น่าเป็นห่วง หลักสูตรพุทธศาสนา จากบางอาจารย์ สอนตายแล้วสูญ ( หลักสูตร ม.1- ม.6)

เตชปญฺโญ ภิกขุ · 31 สิงหาคม 2009

ตอบข้อข้องใจ โดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

พระพุทธเจ้าก็สอนอยู่ว่า "อย่าเชื่อเพียงเพราะเหตุสักว่ามีเหตุผลตรงๆมารองรับ"

แล้วทำไมคุณ Greenshade ถึงได้บอกว่าพระพุทธเจ้าบอกว่า"พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เชื่ออย่างมีเหตุผล "

และที่บอกว่า"ถ้าท่านไม่เชื่อพระไตรปิฏกท่านก็อย่าบวชเป็นพระอยู่เลย"

อันนี้ขอตอบว่า หลักกาลามสูตรก็มาจากพระไตรปิฎกเหมือนกัน ไม่ใช่ไม่เชื่อเลยทั้งหมด

หลักกาลามสูตรมีไว้เพื่อตรวจสอบว่าคำสอนเป็นของพระพุทธเจ้าจริง และคำสอนใดไม่ใช่ของพระพุทธเจ้าจริง

ถ้าไม่มีหลักกาลามสูตรเป็นอาวุธ เราก็จะพ่ายแพ้ตลอด เพราะไม่มีอาวุธวิเศษนี้

นี่ไม่ใช่ความคิดส่วนตัว แต่เป็นความคิดจากพระไตรปิฎก

ส่วนการพิสูจน์นั้น เราต้องพิสูจน์ในสิ่งที่เราสามารถพิสูจน์ได้

เช่น การละวางความยึดมั่นถือมั่นว่ามีตนเองลง แล้วจิตก็จะนิพพาน(สงบเย็น) เป็นต้น

ซึ่งใครๆก็สามารถพิสูจน์ได้ ว่ามันดับทุกข์ได้จริง โดยไม่ต้องเชื่อจากใครๆ

ส่วนการพิสูจน์นรกใต้ดิน-สวรรค์บนฟ้า เรื่องการเวียนว่ายตายเกิด เป็นต้น นั้น

มันไม่เป็นวิทยาศาสตร์ มันพิสูจน์ไม่ได้ มีแต่คำเล่าลือ หรือมีอยู่แต่ในตำราเท่านั้น

รวมทั้งมันมาช่วยดับทุกข์ของจิตใจเราในปัจจุบันไม่ได้อีกด้วย

B5234T5 · 22 กันยายน 2009

WebSnow said: ↑

(

จากที่ผู้เขียน เตชปญฺโญ ภิกขุ ท่านสรุปจากท่านพุทธทาส

อ่านแล้วสรุปสั้นๆอีกที

1. จิตกับกายแยกกันไม่ได้ เวลาคนตายแล้วสูญ จิตดับสูญไปด้วย
ตายแล้ววิญญาณไปเกิดใหม่ เป็นความเชื่อของพราหมไม่ใช่พุทธ

2. สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผีเทวดา เป็นเรื่องงมงาย ไม่ให้เชื่อ

3. ไม่ให้เชื่อ เรื่อง นรก สวรรค์ที่เป็นสถานที่ เพราะว่าไม่ใช่พุทธและเป็นเรื่องแต่งขึ้นมา..แต่ให้เชื่อว่า สวรรคในอก นรกในใจ แทน

4. ตามหลักพุทธศาสนาแล้วไม่สอนว่าตายแล้วไปไหน เพราะไม่สามารถพิสูจน์ได้

5. พระอภิธรรมปิฎก คือ หลักปรัชญาที่สาวกรุ่นหลังๆแต่งขึ้นเอาไว้

6. พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้สอนเรื่องหลังจากตาย

7. ทุกคนเคยสัมผัสนิพพานและนิพพานสูญ

8. ไม่ต้องไปสนใจเรื่อง การทำดีและชั่วที่จะได้รับผลดีและชั่วในอนาคตจริงหรือไม่ เพราะเป็นเรือ่งแต่งขึ้นมาแล้วไม่มีหลักฐาน

9. เรื่องกฏแห่งกรรม ไม่ใช่เรื่องสำคัญไม่ควรไปสนใจ ไม่ให้เชื่อเรื่องกฏแห่งกรรมเก่าส่งผลมาชาตินี้

10. ไม่ให้เชื่อเรื่องนรก-สวรรค์, ชาติก่อน, ชาติหน้า เพราะว่าเป็นเรื่อง มันเป็นเรื่องของการเล่าต่อๆกันมา
Click to expand...

