- <CENTER>บุญกิริยาวัตถุ ๑๐
</CENTER>
๑.
ทาน ที่จะให้ผลเกิดย่อมประกอบด้วยคุณสมบัติดังต่อไปนี้ คือ
๑. มีศรัทธาอันถูกต้องในการสร้างทานนั้น
๒. มีเจตนา ๔ ในการทำทานนั้น คือ
๑. เจตนาก่อนที่จะทำทานนั้น
๒. เจตนาขณะที่กำลังทำทานนั้น
๓. เจตนาขณะที่ทำทานนั้นเสร็จแล้วใหม่ๆ
๔. เจตนาที่ทำทานนั้นเสร็จไปแล้วเป็นเวลานาน
๓. มีจิตเป็นมหากุศลดวงใดดวงหนึ่งใน ๘ ดวงในเจตนา ๔
๔. องค์ทานที่จะทำนั้นต้องได้มาด้วยความบริสุทธิ์
๕. องค์ทานนั้นต้องมีประโยชน์กับปฏิคาหกหรือผู้รับ
๖. ปฏิคาหกหรือผู้รับต้องเป็นบุคคลที่สมควร ( มีคุณธรรมสูงสุด คืออริยบุคคล ต่ำสุด คือผู้มีนิจศีล)
ผลของ ทาน
ปฏิสนธิกาล คือ กามสุคติภูมิ อันได้แก่ ความเป็นมนุษย์ และเทวดา ๕ ชั้น ( เว้นเทวดาชั้นดุสิต )
ปวัตติกาล
มีกินมีใช้ด้วยวคามอุดมสมบูรณ์ตามฐานะ
๒ ศีลที่จะให้ผลเกิดย่อมประกอบด้วยคุณสมบัติดังต่อไปนี้ คือ
๑. มีศรัทธาอันถูกต้องในการที่จะรักษาศีลอันถูกต้อง
๒. มีเจตนา ๔ ในการรักษาศีลนั้น คือ
๑. เจตนาก่อนที่จะรักษาศีล
๒. เจตนาขณะที่กำลังอยู่ในศีล
๓. เจตนาที่พ้นจากศีลใหม่ๆ
๔. เจตนาที่พ้นจากศีลนานแล้ว
๓. มีจิตเป็นมหากุศลดวงใดดวงหนึ่งใน ๘ ดวงในเจตนา ๔
๔. ศีลแต่ละตัวจะต้องมีคุณสมบัติครบถ้วนไม่ขาดตกบกพร่อง
๕. ประเภทของศีลอย่างหยาบๆมีดังนี้คือ
๑. นิจศีล หมายถึง ศีลที่ติดอยู่ตลอดไปโดยไม่ละทิ้ง และมีความถูกต้องครบถ้วน
๒. อุโบสถศีล หมายถึง ศีล ๒ อันได้แก่
๑. ปาฏิโมกขสังวร คือ ศีลทั้ง ๘ ตัว จะต้องมีครบถ้วนไม่บกพร่อง
๒.
ภาวนา คือ ในขณะที่รักษาศีลอยู่นั้นจะต้องมีการภาวนาในอนุสสติ ๕ ให้เกิดขึ้น
ตลอดเวลาที่รักษาศีล คือ พุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ สีลานุสสติ เทวตานุสสติ
๓. วิสุทธิศีล หมายถึง ศีล ๔ อันได้แก่
๑. ปาฏิโมกขสังวร คือ ศีลที่รักษามีกี่ตัวจะต้องครบถ้วนสมบูรณ์
๒. อินทรีย์สังวร คือ การสำรวมทางทวาร ๖ อยู่ในความเป็นอุเบกขา
๓. อาชีวสังวร คือ การเลี้ยงชีวิตโดยชอบ ภิกษุได้แก่การบิณฑบาต ถ้าเป็นคฤหัสถ์จะ
ต้องเป็นสัมมาอาชีวะ
๔. ปัจจยสังวร คือ การกินอาหารต้องพิจารณาว่ากินเพื่อดำรงชีวิตอยู่ การแต่งกายต้อง
พิจารณาว่าแต่งกายเพื่อป้องกันอุณหภูมิร้อนเย็น และป้องกันความอุจาดลามก ที่อยู่อาศัยจะต้อง
พิจารณาว่าเพื่อป้องกันแดดป้องกันฝน การกินยารักษาโรคต้องพิจารณาว่าเพื่อบำบัดทุกขเวทนา
ให้ลดน้อยถอยลง จะได้ทำคุณงามความดีให้เกิดขึ้นได้
ผลของ ศีล
ปฏิสนธิกาล คือ กามสุคติภูมิ อันได้แก่ ความเป็นมนุษย์ และเทวดา ๕ ชั้น ( เว้นเทวดาชั้นดุสิต )
