บทความ...กระดานเล่าสู่กันฟัง

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย nouk, 19 ตุลาคม 2014.

  1. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ประสบการณ์ ปี 2013
    ไปบวชเนกขัมมะจาริณีที่วัดแห่งหนึ่ง

    ทีแรก แม่ชีบอกให้เปลี่ยนชุดขาว พอเปลี่ยนแล้ว แม่ชีบอกว่าชุดไม่เรียบร้อยให้ไปหาชุดมาใหม่ เหมือนไม่อยากให้เราบวช วันนั้น อุปสรรคค่อนข้างเยอะ เหมือนมีมาร พี่สาวก็เลยไม่ค่อยพอใจแม่ชีที่มาขอเครื่องอุปโภค ภาพที่มองแม่ชีเริ่มไม่ค่อยดีแล้ว แต่เราบอกว่าไม่เป็นไรหรอก อย่าคิดมาก คิดว่าทำบุญแล้วกัน

    พอไปถึงตลาด ไปซื้อชุดขาว คนขายบอกราคาแพง พี่สาวก็จะไม่ซื้อให้อีก บอกว่าซื้อแค่ชุดเดียวพอ แต่เราจะบวชจนหมดงานปริวาส คือ 7 วัน ดูดิ ชุดเดียวมันจะพอได้อย่างไร ก็เถียงกันไปเถียงกันมา สุดท้ายเลยบอกว่าถ้างั้นซื้อเอง ออกเงินเอง จบ ได้ผ้านุ่งมา 2 ผืน เสื้อขาว 1 สะไบ 1 เพราะว่าเสื้อขาวมีอยู่แล้ว 1

    จากนั้นก็ไปหาซื้อสิ่งของที่แม่ชีต้องการ แม่ชีขอสบู่ 1 ก้อนกับไฮเตอร์เอาไว้ซักชุดขาว แต่เราซื้อสบู่ยกโหลไปเลย แล้วก็สิ่งของอีกหลายอย่างเพื่อเอาไปทำบุญด้วย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 พฤศจิกายน 2018
  2. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    เวลาล่วงเลยไปจนเกือบสี่โมงเย็น กำลังเดินห้างต่อ คนที่วัดก็โทรมา ว่าให้มาบวชได้แล้ว แม่ชีและพระอาจารย์รออยู่

    กำลังจะออกจากห้าง ฝนก็เทกระหน่ำลงมา ในใจตอนนั้น คิดว่า วันนี้อุปสรรคเยอะจังเลย อีกใจก็บอกว่าไม่ต้องบวชแล้ว แต่อีกใจแย้งว่าตั้งใจแล้วต้องสำเร็จซิ อุปสรรคแค่นี้เอง อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด อย่าเพิ่งถอย กลับไปวัดก่อน บวชได้หรือไม่ได้ก็ค่อยว่ากันอีกที ก็เลยกลับมาที่วัด โดยเราเปลี่ยนเสื้อผ้าในรถ

    พอมาถึงวัด ก็ไปหาแม่ชี แม่ชีก็พาไปหาพระอาจารย์ ซึ่งมันเลยเวลาที่นัดไปแล้ว พระอาจารย์กำลังสอนอภิธรรมให้กับโยมท่านหนึ่งอยู่ แม่ชีก็ไปบอกพระอาจารย์ว่าคนที่จะบวชมาแล้ว ท่านก็เลยให้ไปรอที่ๆ ท่านเตรียมให้ เราเอ่ยคำขอบวช พิธีกรรมก็เริ่มขึ้น จนเสร็จ พอบวชเสร็จ ท่านก็ถามถึงสาเหตุที่มาบวช
     
  3. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    เราก็ตอบไปว่า อยากมาบวชไม่ได้บวชแก้บนหรือมีปัญหาอะไร ต้องการมาศึกษาพระธรรม ต้องการมาปฏิบัติธรรม เพราะว่าปฏิบัติเองมักจะไม่ค่อยจริงจัง อิสระมากไป

