"บิล เกตส์"ถอนสมอ ปิดตำนานเจ้าพ่อไมโครซอฟท์! เปิดตำนานหน้าใหม่ในฐานะ "นักบุญ

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย satan, 1 กรกฎาคม 2008.

  1. satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    "บิล เกตส์"ถอนสมอ ปิดตำนานเจ้าพ่อไมโครซอฟท์! เปิดตำนานหน้าใหม่ในฐานะ "นักบุญบิล เกตส์" ซึ่งต้องรอให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าจะจริงจังขนาดไหน!

    ซูเปอร์อภิมหาอัครเศรษฐีแห่งวงการคอมพิวเตอร์ "บิล เกตส์" วัย 52 ปี

    ตัดสินใจ "ล็อก-ออฟ" ยุติบทบาทการทำงานในบริษัทยักษ์ใหญ่ "ไมโครซอฟท์" ที่สร้างมากับมืออย่างเป็นทางการเมื่อวันศุกร์ 27 มิถุนายน ปล่อยให้ "สตีฟ บัลเมอร์" เพื่อนรักรับไม้บริหารต่อแทน สร้างข่าวใหญ่ไปทั่วโลก และหลังจากนี้ตำนานของเกตส์จะได้รับการจดจำทั้งในรูปลักษณ์ของ " เทพ" และ "ปีศาจ" ไปพร้อมๆ กัน!


    หนุ่มน้อยสมองใส

    "บิล เกตส์" หรือ "วิลเลียม เอช. เกตส์ ที่สาม" เกิด 28 ตุลาคม พ.ศ.2498

    ครอบครัวตั้งรกรากอยู่ในนครซีแอตเติล รัฐวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา จัดว่ามีฐานะดี ในยุคนั้นนายวิลเลียม เอช. เกตส์ ที่สอง บิดา ประกอบอาชีพทนายความ ส่วนนางแมรี่ เกตส์ มารดา ทำงานอาสาสมัครองค์กรการกุศล

    เกตส์เป็นเด็กเรียนเร็ว เริ่มต้นชีวิตนักเรียนที่ "เลกไซด์" โรงเรียนสำหรับลูกผู้มีอันจะกิน และอายุน้อยกว่าเพื่อนร่วมชั้นราวๆ 2 ปี ในจำนวนนี้รวมทั้ง "พอล อัลเลน" เพื่อนรัก ซึ่งในเวลาต่อมาคือบุคคลที่ร่วมกันก่อตั้ง "ไมโครซอฟท์" บริษัทพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ (ซอฟต์แวร์) เบอร์ 1 ของโลก

    สมัยเด็กๆ อายุได้เพียง 13 ปี เกตส์กับอัลเลนมักชอบแอบเข้าไปเล่นเครื่องพิมพ์ไฟฟ้า "เทเลไทป์" ของโรงเรียนเป็นประจำ ด้วยความหลงใหลในระบบอิเล็กทรอนิกส์และกลไกการทำงานต่างๆ ซึ่งเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ได้ จนในที่สุดสองสหายลงมือแก้ไขเขียน "โปรแกรม" ด้วยตัวเองเพื่อใช้ เทเลไทป์แก้ตารางเรียนของนักเรียนหญิงหน้าตาดีให้มาเข้าชั้นตรงกัน

    มหา"ลัยไม่ใช่คำตอบ

    "ตอนผมอายุ 19 ผมมองเห็นอนาคตและตัดสินใจทำตามสิ่งที่เห็น ปรากฏว่ามันคือสิ่งที่ถูกต้องเสียด้วยสิ!"
    เกตส์ (แถวล่าง-ซ้ายสุด) ถ่ายร่วมกับพนักงานไมโครซอฟท์ยุคแรก

    สตีฟ บัลเมอร์ ขึ้นเวทีกับเกตส์

    เกตส์โชว์บทบาทใหม่ในงานการกุศล


    เกตส์ย้อนรำลึกถึงสาเหตุที่ตัดสินใจลาออกจาก "ฮาร์วาร์ด" สถาบันอุดมศึกษาอันดับต้นๆ ของสหรัฐ เอาไว้ในหนังสือเดอะโรด อะเฮด

