บำเพ็ญกุศลให้บรรลุผล พระธรรมเจติยาจารย์ (วิริยังค์ สิรินฺธโร)

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย jinny95, 8 ตุลาคม 2010.

  1. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    บำเพ็ญกุศลให้บรรลุผล


    [FONT=&quot] พระธรรมเจติยาจารย์ (วิริยังค์ สิรินฺธโร)[/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]

    [FONT=&quot]วัดธรรมมงคล เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร[/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]ต่อไปนี้ ขอให้ ญาติโยมทั้งหลาย พากันตั้งใจ ที่จะทำสมาธิกันต่อไป ในเบื้องต้นนี้ ให้ว่าตามอาตมาทุกๆ คน[/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]ข้าพเจ้า ระลึกถึง คุณพระพุทธเจ้า คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ คุณบิดามารดา คุณครูบาอาจารย์ จงมาดลบันดาล ให้ใจของข้าพเจ้า จงรวมลงเป็นสมาธิ พุทโธ ธัมโม สังโฆ [FONT=&quot](3ครั้ง) พุทโธ พุทโธ พุทโธ[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]นี้ก็ให้นึกไว้ในใจ นั่งขัดสมาธิ ขาเบื้องขวาทับขาเบื้องซ้าย มือเบื้องขวาหงาย ทับมือเบื้องซ้าย วางไว้บนตัก หลับตา นึกพุทโธในใจ กำหนดใจ ไว้ที่ใจ ใจของเรานั้น อยู่ที่รู้ รู้อยู่ที่ตรงไหน ใจของเราก็อยู่ที่ตรงนั้น ถ้าเรากำหนดไว้ซึ่งหน้า ก็ได้ กำหนดไว้ที่หัวอกเบื้องซ้ายก็ได้ กำหนดไว้แล้ว ก็ตั้งความรู้ไว้ที่นั่น นึกพุทโธอยู่ที่นั่น จิตนั้น ก็จะไม่ส่ายแส่ไปทางอื่น จิตก็จะตั้งเที่ยง ตั้งมั่น เมื่อจิตตั้งได้แล้ว มีความเบากายเบาใจ เกิดความรู้สึก ความเย็นใจ ก็ไม่ต้องบริกรรมพุทโธ กำหนดแต่ใจอย่างเดียว[/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]การที่เราทำสมาธินั้น เพื่อให้เกิด พลังจิต ความสงบของจิต ถือว่า เป็นส่วนที่ให้เกิดพลังจิต พลังจิตนั้น คือกระแสจิต กระแสจิตนั้น ก็คือกระแสธรรม การฝึกฝนจิตใจย่อมได้รับประโยชน์มหาศาล ใจของคนเรานั้น เป็นสิ่งปกติ เรียกว่า ตัวผู้ไม่ตาย หรือเรียกว่าเป็นตัวเรา ส่วนร่างกายอันนี้ เป็นเพียงธาตุทั้งสี่ ดิน น้ำ ไฟ ลม มีเกิดขึ้นแล้วก็มีดับไป ร่างกายเกิดขึ้นแต่ต้น เด็ก ต่อไปก็หนุ่มสาว ต่อไปก็เฒ่าแก่ ต่อไปก็ตายแล้ว ทุกคน ก็ต้องเดินเข้าไปหา [FONT=&quot] ที่สุด ก็คือ ความตาย ด้วยกันทั้งนั้น แต่ว่าใจนั่นเองที่ไม่ตาย เมื่อใจไม่ตาย ความดี และความชั่ว หรือเรียกว่าบุญ หรือบาป ก็จะต้องตกเป็นภาระของใจ ที่จะเป็นผู้ได้รับ การที่จะไปเกิดต่อไปนั้น ก็อาศัยใจ ใจนี้จะเป็นผู้ไปเกิด ในที่ต่างๆ[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]ใจนี้อาจสามารถที่จะไปเกิดได้ทุกหนแห่ง อาจจะไปเกิดในนรก อาจจะไปเกิดเป็นเปรต อาจจะไปเกิดเป็นอสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน หรือจะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ จะไปเกิดเป็นเทวบุตร เทวดา ใจจะไปเกิดได้ทั้งนั้น การที่จะไปเกิดในที่นั้นๆ อาศัยกรรม เป็นผู้นำให้ เป็นไป กรรมนั้นได้แก่การกระทำ เมื่อบุคคลสร้างบุญกุศล สร้างความดี มีจิตเป็นเมตตาต่างๆ เหล่านี้แล้ว อันนี้ก็เป็นทางไปสู่สวรรค์ ผู้ที่ มีใจร้าย มีการที่ ทำบุคคลผู้อื่นให้เกิดความเดือดร้อน ทั้งโกง ทั้งพยายามฆ่า หรือพยายามทำร้ายต่างๆ เหล่านี้ เรียกว่าพวกบาป อันนี้ก็ถือว่าเป็นกรรมที่ไม่ดี ที่จะต้อง ทำให้จิตนี้จะต้องไปเกิดในนรกเป็นต้น ส่วนผู้ที่ ได้มาทำสมาธิ ทำจิตใจนั้น อย่างต่ำที่สุด ก็ต้องไปเกิด เป็นพรหม เรียกว่าพรหมชั้นต่ำ พรหมชั้นต่ำ ไปจนกระทั่ง ถึงพรหมชั้นสูง[/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]พรหมนั้น คือ สถานที่สูงกว่าสวรรค์ สวรรค์ยังชั้นต่ำ พอถึงขั้นพรหม ก็เรียกว่าชั้นสูง การไปเกิดเป็นพรหมได้ ก็ต่อเมื่อ บุคคลผู้นั้น ได้สร้างสมาธิให้แก่ตน ไปเกิดเป็นพรหมนั้น มีพรหมตั้งแต่ชั้นที่หนึ่ง ถึงชั้นที่ [FONT=&quot] 16 สุดแล้วแต่ว่า จิตนั้นจะมีความละเอียดแค่ไหน[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]จิตที่เป็นพรหมนั้น คือจิตที่เป็นฌาน ฌานที่จะเกิดขึ้นแก่การทำจิตนั้น ก็มีปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุถฌาน อากาสา นัญจายตนฌาน อากิญจัญญายตนฌาน วิญญานัญจายตนฌาน เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน เรียกว่า รูปฌาน [FONT=&quot]4 อรูปฌาน 4 หรือเรียกว่า สมาบัติ 8[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]รูปฌาน ในเบื้องต้น คือปฐมฌานนั้น มีองค์ [FONT=&quot] 5 คือ วิตก วิจารณ์ ปีติ สุข เอกัคคตา วิตก วิจารณ์ นั้น คือการนึกพุทโธ เสร็จแล้ว จิตก็จะเป็นหนึ่ง เมื่อจิตเป็นหนึ่งแล้ว ก็เกิด ปีติ เมื่อเกิดปีติแล้วก็เกิดความสุข อันนี้ เป็นองค์แห่งปฐมฌาน การที่ เป็นเช่นนี้ได้ ก็ต่อเมื่อ เค้าได้บริกรรมพุทโธ จนกระทั่งจิตเป็นหนึ่งได้ เกิดความสุขได้ เกิดความเบาได้ แต่ปฐมฌานนั้น เรียกว่าฌานชั้นต้น เรียกว่าฌานอ่อนมาก เพราะฉะนั้น จึงมีการหวั่นไหว