    แล้วท่านก็ถามว่าเคยปฏิบัติมาอย่างไรบ้าง
    ทีนี้ก็คุยธรรมะที่เคยศึกษาและปฏิบัติมา ตลอดถึงสภาวะธรรมต่างๆ เราถาม ท่านตอบ อย่างนี้ไปเรื่อยๆ แม่ชี จากที่เหมือนจะกีดกันไม่ให้ได้บวช นั่งฟังอยู่ข้างๆ ก็ปิติ น้ำตาไหลตลอด เอาผ้ามาเช็ดน้ำตาตลอด เราก็พูดไป มองแม่ชีไป ในใจคิดว่าจะร้องไห้ทำไมหนอ น้ำตาไหลไป ยิ้มไป แปลกดี คุยจนได้เวลาทำวัตรเย็น คือหกโมง ก็แยกย้ายออกมา คืนนั้น แม่ชีเหมือนจะหวงกุฏิ ก็มีข้ออ้างต่างๆ ที่จะไม่ให้เราไปพักที่กุฏิแม่ชี และชวนเราไปนอนที่ศาลาหลังใหญ่ พอไปถึงศาลาหลังนั้น เป็นศาลาปฏิบัติธรรมที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว ที่หน้าศาลาเป็นบันไดทอดยาวขึ้นไป ที่ราวบันไดเป็นพญานาคเจ็ดเศียรแผ่พังพาน บรรยากาศเงียบสงบ ดูวังเวง
    แต่เรากลับเฉยๆ ไม่รู้สึกอะไร ขึ้นไปถึงชั้นบน ก็เข้าไปในศาลาที่มืด เพราะว่าประหยัดไฟ เค้าไม่เปิดไฟ บนศาลามีพระพุทธรูปองค์ใหญ่อยู่ 3 องค์ และธรรมมาส สำหรับเทศน์ ศาลาเป็นพื้นไม้กว้างขวางมาก แต่สะดวกเพราะว่ามีห้องน้ำอยู่หลายห้อง
     
  4. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    เราเข้าไปอาบน้ำ แล้วก็นอน เสื่อผืนหมอนใบกับผ้าห่ม เค้าเอามุ้งครอบมาให้เพื่อกันยุง แต่เราไม่ใช้
    นอนภาวนาไป ตอนที่นอนก็มองขึ้นไปบนหลังคา หลังคาชำรุด แผ่นฝ้าบางช่วงก็โบ๋ว หน้าต่างของศาลาเปิดทุกบาน ทำให้มองเห้นท้องฟ้ายามกลางคืน จิตสงบ เพราะว่าภาวนาไป ไม่สนใจสิ่งรอบตัว แล้วก็หลับ ไม่ฝันอะไรเลย

    พอใกล้จะตีสี่ จิตบอกว่าต้องตื่นก่อนตีสี่เพื่อมาเตรียมตัวทำวัตรเช้า ที่นี่ทำวัตรเช้าตีสี่ เวลาตีสามกว่าเราก็ตื่น มองไปที่แม่ชี แม่ชียังไม่ตื่นเลย เรานอนกันคนละมุม แม่ชีมีมุ้งครอบ เราไม่ได้ครอบมุ้ง แต่แปลกไม่มียุงมากัดสักตัว หลับสบายมาก ก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าลงจากศาลา ไปที่ๆ สวดมนต์ทำวัตรกัน ทำวัตรพร้อมกับพระที่มาเข้าปริวาสกรรม เป็นเช้าแรก แต่แม่ชีดูไม่ค่อยเคร่ง ทำให้เราเริ่มจะเหลวไหลตาม ความตั้งใจที่จะปฏิบัติแบบอุกฤษฐ์เลือนหายไป แต่รักษาศีลไว้ไม่ให้ขาด ตอนเช้าจะสวดแค่บททำวัตรเช้าเท่านั้น จากนั้นก็อบรมจิตด้วยการนั่งสมาธิ ก็นั่งเอง ไม่มีคนสอน พระอาจารย์บอกว่า ช่วงนี้วัดมีงาน ให้ปฏิบัติเอง ง่ะ ตั้งใจไปหาครูบาอาจารย์สอนเพื่อต่อยอด มาเจอแบบนี้อีกแล้ว ปฏิบัติเอง รู้เอง
     