    ก่อนเข้าฮาร์วาร์ด เกตส์มีพื้นฐานการเขียนภาษา "เบสิก" สำหรับคอมพิวเตอร์อยู่บ้าง เมื่อเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยก็มีความคิดว่าในอนาคต "ซอฟต์แวร์" หรือ "โปรแกรม" จะต้องมีความสำคัญมากกว่า "ฮาร์ดแวร์" หรือพูดง่ายๆ ก็คือตัวเครื่องคอมพิวเตอร์นั่นเอง และบังเอิญว่าคิดถูกอย่างยิ่ง!

    เริ่มแรกเกตส์เลือกเรียนวิชากฎหมาย แต่สักพักก็ทุ่มเทเวลาหมดไปกับการเรียนรู้คณิตศาสตร์ การเขียนโปรแกรม และเศรษฐศาสตร์ ช่วงนี้เองที่โชคชะตานำพาให้มาพบกับ "สตีฟ บัลเมอร์" เพื่อนสถาบัน ที่กลายเป็นมิตรแท้และผู้บริหารสูงสุดแห่งบริษัทไมโครซอฟท์ในปัจจุบัน

    เรียนผ่านพ้นไปเพียง 2 ปี เกตส์ก็ทำให้ครอบครัวแทบช็อก เมื่อยื่นเรื่อง "ดร็อป" ขอพักการเรียน เพราะเชื่อว่ามหาวิทยาลัยไม่มีอะไรจะสอนเขาอีกต่อไป!

    กำเนิด"ไมโครซอฟท์"

    เมื่อเชื่อมั่นว่า "ซอฟต์แวร์คือขุมทรัพย์" เกตส์กับอัลเลนจึงจับมือกันเดินหน้าพัฒนาโปรแกรมชุดคำสั่งคอมพิวเตอร์และติดต่อทำการตลาดอย่างจริงจัง

    ก้าวแรกสู่วงการ เกิดขึ้นเมื่อบริษัท "เอ็มไอทีเอส" เตรียมวางตลาดคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (พีซี) ใหม่ล่าสุด "Altair 8800" และตกลงจ้างทั้งคู่รับผิดชอบการพัฒนาโปรแกรม

    กระทั่งปีพ.ศ.2518 สองสหายตั้งบริษัท "ไมโครคอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์" หรือที่เรียกย่อๆ ว่า "ไมโครซอฟท์" ขึ้นมา มีบางช่วงเกตส์กลับไปเรียนฮาร์วาร์ด แต่ต้องหยุดกลางคันเช่นเดิมและไม่หวนกลับไปอีกเลยเมื่อเปิด "สำนักงานไมโครซอฟท์" แห่งแรกที่เมืองเบลล์วิล รัฐวอชิงตัน
    วันวานยังหวานอยู่!

    1.ขึ้นปกนิตยสาร "ไทม์" เมื่อครั้งสร้างชื่อจาก "เอ็มเอส-ดอส"

    2.โดนกลุ่มต่อต้านปาเค้กหวานๆ ใส่หน้า ปี 2541

    3.เกตส์ถูกจับฐานขับรถเร็ว ปี 2520



    ปี 2521 บริษัทเล็กๆ แห่งนี้มีรายได้เกิน 1 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 25 ล้านบาทถ้าเทียบกับค่าเงินสมัยก่อน

    ถัดมา 1 ปี เกตส์ก็ว่าจ้าง "บัลเมอร์" เพื่อนรักสมัยฮาร์วาร์ด เข้าทำหน้าที่ "ผู้จัดการฝ่ายธุรกิจ" คนแรก



    สู่ยุคทอง

    ปี 2523 ประตูสู่ยุคทองของไมโครซอฟท์เปิดกว้างชนิดที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน ยกเว้นกลุ่ม 3 ผู้ก่อตั้ง "เกตส์-อัลเลน-บัลเมอร์"