คำสอนของท่านพุทธทาสนั้น บางอย่างถ้าไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้อาจทำให้ยิ่งเข้าใจผิดไปจากเดิมได้มาก หรือในผู้ที่ยังมีความเป็นปุถุชนในตัวมาก อาจแปลและตีความผิดไปได้โดยสิ้นเชิง

เห็นได้จากคำกล่าวเปรียบเทียบระหว่างพุทธศาสตร์กับไสยศาสตร์ แม้ในระยะแรกบางคนอาจจะยังต้องอาศัยไสยศาสตร์เป็นเครื่องช่วยให้เข้าถึงพุทธศาสตร์ เมื่อได้ศึกษาธรรมะและปฏิบัติด้วยตนเอง จะเห็นได้ว่าอภินิหาร อิทธฤทธิ์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทวดา ผลกรรมชาตินี้ ผลชาติหน้า ฯลฯ ก็ยังไม่ใช่สิ่งที่จะนำมาเป็นสาระในการดับทุกข์ เป็นแค่การยกตัวอย่างมาประกอบพุทธธรรมเท่านั้น

ข้อสุดท้ายนะครับ 7. ทุกคนเคยสัมผัสนิพพานและนิพพานสูญ ลองนึกถึงตอนที่เรากำลังอยู่ในช่วงสบายๆ ไร้ซึ่งความกังวลใดๆ ไม่มีทั้งโลภ โกรธ หลง ในช่วงๆ หนึ่ง เราได้สัมผัสถึงความสงบอย่างยิ่ง.....

ก็มีเท่านี้ล่ะครับ....

B5234T5 · 22 กันยายน 2009

manson810 said: ↑

อิฉันเป็น ปัจเจก นะคุณ มิใช่พระโพธิสัตว์
ถ้าใช้ประโยชน์จากแพ เสร็จแล้ว
อิฉันก็ ถีบหัวส่ง ได้เสมอแหล่ะ
ไม่ห่วง อนุชนรุ่นหลังหรอกจ้า
กรรมใครกรรมมัน อยากได้ต้องขวนขวายหาเอาเอง
ไม่คิดจะซ่อมแพกับ ค้ำถ่อ ไว้ ประเคนใครหรอกนะเจ้าคะ อิอิ
----------------------------------------------------------------------
ผมก็ยังสงสัยว่าคิดอย่างนี้แล้วจะเอาอะไรไปถึงฝั่งหนอ...?
อีกอย่างผมว่าคุณน่าจะตีความอะไรผิดหรือเปล่าครับ ?
ธรรมะนั้นยังมีอยู่ไม่ได้หายไปไหน แม้คุณจะเข้าใจว่าไม่มีแล้วก็ตาม
ไม่เช่นนั้นเหล่าสาวกที่เป็นพระอรหันต์จะเอาอะไรไปเผยแพร่คำสอนของพระพุทธเจ้าล่ะครับ ในเมื่อทิ้งธรรมไปหมดแล้ว

“ดูก่อนอานนท์ เปรียบเหมือนมีต้นไม้ใหญ่มีแกนยืนต้นอยู่ กิ่งใดใหญ่กว่าเพื่อน กิ่งนั้นพึงทำลายไป ฉันนั้นเหมือนกันแล อานนท์ เมื่อภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ มีสาระตั้งมั่นอยู่ พระสารีบุตรได้ปรินิพพานไปแล้ว เพราะฉะนั้นเราจะพึงได้ตามปรารถนาในเรื่องนี้แต่ที่ไหน เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายจงมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง คือมีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง ดำรงชีวิตอยู่เถิด...
“ดูก่อนอานนท์ ภิกษุเหล่าใดเหล่าหนึ่งในบัดนี้ก็ดี ในกาลที่เราล่วงไปก็ดี จักเป็นผู้มีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง คือมีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง ดำรงชีวิตอยู่ ภิกษุเหล่านั้นผู้ใคร่ต่อการศึกษา จักอยู่เหนือความมืด....”