  5. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    แม่ชีบอกว่าเรามีภูมิธรรมสูงกว่าแม่ชี แม่ชีก็สอนไม่ได้ พระก็สอนเราไม่ได้ เราต้องปฏิบัติเอง แถมแม่ชียังให้เราสอนแม่ชีอีก โดยขอฟังธรรมจากเรา งงมะ จากนั้น แม่ชีก็เล่าเรื่องราวชีวิตของตัวเองที่ทำให้ได้มาบวชที่นี่ แต่มาบวชแล้ว ก็ยังจิตตกกับปัญหาครอบครัวที่วางยังไม่ได้ เราก็บอกไปว่า เมื่อตัดสินใจมาบวชแล้ว ก็ต้องตัดทิ้งทางโลกและมุ่งทางธรรมเพียงเท่านั้น หากยังอาลัยทางโลกก็ไม่สามารถมองเห็นธรรมอย่างแท้จริง ยังวนเวียนอยู่กับทุกข์ โลกก็ช้ำธรรมก็ขุ่น ทุกสิ่งอย่างที่แม่ชีนำมาคิด และกลุ้มใจกับปัญหาที่แก้ไม่ตกนั้น เพราะแม่ชียังหลงไปกับโลกสมมุติ ซึ่งไม่มีอะไรจริงสักอย่างเดียว เพราะทุกคนต้องตาย คนที่คิดว่าผูกพันกัน เมื่อตายไปแล้วก็ไม่ใยดีอีก ไม่ว่าจะเป็นลูกหรือผัว ก็สมมุติกันขึ้นมา ไม่มีอยู่จริง เป็นเพียงรูปกับนาม เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ไม่เที่ยงแท้ แม่ชีก็สาธุ เห็นตามนั้น
     
  6. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    แต่ก็ยังอาลัยกับห่วง คือห่วงลูกชายคนเดียวของตนที่อยู่ลำพัง ด้วยวัย 20 ปีกำลังเรียนต่อมหาวิทยาลัย แม่ชีเลิกกับสามี เพราะจับได้ว่าสามีเป็นนักเที่ยว ทำนองไม่ซื่อสัตย์ก็เลยขอหย่า อยู่กินกันมา 20 กว่าปี เราถามแม่ชีว่าที่เรามาบวชเพราะต้องการคนสอน ไม่ได้ตั้งใจมาสอนใคร แม่ชีบอกว่าเรามีภูมิธรรมสูง แม่ชีมากราบขอขมาที่เท้าเรา บอกว่าเคยคิดล่วงเกิน แม่ชีกลัวบาปที่ล่วงเกิน ขอขมากรรม และก็มากอดเท้า เอาแก้มมาแนบที่เท้า เหมือนปิติที่มาโปรดแม่ชี เราก็บอกว่า แม่ชีอย่าทำแบบนี้ เพราะว่าแม่ชีมาบวชก่อน เรากลัวบาปเหมือนกัน แต่แม่ชีบอกว่าไม่บาป เพราะว่าเราสูงกว่าแม่ขีและแม่ชีก็มาบีบนวดที่เท้าให้ เหมือนศิษย์ที่อุปัฏฐากอาจารย์ อุบาสิกาที่อยู่กุฏิข้างๆ กัน ก็นึกอิจฉาเราที่เพิ่งมาบวชใหม่ แต่แม่ชีกับมาคอยเอาใจปรนนิบัติ อุบาสิกาผู้นี้เลี้ยงกุมารไว้ เราเห็นในนิมิตเสียงของคืนที่สาม ขณะที่นั่งสมาธิหลังจากทำวัตรเย็น ได้ยินเสียงเด็กหัวเราะต่อกระซิกเล่นกันอยู่่ข้างๆ แต่ก็ไม่ได้บอกให้ใครรู้
     