    ภายหลังจากบริษัทยักษ์สีฟ้า "ไอบีเอ็ม" เจ้าตลาดธุรกิจคอมพิวเตอร์ระดับโลก ตกลงเซ็นสัญญาซื้อโปรแกรม "เอ็มเอส-ดอส" จากไมโครซอฟท์ ทั้งยังพลาดท่าโดนเกตส์กล่อมจนมอบสิทธิ์ให้นำไปขายบริษัทเจ้าอื่นๆ ได้ด้วย เพราะเห็นว่ายังไงๆ คอมพิวเตอร์ของตนย่อม "เจ๋ง" กว่าโปรแกรม!

    นับแต่นั้นเป็นต้นมา กิจการไมโครซอฟท์ขยายตัวใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ โดยในปี 2528 มีรายได้ 140 ล้านดอลลาร์ พร้อมกับเปิดตัว "โอเอส" หรือระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์เขย่าโลก "วินโดวส์" เวอร์ชั่นแรก และนำบริษัทเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ ส่งผลให้เกตส์มีเงินทองมหาศาลจากราคาหุ้น

    ปี 2536 นิตยสารการเงินฟอร์บส์ ระบุว่า

    เกตส์เป็น "คนรวยที่สุดในสหรัฐ" มีทรัพย์สิน 6,300 ล้านดอลลาร์ ต่อมาปี 2538 ก็พัฒนาชนิดก้าวกระโดด ทำสถิติเป็น "คนรวยที่สุดในโลก" และครองตำแหน่งนี้ถึงต้นปี 2551 จึงเสียเก้าอี้ให้ "วอเรนต์ บัฟเฟต์" เพื่อนมหาเศรษฐีรุ่นพ่อ

    แต่ปัจจุบันเกตส์ก็ยังยึดสถิติคนรวยอันดับ 3 ของโลก มีทรัพย์สิน 58,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 1.9 ล้านล้านบาท!


    ปิดตำนาน"บิล เกตส์"

    ที่ผ่านมา เกตส์อาจเป็นอัจฉริยะหรือเป็น "เทพ" ในสายตาคนกลุ่มหนึ่งที่มองว่า มีวิสัยทัศน์มองการณ์ไกล สร้างสรรค์โปรแกรม-ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ช่วยให้คนใช้คอมพิวเตอร์ทำงานง่ายขึ้นจำนวนมาก อาทิ วินโดวส์, ออฟฟิศ, มีเดียเพลเยอร์, เอ็มเอสเอ็น, ไออี, เอ็กซ์บ็อกซ์ ฯลฯ

    อย่างไรก็ตาม คนอีกกลุ่มกลับต่อต้านและมองว่า

    เกตส์เป็น "ซาตาน" ไม่ต่างอะไรกับนักฉวยโอกาส ร่ำรวยด้วยการ "ก๊อบปี้" โปรแกรมคนอื่น ไม่ว่าจะสมัยนำเอา "คิว-ดอส" ของบริษัทเอสซีพี หรือโอเอสของบริษัทแอปเปิ้ล มาลอกเลียนพัฒนาต่อยอดเป็นของตัวเอง แต่กลับขายโปรแกรมระบบปิดที่ไม่เปิดกว้างให้ผู้อื่นร่วมพัฒนา

    นอกจากนั้นยังใช้ "อำนาจเงิน" ที่เหนือกว่า เข้าไปทุ่มซื้อกิจการคู่แข่ง หรือ สกัดกั้นการเติบโตด้วยกลยุทธ์ใต้เข็มขัดสารพัดรูปแบบ เช่น การบันเดิล-แถมโปรแกมท่องอินเตอร์เน็ต "ไออี" เข้าไปกับวินโดวส์ เพื่อเตะสกัดโปรแกรม "เน็ตสเคป" ซึ่งเคยมาแรงกว่ามาก

    ทำให้ในหลายกรณีทางการสหรัฐและยุโรปต้องเปิดดำเนินคดีกับไมโครซอฟท์ฐานผูกขาดทางการค้า