มีเสียงมากระทบ หรือมีอะไรมากระทบ จิตนั้นก็ เกิดอารมณ์ อย่างนี้ เมื่อบุคคลผู้ที่ ได้บำเพ็ญปฐมฌาน ตามสมควรแล้ว คือหมายความว่า เป็นปฐมฌาน นับ 1 นับ 2 นับ 4 นับ 8 นับ 100 ครั้ง แล้วจิตนั้น ของเค้าก็จะเขยิบขึ้น ไปสู่ทุติยฌาน[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]ทุติยฌานนั้น มีองค์ [FONT=&quot]3 คือ ยก วิตก วิจารณ์ ออกไปเสีย เหลือแต่ ปีติ สุข เอกัคคตา ผู้ที่บำเพ็ญถึงทุติยฌานนั้น คือผู้ที่ไม่ต้องบริกรรมใดๆ ทั้งสิ้น คำบริกรรม ไม่ว่าจะเป็นคำบริกรรมใดๆ คำบริกรรมนั้น ถือว่าเป็นปฐมฌาน หรือถือว่าเป็น สมาธิชั้นต่ำสุด เรียกว่าปฐมฌานนั้น เพราะฉะนั้น จิตของผู้ที่หยั่งเข้าไปสู่ทุติยฌาน จึงไม่มีคำบริกรรมใดๆ เพียงแต่กำหนดเอกัคคตาไว้อย่างเดียวเท่านั้น ปีติ ก็มีแล้ว สุข ก็มีแล้ว ปีติ ได้แก่ ความเอิบอิ่ม สุขได้แก่ ความสบาย ที่เกิดขึ้นจากองค์แห่งฌาน เมื่อบุคคลที่ได้สร้าง ทุติยฌานเกิดขึ้น โดยที่ทำจิตให้สงบ ไม่ต้องใช้คำบริกรรมใดๆ แล้ว เป็นครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2 ที่ 4 ที่ 100 เป็นต้น จิตของเค้าก็จะเกิดความชำนาญขึ้น จิตนั้นก็จะยกจาก ทุติยฌาน ไปสู่ ตติยฌาน[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]ตติยฌานนั้น ก็มีองค์ [FONT=&quot]2 ลดลงไปอีก องค์ 2 นั้น เหลือแต่ สุข กับ เอกัคคตา ปีติก็ไม่มีแล้ว เมื่อมาถึง ตติยฌานนั้น จิตนั้นก็จะสงบอยู่ได้เป็นเวลานาน จะเป็นเวลา ชั่วโมง หรือจะมากกว่านั้น ก็ได้ ตติยฌาน มีแต่ความสุข แล้วก็มี ความเป็นหนึ่งของจิต เรียกว่า ตติยฌานนั้น เมื่อตติยฌานได้รับผล และทำให้เกิดขึ้น แก่ตนของตนมากขึ้น 1 ครั้ง ก็ดี 2 ครั้ง ก็ดี 100 ครั้ง 1000 ครั้ง ก็ดี ที่เกิดขึ้นนั้น จิตนั้นก็จะยกระดับจาก ตติยฌาน เป็น จตุถฌาน หมายถึงชั้นที่ 4 [/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]จตุถฌานนั้น จะไม่มีความสุข มีแต่ความวางเฉย กับความเป็นหนึ่ง เมื่อมาถึงขั้นจตุถฌานนี้ ท่านกล่าวว่า เป็นที่ที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ต่อผู้ปฏิบัติ เมื่อผู้ปฏิบัติต้องการที่จะพ้นจากทุกข์ ผู้ทำถึงจตุถฌาน ก็ดำเนินจิตเข้าสู่วิปัสสนาไปได้เลย โดยที่ไม่ต้องไปกังวลสิ่งอื่นใด สามารถที่จะดำเนินวิปัสสนาต่อไปได้[/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]จตุถฌานนั้น คือ อุเบกขา และ เอกัคคตา ถ้าจะเปรียบเทียบ ก็หมายถึงว่า ผู้ที่เป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี มีเงินนับไม่ถ้วน ร้อยล้านก็นับว่ามาก พันล้านก็นับว่ามาก หมื่นล้านก็นับว่ามาก แสนล้านก็นับว่ามาก แต่เศรษฐีนั้น เค้ามีมากกว่านั้น ข้อนี้ท่านเปรียบเหมือนกับจตุถฌานที่สามารถสะสมพลังจิตไว้ได้มากแล้ว เหมือนกับผู้ที่เป็นเศรษฐีมีเงิน ต้องการอยากได้บ้านสักหลังหนึ่ง เนรมิตชั่วพริบตา เอาเงินไปซื้อก็ได้แล้ว ต้องการอยากได้ที่ดิน ก็เอาเงินไปซื้อ เนรมิตมา ก็ได้แล้ว ต้องการอยากได้ อาหาร สิ่งใด เอาเงินไปเนรมิตมา ก็ได้แล้ว หรือต้องการ อยากได้ยวดยานพาหนะ รถราต่างๆ เอาเงินไปซื้อ ประเดี๋ยวเดียวก็เนรมิตออกมาได้แล้ว[/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]นั่นหมายความว่าเป็นเศรษฐี ท่านเปรียบเหมือนกับ ผู้ที่ได้ถึงจตุถฌาน เป็นเศรษฐีในทางใจ มีพลังจิตที่สูงแล้ว สามารถที่จะดำเนินเข้าสู่อริยสัจจ์ หรือสามารถที่จะดำเนินเข้าสู่สัจจธรรม ที่เรียกว่าเป็นหนทางกลาง หรือเรียกว่าเป็นหนทางที่จะกำจัดกิเลสนั้น[/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]ส่วนพวกฤๅษีต่างๆ ที่เค้ายังไม่รู้จักหนทาง เค้าก็จะพยายามทำจิตจากรูปฌานนี้ ให้เป็นอรูปฌาน คือ อากาสานัญจายตนะ แปลว่า ไม่มีสิ่งอื่นใด นอกจากอากาศว่างเปล่า เรียกว่ามีความว่าง ไม่มีอะไรมาเจือปน อารมณ์สิ่งอื่นใดก็ไม่เจือปน อยู่ในความว่างเช่นนั้น เรียกว่า อรูปฌานชั้นที่ [FONT=&quot] 1 คือ อากาสานัญจายตนฌาน และ อรูปฌานชั้นที่ 2 คือวิญญานัญจายตนฌาน ได้แก่ความรู้ มีความรู้ กำหนดความรู้ มีความรู้อยู่ สิ่งอื่นใดนั้น ก็ไม่ปรากฏ หมายความว่ากำจัดอารมณ์ สัญญา ไปหมดแล้วทั้งสิ้น เหลือแต่ความรู้อันเดียวเท่านั้น นั้น เรียกว่าเป็น วิญญานัญจายตนฌาน เป็นอรูปฌานที่ 2 อากิญจัญยายตนฌาน อรูปฌานที่ 3 นั้น ความรู้ไม่มี นิดนึงก็ไม่มี มีแต่ความซึ้ง คือความซึ้งอันนั้นน่ะ มันเป็นความลึกซึ้ง อยู่ในสถานที่ เรียกว่ามีความลึกซึ้ง ไม่มีอะไรที่จะเข้ามาเจือปนอารมณ์ แม้แต่นิดเดียว อย่างนี้เรียกว่า อากิญจัญยายตนฌาน เมื่อผู้ที่บำเพ็ญอากิญจัญยายตนฌานมากขึ้นตามลำดับแล้ว จิตนี้ก็จะขึ้นสู่ เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน คือจะขึ้นสู่อรูปฌานชั้นสุดท้าย คือสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่ใช่สัญญาก็ไม่ใช่ คือหมายความว่า ไม่มีอะไรเลย มีแต่จิตดวงเดียวเท่านั้น อันนี้ เรียกว่าอรูปฌานชั้นสุดท้าย [/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]เมื่อผู้ที่เค้าทำได้เช่นนี้ ก็เรียกว่าได้ฌานสมาบัติ หรือเรียกว่าสมาบัติ [FONT=&quot]8 ผู้ที่ทำเช่นนี้ได้นั้น จะนั่งไม่ต้องทานอาหารเลยได้ตลอด 7 วัน ไม่ต้องลุก เรียกว่าเป็นผู้ที่กำหนดจิตนั้น ให้อยู่นานเท่าไหร่ก็นานได้ อย่างนี้เรียกว่าอรูปฌาน อรูปฌานนี้ ยังไม่สามารถกำจัดกิเลสได้ ต้องมาเกิดอีก เพราะอะไร เพราะว่าผู้ที่สำเร็จฌานนั้น เพียงแต่ข่มกิเลสไว้ ยังไม่สามารถกำจัดกิเลสออกไปได้ เพียงข่มไว้เท่านั้น เมื่อข่มไว้ ก็ข่มไว้ได้นาน ท่านเหล่านี้ ท่านจะไปเกิดในชั้นพรหมกันทั้งสิ้น ในระยะเวลาอันยาวนานเหลือเกิน กว่าแต่ที่จะกลับมาเกิดได้อีก คือเป็นมนุษย์อีก ก็ต้องเป็นเวลานาน ขึ้นไปเสวย ความสุข อยู่ที่ชั้น อรูปพรหม ในทางนี้ พระพุทธศาสนากล่าวว่า เป็นโลกียฌาน[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]โลกียฌาน เรียกว่า รูปฌาน [FONT=&quot]4 อรูปฌาน 4 รวมกันเรียกว่า สมาบัติ 8 อันนี้ เรียกว่าเป็นโลกีย์ ยังไม่สามารถที่จะเรียกได้ว่าเป็นโลกุตระ โลกุตระนั้น ก็แยกออก ตอนที่ดำเนินจิต ไปถึงรูปฌานชั้นสุดท้าย คือจตุถฌาน เมื่อไปถึงขึ้นนั้นแล้ว จิตนี้ก็จะมีพลัง คือมีกำลังอย่างยิ่ง หลับตาไปก็เหมือนลืมตา มีสิ่ง เรียกว่า ดวงตาทิพย์ สามารถที่จะมองลอดทะลุปรุโปร่งไปได้ อย่างนี้เป็นต้น แทนที่จะไปมองไปในทางอื่น หรือเรียกว่ามองไปในทางผิด ในพระพุทธศาสนาก็แนะนำให้ ดำเนินวิปัสสนา คือดำเนินวิปัสสนาให้เห็นจริงแจ้งประจักษ์ในเรื่องของวิปัสสนา[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]การดำเนินจิตมาถึงการแจ้งประจักษ์ของวิปัสสนานั้น ก็จำเป็นที่จะต้องยกตัวอย่าง ให้ท่านทั้งหลายได้ทราบว่า วิธีการดำเนินวิปัสสนานั้น ทำกันมาอย่างไร ยกตัวอย่างที่พระพุทธเจ้า ได้ทรงแสดง อนัตตลักขณสูตร ให้แก่ท่านปัญจวัคคีย์ทั้ง [FONT=&quot]5 ได้สดับ ที่พระองค์แสดงถึง อนัตตลักขณสูตรนั้น คือการแสดงถึง อุบายวิธีของวิปัสสนา หมายถึงว่าธรรมะขั้นสูงของ พระพุทธศาสนา เริ่มด้วยที่พระองค์ได้ทรงแสดงว่า รูปัง ภิกขเว อนัตตา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย รูปไม่ใช่ตน ทรงแสดงไปอย่างนี้ อันนี้เรียกว่าเริ่มด้วยวิปัสสนา คำที่ว่าไม่ใช่ตนนั้น เพราะมันไม่ได้อยู่ในอำนาจของเรา เราบอกมันอย่าแก่ มันก็จะแก่ บอกมันอย่าตาย มันก็จะต้องตาย คือมันไม่ได้อยู่ในอำนาจของเรา จึงเรียกว่า การดำเนินวิปัสสนาในขั้นแรก พิจารณาให้เห็นตามความเป็นจริง[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]เมื่อพระองค์ให้พิจารณาเช่นนั้นแล้ว