จนทสูตร มหา. สํ. (๗๓๔-๗๔๐)

ดูก่อนอานนท์ เพราะว่า ในกาลบัดนี้ก็ดี โดยการที่เราตถาคต
ล่วงลับไปแล้วก็ดี ภิกษุทั้งหลายพวกใดพวกหนึ่ง จักเป็นผู้มีตนเป็นเกาะ มี
ตนเป็นสรณะอยู่ ไม่เป็นผู้มีสิ่งอื่นเป็นสรณะ จักมีธรรมเป็นเกาะมีธรรมเป็น
สรณะอยู่ ไม่เป็นผู้มีสิ่งอื่นเป็นสรณะ ภิกษุทั้งหลายพวกใดพวกหนึ่ง ซึ่งเป็น
ผู้ใคร่ในการศึกษาเหล่านี้นั้น จักเป็นผู้ประเสริฐสุดยอด ดังนี้แล.
จบ คามกัณฑ์ ในมหาปรินิพพานสูตร
จบภาณวารที่ ๒

อ่านแล้วก็ปลงซะเถิดเจ้าค่ะ
-------------------------------------------------------------------
ก็คงต้องเป็นเช่นนั้นครับ
Click to expand...

คุณ manson810 ครับ เคยได้ยินไหมว่า "เราควรใช้ธรรมะเป็นแพข้ามฟาก แต่ไม่ควรไปยึดติดในแพเหล่านั้น" ทำอะไรๆ ก็ให้อยู่ในระดับที่พอดี ถ้าเราไปยึดติดกับมันมาก มันก็มืดมัวเกินไปที่จะทำให้เราบรรลุธรรมได้ อย่างเช่น บางคนรักษาศีลอย่างคร่ำเคร่งเอาเป็นเอาตายอย่างไม่รู้เหตุผล บางคนก็ปฏิบัติศาสนกิจอย่างเคร่งในพิธีรีตองจนกลายเป็นคนที่ติดในกรอบเกินเหตุ หรือบางคนก็นั่งวิปัสนาโดยสักแต่ว่านั่งอย่างเอาเป็นเอาตาย เขาก็มืดมัวอยู่อย่างนั้น เพราะกรอบของสิ่งที่ไม่ถูกต้องมันบังตาเขาอยู่อย่างนั้น

ธรรมะสวนัง · 29 กันยายน 2009

Chems said: ↑

ข้อสุดท้ายนะครับ 7. ทุกคนเคยสัมผัสนิพพานและนิพพานสูญ ลองนึกถึงตอนที่เรากำลังอยู่ในช่วงสบายๆ ไร้ซึ่งความกังวลใดๆ ไม่มีทั้งโลภ โกรธ หลง ในช่วงๆ หนึ่ง เราได้สัมผัสถึงความสงบอย่างยิ่ง.....

ก็มีเท่านี้ล่ะครับ....
Click to expand...

แหม่ ถ้าง่ายอย่างนี้ พระพุทธองค์จะทรงออกผนวชทำไมมิทราบ
อยู่ในวัง ช่วงสบายๆไร้ซึ่งความกังวลใดๆ ก็สัมผัสถึงความสงบอย่างยิ่ง...

คงไม่มีแค่เท่านี้กระมังคะ

“ดูก่อนสุภัททะ ในธรรมวินัย(ศาสนา)ใด ไม่มีอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘
ในธรรมวินัยนั้น ย่อมไม่มีสมณะที่ ๑, สมณะที่ ๒, สมณะที่ ๓ และสมณะที่ ๔.

ในธรรมวินัยใด มีอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘
ในธรรมวินัยนั้น ย่อมมีสมณะที่ ๑, สมณะที่ ๒, สมณะที่ ๓ และสมณะที่ ๔.

จำเพาะในธรรมวินัยนี้(คือศาสนาพุทธ)เท่านั้น ที่มีมรรคประกอบด้วยองค์ ๘
ดังนั้น ในธรรมวินัยนี้จึงมีสมณะที่ ๑, สมณะที่ ๒, สมณะที่ ๓ และสมณะที่ ๔.

ลัทธิอื่น(ศาสนาอื่น) ว่างจากสมณะผู้รู้ทั่วถึง(ไม่มี สมณะ)
ถ้าภิกษุนี้พึงอยู่โดยชอบ(คือปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘)
โลกจะไม่พึงว่างจากพระอรหันต์”

(smile) ตราบใดที่ยังมีการปฏิบัติอริยมรรคมีองค์ ๘ โลกนี้จะไม่พึงว่างจากพระอรหันต์

ธรรมะสวนัง · 29 กันยายน 2009

manson810 said: ↑

ผมก็ยังสงสัยว่าคิดอย่างนี้แล้วจะเอาอะไรไปถึงฝั่งหนอ...?
อีกอย่างผมว่าคุณน่าจะตีความอะไรผิดหรือเปล่าครับ ?
ธรรมะนั้นยังมีอยู่ไม่ได้หายไปไหน แม้คุณจะเข้าใจว่าไม่มีแล้วก็ตาม
ไม่เช่นนั้นเหล่าสาวกที่เป็นพระอรหันต์จะเอาอะไรไปเผยแพร่คำสอนของพระพุทธเจ้าล่ะครับ ในเมื่อทิ้งธรรมไปหมดแล้ว