ปวัตติกาล
มีคนเคารพนับถือมีความสุขสบาย
๓ ภาวนาที่จะให้ผลเกิดย่อมประกอบด้วยคุณสมบัติดังต่อไปนี้ คือ
๑. มีศรัทธาอันถูกต้องในการที่จะสร้างภาวนาให้เกิดขึ้น
๒. มีเจตนา ๔ ในการภาวนานั้น คือ
๑. เจตนาก่อนภาวนา
๒. เจตนาขณะกำลังภาวนา
๓. เจตนาเมื่อภาวนาเสร็จแล้วใหม่ๆ
๔. เจตนาเมื่อภาวนาเสร็จไปนานแล้ว
๓. มีจิตเป็นมหากุศลดวงใดดวงหนึ่งใน ๘ ดวงในเจตนา ๔๔. ภาวนาอันถูกต้องในพระธรรมของพุทธศาสนา๕. มีความรู้ความหมายของบทบริกรรมภาวนานั้นว่ามีความหมายประการใดแล้วโน้มจิตตามไป
ผลของ ภาวนา
ปฏิสนธิกาล คือ กามสุคติภูมิ อันได้แก่ ความเป็นมนุษย์ และเทวดา ๕ ชั้น ( เว้นเทวดาชั้นดุสิต )
ปวัตติกาล
๑. มีจิตใจไม่วุ่นวาย
๒. การดำรงชีวิตมีสุข
๔. การเคารพบุคคลที่ควรเคารพหรือการอ่อนน้อมถ่อมตนที่จะให้ผลเกิดย่อมประกอบด้วยคุณสมบัติดังต่อไปนี้ คือ
๑. มีศรัทธาอันถูกต้องในบุคคลผู้นั้น
๒. มีเจตนา ๔ ในการเคารพหรือการอ่อนน้อมถ่อมตน คือ
๑. เจตนาก่อนทำ
๒. เจตนาขณะกำลังทำ
๓. เจตนาเมื่อทำเสร็จแล้วใหม่ๆ
๔. เจตนาเมื่อทำเสร็จแล้วเป็นเวลานาน
๓. มีจิตเป็นมหากุศลดวงใดดวงหนึ่งใน ๘ ดวงในเจตนา ๔๔. บุคคลผู้นั้นมีคุณสมบัติอันดีทางโลกหรือทางธรรมอันถูกต้อง
๕. เคารพโดยการอนุโมทนาในคุณงามความดีในทางโลกหรือทางธรรมอันถูกต้องของผู้นั้น
ผลของ เคารพบุคคลที่ควรเคารพ
ปฏิสนธิกาล คือ กามสุคติภูมิ อันได้แก่ ความเป็นมนุษย์ และเทวดา ๕ ชั้น ( เว้นเทวดาชั้นดุสิต )
ปวัตติกาล
มีคนเคารพนับถือยอมรับเป็นผู้นำของเขา
๕. ขวนขวายในกิจที่ชอบที่จะให้ผลเกิดย่อมประกอบด้วยคุณสมบัติดังต่อไปนี้ คือ
๑. มีศรัทธาอันถูกต้องในการที่จะขวนขวายในกิจที่ชอบ
๒. มีเจตนา ๔ ในการขวนขวายในกิจที่ชอบนั้น คือ
๑. เจตนาก่อนทำการขวนขวายในกิจที่ชอบ
๒. เจตนาขณะทำการขวนขวายในกิจที่ชอบ
๓. เจตนาที่ขวนขวายในกิจที่ชอบเสร็จแล้วใหม่ๆ
๔. เจตนที่ขวนขวายในกิจที่ชอบเสร็จแล้วนาน
๓. มีจิตเป็นมหากุศลดวงใดดวงหนึ่งใน ๘ ดวงในเจตนา ๔๔. การกระทำประโยชน์ให้เกิดขึ้นต่อส่วนรวมโดยไม่เดือดร้อนแก่ผู้ใด เช่น การทำประโยชน์ให้เกิดขึ้นต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
ผลของ ขวนขวายในกิจที่ชอบ
ปฏิสนธิกาล คือ กามสุคติภูมิ อันได้แก่ ความเป็นมนุษย์ และเทวดา ๕ ชั้น ( เว้นเทวดาชั้นดุสิต )
ปวัตติกาล
๑. ดำรงชีวิตด้วยความปลอดโปร่ง
๒. มีคนช่วยเหลือและสนับสนุนในกิจการที่กระทำในชีวิต
๖. การแผ่กุศลผลบุญที่จะให้ผลเกิดย่อมประกอบด้วยคุณสมบัติดังต่อไปนี้ คือ
๑. มีศรัทธาอันถูกต้องที่จะให้ความเอื้อเฟื้อความสุขความสบายแก่ผู้อื่น
