เรื่องเด่น บรรลุธรรมถึงที่สุดแล้วเหมือนกันหมด หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโณ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย nondanun, 17 มิถุนายน 2013.

  1. nondanun

    nondanun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    5,980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +32,611
    [​IMG]



    หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน


    เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

    เมื่อวันที่ ๑๖ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๒


    บรรลุธรรมถึงที่สุดแล้วเหมือนกันหมด


    มันมีหลายครั้งต่อหลายครั้ง กิเลสหลายกองทัพ กองทัพธรรมก็หลายกองทัพ สู้กัน ดูวัดดอยธรรมเจดีย์จะมีสองครั้ง ครั้งหนึ่งที่ว่าเดินจงกรมอยู่ตอนเช้าๆ เช้ามืดตี ๕ ที่จิตมันสว่างไสว คือมันว่างหมดเลย นั่นละเราก็มาคิดอัศจรรย์ใจเจ้าของ โถ ใจดวงนี้ทำไมมันถึงได้อัศจรรย์นัก (ครั้งแรกที่สว่างมีธรรมะขึ้นมาเตือนว่า มีจุดมีต่อมอยู่ที่ไหนนั้นแลคือตัวภพ แต่หลวงตาคิดไม่ออกในตอนนั้น) นั่นละพระธรรมขึ้น ธรรมชาติเป็นผลมาดั้งเดิมเรื่อยมาจนกระทั่งถึงขั้นว่างหมดเลย อัศจรรย์เจ้าของ ตี ๕ เดินจงกรมอยู่วัดดอยธรรมเจดีย์ ทางจงกรมไปตามทิศใต้ทิศเหนือ คือมันเป็นทางตรงแน่วกลางคืนเดินดี เวลาไหนก็เดินดี เช้าวันนั้นประมาณตี ๕ ดูจิต แหม มันสว่างไสว สว่างแล้วยังไม่แล้วยังว่างหมดเลย อัศจรรย์เจ้าของ โอ้โห จิตนี้เป็นขนาดนี้เชียวน้า มันสว่างไสว

    สักเดี๋ยวหนึ่งธรรมที่เหลือนั้นมาอีกนะ นี้ก็เป็นกิเลสประเภทหนึ่งที่หลอกให้หลง ที่หลอกให้หลงนั่นคือกิเลส เรารู้ไม่ทันมัน จึงได้หลงได้อัศรรย์ความสว่างของจิต ว่างไปหมดเลย นี่เราอัศจรรย์ นี่มันก็ยังไม่ถึง แต่จิตก็ยังไม่สำคัญว่าถึงแล้ว ทีนี้พระธรรมท่านก็เตือน พออันนี้สงบลงพระธรรมเตือนขึ้นมาเลย ถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหนนั้นแลคือตัวภพ เราเลยงงแก้ไม่ตก เดือนสามอยู่วัดดอยธรรมเจดีย์ แก้ไม่ตก งงเลย เอ๊ มันจุดต่อมอย่างไรน้า ถ้าหากไปพูดให้พ่อแม่ครูจารย์ฟังแล้วดีไม่ดีสำเร็จในเดี๋ยวนั้นเลย เพราะมันก้าวเดียวเท่านั้นละ ก้าวที่สองก็ตูมเลย มันเปิดไว้แล้วแต่ยังไม่เข้าเฉยๆ

    อัศจรรย์ แล้วธรรมท่านก็เตือนขึ้นมาว่าถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้ที่ไหนนั้นแลคือตัวภพ จุดก็คือจุดสว่างไสว จุดว่างเปล่า ตัวจิตยังไม่ว่าง สิ่งเหล่านั้นว่างหมดแล้ว มันวางหมด ว่างหมด แต่ตัวเองยังไม่ว่าง ยังไม่วาง มันอยู่จุดนี้นะ ถ้าหากว่าไปเล่าให้พ่อแม่ครูจารย์ฟังดีไม่ดีปึ๋งในเดี๋ยวนั้นเลย บรรลุ ที่ว่าพระสาวกทั้งหลายไปกราบทูลธรรมะถวายพระพุทธเจ้าได้บรรลุธรรมไม่น้อยนะ คือปัญหาอย่างนี้ละ พอไปถึงมันจะลงแล้วตีเลย ลงเลย ตูมเลย นั่น อันนี้ไม่มีใครมาตีให้ซี เลยงง อัศจรรย์ ทำไมมันสว่างไสวเอานักหนา