ดูก่อนอานนท์ เพราะว่า ในกาลบัดนี้ก็ดี โดยการที่เราตถาคต
ล่วงลับไปแล้วก็ดี ภิกษุทั้งหลายพวกใดพวกหนึ่ง จักเป็นผู้มีตนเป็นเกาะ มี
ตนเป็นสรณะอยู่ ไม่เป็นผู้มีสิ่งอื่นเป็นสรณะ จักมีธรรมเป็นเกาะมีธรรมเป็น
สรณะอยู่ ไม่เป็นผู้มีสิ่งอื่นเป็นสรณะ ภิกษุทั้งหลายพวกใดพวกหนึ่ง ซึ่งเป็น
ผู้ใคร่ในการศึกษาเหล่านี้นั้น จักเป็นผู้ประเสริฐสุดยอด ดังนี้แล.
จบ คามกัณฑ์ ในมหาปรินิพพานสูตร
จบภาณวารที่ ๒
Click to expand...

อนุโมทนา คุณ manson810 ค่ะ

ธรรมะนั้นยังมีอยู่ไม่ได้หายไปไหน...
ไม่เช่นนั้นเหล่าสาวกที่เป็นพระอรหันต์จะเอาอะไรไปเผยแพร่คำสอนของพระพุทธเจ้าล่ะครับ ในเมื่อทิ้งธรรมไปหมดแล้ว
Click to expand...

พระพุทธองค์ทรงลำบากพระวรกายเสด็จออกจากวังที่สุขสบาย
เพื่อทรงออกไปค้นหา อมตธรรม ธรรมที่ไม่ตาย
แล้วก็ทรงค้นพบดังประสงค์

พระนิพพาน คือ อมตธรรม ธรรมที่ไม่ตาย
จะถึงได้ก็โดยการปฏิบัติอริยมรรค ๘ ตามเสด็จนั่นเอง

เพื่อจะได้มีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง
หรือมีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง

(smile)

ธรรมะสวนัง · 29 กันยายน 2009

Chems said: ↑

คุณ manson810 ครับ เคยได้ยินไหมว่า "เราควรใช้ธรรมะเป็นแพข้ามฟาก แต่ไม่ควรไปยึดติดในแพเหล่านั้น" ทำอะไรๆ ก็ให้อยู่ในระดับที่พอดี ถ้าเราไปยึดติดกับมันมาก มันก็มืดมัวเกินไปที่จะทำให้เราบรรลุธรรมได้ อย่างเช่น บางคนรักษาศีลอย่างคร่ำเคร่งเอาเป็นเอาตายอย่างไม่รู้เหตุผล บางคนก็ปฏิบัติศาสนกิจอย่างเคร่งในพิธีรีตองจนกลายเป็นคนที่ติดในกรอบเกินเหตุ หรือบางคนก็นั่งวิปัสนาโดยสักแต่ว่านั่งอย่างเอาเป็นเอาตาย เขาก็มืดมัวอยู่อย่างนั้น เพราะกรอบของสิ่งที่ไม่ถูกต้องมันบังตาเขาอยู่อย่างนั้น
Click to expand...

ถ้ายังไม่ได้ปฏิบัติอริยมรรค ๘ ตามเสด็จอย่างจริงจัง
ก็อย่าเพิ่งรีบกลัวว่าจะไปยึดติดกับแพเลยค่ะ

เพราะถ้ายังยึดอยู่ ยังปล่อยวางไม่เป็น
ก็แสดงว่าไม่ได้ปฏิบัติตามเสด็จฯ

(smile) ความเพียรมีผล ความพยายามมีผล

B5234T5 · 2 ตุลาคม 2009

มันก็ถูกอย่างที่ว่าล่ะครับ ที่ต้องปฏิบัติตามมรรคมีองค์๘

คุณ"ธรรมะสวนัง"ครับ ที่บอกว่า 7. ทุกคนเคยสัมผัสนิพพานและนิพพานสูญ

การที่ใจเราปราศจากโลภ โกรธ หลงไปสักชั่วครู่ นั่นก็ยังพอให้ได้เห็นนิพพานอยู่ลางๆ ไม่ใช่หรือครับ...?