  7. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    คุยเรื่องธรรมชาติให้แม่ชีฟัง ว่าสรรพสิ่งล้วนคือธรรมชาติ ถ้าเราปล่อยให้จิตดำเนินตามไปตามธรรมชาติของมัน และเราเป็นเพียงผู้ดู เราก็จะเห็นธรรมนั้นๆ เอง เพียงเราไม่เข้าไปปรุงแต่งจิตต่อ ไม่เป็นผู้แสดง เป็นเพียงผู้ดู และยกตัวอย่าง เรื่องต้นไม้ใหญ่สองข้างทางที่เราเห็นอยู่ตามถนนในชนบท ที่ไม่มีใครดูแล แต่มันก็สามารถเจริญเติบโตได้ด้วยตัวของมันเอง เดิบโตได้อย่างสวยงาม โดยที่ไม่มีใครมาตัดแต่ง และต้นไม้ทุกต้นจะโน้มเข้าหาแสงอาทิตย์เอง ดั่งเช่น จิตที่เป็นไปตามธรรมชาติ ใฝ่หาความเจริญแก่ตน ด้วยการโน้มเข้าสู่แสงธรรม นั่นคือดวงอาทิตย์ จิตเปรียบเหมือนต้นไม้ และแสงธรรม เปรียบเหมือนดวงอาทิตย์ หากพิจารณาใบไม้ได้เพียงหนึ่งใบ ก็จะมองเห็นธรรมชาติของใบไม้ได้ทั้งป่า สมาธิมีความสำคัญสำหรับการใช้ปัญญาพิจารณาธรรม
     
  8. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ดังนั้น จึงเน้นด้านพื้นฐานที่จะรองรับธรรมให้แน่นหนาก่อน จึงต้องมีการฝึกสมาธิ และศีลเป็นเครื่องควบคุมกาย วาจา ใจ ไม่ให้ล่วงลงไปในบาปอกุศล ดังนั้น ศีลจะเป็นพื้นฐานของสมาธิ ก่อนทำทานจึงต้องรับศีล เพื่อให้มีความสำรวมกาย วาจา ใจก่อน ทานนั้นจึงจะบริสุทธิ์และให้ผลที่ดีงาม

    ...เอวัง...
     
  9. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    มองว่า หากเราเห็นอริยสัจสี่แล้ว ในเรื่องของสัตว์มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นของตนเอง จะอยู่ในเรื่องทุกข์ค่ะ ไม่ว่าจะเป็นบุญหรือกิเลสที่หมักดองในสันดาน ก็ล้วนคือทุกข์ อาจจะอธิบายไม่ได้อย่างลึกซึ้งนะคะ

    ทุกขอริยสัจ เป็นทุกข์ของชีวิตที่เป็นจริงของทุกรูปนาม ไม่มีผู้ใดหนีพ้น เป็นทุกข์โดยธรรมคือธรรมชาติ จึงจริงแท้แน่นอนอยู่ตลอดกาลนาน จึงได้ชื่อว่าทุกขอริยสัจ ที่เมื่อเกิดขึ้นและเป็นไปย่อมยังให้เกิดทุกขเวทนาเป็นผลตามมา

    เมื่อใจยอมรับในเรื่องกฏแห่งกรรมว่ามีจริง บุญบาปมีจริง จึงได้ชื่อว่ามีความเห็นชอบ หรือสัมมาทิฏฐิ ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์มรรคแปดค่ะ

    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๙ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๑
    สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค

    ขันธสูตร
    ว่าด้วยอริยสัจ ๔

    [๑๖๗๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสัจ ๔ เหล่านี้ อริยสัจ ๔ เป็นไฉน? คือ ทุกขอริยสัจ ทุกขสมุทัยอริยสัจ ทุกขนิโรธอริยสัจ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ.

    [๑๖๗๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทุกขอริยสัจเป็นไฉน? ควรจะกล่าวได้ว่า อุปาทานขันธ์ ๕ อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นไฉน? ได้แก่อุปาทานขันธ์คือรูป อุปาทานขันธ์คือเวทนา อุปาทานขันธ์คือสัญญา อุปาทานขันธ์คือสังขาร อุปาทานขันธ์คือวิญญาณ นี้เรียกว่าทุกขอริยสัจ.