    จากนี้เราก็ลงจากดอยธรรมเจดีย์ไปองค์เดียว ธรรมดาเราไปองค์เดียว ไปอยู่ทางเลยศรีเชียงใหม่เข้าไปลึกๆ อยู่ในภูเขาเหมือนกัน ไปพักที่ถ้ำผาดัก จนกระทั่งเดือนหก สามเดือนกลับมา กลับมาก็ขึ้นเขาอีก เขาลูกนี้แหละลูกดอยธรรมเจดีย์ มันแบกปัญหาอันนี้ละไป ที่ว่ามีจุดมีต่อมอยู่ที่ไหนนั้นแลคือตัวภพ เราก็เลยงง เลยแบกปัญหานี้ไป ไปไหนแบกไปไหนปลงก็ไม่ลง จนกระทั่งเดือนหก กลับมาก็ขึ้นเขานี้ละวัดดอยธรรมเจดีย์ เป็นวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ กลับมาก็พิจารณาจุดต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหนนั้นแลคือตัวภพ อันนั้นก็มีแต่เรื่องใจ เศร้าหมองก็ใจ ผ่องใสก็ใจ สุขก็ใจ ทุกข์ก็ใจ ทำไมใจนี่เป็นได้หลายอย่างนักนา มันรำพึง

    พอว่าอย่างนั้นแล้วจิตอยู่ในมัธยัสถ์วางเป็นกลาง ไม่ได้คิดไม่ได้คำนึงอะไร ว่าจะจ่อกับอะไรก็ไม่จ่อ หากอยู่กลางๆ พอธรรมเตือนขึ้นมาอย่างนี้แล้วก็หยุดพักไป นิ่ง วางเฉย แล้วบอกขึ้นมาอีกว่าความเศร้าหมองก็ดี ความผ่องใสก็ดี ความสุขก็ดี ความทุกข์ก็ดี ธรรมเหล่านี้ทั้งหมดเป็นอนัตตานะ คือไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ความหมายว่าอย่างนั้น เป็นอนัตตา พออันนี้ว่าแล้วก็สงบเงียบ ตอนนั้นไม่ตั้งใจจะจดจ่อกับงานอะไร อยู่ว่างๆ อยู่กลางๆ อุเบกขา ผางขึ้นมาเลยเชียว นั่น บทเวลาจะเป็น ไม่ได้มาเป็นตอนตั้งใจนะ

    อย่างพระอานนท์สำเร็จในอิริยาบถสี่ คือนั่งจริงๆ ก็ไม่ใช่ ว่าจะนอนเอนไปหัวยังไม่ถึงหมอนผางขึ้นตรงนั้นเลย ท่านว่าอิริยาบถสี่ คือจิตจดจ่ออยู่ตรงไหนยังไปไม่ได้นะ ถ้าไม่ปล่อยเสียก่อนยังไปไม่ได้ มีจดจ่ออยู่..พระพุทธเจ้าว่าเรา (พระอานนท์) จะบรรลุธรรมตอนเช้าสังคายนาแล้วเอานั่นมาเป็นอารมณ์ เลยไม่ทำงานจุดที่จะให้บรรลุ เลยเอาอันนั้นมาเป็นอารมณ์เลยไม่ได้เรื่อง ทีนี้พอทอดธุระ อ้าวนี่ก็จะสว่างแล้ว วันพรุ่งนี้ก็จะสังคายนาแล้ว เราเป็นองค์ที่ ๕๐๐ ยังขาดเราคนเดียว พักเสียก่อน ไม่สำเร็จก็จำเป็นแหละ