ธรรมะสวนัง · 6 ตุลาคม 2009

Chems said: ↑

มันก็ถูกอย่างที่ว่าล่ะครับ ที่ต้องปฏิบัติตามมรรคมีองค์๘

คุณ"ธรรมะสวนัง"ครับ ที่บอกว่า 7. ทุกคนเคยสัมผัสนิพพานและนิพพานสูญ

การที่ใจเราปราศจากโลภ โกรธ หลงไปสักชั่วครู่ นั่นก็ยังพอให้ได้เห็นนิพพานอยู่ลางๆ ไม่ใช่หรือครับ...?
Click to expand...

ที่ว่านั่นไม่ใช่นิพพานอะค่ะ

อย่างคนที่ทำแต่ความเลวความชั่ว ก็มีบางครั้งที่ใจเค้าปราศจากโลภ โกรธ หลง อย่างที่คุณว่า ไปสักชั่วครู่
ถ้าว่าเค้าเห็นนิพพานอยู่ลางๆ แล้วทำไมเค้ายังทำเลวทำชั่วต่อไปอีกล่ะ...โปรดพิจารณา ^_^

อย่างที่ได้พูดไปแล้วใน คคห ก่อนหน้า
ถ้าแค่นี้ เรียกว่า เห็นนิพพาน
พระพุทธองค์ก็ไม่ต้องทรงออกผนวชแล้ว อยู่ในวังก็ทำได้

ต้องปฏิบัติอริยมรรค ๘ เข้าถึงฌาน ๔ จิตหลุดพ้นชั่วคราว(ตทังควิมุตติ)
อย่างนี้ ถึงจะ เห็นพระนิพพานค่ะ

(smile)

2499 · 6 ตุลาคม 2009

น่าเป็นห่วง

เมื่อเว็บไซต์สีขาวเพื่อเยาวชน

Welcome to ThaiCleanNet.com

โปรโมทผลงานท่านเตช...

<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD></TD><TD>ข่าวประชาสัมพันธ์</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#b5bcce border=0><TBODY><TR><TD></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=1 bgColor=#b5bcce></TD><TD width="100%"><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD width=20></TD><TD><A href="http://www.thaicleannet.com/modules.php?name=tcn_info&id=1">"ฉันคืออะไร ?" เวบไซต์สำหรับผู้แสวงหาความจริง http://www.thai.net/whatami/ เป็นเวบไซต์เผยแพร่พุทธศาสนาแนววิทยาศาสตร์ ซึ่งภายในเว็บเน้นหลัก พุทธศาสนา และรวมเรื่องราวต่างๆ และหนังสือที่น่าสนใจ ไว้มากมาย โดยหากพุทธศาสนิกชน ท่านใดสนใจ คลิกเพื่อแสวงหาความจริงที่นี่ </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

Contact Us: webmaster@thaicleannet.com

manson810 · 8 ตุลาคม 2009

เห็น เวปไซต์สีขาว ตามที่คุณ 2499 นำมาแจ้ง แล้วได้แต่ อึ้ง...!!

เวปดีๆ ที่เกี่ยวศาสนาพุทธที่ถูกตามพระไตรปิฏกมีตั้งเยอะแยะ กลับไม่โปรโมท

แต่กลับมาเฉพาะเจาะจงที่เวปเล็กๆ นั่น...?? มันเป็นอะไรที่แปลกมากครับ ??

นี่มันกระบวนการสมรู้ร่วมคิดในการทำลายศาสนาพุทธ ชัดๆ

รู้สึกมันจะเละเทะใหญ่แล้วประเทศนี้

ปล. ล่าสุดผมได้ลองส่ง Email ชี้แจงถึงความไม่เหมาะสม ไปยัง
webmaster@thaicleannet.com แล้ว ก็ไม่รู้ว่าได้เรื่องอย่างไรบ้าง

ลัก...ยิ้ม · 8 ตุลาคม 2009

โปรดช่วยกัน สู้ ๆ ต่อไปนะคะเหล่ากัลยาณมิตร

โมทนาบุญผู้ช่วยกันสืบต่อพระศาสนาทุก ๆ ท่าน

เตชปญฺโญ ภิกขุ · 13 ตุลาคม 2009

ตอบข้อข้องใจ โดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

นี่มันกระบวนการสมรู้ร่วมคิดในการทำลายศาสนาพุทธ ชัดๆ
--------------------------
ก็ทำไมไม่แจ้งไปยังกรมการศาสนา หรือสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