    [๑๖๘๐] ก็ทุกขสมุทยอริยสัจเป็นไฉน? ตัณหาอันทำให้มีภพใหม่ ประกอบด้วยความกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจ เพลิดเพลินยิ่งนักในอารมณ์นั้นๆ ได้แก่กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา นี้เรียกว่า ทุกขสมุทยอริยสัจ.

    [๑๖๘๑] ก็ทุกขนิโรธอริยสัจเป็นไฉน? ความดับด้วยการสำรอกโดยไม่เหลือแห่งตัณหานั้นแหละ ความสละ ความวาง ความปล่อย ความไม่อาลัยตัณหานั้น นี้เรียกว่า ทุกขนิโรธอริยสัจ.

    [๑๖๘๒] ก็ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจเป็นไฉน? อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ นี้แหละ คือ สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ นี้เรียกว่า ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ.

    [๑๖๘๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสัจ ๔ เหล่านี้แล เพราะเหตุนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงกระทำความเพียรเพื่อรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา.

    จบ สูตรที่ ๓

    ขอให้เจริญในธรรมนะคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤศจิกายน 2018
  10. Fallenz

    Fallenz ○~พบแล้ว เจอแล้ว เสวนาแล้ว ที่เหลือแล้วแต่วาสนา~●

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    555
    ค่าพลัง:
    +733
    ยิ่งอ่าน ยิ่งคล้ายยาย ไปทุกที คนเดียวกันป่าวคับ ฮ่าๆๆ:eek:
     
  11. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ธรรมะบนดอย แล้วจะทะยอยเล่าให้อ่านกันนะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  12. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ถ้าไม่เล่าก็ทวงนะ ถ้าทวงแล้วยังไม่เล่า แสดงว่าลืม...;)
     
  13. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    แดนสุขาวดีพุทธเกษตรอยู่จักรวาลไหน?

    สุขาวดีพุทธเกษตร


    ชื่อสวรรค์ชั้นสุขาวดี อาจจะไม่เป็นที่คุ้นเคยนักกับชาวพุทธเถรวาท แต่ชื่อนี้จะคุ้นเคยกันดีในหมู่พุทธมหายานหรือทางศาสนาเต๋า

    ในทางพุทธศาสนาแบบเถรวาท จะจัดชั้นของสุขคติภูมิ ออกเป็นภูมิมนุษย์, สวรรค์ 6 ชั้น, พรหม 16 ชั้น และอรูปพรหมอีก 4 ชั้น พวกเราจึงคุ้นเคยกันเพียงว่า สวรรค์ จะหมายถึง 6 ชั้น ซึ่งเป็นกามาวจรกุศล

    ความจริงภูมิต่างๆ ที่แบ่งกันแบบที่เรารู้จักกันดีที่ว่านี้ เป็นเพียงภูมิหลักๆ เท่านั้น ในโลกของวิญญาณมีภูมิย่อยละเอียดอีกมากมาย ตามกลุ่มประเภทหรือวาสนาบารมีของสัตว์โลกที่สั่งสมกันมากรรมดี-กรรมชั่ว ของสัตว์โลกจะจำแนกสัตว์โลกเป็นกลุ่มๆ พวกๆ ตามกรรมของพวกเขาเองกรรมแบบเดียวกันจะเป็นกลุ่มพวกเดียวกันไปเอง
     
  14. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ในทางพุทธมหายานแบบจีน ซึ่งผสมผสานกับแนวของเต๋า เขาจะเรียกสุขคติภูมิที่สูงกว่ามนุษย์ขึ้นไปทั้งหมดว่า สวรรค์ ดังนั้น คำว่า สวรรค์ของเขาจึงกินความกว้างเทียบกับที่เราคุ้นเคย ตั้งแต่ระดับของภูมิของภุมมะเทวดา หรือจาตุมหาราชิกาไปจนถึง นิพพาน ซึ่งเขา แบ่งกลุ่มระดับเป็น 4 ระดับ คือ