    พอว่าอย่างนั้นแล้วก็เข้าพัก คือที่ไปเจาะจงกับอะไรมันไม่ถอย มันจับอยู่นั้น นั่นไม่ใช่มรรคผลนิพพาน มันสัญญาอารมณ์ต่างหาก พอถอยจิตออกมาทีนี้ทอดธุระหมดทีนี้นะ พอเอนลงไปหัวยังไม่ถึงหมอน จะว่านั่งก็ไม่ใช่ จะว่านอนจริงๆ ก็ไม่ใช่คือเอนๆ ก็ตรัสรู้ผางขึ้นมา พอเช้าก็แสดงปาฏิหาริย์เลย ถึงวันเวลาที่จะประชุมสังคายนา ๕๐๐ องค์ เว้นไว้ช่องหนึ่ง คือพระอานนท์ ว่าจะได้พระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ พระพุทธเจ้านะรับสั่งเอง สังคายนาวันนั้นเหลือไว้พระอานนท์องค์เดียว เป็น ๔๙๙ องค์

    พอถึงเวลาแล้ว..แต่ก่อนมันจ่อว่าจะได้ตรัสรู้ตามที่พระพุทธเจ้าสั่ง แต่มันไปหมายเสียซิ มันไม่เข้ามาทำงาน พอจิตถอยออกมา ปล่อยทุกอย่างแล้วเอนลง ก็ผางขึ้นมาเลย สำเร็จอิริยาบถสี่พระอานนท์ จะว่ายืนก็ไม่ใช่ จะว่านั่งจะว่านอนก็ไม่เชิง อยู่ตรงกลาง อิริยาบถสี่ เช้าวันทำสังคายนาเว้นช่องว่างไว้นั้น พระอานนท์ก็ผึงขึ้นตรงนั้นเลย ฤทธิ์เดชของพระอานนท์ที่เป็นสักขีพยานว่าพระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ที่จะทำสังคายนานี้เต็ม ๕๐๐ แล้ว ๔๙๙ ว่างไว้ช่องหนึ่งสำหรับพระอานนท์ เพราะพระอานนท์นี้เป็นตู้พระไตรปิฎก เป็นพหูสูตได้ศึกษามานาน อย่างไรพระอานนท์ต้องได้เข้าในที่ประชุม พระพุทธเจ้ารับสั่งไว้หมดแล้ว มีแต่พระอรหันต์ล้วนๆ ๔๙๙ เหลือพระอานนท์องค์เดียวผึงขึ้นก็ ๕๐๐ พอดี

    อย่างนั้นละพระพุทธเจ้ารับสั่งผิดที่ไหน รับสั่งตรงไหนไม่ผิด ตอนที่ท่านว่าอย่างนั้นจิตมันก็ส่ายแส่ไปเจาะจงหรือหมายนั้นหมายนี้ จิตมันไม่เข้าทำงาน พอปล่อยวางหมดทอดอาลัยเท่านั้นจิตก็ปล่อยนั้นลงผึงเลย เป็นอย่างนั้นละ เรียกว่าบรรลุนั้นบรรลุนี้เราอย่าเข้าใจว่าธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นธรรมที่ครึที่ล้าสมัยนะ ล่วงมาหลายปีหลายเดือนนั้นเป็นมืดกับแจ้ง บาปกับบุญไม่ได้ล่วง เป็น อกาลิโก คือบาปกับบุญ การบำเพ็ญคุณงามความดีตลอดเวลาก็เป็นอกาลิโกของบุญ การทำความชั่วตลอดเวลาก็คือการสั่งสมความชั่วเข้าใส่ตัวตลอดเวลา จึงเรียกว่าอกาลิโก เป็นได้ทั้งบาปทั้งบุญ ทำเวลาไหนถ้าเป็นบาปก็เป็น ถ้าเป็นบุญก็เป็นทั้งนั้นละ