หรือกรมตำรวจ อย่าเอาแต่มาบ่นอยู่อย่างนี้

ก็คุณทนายความที่ว่าจะเอาจริงก็เห็นหายเงียบไป

ใช้สมองคิดบ้างซิ อย่าเอาแต่ใช้ความจำ

เดี๋ยวสมองฝ่อ

B5234T5 · 14 ตุลาคม 2009

ธรรมะสวนัง said: ↑

ที่ว่านั่นไม่ใช่นิพพานอะค่ะ

อย่างคนที่ทำแต่ความเลวความชั่ว ก็มีบางครั้งที่ใจเค้าปราศจากโลภ โกรธ หลง อย่างที่คุณว่า ไปสักชั่วครู่
ถ้าว่าเค้าเห็นนิพพานอยู่ลางๆ แล้วทำไมเค้ายังทำเลวทำชั่วต่อไปอีกล่ะ...โปรดพิจารณา ^_^

อย่างที่ได้พูดไปแล้วใน คคห ก่อนหน้า
ถ้าแค่นี้ เรียกว่า เห็นนิพพาน
พระพุทธองค์ก็ไม่ต้องทรงออกผนวชแล้ว อยู่ในวังก็ทำได้

ต้องปฏิบัติอริยมรรค ๘ เข้าถึงฌาน ๔ จิตหลุดพ้นชั่วคราว(ตทังควิมุตติ)
อย่างนี้ ถึงจะ เห็นพระนิพพานค่ะ

(smile)
Click to expand...

แล้วคุณคิดว่า คนที่ทำเลวทำชั่ว มันจะมีใครไปชี้แนะแนวทางให้เขากันสักกี่คนล่ะครับ....?

ใครจะมาบอกแก่เขา หากเขาไม่ได้สำเหนียกด้วยตนเองหรือมีกัลยาณมิตรมาชี้แนะ.....???

ขอถามอีกอย่างว่า ทำไมต้องเข้าถึงฌาณ ๔ ครับ ???

เตชปญฺโญ ภิกขุ · 16 ตุลาคม 2009

ตอบข้อข้องใจ โดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

เด็กนักเรียนที่เรียนเก่งๆ เขาก็มีฌาน ๔ กันอยู่แล้ว

ฌาน ๔ ก็เป็นแค่เพียงการเพ่งหรือตั้งใจกำหนดสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่ โดยมีความสงบเย็นอยู่ด้วยเท่านั้น

ส่วนฌาน ๔ แบบมีฤทธิ์เดชนั้นไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นของศาสนาพรามหณ์เขา

************************

www.whatami.net เว็บไซต์สำหรับบุคลอัจฉริยะ

ธรรมะสวนัง · 16 ตุลาคม 2009

เตชปญฺโญ ภิกขุ said: ↑

เด็กนักเรียนที่เรียนเก่งๆ เขาก็มีฌาน ๔ กันอยู่แล้ว

ฌาน ๔ ก็เป็นแค่เพียงการเพ่งหรือตั้งใจกำหนดสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่ โดยมีความสงบเย็นอยู่ด้วยเท่านั้น

ส่วนฌาน ๔ แบบมีฤทธิ์เดชนั้นไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นของศาสนาพรมหณ์เขา

************************

www.whatami.net เว็บไซต์สำหรับบุคลอัจฉริยะ
Click to expand...

55+เด็กนักเรียนที่เรียนเก่งๆ ถ้าเขาก็มีฌาน ๔ กันอยู่แล้ว
ทำไมยังมีโดดตึกฆ่าตัวตาย เป็นข่าวอยู่บ่อยๆล่ะ

ในเมื่อที่สัมมาสมาธิฌานที่ ๔ นั้น
จิตละสุข ละทุกข์ ละโสมนัส ละโทมนัส แต่เก่าก่อนได้
แล้วจะต้องฆ่าตัวตายไปทำไม เพราะความโง่เขลาของตนเองแท้ๆ

เป็น ฌาน ๔ แบบคิดเองเออเองน่ะสิ

(smile)

ธรรมะสวนัง · 16 ตุลาคม 2009

Chems said: ↑

แล้วคุณคิดว่า คนที่ทำเลวทำชั่ว มันจะมีใครไปชี้แนะแนวทางให้เขากันสักกี่คนล่ะครับ....?

ใครจะมาบอกแก่เขา หากเขาไม่ได้สำเหนียกด้วยตนเองหรือมีกัลยาณมิตรมาชี้แนะ.....???
Click to expand...