    1. ระดับล่าง
    2. ระดับกลาง
    3. ระดับสูง
    4. ระดับสุขาวดี

    ถ้าสูงกว่านั้นคือ นิพพานทางฝ่ายมหายานและเต๋าเชื่อว่าในระดับสุขาวดีนั้นผู้ที่ไปอุบัติขึ้น ได้ในชั้นนี้จะสามารถบำเพ็ญธรรม ต่อไปชั้นสุขาวดีนี้จนบรรลุมรรคผลเป็นพระอรหันต์ เข้าสู่นิพพานไปเลยได้โดยไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก แต่ตอนที่ยังอยู่ในดินแดนสุขาวดีนี้อาจจะลงมาเกิดเป็นมนุษย์อีกก็ได้ ถ้าปรารถนาจะเกิดเอง ซึ่งถ้ากลับมาเกิดก็เป็นการเข้าสู่วัฏจักรเดิม การได้เกิดชั้นสุขาวดีจึงอาจถือว่าพ้นการเวียนว่ายตายเกิดก็ได้ (ถ้าไม่ปรารถนาจะลงมาเกิดอีก) แต่ยังต้องบำเพ็ญธรรมเพื่อ ความหลุดพ้นเข้านิพพานอยู่
     
  15. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ดังนั้นในระดับสุขาวดีจึงเป็นที่ปรารถนาจะไปเกิดกันอย่างยิ่งในหมู่ชาวพุทธมหายานและศาสนิกชนเต๋า โดยผู้ได้ไปเกิดในระดับสุขาวดีนี้อาจจะยังไม่สามารถบรรลุผลใดๆ เลยก็ได้ เพียงแต่ต้องสั่งสมบุญให้เพียงพอ ไม่เหมือนกับแดนพรหมชั้นสุทธาวาส ที่ผู้ไปเกิดในแดนระดับนี้จะบรรลุมรรคผลเข้านิพพานได้ในชั้นสุทธาวาสนี้ ไม่ต้องกลับไปเวียนว่ายตายเกิดอีกเช่นกัน แต่ผู้จะ ไปเกิดในชั้นสุธาวาสได้ จะต้องบรรลุธรรมถึงระดับเป็นพระอนาคามีบุคคลเสียก่อน การไปเกิดในสุทธาวาสจึงยากมาก ไม่เหมือนในสุขาวดีที่ไม่ต้องบรรลุธรรมเป็นพระอนาคามีก่อนก็ได้ ในสวรรค์ชั้นสุขาวดีนั้น จะเป็นแดนที่ประทับของพระโพธิสัตว์ ต่างๆ (ทางมหายาน) เช่น พระกวนอิม พระมหาสถามปราบต์โพธิสัตว์ เป็นต้น หรือผู้ที่ปฏิบัติในแนวทางโพธิสัตว์ที่บรรลุโพธิสัตว์ภูมิ (ตามคติมหายานแม้บารมีมีเต็ม แต่ยังไม่ยอมเข้านิพพานยังคอยโปรดสัตว์โลกอยู่รวมทั้งเทพเจ้าทั้งหลายที่บำเพ็ญ บรรลุธรรมตามแนวทางของเต๋า (ซึ่งทางจีนจะเรียกว่าเป็น วิสุทธิเทพ) ท่านเหล่านี้ยังคอยโปรดสัตว์โลกอยู่เช่นกัน
     