    ท่านจึงว่าอกาลิโก หากาลเวลาไม่ได้ ธรรมท่านว่าอย่างนั้น เพราะเป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าว่าสวากขาตธรรม สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ชอบแล้ว ตรัสไว้ดีแล้ว ไม่มีที่จะบกพร่องหรือเหลือหลอไปที่ไหนไม่มี พอดี พอลงจุดนั้นก็พอดี เป็นมัชฌิมา เป็นอกาลิโก เรื่องธรรมเป็นอย่างนั้นละ ใครปฏิบัติก็ได้เพราะธรรมเป็นอกาลิโก ไม่ขึ้นอยู่กับกาลสถานที่เวล่ำเวลา ทำเวลาเช้าเวลาบ่ายอะไรถึงจะได้อย่างนั้นไม่ใช่ ทำไปๆ ความดีนี้ก็หนุนเข้าๆๆ ถ้าทำความชั่วก็เพิ่มเข้าๆ เป็นอกาลิโก ทำบาปก็ตามทำบุญก็ตามทำบุญเวลาไหนเป็นบุญเมื่อนั้น ทำเวลาไหนเป็นบาปเมื่อนั้นถ้าสร้างบาป จึงเรียกว่าอกาลิโก จึงต้องให้บำเพ็ญ ทุกข์ยากลำบากขี้เกียจขี้คร้านก็ฝืนหัวกิเลส ตีหัวมันไป มันก็ค่อยเป็นไปเอง

    ท่านผู้ที่ว่าบรรลุธรรมเป็นสรณะของพวกเรา ไม่ใช่ท่านไปกอบไปกำมาเลยนะ ท่านทำแทบตายเหมือนกัน ทั้งยากทั้งง่ายทั้งลำบากอะไรต่ออะไรท่านก็ไม่ถอย จนได้สำเร็จขึ้นมา นั่นพอ เพราะความบึกบึน ถ้าไม่บึกบึนไม่ได้นะ ต้องบึกบึน ท่านจึงว่าเป็นอกาลิโก ถ้าไม่ปฏิบัติไม่รู้ไม่เข้าใจนะที่ท่านว่าอกาลิโก หรือสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้ว คือชอบพอดีทั้งหมดเลย อยู่ในนั้นหมด ถ้าอาหารก็ไม่เค็มเกินไป ไม่เผ็ดเกินไป ไม่เปรี้ยวเกินไป ไม่หวานเกินไป อยู่ในความพอดี นั่นละเรียกว่าสวากขาตธรรมตรัสไว้เท่านี้ให้พอดี ถ้าปฏิบัติตามนั้นแล้วพอดี บรรลุ เรียกว่ามัชฌิมา

    ท่านว่าธรรมเกิดกิเลสเกิดด้วยกันมีนะ ทีแรกนี้มีกิเลสเกิดหลอกๆ ธรรมตามแก้กัน เกิดในตัวเองไม่ได้คิดได้อ่านอะไร อยู่เฉยๆ เวลาเงียบๆ มันจะโผล่ขึ้นมาเป็นคำๆ เหมือนเราพูดนี่แต่พูดอยู่ในหัวใจ เป็นคำแต่เป็นคำในหัวใจ ไม่ได้เป็นคำพูดออกมาอย่างนี้ อย่างที่พูดว่ากิเลสเกิด นั่นละกิเลสหลอก ธรรมเกิดธรรมแก้ได้ ยกตัวอย่างพอจำได้ก็คือลงมาจากภูเขาตอนเช้า กะวันเวลาแล้วว่าจะลงให้ถึงบ้านเขา บิณฑบาตถึงหมู่บ้านเขา คงพอจะไปถึง มันไกล อดอาหารหลายวันด้วย วันนั้นกะว่าจะพอถึงบ้าน พอมาถึงกลางทางไปไม่ได้แล้วเลยนั่งเจ่าอยู่นั้น จิตมันไม่ได้เจ่าซีมันหมุนของมัน

