้าได้ เรื่องอริยสัจ ๔ จึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุดที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ดังนั้นเราที่ปฏิญาณตนว่านับถือพระพุทธเจ้า ก็ควรที่จะสนใจศึกษาอยู่แต่ในเรื่องอริยสัจ ๔ เท่านั้น เรื่องอื่นที่ไม่สำคัญอย่าเพิ่งไปสนใจ แต่นี่เรากำลังทำอะไรกันอยู่ เรามัวงมโข่งศึกษาและปฏิบัติกันอยู่แต่ในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องการดับทุกข์กันเสียมากกว่า แล้วเราจะไปเข้าใจหลักคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าได้อย่างไร?<o:p></o:p>
เราอาจจะมีข้ออ้างมากมายที่จะยกมาเป็นเหตุผลว่านี่เป็นผลกรรมจากชาติปางก่อน ซึ่งมันไม่มีเหตุผลและไม่เป็นวิทยาศาสตร์เอาเสียเลย อย่างเช่นอ้างว่าคนเรายากจนและร่ำรวยก็เพราะทำกรรมดีและกรรมชั่วเอาไว้ตั้งแต่ชาติปางก่อน ถ้าไม่ใช่เพราะกรรมจากชาติปางก่อนคนเราก็จะไม่แตกต่างกัน เป็นต้น<o:p></o:p>
ในความเป็นจริงที่เราเห็นอยู่จริงๆก็คือคนที่เกิดมามีพ่อแม่รวย เขาก็เลยพลอยรวยไปด้วย คนที่เกิดมามีพ่อแม่จนเขาก็เลยพลอยจนไปด้วย แต่ถ้าคนรวยแล้วประมาท ไม่รู้จักทำมาหากิน ฟุ่มเฟือยก็อาจกลายเป็นคนจนได้ ส่วนคนจนที่ขยันประหยัดก็อาจร่ำรวยได้ นี่เป็นเพราะกรรมหรือการกระทำของแต่ละคนที่จะส่งผลให้ใครเป็นอย่างไรได้ในปัจจุบัน ซึ่งเห็นได้จริงและเป็นวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ได้จริง ไม่มีใครโต้แย้งได้ <o:p></o:p>
เรามักเชื่อว่าเรามีกรรมหรือพระพรมห์มาคอยตามดลบันดาลชีวิตให้กับเรา นี่เองที่ทำให้เราท้อถอย งอไม้งอมือ ไม่ยอมทำการงานให้เต็มที่ เพราะเชื่อว่าถึงทำไปถ้าไม่มีบุญหรือดวงไม่ดีก็ไม่มีวันร่ำรวยหรือสุขสายได้ นี่เองที่เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนไทยยังคงยากจนและล้าหลังประเทศบางประเทศที่เขาไม่เชื่อเรื่องเหล่านี้อยู่ทุกวันนี้<o:p></o:p>
ถ้าเราจะมาหาคำสอนของพุทธศาสนาที่แท้จริงที่สอนว่าชีวิตเป็นสิ่งพัฒนาได้ ไม่ใช่ของตายตัวหรือถูกกำหนดมาแล้วจากชาติปางก่อนหรือจากดวงชะตาราศรี เราก็จะเป็นคนที่กระตือรือร้นที่จะเรียน ที่จะศึกษาที่จะทำงาน เพื่อให้เกิดความเจริญและมั่นคงขึ้นในชีวิตและสังคมของเรา<o:p></o:p>
หน้า 3 ของ 104