ก็ในเมื่ิอคิดว่า
ก็มีบางครั้งที่ใจเค้าปราศจากโลภ โกรธ หลง ไปสักชั่วครู่
เค้าเห็นนิพพานอยู่ลางๆ

ก็ถ้าเค้าเห็นนิพพานอยู่ลางๆอย่างที่ว่าจริงๆ
ก็ไม่ต้องให้ใครมาคอยชี้แนะแนวทางหรอก
เพราะคนเห็นย่อมสำเหนียกด้วยตนเองว่าเป็นสิ่งที่ดี
จะต้องมารอให้กัลยาณมิตรมาชี้แนะอีกทำไม

แต่เพราะนั่นไม่ใช่นิพพานต่างหาก
เป็นเพียงอารมณ์เฉย ที่ยังมีอวิชชาครอบงำอยู่ ต่างหากล่ะ

(smile)

ธรรมะสวนัง · 16 ตุลาคม 2009

Chems said: ↑

ขอถามอีกอย่างว่า ทำไมต้องเข้าถึงฌาณ ๔ ครับ ???
Click to expand...

เพื่อความชัดเจนถูกต้อง แบบไม่ได้คิดเองเออเอง
ขอนำพระพุทธพจน์ที่ตรัสถึง สัมมาสมาธิ ฌานที่ ๔ มาให้พิจารณาค่ะ
จากพระบาลีแปลไทย

เพราะละสุขเสียได้ เพราะละทุกข์เสียได้
เพราะความที่โสมนัสและโทมนัสในกาลก่อนอัสดงค์ดับไป
เข้าถึงจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข
มีแต่ความที่สติเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขา

^
ณ สัมมาสมาธิ ฌานที่ ๔ นี้ จิตมีสติบริสุทธิ์ วางเฉยเป็นอุเบกขา
เพราะจิตสามารถปล่อยวางอารมณ์ทุกชนิด(สุข ทุกข์ ฯลฯ) ออกไปได้
จิตตั้งมั่นโดยลำพังตนเองโดยไม่ต้องอิงอาศัยอารมณ์
จิตก็อยู่ส่วนจิต กายก็อยู่ส่วนกาย

ถ้าทำได้แบบนี้ จิตหลุดพ้นชั่วคราว (ตทังควิมุตติ) ค่ะ

(smile)

B5234T5 · 16 ตุลาคม 2009

ธรรมะสวนัง said: ↑

เพื่อความชัดเจนถูกต้อง แบบไม่ได้คิดเองเออเอง
ขอนำพระพุทธพจน์ที่ตรัสถึง สัมมาสมาธิ ฌานที่ ๔ มาให้พิจารณาค่ะ
จากพระบาลีแปลไทย

เพราะละสุขเสียได้ เพราะละทุกข์เสียได้
เพราะความที่โสมนัสและโทมนัสในกาลก่อนอัสดงค์ดับไป
เข้าถึงจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข
มีแต่ความที่สติเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขา

^
ณ สัมมาสมาธิ ฌานที่ ๔ นี้ จิตมีสติบริสุทธิ์ วางเฉยเป็นอุเบกขา
เพราะจิตสามารถปล่อยวางอารมณ์ทุกชนิด(สุข ทุกข์ ฯลฯ) ออกไปได้
จิตตั้งมั่นโดยลำพังตนเองโดยไม่ต้องอิงอาศัยอารมณ์
จิตก็อยู่ส่วนจิต กายก็อยู่ส่วนกาย

ถ้าทำได้แบบนี้ จิตหลุดพ้นชั่วคราว (ตทังควิมุตติ) ค่ะ

(smile)
Click to expand...

อ๋อ... เหรอครับ

แล้วอีก ๗ ข้อของมรรคมีองค์ ๘ ล่ะครับ

สัมมาทิษฐิมีความสำคัญในอันดับแรกหรือไม่...???

ถ้ามีความรู้ ความเห็น ความเข้าใจที่ถูกต้องแล้ว ที่เหลือก็จะตามมาเองใช่ไหมครับ...?