    สักเดี๋ยวกิเลสเกิด เงียบๆ ในใจ นี่ท่านบำเพ็ญเพียรอดข้าวว่าจะฆ่ากิเลสให้ตาย แต่กิเลสยังไม่ตายท่านกำลังจะตายเวลานี้รู้ไหม คืออดข้าวทรมานเพื่อจะฆ่ากิเลสให้ตาย แต่กิเลสยังไม่ตายท่านกำลังจะตายเวลานี้รู้ไหม กิเลสมันเยาะเย้ย พอทางนั้นสงบปั๊บทางนี้ก็ขึ้นรับกันเลย เราที่จะตั้งอกตั้งใจปรุงแต่งอย่างนั้นไม่มีนะ ทั้งธรรมทั้งกิเลสเกิดเราก็ไม่ได้ตั้งใจว่าจะให้มันเกิดอย่างนั้น ทีนี้เวลามาแก้กันก็ไม่ได้ตั้งอกตั้งใจว่าจะมาแก้แบบนั้น พออันนี้สงบลงไปกิเลสเกิดสงบลงไปว่าท่านจะตายรู้ไหม ทางนี้ก็ขึ้นพับรับกันเลย อ้าว การกินนี้ก็กินมาตั้งแต่วันเกิดไม่เห็นวิเศษวิโสอะไร อดเพียงเท่านี้จะตายเหรอ เอาตายก็ตาย นั่นเห็นไหมล่ะ มันก็ดีดผึง มันไม่ถอย

    เราถ้าเชื่อตามกิเลสก็ล้มไปเลย กิเลสว่าเราจะตาย กิเลสยังไม่ตายท่านกำลังจะตายรู้ไหม มันขู่ ทางธรรมะก็รับกันเลย กินก็กินมาตั้งแต่วันเกิด ก็ไม่เห็นวิเศษวิโสอะไร อดเพียงเท่านี้จะตายเหรอ เอาตายก็ตาย ข้ามไปได้เลย นี่ละธรรมเกิด กิเลสเกิด เบื้องต้นกิเลสเกิดเสียก่อน ธรรมะแก้กันเรียกว่าธรรมเกิด ก็ผึงไปได้เลย ละเอียดเท่าไรๆ ใจดวงนี้ดวงเดียวเท่านั้นละต่อธรรมาสน์หรือว่าเวทีกิเลสกับธรรมเป็นคู่ต่อยกัน ที่ว่าพื้นฐานคือความอดความทนความพากความเพียรเป็นเวที ซัดกันอยู่บนเวที แล้วแพ้ชนะกันตรงนั้นละ

    เวลาบำเพ็ญมากๆ เข้าไปนี้ส่วนมากมีแต่ธรรมะเกิด ทีแรกกิเลสเกิดจะเอาให้ธรรมะแพ้ เวลาปฏิบัติเข้าไปไม่หยุดไม่ถอยกิเลสเกิด ธรรมะเกิดแก้กันเรื่อยๆ เมื่อมันหมดทุกสิ่งแล้วไม่มี กิเลสประเภทที่เคยหลอกๆ ไม่มี ธรรมะที่จะเคยแก้กันๆ ก็ไม่มี ตกลงธรรมก็ไม่เกิด กิเลสก็ไม่เกิด เกิดในสงครามอันนั้นเพราะกิเลสแพ้สงครามไปแล้ว มันตกเวทีไปแล้ว เราจะไปต่อยลมต่อยแล้งอะไร ก็ลงเวทีไปสบายซิ กิเลสตกลงไปตายกองกันอยู่ใต้เวทีแล้วยังจะไปต่อยลมต่อยแล้งเขาก็จะว่านักมวยคนนั้นเป็นบ้า เทียบกันอย่างนั้นซิ

    ถ้าพูดถึงเรื่องความเพียร โถ พิลึกๆ คือเราก็พูดให้ฟังทุกอย่างแล้วกับพี่น้องทั้งหลาย ตามนิสัยมันเป็นอย่างนั้น คือนิสัยเราผาดโผนจริงจังมาก ถ้าลงได้ตัดสินใจลงอะไรเป็นที่แน่ใจแล้วเอานะผางเลย ให้ถอยไม่มีถอย การพิจารณาถ้ายังไม่ลงใจยังไม่ลง รอ กำลังก็ยังไม่มีพอ พอลงใจแล้วนะเอาช่องนี้ลงแล้วก็ผึงเลยๆ มันเด็ด เอาจริงเอาจัง เด็ดเลย แล้วก็ชนะทุกทีนะถ้าลงได้ซัดกันทีไร ชนะหลายครั้งหลายหนมันก็ชนะเด็ดขาดได้อย่างที่ว่าวันที่ ๑๕ พฤษภา นั่นละเวลามันเด็ดจริงๆ

