บางครั้งคนเราก็เกลียดกุศโลบาย แม้คนที่ออกอุบายจะมีเจตนาที่ดีก็ตาม

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย zalievan, 28 มิถุนายน 2018.

  1. zalievan

    zalievan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    3,264
    ค่าพลัง:
    +5,219
    ก่อนอื่น ขอชี้แจงก่อนนะครับว่าผมเองก็ไม่ได้คิดว่าความคิดของตัวเองถูกต้องสักเท่าไร แค่เป็นการแสดงความคิดเห็นของผม เพื่อต้องการที่จะขยายมุมมองของท่านผู้อ่านทุกท่านเท่านั้น


    บางครั้งคนเราก็เกลียดกุศโลบาย แม้คนที่ออกอุบายจะมีเจตนาที่ดีก็ตาม

    เพราะอะไรน่ะหรือ
    เพราะบางครั้งคนเราก็ไม่ชอบความรู้สึกที่ว่าตัวเองโง่ และความรู้สึกว่าโดนหลอกไงล่ะครับ

    เป็นทิฐิมานะของคนบางประเภท ที่พยายามทำตัวเองให้ห่างไกลจากคำว่าโง่อยู่ตลอดเวลา หรือประเภทเกลียดแรงกดดัน เกลียดความรู้สึกว่าไร้ค่า รู้สึกว่ากูทำผิดอีกแล้ว รู้สึกว่ากูโดนหลอก กูโง่อีกแล้ว แบบผมเป็นต้น

    บางครั้งการโดนหลอกให้ไปทำความดี จึงเป็นสิ่งที่พวกเขาเกลียด เพราะว่าแม้ว่าจะเป็นการทำความดีหรือพาไปหาความรู้หรือพาไปทำประโยชน์อื่น ๆ ก็คือการโดนหลอก และเขาจะรู้สึกว่าเสียใจมากกว่าได้รับสิ่งที่ทำให้เขามีความสุข แต่ถ้าพวกเขามีคุณธรรมสูงพอ พวกเขาก็จะยอมลดทิฐิมานะที่เกิดขึ้นในขณะนั้นได้เช่นกัน เขาจะคิดแบบกลับกันง่าย ๆ ว่า ถึงจะโดนหลอก กูก็ได้ทำความดี (คนประเภทนี้เรียกได้ว่ามีวาสนาที่ดีต่อสิ่งที่เป็นประโยชน์หรือความดี)

    ซึ่ง ถ้าจะถามว่าผมเป็นคนแบบไหนน่ะเหรอ
    ผมเป็นคนประเภท ถึงจะพาไปทำความดีแต่เกลียดที่โดนหลอกครับ
    เรียกได้ว่าเป็นคนชั้นเลวอยู่นั่นเอง แต่ก็รู้ตัวแหละ ว่าผมเป็นคนใฝ่ดี บางคนเขาอาจโชคร้ายกว่าผมเพราะเขาอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นคนยังไง

    แต่ที่ผมตั้งหัวข้อนี้ขึ้นมา ก็มีเจตนาที่อยากให้คุณทำความเข้าใจคนในครอบครัวอย่างในกระทู้ พ่อลูกกับการตกปลาแหละครับ เพราะบางครั้งการแต่สักว่าพาเขาไปทำในสิ่งที่มีประโยชน์ พาไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี อาจไม่ได้ช่วยให้เขาดีขึ้นเลย ซ้ำร้ายบางครั้งอาจทำให้เขารู้สึกแย่กว่าเดิม

    การที่จะทำให้คนคนหนึ่ง เป็นคนที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ บางครั้งอาจจะต้อง พึ่งสิ่งที่ทำได้ยากสำหรับคนทั่วไปสักหน่อย นั่นคือ การให้ความรักและความเข้าใจ การรู้ว่าคนคนหนึ่ง มีปัญหาอะไร และจะต้องช่วยเขาแก้ปัญหาโดยที่ไม่เป็นการกระทบกระเทือนไปถึงจิตใจเขามากเกินไป บางครั้งก็จำเป็นมากกว่าที่คิดนะครับ