พระองค์ก็ทรงแสดงในขั้นต่อไปว่า [FONT=&quot]…(ภาษาบาลี)… พระพุทธเจ้าได้ถามท่านปัญจวัคคีย์ว่า รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง ท่านปัญจวัคคีย์ตอบว่าไม่เที่ยงพระเจ้าข้า เมื่อมันไม่เที่ยงแล้ว ควรหรือที่จะมายึดถือเอาว่าเป็นตัวตน[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]ในข้อที่ [FONT=&quot]3 ต่อไป พระองค์ก็ทรงแสดงว่า …(ภาษาบาลี)… เพราะเหตุนั้น ภิกษุทั้งหลาย รูปัง อตีตัง อนาคตัง ปัจจุปันนัง รูปในอดีต รูปในอนาคต รูปในปัจจุบัน สัพพังรูปัง รูปทั้งปวง …(ภาษาบาลี)… มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา และไม่ใช่ตัวตนเรา …(ภาษาบาลี)… ให้พิจารณาตามความเป็นจริงด้วยปัญญาอันชอบ [/FONT][/FONT]


    [FONT=&quot]พระองค์ได้ทรงตรัสว่าให้พิจารณาตามความเป็นจริงด้วยปัญญาอันชอบ ปัญญาในที่นี้หมายถึงกระแสจิต ไม่ได้หมายถึงอะไร ไม่ได้หมายถึงการท่องบ่น ไม่ได้หมายถึงชวนะ หรือไม่ได้หมายถึงสิ่งที่คนเค้าฉลาดอย่างโน้นอย่างนี้ แต่ว่า หมายถึง การที่ ได้พิจารณาเห็น มีพลังจิต เป็นกระแสจิต หมายถึงกระแสจิต หรือหมายถึงดวงตาญาณ หรือเรียกว่าดวงตาทิพย์ เมื่อหลับตาพิจารณาแล้ว ก็เห็น เห็นรูป ที่พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงว่า ภิกษุทั้งหลาย รูปัง อตีตัง อนาคตัง ปัจจุปันนัง[/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]รูปัง อตีตัง ก็ในอดีต เราจากนี้ไป [FONT=&quot]50, 40, 30, 20, 10, 9, 8, 7, 6, 5, 4, 3, 2, 1 อยู่ในท้องของมารดา นี้เรียกว่า กายในอดีต กายในอนาคตนั้น จากนี้ไปก็ 60, 70, 80, 90 ตายแล้ว ถูกเผาไปเหลือแต่กระดูก อย่างนี้เรียกว่า อนาคตัง วา ปัจจุปันนัง วา กายในปัจจุบัน ก็ให้พิจารณาถึงความไม่สวยไม่งามต่างๆ ออกมาทางตา ขี้ตา หู ขี้หู จมูก ขี้มูก กาย ขี้เหงื่อ ขี้ไคล เหล่านี้ ที่พระองค์แสดงว่า อะยัง โข เม กาโย กายของเรานี้แล อุทธัง ปาทะตะลา เบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นมา อะโธ เกสะมัตถะกา เบื้องต่ำแต่ปลายผมลงไป ตะจะปะริยันโต มีหนังหุ้มอยู่เป็นที่สุดรอบ ปูโร นานัปปะการัสสะ อะสุจิโน เต็มไปด้วยของไม่สะอาดมีประการต่างๆ อัตถิ อิมัสสมิง กาเย มีอยู่ในกายนี้ อันนี้เรียกว่ากายปัจจุบัน[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]คือเมื่อเราพิจารณาเห็นจริงทั้งกายในอดีต เห็นจริงทั้งกายในอนาคต เห็นจริงทั้งกายในปัจจุบันแล้ว