    ไม่ได้ถามใครเลย แม้พระพุทธเจ้าประทับอยู่ข้างหน้านี้สาธุไม่มีที่จะทูลถาม ถามอะไรกัน พระพุทธเจ้าองค์นี้กับพระพุทธเจ้าองค์นี้อันเดียวกันแล้ว ผู้นี้ก็หลุดพ้น ผู้นี้ก็หลุดพ้นเสมอกันหมดแล้วถามกันหาอะไร เวลามันยังไม่รู้พระพุทธเจ้าเป็นอย่างไรน้า ท่านเป็นองค์อย่างไร นั้นพระสรีระ เรือนร่างของพระพุทธเจ้า คือเรือนร่างของจิตที่บริสุทธิ์วิเศษแล้ว ว่าพระพุทธเจ้ารูปร่างกลางตัวเป็นอย่างนั้นๆ บทเวลาเข้าถึงธรรมแล้ว ธรรมของศาสดา ธรรมของพระพุทธเจ้า ธรรมแท้ แล้วผางทีเดียวเท่านั้นมันเป็นอันเดียวกันหมดแล้วจะไปแข่งกับอะไร

    ท่านว่า นตฺถิ เสยฺโยว ปาปิโย บรรดาพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลายเมื่อบรรลุธรรมถึงที่สุดแล้วเหมือนกันหมด ไม่ต้องถามกัน บาลีท่านก็มีรับรอง คือเหมือนกันเลย ไม่ต้องถามกัน พระพุทธเจ้ามีกี่องค์ ดูนี้แล้วมันก็เหมือนกันกับอันนี้แหละ มีกี่หมื่นกี่แสนกี่ล้านๆ มาตั้งกัปตั้งกัลป์ก็เหมือนอันนี้ด้วยกันหมด แล้วจะไปถามใคร นั่นถ้ามันรู้จริงๆ แล้วไม่ถาม พระพุทธเจ้าเป็นองค์ใดนั้นเป็นเรือนร่างต่างหาก พระพุทธเจ้าองค์นั้นรูปร่างกลางตัวเป็นอย่างนั้นๆ นี่เป็นเรือนร่างที่อยู่ที่อาศัยของจิตดวงนั้น พอจิตดวงนั้นพ้นแล้วก็เป็นเรือนร่างของธรรมธาตุ เป็นธรรมธาตุก็ได้ หรือว่านิพพานเที่ยงก็ได้ แต่ให้มันถนัดใจก็ว่าเป็นธรรมธาตุ แต่นิพพานเที่ยงแล้วจะว่าอะไร เป็นขนาดไหนนิพพานก็เที่ยง ไม่มีความหวั่นไหวผันแปรไปไหน อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เข้าไม่ถึงแล้ว จึงเรียกว่านิพพานเที่ยง ไม่แปร อยู่เหนือกฎ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา หมด

    อันที่ว่านี้ก็แบบเดียวกันธรรมธาตุเหมือนกันอีก แล้วจะมาเถียงกันที่ตรงไหน ธรรมธาตุกับนิพพานไม่เถียงกัน เอาให้มันเห็นชัดๆ ในหัวใจอันนี้ นี่พูดตรงๆ นะไม่ได้ถามใครเลย เวลาเป็นขึ้นมามันถึงขนาดที่ว่าตัวสั่นก็ได้หรือว่าอะไรก็ได้เวลามันแสดงขึ้นมา เวลาขึ้นมานี้มันมีขณะหนึ่งนะ มันเป็นข้อเปรียบเทียบกัน รูปธรรม-นามธรรม นามธรรมน่ะพ้น รูปธรรม คือภพชาติมันเหมือนกับเป็นหน่อมะพร้าวตั้งไว้ พอพรึบหน่อมะพร้าวคว่ำเลย นี่เป็นเครื่องเปรียบเทียบกัน ขึ้นในเวลาเดียวกันนะ