    เพราะ สภาพจิตใจของคนเป็นเรื่องซับซ้อนละเอียดอ่อน จึงยากที่จะมีใครเข้าใจ บางคนก็ไม่เข้าใจแม้กระทั่งตนเอง คนเราจึงเลือกที่จะทำตาม ประเพณีปฏิบัติ ซึ่งมันง่ายต่อการปฏิบัติมากกว่า ทำให้คนเรา มองข้ามการทำความเข้าใจกันและกันไป ซึ่ง บางครั้ง เราคิดว่าการที่เราทำตามประเพณีเป็นเรื่องที่ถูก แต่คนรอบข้างไม่ชอบ มันก็เกิดปัญหาขึ้นได้ก็มี (การทำตามประเพณี เป็นเรื่องดีสำหรับคนที่ทำตามประเพณีอย่างเข้าใจสืบต่อ ๆ กันมาอยู่แล้ว แต่คนที่ไม่เข้าใจประเพณีนั้นเขาก็ไม่ชอบหรอก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การทำตามประเพณีปฏิบัติโดยการขาดการถ่ายทอดความเข้าใจที่ถูกต้องในประเพณีสืบ ๆ ต่อกันมา การทำตามประเพณีก็อาจจะกลายเป็นเหมือนกรงขังสำหรับคนบางจำพวกได้เช่นกัน ผมไม่ได้ว่าประเพณีผิดนะครับ แต่ การไม่เข้าใจประเพณีอย่างถ่องแท้ของคนรุ่นหนึ่ง และถ่ายทอดไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง โดยสอนว่าเป็นเพียงข้อปฎิบัติ โดยไม่สอนให้เข้าใจว่า เรารักษาพระเพณีข้อนี้ ๆ ๆ เพราะมีจุดปะสงค์อะไร คนทำตามยอมรับหรือเปล่า เข้าใจดีหรือเปล่า เต็มใจอยุ่ในข้อปฏิบัตินี้หรือเปล่า จะทำให้การรักษาประเพณีนั้นล่มลงแน่นอน ไม่วันใดก็วันหนึ่ง)

    ไม่ต้องดูที่ไหน ดูสังคมไทยในเมืองที่เป็นสังคมของสลัม สังคมของเด็กวัยรุ่นนี่แหละเป็นตัวอย่าง ตอนนี้เขาเลือกใช้ชีวิตกันตามใจมากกว่าตามประเพณีปฏิบัติกันแล้ว

    ดังนั้น ผมว่า การทำความเข้าใจกันและกันในครอบครัวให้ได้นี่แหละ เป็นสากลที่สุดแล้ว และถ้าครอบครัวเข้าใจกัน และ คนในครอบครัวเข้าใจหลักปฏิบัติที่อยู่ในกรอบศีลธรรมอันดีได้ตรง และสามารรถอยุ่ในกรอบศีลธรรมได้อย่างมีความสุข ขนบธรรมเนียมประเพณีปฏิบัติที่ดีงาม รู้จักสอนให้คนรุ่นต่อ ๆ ไปเข้าใจหลักปฏิบัติที่ดีงามต่าง ๆ ประเพณีที่ดีงามก็จะอยู่ได้แน่นอน เพียงแต่ ตอนนี้ ความเข้าใจที่ถูกต้องในประเพณีปฏิบัติที่ดีงามนั้น บ้างก็ถูกถ่ายทอดมาไม่ตรง บ้างก็ถูกลบล้างด้วยความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ทำให้ความสงบร่มเย็นของวัฒนธรรมเก่าต่าง ๆ ค่อย ๆ เลือนหายไป พร้อมกับการเสื่อมหายไปของข้อปฏิบัติที่สืบทอดกันมาของคนรุ่นเก่าก่อน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กรกฎาคม 2018
  2. zalievan

    zalievan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    3,264
    ค่าพลัง:
    +5,219
    บางคนพยายามทำให้ทิฐิคนอื่นลดลงแต่ผลที่ได้อาจทำให้ทิฐิของอีกฝ่ายสูงขึ้นก็ได้

    โดยเฉพาะคนที่ มีความทุกข์ใจกับเรื่องที่เขาได้รับแรงกดดันมาตลอด หรือพยายามผลักดันตัวเองมาตลอด การไปข่มสิ่งที่เขากำลังพยายามพิสูจน์ตนเอง อาจะทำให้ทิฐิในเรื่องนั้นพุ่งสูงขึ้นกว่าเดิม
    และบางคนยิ่งมีความสำเร็จทิฐิก็ยิ่งสูงขึ้น

    คนเราพบเจอปัญหามาต่างกัน จึงมีทิฐิอยู่ในตัวมากน้อยต่างกัน
    ผมคนนึงแหละ ที่ยอมรับว่าตนเองทิฐิสูงอยู่


    อยู่โรงเรียนโดนเพื่อนแกล้งเพราะว่าโง่
    อยู่ที่บ้านก็โดนตอกย้ำว่าโง่

    ทำให้พยายามผลักดันตัวเองให้ห่างจากความโง่ตลอดเวลา
    จนมีความรู้จักการคิดวิเคราะห์มากขึ้น
    จนมีคนคิดว่าเรานั้นฉลาดจริง ๆ

    แต่เมื่อเข้าใจว่าอะไรคือปัญญาที่แท้จริง การที่เราคิดว่าตัวเองฉลาดแล้วนั้นเป็นเรื่องเหมือนโกหกตัวเองไปเลย เพราะเมื่อเราเข้าใจว่าอะไรคือปัญญาที่แท้จริงนั้นทำให้เราได้รู้ว่าเราแค่มีทักษาการคิดวิเคราะห์เหนือกว่าคนอื่นเล็กน้อยเท่านั้น แท้จริงเราไม่ได้มีปัญญามากกว่าคนที่ยกย่องเราเลย