    สถานะผู้นำเทคโนโลยีของไมโครซอฟท์ ณ วันนี้ตกเป็นรองบริษัทชื่อดังอย่าง "กูเกิ้ล" หลายช่วงตัว

    ขณะที่เกตส์โต้ว่า ยักษ์ใหญ่ที่แท้จริงในโลกคอมพิวเตอร์ก็คือไอบีเอ็ม ไม่ใช่กูเกิ้ล

    หลังจากนี้ เกตส์จะทุ่มชีวิตส่วนใหญ่ทำงานให้กองทุนการกุศล "บิล แอนด์ เมลินดา เกตส์" ซึ่งตั้งขึ้นมาร่วมกับภรรยา เพื่อช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสทั่วโลก

    เปิดตำนานหน้าใหม่ในฐานะ "นักบุญบิล เกตส์" ซึ่งต้องรอให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าจะจริงจังขนาดไหน!


    ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

    http://tnews.teenee.com/etc/24666.html
     
  2. ศนิวาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    7,337
    ค่าพลัง:
    +17,635
    ดีครับ ภาษิตไทยกล่าวเอาไว้ว่า ต้นร้ายปลายดี ยอมรับนับถือในคุณธรรมของเขาที่มีความรู้จักพอ และรู้จักคืนให้กับสังคมไม่เหมือนเศรษฐีหลายๆคนของบ้านเราที่รู้จักแต่คำว่า ได้ยังไม่พอ และไม่รู้จักคำว่าคืนให้แก่สังคม รู้แต่กอบโกยจนลืมคืน
     
  3. อุดรเทวะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,925
    ค่าพลัง:
    +130
    ขออนุโมทนาสาธุครับ เกิดชาติหน้าก็รวยอีกคนใจบุญอย่างนี้ คิดดีทำดี น่ายกย่อง
     
  4. k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ตอนเรียนมหาลัย ก็ปลื้มบิลเกต ว่าเป็นคนเก่งนะ
    ตอนนี้มาทำงานละ ก็ยังได้มาปลื้มบิลเกต อีกว่าหันมาทำความดีเพื่อชาวโลก
    รู้จักเสียสละและแบ่งปัน นายแน่มาก อิอิอิ...
     
  5. satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    รวยแล้วรู้จักพอ แบ่งปันและช่วยเหลือสังคม ตัวอย่างที่ดีน่ายกย่องครับ ผมเคยอ่านบทสัมภาษณ์ วิลเลียม เอส เกตส์ ที่ 3 หรือ บิล เกตส์ ... มีแนวคิดที่ผมประทับใจบิลเกตส์มากคือ แม้ตัวเขาเองจะไม่เรียนหนังสือในมหาวิทยาลัย ทั้งๆที่สามารถเรียนได้ก็ตามที และเขาก็คิดถูกที่ไม่เรียน เพราะช่วงนั้นเป็นโอกาสทองที่เขาจะต้องทำให้ประสบความสำเร้จให้ได้ แต่เมือเขาประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานแล้ว สิ่งที่เขาให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกก็คือ เขาส่งเสริมให้เยาวชนสนใจที่จะศึกษาเล่าเรียน ซึ่งเงินภาษีส่วนเกินที่เขาจะต้องจ่ายให้รัฐนั้น เขาได้นำเงินส่วนเกินนั้นไปช่วยเหลือในด้านการศึกษาและสังคมต่างๆ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมเป็นอย่างมาก
     
  6. บุษบากาญจ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    9,476
    ค่าพลัง:
    +20,271
    โลกและสังคมน่าอยู่ขึ้นเพราะคนรวยไม่ลืมเผื่อแผ่คนยากไร้ ขอบคุณจริง ๆ ค่ะ
     
  7. AddWassana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    11,698
    ค่าพลัง:
    +21,186
    ขอบคุณที่มีการตอบแทนแก่คนอื่นอย่างมากมายค่ะ
     

แชร์หน้านี้