จากนั้นจิตก็จะเกิด รูปัสสมิง ติ นิพพินนะติ เกิดความเบื่อหน่าย ความเบื่อหน่ายที่เกิดขึ้นนั้น คือการพิจารณาตามความเป็นจริง หมายความว่าการพิจารณาตามความเป็นจริง สมควร พิจารณาตามความเป็นจริงเห็นจริงแจ้งประจักษ์ลงไป เมื่อเราหลับตาก็เหมือนกับลืมตามองเห็น อย่างนี้เรียกว่าเห็นจริงแจ้งประจักษ์ ถ้าทำได้อย่างนี้เรียกว่า วิปัสสนา แต่การที่จะให้เกิดเป็นวิปัสสนาอย่างแท้จริง จริงๆ ลงไป และให้มาก ก็หมายความว่าจะต้องทำ พิจารณารูปนี้ให้เห็นว่าเป็นของไม่เที่ยง เกิดขึ้นมาแล้วดับไป จนกระทั่งเกิด นิพพิทาญาณ ความเบื่อหน่ายขึ้นมา อย่างนี้ เรียกว่า เราได้ทำ คือหมายความว่า ได้ทำให้เกิดญาณขึ้นมา และการทำให้เกิดขึ้นเช่นนี้นั้น จะต้องทำให้นาน หมายความว่า ทำให้ยาวนาน เมื่อได้หนทางอย่างนี้แล้ว เราก็ทำไปเรื่อยๆ ทำไปเรื่อยๆ ในที่สุด ก็จะต้องสำเร็จ อันที่เรียกว่าสำเร็จนั้นก็คือ สำเร็จ สละ ละกิเลส ได้แล้ว ทั้งปวง[/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]เพราะฉะนั้น การที่ เราท่านทั้งหลาย ได้พากันมาปฏิบัตินั้น คือมาปฏิบัติในทางจิตนั้น จึงถือว่าเป็นการเดินทางโดยตรง ที่จะเข้าสู่ที่สุดแห่งทุกข์ เรียกว่าพระนิพพานเป็นต้น ในพระพุทธศาสนาแนะนำไว้ว่า ผู้ที่จะเดินทางเข้าสู่พระนิพพานนั้น ต้องมีการเสียสละทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ว่าก่อนที่จะเข้าไปถึงซึ่งพระนิพพานนั้น ก็จำเป็นที่จะต้องสร้างความดีต่างๆ เพื่อสะสมไว้ ให้มาก เป็นนิสสัย เป็นวาสนา เป็นบารมี เป็นกุศล มหากุศล ให้เกิดมีขึ้นแก่ใจของเรา แล้วใจของเราอันนี้ก็จะได้รับการพัฒนาขึ้นตามลำดับ จนกระทั่ง สามารถกำจัดกิเลสไปได้ในที่สุด อย่างนี้เป็นต้น นี่แหละเรียกว่าทาง ที่ถูกต้อง ที่จะนำพวกเราทั้งหลาย เดินทางไปสู่ที่สุดแห่งทุกข์[/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]ต่อจากนี้ไป ขอให้ทุกคน พากันตั้งใจ นั่งสมาธิกันต่อไป[/FONT]



    คัดลอกจาก http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/misc/lp-viriyang-01.htm
     
  2. chans

    chans Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +68
    ผมก็ได้มอบตัวเป็นศิษย์ ปลายแถวกับท่านคนหนึ่ง ยิ่งปฏิบัติตามก็ยิ่งซาบซึ้งครับ แต่ท่านไม่ค่อยได้อยู่เมืองไทยนะ ท่านไปสอนสมาธิที่แคนาดากับอเมริกา รู้สึกว่าท่านได้สมณศักดิ์เป็นพระเทพเจติยาจารย์แล้วนะ สาธุๆๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...