    เมื่อเป็นงี้ก็ต้องดิ้นรนหนีความโง่กันต่อ
    และทิฐินี้คงละไม่ได้ง่าย ๆ แน่ ๆ
    เพราะดันปรารถณาว่า จะต้องเป็นพระพุทธเจ้า สายปัญญาธิกะให้ได้ซะด้วย

    เส้นทางแห่งปัญญายังมีอีกยาววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววว

    พิจารณาตัวเองแล้ว ก็เกิดความคิด ๆ หนึ่ง ว่า บางทีคนเราก็แปลก บอกตัวเองได้ว่าเราโง่ แต่ยอมให้คนอื่นว่าเราไม่ได้ว่าเราโง่ หรือถ้าจะยอมให้คนอื่นเรียกว่าโง่ได้ ก็ยอมแค่คนที่เราเคารพรักเท่านั้นแหละ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มิถุนายน 2018
  3. zalievan

    zalievan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    3,264
    ค่าพลัง:
    +5,219
    วันใดที่ท่านทำสำเร็จ วันนั้นท่านจะได้ความรัก มิตรภาพ มิตรแท้ ความภักดีจริงใจเป็นรางวัลตอบแทนค่ะ

    555 สิ่งที่คุณจิตยิ้มพูดไม่ได้แทงใจดำผมนะ แต่สิ่งที่คุณจิตยิ้มพูดมานี่แหละเป็นสิ่งที่ผมขาดเลย

    สาเหตุก็พอรู้ว่ามันเกิดจากความไม่รู้ของเราส่วนหนึ่ง ความไม่รู้ของคนที่แวดล้อมเราส่วนหนึ่ง

    ตอนนี้แม้เราจะจริงใจกับเขาเท่าไรก็ไม่มีใครชอบ
    มีแต่คนเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์เพราะคิดว่าเราโง่ทั้งนั้น
    คิดว่าเราโง่ แรงเกิน แปลก แต่สุดท้ายเราก็กลายมาเป็นคนแปลกจริง ๆ เพราะการอยู่ในสภาวะที่เป็นทุกข์นาน ๆ ทำให้เราเลือกถอยออกมาจากสังคมเอง และเลือกที่จะเป็นคนเฝ้ามอง ว่าคนที่อยู่ในสังคมเป็นยังไงกัน ทำยังไงกัน ทำความเข้าใจคนเหล่านั้นและตัวเองอยู่ห่าง ๆ

    ถ้าไม่ยอมเข้าเมืองตาหลิ่วแล้วหลิ่วตาตาม คือ กลับไปทำตามอย่างที่สังคมเขาทำ ๆ ันอยู่ คือ อยู่แบบโลกเป็นไงก็เป็นงั้นไปเถอะ ก็คงต้องอยู่สะสมปัญญาบารมีและหาทางกระเทาะทิฐิบางอย่างของตัวเองออกไปเยอะอยู่ครับ กว่าจะอยู่แบบนักธรรมได้น่ะนะ

    และพลังงานที่รออยู่อีกมิติหนึ่ง ผมว่าด้วยความไม่รู้ของผม ผมอาจหนักไปทางสร้างพลังงานลบเสียมากกว่ากระมัง 555
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มิถุนายน 2018
  4. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    เหมือนส่องกระจกเลยค่ะ. ^^ ภาพสะท้อนอยู่ทุกหนทุกแห่งที่มี รอย ก.ไก่จริงๆ^^ อนุโมทนาค่ะ _20180628_202131.JPG โมทนาค่ะ
     
  5. อะไรกะด้าย

    อะไรกะด้าย สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2018
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +5
    มันไม่ใช่ว่าคุณคิดว่ามันดีสำหรับตัวคุณ แล้วมันจะดีสำหรับคนอื่นนี่
    กุศโลบายมันต้องดูความเหมาะสมด้วยคุณ ไม่ใช่แค่อยากได้ใครเป็นมิตรในเรื่องใดก็ลากเค้าเข้าไปโดยไม่คิดถาม
    บางกรณีมันไม่เรียกกุศโลบายหรอก มันเรียกสำคัญตนผิดและเสือกเรื่องชาวบ้าน
    แต่แค่บางกรณีนะ
     
  6. อะไรกะด้าย

    อะไรกะด้าย สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2018
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +5
    บางกรณีมันไม่เรียกกุศโลบายหรอก มันเรียกสำคัญตนผิดและเสือกเรื่องชาวบ้าน
     
  7. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,293
    ค่าพลัง:
    +12,622
    เรื่องการปฏิบัติตัวให้รองรับหรือดูดซับพลังงานบวกจากภายนอกรอบๆตัว เป็น
    สิ่งที่น่าฝึกไปพร้อมๆ กับการฝึก
    จิตภาวนาฮับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...