  16. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    นอกจากนี้ในระดับสุขาวดีนี้ เป็นระดับที่มีพุทธเกษตรต่างๆ อยู่มากมาย พุทธเกษตร หมายถึง แดนที่มีพระพุทธเจ้า (พระฌานิพุทธเจ้า) ประทับเป็นประธาน (หรือผู้ปกครองแดน) อยู่ที่มีชื่อเสียงมากและเป็นที่ปรารถนาจะได้ไปเกิดกันมากในหมู่ชาวพุทธมหายานก็คือ สุขาวดีพุทธเกษตรของพระอมิตาภะพุทธเจ้า การบำเพ็ญบุญปฏิบัติธรรมเพื่อสั่งสมบารมีให้เพียงพอ และการผูกจิตมั่นต่อแดนนี้ (เช่นการภาวนาถึงพระนามของพระอมิตาภะ) จะสามารถทำให้ไปเกิดในแดนนี้ได้ ซึ่งจะได้มีโอกาสฟังธรรม จากพระพุทธเจ้า และปฏิบัติธรรม จนบรรลุมรรคผลเข้านิพพานพ้นทุกข์โดยเด็ดขาดได้ต่อไป และสภาพเป็นอยู่จะเป็นสุขตลอดไม่มีความยากลำบากเลย เพราะเป็นสุขคติภูมิ ถึงแม้ว่าจะบรรลุมรรคผลเข้านิพพานได้ อาจกินเวลานานนับเป็นเวลาหลายๆ กัลป์แต่ก็เป็นสุขตลอดกาลนั้น ไม่เหมือนการเกิดมาเป็นมนุษย์ บำเพ็ญปฏิบัติ แม้ว่าอาจบรรลุถึงธรรมถึงนิพพานได้เร็ว แต่ก็ทุกข์ยากและเสี่ยงกับการพลาดพลั้งต้องไปเกิดในทุคติวินิบาตนรก ซึ่งจะยิ่งทำให้ล่าช้า และทุกข์มหันต์อย่างยิ่ง
     
  17. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    สุขาวดีพุทธเกษตร จึงเป็นแดนบรมสุขแดนหนึ่งที่น่าไปหวังไว้อย่างยิ่ง สำหรับผู้ที่ไม่อาจจะปฏิบัติธรรมจนบรรลุมรรคผลได้ในชาติปัจจุบัน

    ...เอวัง...
    ก๊อปมาเด้อ
     
  18. nan_nori

    nan_nori เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2018
    โพสต์:
    470
    ค่าพลัง:
    +799
    อยากฟังธรรมะบนดอยฮับ รออ่านอยู่~o_O
     
  19. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    รอก่อนค่ะ ยังไม่ได้ขึ้นดอยเลย
     
  20. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ธัมมะวังโส:
    วิหารธรรม คือ ธรรมเป็นคุณเครื่องอยู่ของผู้บรรลุธรรม ขั้นต่าง ๆ ซึ่งเป็นไปตามระดับของผู้ภาวนา

    ควรนับตั้งแต่

    1.วิหารธรรมจากการเจริญสติในเบื้องต้น เรียกว่า สติญาณ

    2.วิหารธรรมจากการเจริญฌาน เรียกว่า สมาปัตติญาณ

    3.วิหารธรรมเป็นเครื่องอยู่ของพระอริยะบุคคลตั้งแต่พระโสดาบัน เป็นต้นไป เรียกว่า ผลสมาปัตติญาณ

    4.วิหารธรรมเป็นเครื่องอยู่ของพระอริยะบุคคตั้งแต่พระอนาคามี ขึ้นไป อันประกอบด้วยสมาปัตติญาณเรียกว่า นิโรธญาณ

    5.วิหารธรรมเป็นเครื่องอยู่ของพระอริยะบุคคลตั้งแต่พระอรหันต์ ขึ้นไป อันประกอบด้วย สมาปัตติญาณ เรียกว่า สัญญาเวทยิตนิโรธ

    6.วิหารธรรมเป็นเครื่องอยู่ของพระอริยะบุคคลแบบวิปัสสก ในการประกอบด้วยสติญาณ เรียกว่า สุญญตมหาวิหารสมาปัตติญาณ

    7.วิหารธรรมเป็นเครื่องอยู่ของพระอริยะบุคคลแบบเจโตวิมุตติ อันปราศจากนิมิต เรียกว่า เจโตสมาธิอนิมิตสมาปัตติญาณ

    ยังมีอธิบาย ใน ญาณ 72 ในพระไตรปิฏก ปฏิสัมภิทามรรค อีกนะจ๊ะ แต่เอาแค่นี้พอแล้ว สำหรับพวกเรา เพราะว่า ยังมี วิหารธรรม อันเป็น ญาณเฉพาะองค์ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อีกนะจ๊ะ

    เจริญธรรม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...