๒. มีเจตนา ๔ ในการที่จะแผ่กุศลผลบุญนั้น คือ
๑. เจตนาก่อนที่จะแผ่กุศลผลบุญนั้น
๒. เจตนาขณะที่กำลังแผ่กุศลผลบุญนั้น
๓. เจตนาที่แผ่กุศลผลบุญนั้นเสร็จแล้วใหม่ๆ
๔. เจตนาที่ได้แผ่กุศลผลบุญนั้นเสร็จนานแล้ว
๓. มีจิตเป็นมหากุศลดวงใดดวงหนึ่งใน ๘ ดวงในเจตนา ๔๔. ตนได้สร้างกุศลอันถูกต้องให้เกิดขึ้นแล้ว อันได้แก่ กามาวจรกุศล รูปาวจรกุศล อรูปาวจรกุศล โลกุตตรกุศล อันถูกต้องในพระพุทธศาสนา
๕. การแผ่กุศลเสร็จแล้ว ควรจะได้ขออโหสิกรรมซึ่งกันและกัน ทั้งนี้เพราะผู้นั้นอาจเคยเป็น เจ้าเวรนายกรรมมาแต่ก่อนก็ได้๖. ระบุผู้ที่ควรแก่การแผ่กุศลนั้นด้วยเจตนาอันมั่นคง และสมควรแก่ฐานะที่เราจะแผ่กุศลผลบุญให้แก่เขา หรือสมควรแก่ฐานะของผู้รับจะได้รับหรือไม่
ผลของ แผ่กุศลผลบุญ
ปฏิสนธิกาล คือ กามสุคติภูมิ อันได้แก่ ความเป็นมนุษย์ และเทวดา ๕ ชั้น ( เว้นเทวดาชั้นดุสิต )
ปวัตติกาล
๑. มีผู้ยกย่องสรรเสริญ
๒. มีกินมีใช้อันสมควรแก่ฐานะ
๓. มีผู้เสียสละให้แก่ตน
๗. การอนุโมทนาบุญที่จะให้ผลเกิดย่อมประกอบด้วยคุณสมบัติดังต่อไปนี้ คือ
๑. มีศรัทธาอันถูกต้องที่ผู้นั้นกระทำคุณงามความดีอันถูกต้องในทางโลกหรือทางธรรม
๒. มีเจตนา ๔ ในการอนุโมทนาคุณงามความดีของผู้นั้น คือ
๑. เจตนาก่อนที่จะอนุโมทนา
๒. เจตนาขณะที่กำลังอนุโมทนา
๓. เจตนาขณะที่อนุโมทนาเสร็จแล้วใหม่ๆ
๔. เจตนาขณะที่อนุโมทนาเสร็จเป็นเวลานานแล้ว
๓. มีจิตเป็นมหากุศลดวงใดดวงหนึ่งใน ๘ ดวงในเจตนา ๔๔. รู้ว่าผู้นั้นกระทำโดยถูกต้องทั้งในทางโลกหรือทางธรรมเพื่อเป็นการสืบต่อ ๓ สถาบัน คือ ประเทศชาติ พระพุทธศาสนา องค์พระมหากษัตริย์ โดยไม่หวังประโยชน์ใดๆ ทั้งทางตรงและทางอ้อม
๕. อนุโมทนาคุณงามความดี หรือมีความยินดีต่อการกระทำประโยชน์เพื่อส่วนรวมโดยไม่
เบียดเบียนหรือหวังผลแต่ประการใดๆ เลย
ผลของ การอนุโมทนาบุญ
ปฏิสนธิกาล คือ กามสุคติภูมิ อันได้แก่ ความเป็นมนุษย์ และเทวดา ๕ ชั้น ( เว้นเทวดาชั้นดุสิต )
ปวัตติกาล
๑. มีผู้สรรเสริญ
๒. ดำเนินชีวิตโดยความถูกต้อง
๘. การฟังธรรมที่จะให้ผลเกิดย่อมประกอบด้วยคุณสมบัติดังต่อไปนี้ คือ
๑. มีศรัทธาอันถูกต้องที่ได้ฟังธรรมในพระพุทธศาสนา
๒. มีเจตนา ๔ ในการฟังธรรมนั้น คือ
๑. เจตนาก่อนที่จะฟัง
๒. เจตนาขณะที่กำลังฟังธรรม
๓. เจตนาที่ฟังธรรมเสร็จแล้วใหม่ๆ
๔. เจตนาที่ฟังธรรมเสร็จนานแล้ว
๓. มีจิตเป็นมหากุศลดวงใดดวงหนึ่งใน ๘ ดวงในเจตนา ๔๔. ตั้งใจฟังด้วยความเคารพในธรรมของพุทธศาสนาและพยายามจดจำไว้
๕. เมื่อฟังแล้วพิจารณากลั่นกรองด้วยเหตุด้วยผล และพิจารณาว่าธรรมนั้นสมควรแก่ฐานะ