    พอกิเลสขาดสะบั้น กิเลสเป็นเหมือนหน่อมะพร้าว กิเลสขาดสะบั้นมันคว่ำลงไปเลย พร้อมกันทางนี้ก็ขาดจากกันไปเลย นั่น มันมีเครื่องเปรียบเทียบอยู่นะ ปั๊บๆ เลย ท่านจึงพูดว่าพระอรหันต์มีสี่ประเภท สุกขวิปัสสโก เตวิชโช ฉฬภิญโญ จตุปฏิสัมภิทัปปัตโต ไม่ได้เหมือนกัน เมื่อถึงที่สุดแล้วสิ้นกิเลสเหมือนกัน แต่กิริยาไหวตัวตอนจะสิ้นนั้นผิดกัน ต่างกันตรงนั้น ส่วนบนสุดแล้วเหมือนกันหมด

    คนทั้งโลกเขาว่า..พวกถือศาสนาถืออะไร พวกปฏิบัติธรรมเป็นพวกครึพวกล้าสมัย เป็นอย่างไรกับคำพูดอย่างนี้น่ะ เอาออกมาจากไหน ถอดออกมาจากหัวใจที่เป็นมาเล่าให้ฟัง ไม่ได้มาจากไหนนะ จากหัวใจที่เป็นขึ้นมานี่ เหอพระพุทธเจ้าตรัสรู้ ตรัสรู้อย่างนี้ละเหรอๆ มันซ้ำนะให้มันถึงใจ เวลามันผางขึ้นมาเหมือนฟ้าดินถล่มนะ แต่ฟ้าดินมันก็อยู่ของมัน มันเป็นระหว่างจิตกับกิเลสพรากจากกัน ขาดสะบั้นจากกัน มันสะเทือนหมดจนตัวโยกเลยเชียว ตัวโดดผึงเลย แรงนะ กิเลสกับจิตที่มันพันกันมากี่กัปกี่กัลป์เวลามันขาดกันนี้ผาง ตัวไหวเลยนะ

    พูดเสียใครจะว่าเป็นบ้าก็ให้ว่าเสีย มันได้เป็นอย่างนั้นมาแล้วนี่จะให้ว่าอย่างไร แทบเป็นแทบตายไม่รู้กี่ครั้งกี่หนกับประกอบความเพียร ซัดกันเสียจน โถ บางทีคิดนะอยู่ในภูเขาคนเดียวข้าวก็ไม่ได้กิน อยู่ในภูเขา อยู่ในถ้ำคนเดียว นั่งภาวนาจนก้นแตก เออ เขายังมีความสุขความสบายรื่นเริงบันเทิงบ้างนะ ไอ้เรามานั่งจมอยู่ในนรกทั้งเป็นนี่มันอย่างไรกัน มันเป็นนะในจิต กิเลสมันหลอก นั่นเขาก็จมอยู่ในนรกทั้งเป็น ไปนรกเมืองผีเขาก็จะจมอีก อันนี้นรกทั้งเป็น เอา ยอมรับจมๆ นรกเมืองผีไม่ไป ไม่จม นั่นมันแก้กัน เอาๆ ไปเถอะ ดีดผึงอีก มันแก้กัน มันเป็นอยู่ในจิต มันแก้กัน ดีดผึงๆ แก้กัน

    นั่นละบทเวลามันเป็นจริงๆ นี้ร่างกายดีดผึงนะ ใจกับกิเลสนั่นละพรากจากกัน เรียกว่าโลกธาตุไหวมันเป็นอันนี้ต่างหากนะ ไม่ได้เป็นโลกธาตุ ที่ว่าโลกธาตุคว่ำมันหวั่นไหว จิตกับกายกับกิเลสมันพันกัน เวลาขาดจากกันมันดีดใส่กัน ดีด สะดุ้งปึ๊งเลย นั่นเป็นได้ อันนี้เรายอมรับ ส่วนที่ว่าฟ้าดินถล่มท่านเอาเป็นข้อเปรียบเทียบเฉยๆ ฟ้าดินถล่มก็ดินน้ำลมไฟนี่ละกับจิตตวิมุตติมันพรากจากกัน พรากผางเลย นั่นละท่านว่าฟ้าดินถล่ม มันถล่มอยู่ในใจ กิเลสกับธรรมฟัดกันขาดสะบั้นลงไป