ยายทองประสา · 16 ตุลาคม 2009

คนเราชอบคิดว่าตัวเองเก่งกว่าคนอื่น
คนเราชอบคิดว่าตัวเองถูกคนอื่นผิด
คนเราชอบคิดเองเออเอง

คนเหล่านี้ ชอบคิด ไม่ชอบทำ(ไม่ชอบธรรม)

ธรรมะของพระพุทธเจ้า ต้องทำถึงจะเข้าใจ เข้าถึง อย่างถูกต้อง
คิดจนตาย ก็ไม่มีวันถูก ไม่มีทางเป็นสัมมาทิฏฐิ ต้องทำด้วย
ทำในที่นี้หมายถึงทำโดยแยบคายทั้ง กาย วาจา จิต
ในที่นี้บางท่านเป็นคนไร้จิต(ใจ) จึงไม่มีทางเข้าถึงธรรม

ธรรมง่ายๆ แค่สิกขา ๓ ยังไม่รู้ไม่เข้าใจ ไม่ประพฤติ ไม่ปฏิบัติ
ป่วยการไปคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้ทำไม

สงเคราะห์บุคคลที่ควรสงเคราะห์ โจรก็ยังสันดานโจรอยู่วันยังค่ำ
ต่อให้รักเอ็นดู เลี้ยงดู อุ้มชูเท่าไหร่ ก็ไม่มีวันรู้จักบุญคุณความดี
คิดว่าคนที่ให้คำแนะนำที่ดี เป็นศัตรู กลับมีจิตคิดล้างผลาญ ทำลายล้าง จ้องจะเอาชนะ
(ถ้าเป็นสัตว์เลี้ยง) สัตว์ประเภทนี้มีอย่างเดียวคือ ฆ่าทิ้ง เพราะไม่เกิดประโยชน์

คนไหนมีความเชื่ออย่างไร คงแก้ไขยาก หากคนนั้นไม่เคยทำบุญไว้ก่อน
หากคนไหนเป็นคนที่พอมีสติปัญญาอยู่บ้าง ก็จะสามารถเข้าใจอะไรได้ง่าย
คนที่มีสติปัญญาระดับเดียวกัน จึงจะคุยกันรู้เรื่อง เข้าใจกันได้
สงสัยจริงๆว่า คุณมีสติ ปัญญา ระดับไหน
แต่ก็ช่างเถอะ นั่นมันเรื่องของคุณ
ตัวใครตัวมันเลยงานนี้

ขอเตือนทุกท่านที่เพิ่งเข้ามาอ่านใหม่
อย่าไปเสียเวลาไล่อ่านทุกหน้าเลย เปล่าประโยชน์
เอาเวลาไปปฏิบัติธรรม ทำให้ถึงที่สุด
ตามที่พระพุทธเจ้าท่านสั่งสอนไว้เถิด จะเกิดประโยชน์สูงสุด

เตชปญฺโญ ภิกขุ · 16 ตุลาคม 2009

ตอบข้อข้องใจ โดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

มีฌาน ๔ แล้วแต่เหาะไม่ได้นี่นา เลยตกตึกตาย

ฌาน ๔ ไม่ได้วิเศษวิโสอะไร เป็นเพียงความตั้งใจมั่นคงเท่านั้น

สมาธิ หรือความตั้งใจมั่นนี้ จะมาเป็นพื้นฐานให้เกิดปัญญา

แต่ถ้ามีสมาธิแล้วไม่รู้จักคิดพิจารณา ปัญญาก็ไม่เกิด

จึงได้โดดตึกตายเพราะความผิดหวัง

www.whatami.net เว็บไซต์สำหรับบุคลอัจฉริยะ

เข้าสู่ระบบหรือลงทะเบียน

น่าเป็นห่วง หลักสูตรพุทธศาสนา จากบางอาจารย์ สอนตายแล้วสูญ ( หลักสูตร ม.1- ม.6)

คุณเห็นด้วยกับ หลักสูตรพุทธศาสนา ม.1

ไม่เห็นด้วย (คิดว่าสอนผิด)

เห็นด้วย (คิดว่าสอนถูก)

เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

B5234T5 เป็นที่รู้จักกันดี

B5234T5 เป็นที่รู้จักกันดี

ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

B5234T5 เป็นที่รู้จักกันดี

ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

2499 เป็นที่รู้จักกันดี

manson810 เป็นที่รู้จักกันดี

ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

B5234T5 เป็นที่รู้จักกันดี

เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

B5234T5 เป็นที่รู้จักกันดี

ยายทองประสา เป็นที่รู้จักกันดี

เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

แชร์หน้านี้

แชร์หน้านี้

เข้าสู่ระบบหรือลงทะเบียน

น่าเป็นห่วง หลักสูตรพุทธศาสนา จากบางอาจารย์ สอนตายแล้วสูญ ( หลักสูตร ม.1- ม.6)

คุณเห็นด้วยกับ หลักสูตรพุทธศาสนา ม.1

ไม่เห็นด้วย (คิดว่าสอนผิด)

เห็นด้วย (คิดว่าสอนถูก)

แชร์หน้านี้

การค้นหาที่มีประโยชน์

ติดต่อเรา