ของตัวเราที่จะประพฤติปฏิบัติได้หรือไม่
๖. เมื่อมีข้อสงสัยก็สนทนาไต่ถามเพื่อทำความเข้าใจอันถูกต้อง
๗. ประพฤติปฏิบัติธรรมที่ได้ฟังให้ถูกต้องตามควรแก่ฐานะ คือ การสืบต่อพระพุทธศาสนา
นั่นเอง
ผลของ การฟังธรรม
ปฏิสนธิกาล คือ กามสุคติภูมิ อันได้แก่ ความเป็นมนุษย์ และเทวดา ๕ ชั้น ( เว้นเทวดาชั้นดุสิต )
ปวัตติกาล
มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องต่างๆ ที่คนอื่นรู้ได้ยากแต่ตนรู้ได้โดยง่าย
๙. การให้ธรรมเป็นทาน ที่จะให้ผลเกิดย่อมประกอบด้วยคุณสมบัติดังต่อไปนี้ คือ
๑. มีศรัทธาอันถูกต้องเพื่อดำรงไว้ซึ่งพุทธศาสนา
๒. มีเจตนา ๔ ในการที่ให้ธรรมอันสมควร คือ
๑. เจตนาก่อนให้ธรรม
๒. เจตนากำลังให้ธรรม
๓. เจตนาที่ให้ธรรมเสร็จแล้วใหม่ๆ
๔. เจตนาที่ให้ธรรมเสร็จนานแล้ว
๓. มีจิตเป็นมหากุศลดวงใดดวงหนึ่งใน ๘ ดวงในเจตนา ๔๔. เป็นธรรมในพระพุทธศาสนาอันถูกต้อง
๕. ธรรมที่ให้นั้นเป็นธรรมที่เหมาะสมและเป็นประโยชน์แก่ผู้ฟังที่จะนำไปประพฤติปฏิบัติ
๖. ชี้แจงให้ผู้ฟังมีความเข้าใจ สามารถนำไปประพฤติปฏิบัติได้โดยถูกต้องตามฐานะ
ผลของ การให้ธรรมเป็นทาน
ปฏิสนธิกาล คือ กามสุคติภูมิ อันได้แก่ ความเป็นมนุษย์ และเทวดา ๕ ชั้น ( เว้นเทวดาชั้นดุสิต )
ปวัตติกาล
๑. มีปัญญาเฉลียวฉลาด
๒. เข้าถึงธรรมอันถูกต้องได้โดยง่าย
๓. มีกินมีใช้อันสมควรแก่ฐานะ
๔. มีผู้เคารพนับถือ
๕. ดำเนินชีวิตไปด้วยความถูกต้อง
๑๐. ทิฏฐุชุกรรม( การทำความเห็นให้ถูก ) ที่จะให้ผลเกิดย่อมประกอบด้วยคุณสมบัติดังต่อไปนี้ คือ
๑. มีศรัทธาอันถูกต้องโดยเชื่อพระธรรมในพุทธศาสนาแต่ละเรื่องและขั้นตอนในการที่กระทำ
สิ่งนั้นๆ ให้ถูกต้อง
๒. จะต้องมีการค้นคว้าในพระธรรมคำสอนอันถูกต้อง
๓. จะต้องมีการประพฤติธรรมปฏิบัติธรรมอันสมควรแก่ธรรมและผลเกิดขึ้นแล้วจึงจะสามารถรู้ได้ว่าอย่าง
ใดผิดอย่างใดถูก
๔. ต้องใช้สติและปัญญาประกอบด้วยเหตุและผลแต่ละขั้นละตอน
๕. ในเรื่องแต่ละเรื่องจะต้องพิจารณาด้วยเหตุและผลด้วยจิตเป็นอุเบกขา ทั้งในเรื่องดีและ
เรื่องชั่ว
๖. สิ่งที่ถูกต้องตามพระธรรมคำสอนนั่นก็คือ " ละความชั่ว ทำแต่ความดี "
๗. เมื่อการทำความเห็นให้ถูกต้องแล้ว จะกระทำในสิ่งอันถูกต้องนั้นจะต้อง ประกอบด้วยเจตนา
๔ อันมีจิตเป็นมหากุศลดวงใดดวงหนึ่ง ใน ๘ ดวง
ผลของ ทิฏฐุชุกรรม
ปฏิสนธิกาล คือ กามสุคติภูมิ อันได้แก่ ความเป็นมนุษย์ และเทวดา ๕ ชั้น ( เว้นเทวดาชั้นดุสิต )
ปวัตติกาล
๑. มีสติปัญญาอันว่องไว
๒. มีความคิดความเห็นอันถูกต้องทั้งในทางโลกและทางธรรม