    ทีนี้มันก็ขึ้นละซิ เหอ พระพุทธเจ้าตรัสรู้อย่างนี้เหรอๆ ให้มันถึงใจ มันเป็นอยู่ในจิตนะ เหอ ตรัสรู้อย่างนี้ละเหรอๆ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้อย่างไร เข้ามาเป็นอันเดียวกันแล้วนะ ใครจะระลึกขนาดไหนก็ตาม ก่อนขณะนี้จะเกิดต้องปั๊บระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ด้วยกันทั้งนั้น ตัวเราเองก็เป็น ก่อนขณะนี้จะแสดงขึ้นมา พออันนี้แสดงผางขึ้นมาแล้วมันเป็นอันเดียวกัน เหอ พระพุทธเจ้าตรัสรู้อย่างนี้ละเหรอๆ ซ้ำ ธรรมแท้เป็นอย่างนี้ละเหรอ พระสงฆ์แท้เป็นอย่างนี้ละเหรอ เป็นอันเดียวกันหมด เป็นอย่างนี้ละเหรอ เวลาขึ้นไม่ถามใคร อันนี้มันเป็นอันเดียวกันแล้ว แต่ก่อนเราคิดไว้ว่าพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เป็นกิ่งก้านสาขาของต้นนี้แหละ แต่เวลามันรวมปุ๊บเข้ามาแล้วเป็นต้นเดียวกัน อย่างนี้ละเหรอ กิ่งก็กิ่ง ต้นไม้ต้นนี้ละเหรอ ใบนี้ละเหรอ ลงมาจนกระทั่งถึงลำต้น ลำต้นไม้อย่างนี้ละเหรอ รากแก้วรากฝอยของไม้ต้นนี้ทั้งนั้นละ ละเหรอๆ ไปหมด มันอยู่ด้วยกัน

    ฟังเสียนะวันนี้ ใครได้ฟังพระพุทธเจ้าบำเพ็ญสอนธรรมเหล่านี้ สวากขาตธรรมแปลว่าอะไร แปลว่าตรัสไว้ชอบแล้ว พวกเรามันไม่ชอบ มันเถลไถล แม้แต่ฟังเทศน์อย่างนี้มันหลับทั้งฟังนี้ก็มี ไปหาเคาะมันเสียหน่อยน่ะ หัวไหนมันง่วงฟาดเลย มันเป็นอย่างไร มันไม่ยอมฟังเสียง ฟังแต่เสียงมันกล่อมกันกับหมอนน่ะ สัปหงก วันนี้สายกว่าทุกวัน วันนี้ธรรมะกับกิเลสออกฟัดกันบนเวทีให้พี่น้องทั้งหลายได้ฟังกันทั่วถึงวันนี้นะ ธรรมะก็ออก กิเลสก็ออก ซัดกันบนเวทีพึ่งจบลงเดี๋ยวนี้ เจ้าของจะตายไปละ ให้พร

    Luangta.Com -

    ที่มา แสดงกระทู้ - บรรลุธรรมถึงที่สุดแล้วเหมือนกันหมด หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโณ • ลานธรรมจักร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 18 มิถุนายน 2013
  2. อวิชานาคา

    อวิชานาคา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    268
    ค่าพลัง:
    +345
    หลวงตาพบทางอันประเสริฐแล้ว อนุโมทนาสาธุ สุคโต เป็นผู้ไปแล้วด้วยดี
     
  3. อริยะ ชน

    อริยะ ชน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    891
    ค่าพลัง:
    +1,042
    กราบนมัสการพ่อแม่ครูอาจารย์
    สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทนากับเจ้าของกระทู้ครับ
     
  4. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    อาราธนาพระเดชพระคุณท่านขอรับ
    สุดท้ายสมมุติมารวมกันทั้งหมดเพื่อวิมุติใช่หรือไม่
    วิมุติรู้
    สมมุติรู้หรือไม่

    รู้แล้วอธิบายได้หรือไม่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มิถุนายน 2013

แชร์หน้านี้

Loading...